เรื่องเด่น ตามรอยหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ (กลุ่มหลวงพ่อเงิน)

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย เจ๊ตุ้ม, 16 มกราคม 2013.

  1. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ยังหาวัดให้ท่านไม่ได้เลยครับ สมาชิกท่านใดมีคล้ายๆ บ้างไหมครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  2. ชด ประชากร

    ชด ประชากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +147
    ขอบคุณครับ ท่าน pinyo ole ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ
     
  3. พีร

    พีร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2012
    โพสต์:
    2,423
    ค่าพลัง:
    +7,409
    สวัสดีเช้าวันหยุดครับเพือนสมาชิกทุกท่านขอให้สมหวังทุกท่านครับ:cool:
     
  4. เจ๊ตุ้ม

    เจ๊ตุ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,607
    องค์แรกมองเป็นวัดขวางฐานสูงดูดีครับ ถ้าเนื้อออกทองมากๆ แจ่มครับ
    องค์สองวังหมาเน่า ยังดูไม่ดีครับ พบอยู่สามแบบครับ อุดกริ่ง ไม่อุดกริ่ง กับก้นกลวง
    [​IMG]

    ความสัมพันธ์ อาจารย์กับศิษย์
    หลวงพ่อเงินท่านได้มาขอสมัครตนเป็นศิษย์ท่านหลวงพ่อโพธิ์แห่งวัดวังหมาเน่า ท่านก็ได้รับไว้เป็นศิษย์อย่างเต็มใจ เพราะท่าอาจารย์โพธิ์ท่านเห็นหลวงพ่อเงินมีความกล้าหาญและมีอำนาจจิตอยู่ในตัว กล้าพูดกล้าจา และมีสายตาอันแกร่งกล้าไม่หลบสายตาท่าน เพราะตามปกติไม่มีผู้ใดจะมาประสานสายตากับท่านได้เลย ทุกๆคนจะต้องหลบสายตาเพราะอำนาจตาของท่านเหนือกว่าทุกๆ คนที่มาพบเห็น แต่หลวงพ่อเงินท่านก็มีสายตาอันแกร่งกล้าจึงสามมารถมองเพ่งสายตาซึ่งกันและกันได้

    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อเงินท่านจึงได้เรียนวิชาถ่ายทอดจากหลวงพ่อโพธิ์ไว้จนหมดสิ้น วิชาอาคมของหลวงพ่อเงินจึงมีความแกร่งกล้าอันล้ำเลิศเหนือกว่าเกจิอาจารย์ทั่วๆไป หลังจากที่หลวงพ่อโพธิ์ได้มรณภาพไปแล้ว

    ประวัติหลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า (คุ้งน้ำแถบนั้นที่มักจะมีหมาเน่าลอยมาติดบริเวณนั้นเสมอ ที่มาของชื่อ)
    ท่านหลวงพ่อโพธิ์ ท่านเป็นพระธุดงค์มาจากเขตภาคกลางคือเขตเมืองกรุงเก่าศรีอยุธยา ท่านอาจารย์โพธิ์ได้บุกป่าฝ่าดงเดินธุดงค์ป่าเขาลำเนาไพร และอยู่จำศีลตามถ้ำหุบเขาและต้นไม้ใหญ่ๆ อาศัยเถาวัลย์ต้นหญ้าพงหนาป่าทึบ บังแดดบังฝนมาเป็นเวลาหลายปี เดินธุดงค์ดั้นด้น คลุกคลีกับสิงสาราสัตว์นานาชนิดจนชินชา จนกระทั่งสัตว์ป่าต่างๆ ชอบมาคลุกคลีอยู่ใกล้ชิดท่านเสมอ โดยเฉพาะช้าง เสือ ลิง ชะนี ไก่ พอตกพลบค่ำจะมาจับเจ่าส่งเสียงดังให้แซด ต่างก็จับกันเป็นกลุ่มๆ พวกใครพวกมันมองดูแล้วคล้ายกับว่า สัตว์ต่างๆ เหล่านั้นมาอยู่คอยอารักขาท่าน

    ท่านอาจารย์โพธิ์ก็ไม่ได้ดูดาย ในช่วงกลางวันท่านคอยขุดเผือกขุดมัน และหากล้วย อ้อย ถั่ว ผลไม้ มาเก็บไว้ฉันเป็นอาหาร ส่วนหนึ่งก็แบ่งออก พอรุ่งเช้าก็นำมาแจกจ่ายให้กับสัตว์ต่างๆ กินกันพอหอมปากหอมคอพอประมาณ ส่วนไก่ท่านอาจารย์ก็ให้กินถั่ว กินเผือก กินมัน ช้างให้กินอ้อยและกล้วย ส่วนลิงกับชะนีให้กินผลไม้ ส่วนเสือท่านเสกน้ำพุทธมนต์ให้กิน เสือจึงไม่กัดกินไก่และลิง ทำให้สัตว์ทั้งหลายกลายเป็นเพื่อนกัน สิ่งต่างๆที่กล่าวมานี้ ท่านอาจารย์โพธิ์ได้บอกเล่าให้ลูกศิษย์และชาวบ้านฟัง

    และได้บอกเล่าต่อเนื่องกันมาเป็นขั้นตอน จึงได้นำมาเล่า ณ ที่นี้ ท่านอาจารย์โพธิ์ยังได้พูดเล่าว่า กว่าจะเข้ากับช้างและเสือได้ ต้องใช้อาคมและพระคาถาสยบทัพสยบมาร ให้เจ้าป่าทั้งสองคือเสือ และช้างต้องยืนหยุดนิ่งไม่กล้าเข้ามาทำร้ายท่าน เพราะเจอคาถาสยบทัพสยบมาร ต้องยืนจังงังอยู่กับที่ก้าวขาไม่ออก แล้วปล่อยให้ยืนอยู่เช่นนั้นชั่วครู่ใหญ่ ท่านได้ทำน้ำพุทธมนต์ให้ช้างและเสือกิน พร้อมกับพรมน้ำพุทธมนต์ไปรอบๆ ตัวเจ้าป่าทั้งสอง เจ้าป่าทั้งสองซึ่งเป็นสัตว์โหดร้าย เลยกลายเป็นผู้อารักขาไปโดยปริยาย

    นี่แหละครับผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ คือท่านอาจารย์โพธิ์แห่งวัดวังหมาเน่า ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่าวัดวังข้าวเม่า ท่านอาจารย์โพธิ์ได้เดินธุดงค์ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ สิงสาราสัตว์ที่มาคลุกคลีกับท่านก็ได้ตามอาจารย์โพธิ์มาเรื่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง ท่านอาจารย์ได้เดินทางมาถึงป่าละเมาะแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ลำธารน้ำ ท่านอาจารย์โพธิ์ได้พบเรือนหลังหนึ่ง ตั้งอยู่บนโคกที่มีพื้นที่ใหญ่โตนัก มีบางส่วนเทเอียงลงหาลำธาร มองดูลำธารมีน้ำใสไหลเอื่อยๆ มองเห็นกุ้งป่ามีลายเป็นปล้องๆ เรียกว่า กุ้งลายตะเข็บ และมีปูป่าเรียกว่า ปูแสม และมีปลาต่างๆว่ายเวียนอยู่ในลำธาร พอตักเอามาทดลองดื่มดูก็รู้สึกว่าเย็นชุ่มชื่นดี ไม่กร่อย จึงได้ถือโอกาสตักน้ำขึ้นมาสรงอาบชำระร่างกาย เพราะไม่ได้สรงน้ำมาหลายวัน หลวงพ่อโพธิ์ท่านบอกว่า ท่านบ่นพูดไปเรื่อยเปื่อยเพียงลำพังไม่รู้ว่าจะไปพูดกับใคร แหมที่นั่นมันช่างร่มรื่นดีจังมีต้นหมากรากไม้ร่มเย็นดี หนำซ้ำน้ำใสไหลเย็นเสียอีกด้วย น่ากินน่าอยู่อาศัยจังเลย พอเสร็จจากการสรงน้ำท่านอาจารย์โพธิ์ก็เดินเลาะไปตามรอบๆ สุดท้ายท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเรือนที่อยู่บนโคก ยืนดูอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่ามีโยมอยู่บนเรือนไหมแล้วพูดต่อย้ำหลายครั้งก็ไม่มีเสียงขานตอบ จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปจนชิดข้างตัวเรือน มองไปรอบๆ ใต้ถุนเรือนก็ไม่เห็นมีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรเลยสักอย่าง เห็นแต่ตุ่มน้ำลูกหนึ่งตั้งอยู่ข้างบันได เป็นตุ่มน้ำแบบทรงเตี้ยลักษณะเป็นโอ่งดินเผา หรือเรียกกันว่าโอ่งดินแบบสมัยเก่าที่ชาวบ้านจัดทำขึ้นเอง มองดูในตุ่มน้ำเห็นแต่ใบไม้ใบหญ้าที่ปลิวตกลงในตุ่มและมีน้ำอยู่เล็กน้อย มองดูน้ำในตุ่มออกสีเหลืองอ่อน เพราะเป็นหน้าฝน ฝนเริ่มตกใหม่ๆ เพียงไม่กี่ครั้งน้ำในตุ่มที่ไหลลงมาจากชายคาของหลังคาเรือนจึงยังมีจำนวนน้อย สีของใบไม้ใบหญ้าที่แห้งอยู่ในตุ่มจึงทำให้น้ำออกเป็นสีเหลืองจางๆ

    ท่านอาจารย์โพธิ์จึงได้คิดว่าถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าไม่มีคนอยู่อาศัยมานานแล้ว จึงถือวิสาสะเดิน ขึ้นบันไดไม้ลูกกลอน คือใช้กิ่งไม้ตัดเป็นท่อนๆ แล้วใช้กิ่งไม้ท่อนใหญ่สองท่อนทำเป็นคานบันได แล้วเจาะเป็นรูทั้งสองด้านของคานบันได้แล้วเสียบด้วยไม้ท่อนๆ ที่เล็กกว่าให้เป็นลูกบันได แล้ววางด้านล่างไว้บนพื้นดิน ด้านบนวางพาดบนขอบชานเรือน สมัยก่อนนั้นเขาเรียกบันไดแบบนี้ว่าบันไดลูกกลอน หรือเรียกว่าบันไดลิง ท่านอาจารย์โพธิ์เดินขึ้นบันได พอชะเง้อเห็นชานเรือนและด้านในของพื้นเรือน มองเห็นขี้ฝุ่นจับเกรอะกรังเพราะถูกละอองฝน ขี้ฝุ่นจึงจับเกรอะกรังและมีใบไม้กิ่งไม่เรี่ยราดอยู่บนพื้นเรือนจึงมั่นใจแน่นอนว่า บ้านเรือนหลังนี้จะต้องไม่มีคนอยู่อาศัยมาเป็นปีๆ ถึงได้รกรุงรังและไม่มีสิ่งของหลงเหลืออยู่เลย เมื่อท่านอาจารย์โพธิ์คิดได้เช่นนั้นท่านก็เดินถอยหลังลงมา แล้วพูดเปรยๆขึ้นว่าแสดงว่าไม่มีผู้คนอยู่มานานแล้วท่านก็เดินมาที่ข้างป่าละเมาะที่ท่านได้จัดวางสิ่งของเครื่องใช้ของท่านเพราะว่าช่วงตรงนั้นเป็นซุ้มเถาวัลย์และมีต้นไม้พงรกเหมาะสำหรับพักแรมเป็นอย่างดี เพราะมีกิ่งไม้ใบไม้วางพาดปกคลุมเพื่อไว้กันแดดกันฝนเป็นอย่างดี แสดงว่ามีผู้คนได้เดินทางมาทำเป็นที่อยู่อาศัยแบบชั่วคราว

    ท่านอาจารย์โพธิ์จึงได้จัดทำให้เรียบร้อยขึ้น เพื่อไว้เป็นที่อยู่อาศัยจำวัดชั่วคราวแบบพระธุดงค์ทั่วๆไป อยู่ประมาณสองเดือนเศษ เพราะเป็นหน้าฝนจึงไม่ได้ธุดงค์ต่อ เพราะการเดินทางในป่าดงดิบไม่ใช่ของง่าย

    ท่านอาจารย์จึงได้อาศัย ณ ที่นั้นนั่งทำวิปัสสนากรรมฐาน มีอยู่วันหนึ่งมีชาย ๓ คน ถือหน้าไม้แต่งตัวแบบนายพรานวิ่งไล่กวดไก่ป่าหลายตัว วิ่งแตกกระเจิงเข้ามาในซุ้มที่พักของท่านอาจารย์โพธิ์

    ไก่หลายตัวได้วิ่งมาหลบอยู่ที่ข้างตัวของท่านอาจารย์โพธิ์ ๓ นายพรานวิ่งกรูเข้ามาหมายจะเผด็จศึกไก่ป่าให้ได้ ทั้ง ๓ นายพรายเงื้อหน้าไม้ตรงดิ่งเข้ามาหมายจะยิงไก่ป่า ๒ ตัวสุดท้ายที่วิ่งมาตอนหลัง ทั้ง ๓ นายพรานยิงลูกดอกหน้าไม้ออกไปพร้อมกันเสียงดังพืด ลูกดอกถูกไก่ป่า ๒ ตัว ตัวละ ๑ ดอก ไก่ทั้ง ๒ เซล้มลงบนหน้าตักของอาจารย์โพธิ์ พร้อมกับเสียงตวาดอย่างหนักแน่นของท่านอาจารย์โพธิ์ เฮ้ย..หยุด ไก่กู..เล่นเอา ๓ นายพรานสะดุ้งโหยง

    จากนั้นก็เห็นลูกดอกที่เหลืออยู่อีก ๑ ดอกกระเด็นเด้งด๋อยออกมากองอยู่บนพื้นดินด้านหน้าซุ้ม กองหักอยู่เป็น ๒ ท่อน พอดี ๓ นายพรานวิ่งมาถึง เห็นลูกดอกลูกศรหักกองอยู่ ทั้ง ๓ นายพรานถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดหยุดยืนอยู่กับที่ เพราะเห็นลูกดอกลูกศรที่หักกระเด็นกระดอนมากองอยู่กับพื้น ท่านอาจารย์โพธิ์กระชากลูกศรออกจากตัวไก่ป่าทั้ง ๒ ตัว พร้อมทั้งเป่าพรวดๆ ไปที่ไก่ป่าทั้ง ๒ ตัว ปรากฏว่าไก่ป่าทั้ง ๒ ตัว ลุกขึ้นยืนแล้วก็วิ่งออกไปนอกซุ้มเหมือนกับว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจากถูกลูกดอกของนายพรานแต่อย่างไร

    กับมีอาการแบบปกติเหมือนไม่ถูกของมีคมเลยทั้งสิ้น บาดแผลก็ไม่มีเลยสักนิด ส่วนไก่ป่าที่หลบอยู่ด้านหลังของท่านอาจารย์โพธิ์ก็พลอยวิ่งตามออกไปด้วยในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หลวงพ่อโพธิ์ท่านก็พุ่งลูกศรทั้ง ๒ ดอกออกไปกองรวมกันตรงที่ลูกศรหักกองอยู่บนพื้นดินพร้อมกับพูดขึ้นว่า เอาของมึงคืนไป ไก่เขามีเจ่าของนะโว้ย จะทำอะไรให้ระวังหน่อย เดี๋ยวเจอข้อหาทำลายทรัพย์ทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะไอ้หนู เล่นเอานายพรานหนุ่มรุ่นทั้ง ๓ ถึงกับหน้าซีดไปตามๆ กัน พอได้สติ ๓ นายพรานหนุ่มรีบเดินเข้าไปนั่งพับเพียบ

    แล้วก้มลงกราบขอขมาอภัยต่อท่านอาจารย์โพธิ์ หนึ่งในสามนายพรานหนุ่มพูดขึ้นว่า ต่อไปจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะล้างมือไม่ทำบาปอีก หลวงพ่อโพธิ์พูดขึ้นว่าแล้วเอ็งสองคนล่ะจะทำอีกไหม สองหนุ่มรุ่นพูดพร้อมกันว่า จะเลิกฆ่าสัตว์เหมือนกัน หลวงพ่อโพธิ์จึงได้พูดขึ้นอีกครั้งว่า เออดีแล้วล่ะลูก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขามันเป็นบาป กรรมใครก่อผู้นั้นจะต้องรับกรรม หนึ่งในสามพูดขึ้นว่าระยะนี้พวกผมได้ยิงไก่ฆ่าไก่ของหลวงพ่อไปหลายสิบตัว นึกว่ามันแตกฝูงมาเพราะว่าไก่จำนวนนี้เป็นไก่ป่าทั้งนั้น ไม่นึกว่าเป็นไก่ของหลวงพ่อ นายพรานหนุ่มที่มีรูปร่างใหญ่และมีอายุมากกว่าจึงพูดขึ้นว่า แล้วทำอย่างไรจึงจะล้างบาปได้ หลวงพ่อโพธิ์พูดว่าพวกเอ็งก็บวชเสียซี่ แล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้เขา บาปนั้นก็จะลบล้างกันไป หลวงพ่อโพธิ์ได้ฟูดต่ออีกว่า ไก่หายไปเกือบหมด นึกว่าไอ้เสือแถบนี้มันตะปบคาบไปกิน ส่วนไอ้ลิงโมงดำตัวใหญ่ถูกไอ้เสือเตี้ยคาบเอาไปทำต้มยำยังไม่พอ หนาซ้ำยังเอาเนื้อทำตากแห้งไว้กินอีก แต่ก็ไม่เสียดายเท่าไอ้ชะนีสีทองตัวโปรดของกู ถูกไอ้เสือโคร่งโย่งโก๊ะมันไล่กวดจับไล่ไม่ทันเลยเอาท่อนไม้ไล่ขว้างไป ๓-๔ ท่อน ไอ้ชะนีสีทองกระโจนขึ้นปีนต้นไม้แล้วหันหน้าแหงะกลับมามอง พอดีท่อนไม้ท่อนที่ ๕ วิ่งตรงไปถูกปากครึ่งจมูกครึ่งเลยหล่นแผละลงมาดิ้น อ็โคร่งโย่งโก๊ะเลยเอาไปแกงแกล้มเหล้ากัน ยังพอเกิดชกปากกับมันดีไหมล่ะปากยังมีรอยแผลเป็นรอยตกสะเก็ดอยู่เลย ส่วนไก่ไอ้เสือผอมตัวเล็กเอาไปผัดพริกและต้มข่ากินเสียตั้งหลายตัว พอดีไอ้โต้งตัวใหญ่หนังมันเหนียว กินเคี้ยวไม่ได้จังหวะ ไอ้เสือผอมตัวเล็กเกิดสำลักติดคอแทบตาย

    พอพูดขาดคำหลวงพ่อโพธิ์ท่านก็หัวเราะหึๆ เพราะเห็น ๓ พรานน้อยนั่งหน้าน้ำตาไหลคลอไปตามๆกัน นายพรานผมเล็กเอามือลูบที่คอ ส่วนนายพรานใหญ่โย่งโก๊ะเอานิ้วมือลูบคลำที่ริมฝีปากที่ยังมีรอยตกสะเก็ดอยู่เล็กน้อย ส่วนยานพรานล่ำเตี้ยต่ำกว่านายพรานโย่งโก๊ะถึงกับร้องไห้โฮ

    จากนั้น หลวงพ่อโพธิ์ท่านก็พูดขึ้นว่า ไม่เป็นไร เสือสำนึกบาปแล้ว อาตมาไม่ถือโทษ เรื่องอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด มันห้ามกันไม่ได้ แต่คนเราทำผิด รู้ผิด แล้วรู้จักแก้ไขนับว่าผู้นั้นยังเป็นผู้ประเสริฐ

    ทั้ง ๓ นายพรานหนุ่มได้ยินหลวงพ่อโพธิ์ท่านพูดเช่นนั้น จึงนั่งปรึกษากันอยู่ชั่วครู่ พรานหนุ่มใหญ่จึงได้พูดขึ้นว่า พวกผมทั้ง ๓ คน อยากจะบวชล้างบาป หลวงพ่อโพธิ์ได้ยินเช่นนั้นก็เลยพูดขึ้นว่าก็ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อนคุยกับเขาบ้าง จั้งหลายปีแล้วได้แต่พูดคุยกับสัตว์ต่างๆ มันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

    หลวงพ่อโพธิ์จึงได้พูดถามไปว่า แล้วไอ้เรือนขนำหลังนั้นเป็นขิงใคร พรานหนุ่มใหญ่โย่งโก๊ะพูดขึ้นว่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัยมานานแล้ว เห็นเขาว่านายพรานแก่คนหนึ่งมาปลูกทำเอาไว้ แกเข้าไปในป่าลึกแล้วหายสาบสูญไป บางคนในหมู่บ้านโน้น พร้อมกับชี้มือไปทางฝั่งตรงข้ามของลำธารที่เห็นพุ่มไม้ และมีบ้านเรือนอยู่ ๓-๔ หลัง เขาพูดกันว่าถูกเสือคาบเอาไปกิน แต่บางคนก็พูดว่าแกเป็นไข้ป่าตาย ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี

    หลวงพ่อโพธิ์ท่านได้ยินเช่นนั้น จึงคิดขึ้นว่าหยุดเดินธุดงค์ก็ดีเหมือนกันยึดเอาที่ตรงนี้แหละเป็นที่พักพิงอาศัยจำวัด เพราะตอนนี้จะเดินธุดงค์ไปข้างหน้าอีกก็ไม่สะดวก เพราะเป็นหน้าฝน จึงพูดกับชายหนุ่มทั้ง ๓ ไปว่าเอาอย่างนี้ เอ็ง ๓ คนมาช่วยหลวงพ่อซ่อมแซมต่อเติมเรือนหลังนี้ ให้ดีขึ้นใหญ่ขึ้นแล้วจะบวชให้ จะได้พออยู่อาศัยจำวัดสักพรรษา ๓ หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ตอบตกลง

    ๓ หนุ่มแหงนดูตะวัน ก็รู้ว่าตะวันใกล้จะตกดิน จึงจัดแจงทำท่าจะกลับฉับพลันเสียงร้องของช้างก็ดังโอ๊กอ๊ากใกล้เข้ามา ทั้ง ๓ หนุ่มหยุดชะงักทันที หนำซ้ำยังมีกลิ่นสาปสางโชยเข้ามาทุกทีๆ ทำให้ทั้ง ๓ หนุ่มถึงกับตัวสั่นคอนเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น พูดกันตะกุกตะกัก ช้าง-เสือ หลวงพ่อโพธิ์เห็น ๓ หนุ่มตัวสั่นคอน ท่านก็เลยหัวเราะอย่างชอบใจและพูดขึ้นว่า ไม่เป็นนายพรานอีกหรือ ๓ หนุ่มตอบตะกุกตะกัก ไม่เอาอีกแล้วพอพูดขาดคำก็เห็นช้างจำนวนหลายตัวมายืนอยู่ป่าละเมาะฝั่งตรงข้ามกับซุ้มที่นั่งอยู่ พริบตานั้นเองมีเสือสองตัวเดินส่ายอาดๆและคำรามแบบเสือเห็นเหยื่อมุ่งตรงมาทางซุ้ม ๓ หนุ่มทำท่าจะรีบคลานมาหลบไปอยู่ด้านหลังท่านอาจารย์โพธิ์พูดว่า ไอ้ลาย ไอ้ดาวหยุด พวกเขาเป็นพวกเดียวกับเรา เสือดาวและไอ้เสือลายพาดกลอนหยุดยืนชะงักอยู่กับที่สะบัดหางไปมาอย่างอารมณ์ดี อาจารย์โพธิ์บอกให้ ๓ หนุ่มหยิบเอาขันที่ใส่น้ำมนต์ออกมา แล้วไปพรมน้ำมนต์ให้ไอ้เสือ ๒ ตัว มันก็จะไม่ทำร้ายแก ๓ คน ๓ หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ต่างทำตาม ไอ้ดาวและไอ้ลายพาดกลอนก็เลยกลายเป็นมิตรสหายกับ ๓ หนุ่มไปโดยปริยาย

    จากนั้น ไก่ ชะนี ลิง ก็กลับมาอยู่อาศัยตามแต่ละสถานที่ ที่เคยพักของตน เสียงไก่ร้องกันจ้อกแจ้ก ลิงก็ร้องเจี๊ยกๆ ชะนีก็ส่งเสียงกู่ร้องหาผัวๆๆ ตามแบบฉบับธรรมชาติของมันตอนใกล้จะพลบค่ำ จากนั้นก็กลายเป็นความมืดเข้ามาปกคลุม สัตว์ต่างๆ ก็หยุดเสียงกู่ร้อง และตกอยู่ในความมืดเงียบสงัด มีแต่เสียงจักจั่นหริ่งร้องเรไรกันเซ็งแซ่ตามพุ่มไม้ เสียงจิ้งหรีดขันแข่งกันให้แซด จากนั้นก็มีกบเขียดร้องกันระงมทิ้งช่วงเป็นตอนๆ ๓ หนุ่มจึงต้องอาศัยนอนแอบอยู่ในซุ้ม อยู่ใกล้ๆหลวงพ่อโพธิ์ เพราะมืดค่ำไม่สามารถกลับหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามของธารน้ำฝั่งโน้นได้ พอเช้าตรู่เสียงไก่ขันประชันรับกันเป็นช่วงๆ ต่อมาก็มีเสียงนกการ้องขันกันประปราย จากนั้นลิงก็ส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆ พร้อมด้วยชะนีก็กู่ร้องผัวๆๆ ทั้งลิงและชะนีต่างก็ห้อยโหนไปมาอยู่บนกิ่งไม้ ต่อมาช้างก็ร้องโอ๊กอ๊าก ส่วนเสือทั้ง ๒ ก็ส่ายหัวทำอ้าปาก ทำออกเสียงโอ๊กอ๊าก สัตว์ต่างๆ ได้มายืนรวมกลุ่มที่หน้าซุ้มหลวงพ่อโพธิ์ และศิษย์ทั้ง ๓ คนจึงได้ช่วยกันนำเอาสิ่งของที่สัตว์แต่ละชนิดต้องการบริโภค เอามาแจกจ่ายให้กินตามต้องการพอประมาณ และแล้วสัตว์แต่ละชนิดก็ต่างกระจายออกไปหากินในป่าทึบตามปกติ ทางใครก็ทางมันพอตกพลบค่ำก็กลับมาเช่นเคย

    พอสายหน่อย ๓ หนุ่ม ก็ปรึกษาตกลงตามที่พูดรับปากคำกันไว้กับท่านอาจารย์โพธิ์ แล้วลากลับไปที่บ้านฝั่งตรงกันข้ามที่เห็นอยู่ไกลลับตา เพื่อกลับไปเอาเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อมาต่อเติมเรือนกาหนำให้ใหญ่ขึ้น ๓ หนุ่มพอกลับถึงบ้าเห็นเพื่อนบ้านจับกลุ่มกัน และทำท่าทางตื่นตระหนกพูดคุยกันให้แซด บางคนก็พูดว่าเดินหลงป่า บางคนก็พูดว่าอาจเจอเสือทำร้ายเอาหรือโดนเสือกินไปแล้วก็ได้ แต่ ๓ หนุ่มเดินมาใกล้จะถึง ผู้คนเหล่านั้นก็เอาตัวบังต้นไม้และแอบฟังเขาพูดไปต่างๆ นานา พอดีมีโยมผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดโพล่งออกไปว่า ไอ้ห่า ๓ ตัวมันตายเสียได้ก็ดี ชอบทำบาปทำกรรมอยู่เรื่อย ให้เสือมันเอาไปกินเสียได้ก็ดี ไม่ต้องฝังไม่ต้องเผาให้เมื่อย หนึ่งใน ๓ คนได้ฟังเช่นนั้นถึงกับผงะร้องฮ้าขึ้นมาแล้วพูดออกไปว่าพวกฉันยังอยู่ แล้วทั้ง ๓ หนุ่มก็เดินออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักที่พอจะแอบฟังเขาคุยกัน คนที่จับกลุ่มคุยกับถึงกับตะลึงและมีชายหนุ่มรุ่นราวคราวดียวกันกับ ๓ สหายพูดเสียงดังลั่นออกมาว่า ไอ้ห่าเขาคิดว่าเสือเอาแดกเสียแล้ว ยังกลับมาได้อีกเร้อ หนึ่งใน ๓ คนจึงได้พูดคุยโวออกไปว่า พวกฉันเป็นผู้วิเศษแล้ว ไอ้เสือไอ้ช้างมันจะมีปัญญาอะไร จะฆ่าจะแกงมันเมื่อไหร่ก็ได้ โยมผู้เฒ่าคนเดิมจึงพูดขึ้นว่า ไอ้ห่าจิกยังมาพูดอวดดีเสียอีก ชาวบ้านเขาอุตส่าห์เป็นห่วง ไม้ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งคืน พวกมึงยังมาพูดใหญ่โตเสียอีก วันหน้าวันหลังปล่อยให้ไปอย่าได้กลับมาถึงจะดี ไอ้คนจัญไร

    ต่อจากนั้น ๓ หนุ่มก็ช่วยกันเล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้เผชิญมาให้กับญาติและชาวบ้านฟัง และได้บอกต่อๆกันไปตามหมู่บ้านใกล้เคียง เรื่องราวต่างๆ จึงได้มีการโจษขานกันไปทั่วๆ จึงมีผู้คนพูดคุยกันต่อเนื่องกันมาว่า ท่าหลวงพ่อโพธิ์เป็นผู้วิเศษ เก่งกาจในด้านพระคาถาอาคมเป็นเลิศ

    ต่อมา...เรือนกาหนำหลังนั้นจึงกลายเป็นกุฏิพระและเณรไปโดยปริยาย เพราะ ๓ หนุ่มก็ได้บวชเป็นเณรเล่าเรียนวิชาเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์โพธิ์ แต่ก็ไม่รู้ว่า ๓ เณรนั้นคือใคร เพราะเขาไม่ได้พูดระบุว่าเป็นใคร เพียงแต่บอกเล่าข้อมูลที่สำคัญๆ แล้วเอามาเรียบเรียงเป็นเรื่องปะติดปะต่อให้ท่านฟังในประวิติการเดินธุดงค์ของท่านอาจารย์โพธิ์ แห่งวัดวังหมาเน่า หรือปัจจุบันมีชื่อว่า วัดวังข้าวเม่า

    ยังมีประวัติอีกเรื่องหนึ่งของอาจารย์โพธิ์คือ ต่อมาสถานที่แห่งนั้นจึงได้กลายเป็นวัดไปโดยปริยาย

    ท่านอาจารย์โพธิ์จึงได้มีลูกศิษย์ลูกหามาเล่าเรียนวิชาจากท่านอย่างมากมาย แต่มีลูกศิษย์เอกอยู่ผู้หนึ่งท่านผู้นั้นคือ หลวงพ่อเงินแห่งวัดวังตะโก ตอนหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดบางคลาน ปัจจุบันมีชื่อว่า วัดหิรัญญาราม และยังมีลูกศิษย์รองจากหลวงพ่อเงิน คือ หลวงปู่ศุข แห่งวัดมะขามเฒ่า พร้อมด้วยท่านเจ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และยังมีเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายองค์ที่มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโพธิ์ท่าน

    วัดของท่านอาจารย์โพธิ์ ไม่รู้จะตั้งชื่ออะไร ชาวบ้านเห็นเวลาฝนตกหนักๆ มีหมาลอยน้ำมาจากธารน้ำของด้านบน แล้วลอยมาติดอยู่ใกล้ๆ หน้าวัดอยู่เสมอ ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า วัดหมาเน่า จึงกลายเป็นชื่อวัดไปโดยไม่รู้ตัว และเติมคำว่า “วัง” จึงได้ชื่อ “วัดวังหมาเน่า” ต่อมาเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็นชื่อ “วัดวังข้าวเม่า”มาถึงปัจจุบัน...ต่อมาวัดก็ได้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นขั้นตอน มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่ง

    ท่านอาจารย์โพธิ์ได้เข้าไปทำพิธีอยู่ในกุฏิตั้งแต่เช้าถึงค่ำคืน ได้เกิดฟ่าลุกลามอย่างรวดเร็วในช่วงตอนกลางดึกของค่ำคืนนั้น พระและเณรต่างก็หลบหนีออกมาในตอนดึกพร้อมด้วยชาวบ้านในเขตนั้น เพราะต่อมามีความเจริญขึ้นจึงมีชาวบ้านไปปลูกอยู่อาศัยใกล้ๆ วัดหลายครอบครัว ไฟป่าไหม้ทั้งคืน บ้านเรือนบางหลังที่อยู่ใต้ลมก็ถูกไฟป่าไหม้เผาจนหมด กุฏิของท่านอาจารย์โพธิ์ก็อยู่ติดไปทางช่วงที่ไฟลุกเพราะอยู่ใต้ลม ต่อมาไฟได้ลุกโชติช่วง ท่วมกุฏิของท่านอาจารย์โพธิ์ พระลูกวัด และเณรต่างก็ตกตลึงและโจษขานกันว่า แล้วท่านอาจารย์โพธิ์ล่ะ ไม่เห็นออกมาเลย ช่วยกันเดินตามหาก็ไม่เจอ ถามใครๆก็บอกว่าไม่เห็น มีพระรูปหนึ่งบอกว่าเห็นท่านเตรียมสิ่งของต่างๆ พร้อมด้วยธูปเทียน พอฉันเช้าเสร็จแล้วท่านก็เข้าไปในกุฏิของท่าน นั่งทำพิธีและไม่ได้ย่างกรายออกมาเลย นึกว่าตอนไฟไหม้ท่านออกมาก่อนแล้ว แต่ที่ไหนได้ไม่เห็นแม้แต่เงา พระและเณรพร้อมด้วยชาวบ้านพูดกันให้แซด ไฟลุกไหม้แรงขนาดนี้มีหวัง ท่านอาจารย์โพธิ์ถูกย่างสดอยู่ในกุฏิแน่ ไฟลุกท่วมขนาดนี้มีหวังกุฏิและท่านอาจารย์โพธิ์ จะต้องถูกไหม้เป็นเถ้าถ่านเป็นแน่แท้หมดสิทธิ์จะเข้าไปช่วยท่านได้ เพราะไฟลุกแรงมากและเป็นเวลากลางดึกเสียด้วยต่างคนต่างก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ห่างๆแต่ละคนพูดถึงแต่ท่านอาจารย์โพธิ์ ลูกศิษย์ลูกหาบางรายถึงกับหลั่งน้ำตา เวลาผ่านมาจนฟ้าสาง ทุกคนลุกขึ้นเดินไปทางกุฏิของท่านอาจารย์โพธิ์ หวังว่าจะเก็บเอากระดูกของท่านมาบรรจุอัฐิเอาไว้

    พอเดินเข้าไปถึงขอบรั้วด้านบริเวณวัดมองเห็นกุฏิของท่านอาจารย์โพธิ์ ตั้งโด่ไม่มีรอยไหม้สักนิดเดียว มีแต่กิ่งไม้ใบไม้และพงหญ้าถูกไฟไหม้จนเกลี้ยงและวิ่งเป็นวงล้อมรอบกุฏิของท่าน กิ่งไม้ต้นไม้เล็กใหญ่ที่อยู่ใกล้กุฏิถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่านเป็นตอตะโก แต่ก็แปลกกุฏิถูกไฟลุกท่วมแต่ไม่มีรอยไหม้เลยสักนิดเดียว แสงสว่างเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น พระและเณรตะโกนเรียกท่านอาจารย์โพธิ์ก็ไม่มีเสียงขานรับ ทุกๆคนบ่นกันพึมพำว่า ท่านอาจารย์โพธิ์คงหนีออกไปก่อนแล้ว หรือมิฉะนั้นก็ถูกความร้อนและควันไฟชโลมหนักเกินไปอาจเป็นลม หลับไม่ตื่นก็อาจเป็นได้ มองไปที่กุฏิอื่นๆ ก็ไม่เป็นไรเพราะไฟมาดับลงตอนสุดท้าย และไหม้เป็นวงล้อมกุฏิท่านและดับลงแค่นั้นเอง จึงเป็นเรื่องแปลกที่ผู้คนได้พบเห็นในตอนนั้น ทุกคนจึงได้ช่วยกันตัดกิ่งไม้สดๆ แล้วนำมาช่วยกันพาดตีตบๆ เถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่ บ้างก็วาดเศษถ่านไฟให้ห่างออกไป จนกลายเป็นทางเดินไปถึงกุฏิได้ พระลูกศิษย์องค์หนึ่งได้เดินขึ้นไปบนกุฏิ พระรูปนั้นคือ หลวงพ่อเงินแห่งวัดบางคลาน ผู้เป็นศิษย์เอกที่ได้มาเรียนวิชาอยู่ในช่วงนั้น ท่านขึ้นไปถึงหน้าประตูกุฏิ ท่านก็รีบดึงประตูออกทา พบท่านอาจารย์โพธิ์นั่งยิ้มอย่างสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วท่านก็ลุกขึ้นยืนเอียงตัวไปมาทางด้านซ้ายและด้านขวา ๒-๓ ครั้ง แล้วพูดว่าเมื่อยจัง พร้อมกับเดินออกมาจากกุฏิหันไปทางญาติโยมพร้อมทั้งพระและเณร แล้วพูดว่าอะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด และพูดต่อไปว่า เพราะไอ้มนุษย์มือบอนคนเดียว ทำให้ต้นไม้พืชผลเลี่ยนเตียนไปเสียตั้งบาน สิงสาราสัตว์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็พลอยเป็นเหยื่อของพระเพลิง จนกลิ่นหอมฉุยไปหมด แต่ก็ยังดีกว่ากลิ่นเหม็นสาบสางของไอ้มนุษย์มือบอนที่ทำให้เกิดไฟไหม้ป่า แต่มันก็รับใช้กรรมของมันไปแล้ว เพราะเสือกโง่เล่นกับไฟ แล้วดันหนีมาทางใต้ลม วิ่งบ้างเดินบ้าง ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด สุดท้ายก็ถูกไฟคลอกตายเผาไหม้เป็นตอตะโก

    เมื่อตอนกลางดึก ที่ตอนได้กลิ่นสาปสางของมนุษย์มันช่างเลวแสนเลวกว่าเดรัจฉานเสียอีก แต่ก็ช่างมันเถอะ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลยๆๆๆ...จากนั้นท่านอาจารย์โพธิ์ จึงได้กล่าวต่อไปอีกว่าไฟหรือจะมาสู้อาคม มันเกิดได้มันก็ดับได้ เจออาตมาเล่นด้วยพระคาถาอาคมดับไฟ ไฟก็เลยต้องหมดฤทธิ์ไป

    พระคาถามี...ดังนี้ เตโชตินังๆๆ คือหลวงพ่อโพธิ์ท่านใช้คาถา (นั่งกสิน) ทำให้ไฟดับ ไฟต้องดับด้วยไฟ หรือเรียกกันว่าใช้ไฟมาดับไฟ ต่อจากนั้นท่านอาจารย์โพธิ์จึงได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้วทิศและโจษขานกันว่า ท่านมีพระคาถาอาคมอันล้ำเลิศสามารถดับไฟป่าได้ และสามารถทำให้สัตว์ป่าที่ดุร้ายกลายเป็นบริวารและคอยอารักขาท่าน

    กาลเวลาผ่านมาอีกหลายปี ท่านอาจารย์โพธิ์มีความชราภาพมากขึ้น ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ และโยมชาวบ้านจึงได้เรียกท่านอาจารย์โพธิ์เป็น หลวงพ่อโพธิ์ และแล้วต่อมาท่านหลวงพ่อโพธิ์ ได้ถึงแก่มรณภาพลง ณ ที่กุฏิหลังนั้น ก่อนวันมรณภาพ ท่านหลวงพ่อโพธิ์ได้สั่งพระลูกศิษย์ของท่านว่า ภายใน ๗ วัน ห้ามไม่ให้ผู้ใดมาพบท่าน มารบกวนท่าน ท่านบอกว่าท่านจะนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ๗ วัน

    กาลเวลาผ่านมาได้ ๗ วัน พอย่างเข้าวันที่ ๘ จึงมีญาติโยมพระ และเณรมานั่งคอยท่านเพื่อจะเรียนวิชากับท่าน คอยตั้งแต่เช้าจนบ่ายก็ยังไม่เห็นท่านออกมา นึกว่าท่านนอนหลับจำวัดเพลินไปหน่อย แต่ที่ไหนได้ มองดูท้องฟ้าพระอาทิตย์คล้อยเฉียงต่ำลง แสดงให้รู้ว่าเวลาบ่ายมากแล้วแต่ละคนนั่งคุยสนทนากันถึงเรื่องต่างๆ ของหลวงพ่อโพธิ์ มีเสียงดังก๊อกๆ เหมือนคนเคาะประตูกุฏิของท่าน แต่ละคนจึงพูดว่าหลวงพ่อท่านตื่นแล้ว ผ่านมาชั่วครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆๆ...อีกครั้ง แต่คราวนี้เคาะเสียงดังกว่าเก่า จึงได้มีโยมผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า หลวงพ่อพวกผมมาคอยตั้งแต่เช้าแล้วออกมาเสียทีเถอะบ่ายมากแล้ว พอพูดขาดคำเสียงประตูก็เด้งผึงออกมา โดยฉับพลันทุกคนมองไปทางประตู แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด เพราะเห็นหลวงพ่อโพธิ์นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงกับช่องประตูของด้านใน แต่ละคนเดินเข้าไปดูเห็นหลวงพ่อโพธิ์นั่งทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอยู่บนผ้าปูอาสนะ และมีเครื่องบริขารพร้อมด้วยธูปเทียนในพานภาชนะ มองดูหมากและพลูที่ตั้งอยู่ข้างๆ ตัวท่าน มีรอยใช้ไปเพียงนิดเดียว หมากพลูก็เหี่ยวแห้ง เพราะหลวงพ่อโพธิ์ท่านได้เจียนหมากไว้เป็นซีกๆ และวางเรียงรายไว้อย่างสวยงาม พร้อมด้วยใบพลู ท่านก็จีบพลูเรียงเอาไว้ในพานอย่างเรียบร้อย ใบพลูจากสีเขียวปอ กลายเป็นสีเหลืองอมเขียวเรื่อๆ และมีน้ำหมากอยู่ในกระโถนเพียงนิดเดียว เห็นก้อนชันหมากวางอยู่บนจาน ๓ ก้อน แสดงว่าหลวงพ่อโพธิ์ท่าน ฉันหมากได้เพียง ๓ คำ (๓ ครั้ง) เพราะไม่มีสิ่งอื่นตั้งอยู่ใกล้ตัวท่านเลย แม้กระทั่งน้ำจะฉันก็ไม่มี มีแต่ผ้าสบง อังสะและจีวรสีกรัก ๑ วางพาดอยู่บนราวเชือก และมีหมอนไม้ที่ทำด้วยไม้ประดู่ ๑ ท่อนถูกใช้จนมันเป็นเงา และมีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ๑ อัน อันวางพิงอยู่ข้างฝาเลยลูกหมอนขึ้นไป แสดงว่าไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์วางพิงข้างฝาอยู่บนหัวนอน และมามองดูที่ท่านอาจารย์โพธิ์ ท่านนั่งยิ้มอย่างสง่าผ่าเผย ลืมตาเห็นดวงตามันเป็นเงามีแสงแบบรัศมี เพราะท่านหลวงพ่อโพธิ์ ดวงตาของท่านดำเป็นเงาและมีอำนาจเวลาท่านมองเพ่งสายตาไปที่ดวงตาของผู้อื่น สายตาของผู้อื่นจะต้องหลบทันที เพราะสายตาของท่านอาจารย์โพธิ์มีอำนาจเร้นลับเหนือกว่าผู้อื่นทุกคนจะต้องหลบสายตาท่านมีอยู่ผู้เดียวที่สามารถประสานสายตากับท่านได้ ท่านผู้นั้นคือ หลวงพ่อเงินแห่งวัดบางคลาน ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์และเป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์โพธิ์ จากเหตุการณ์ต่างๆ

    พระและเณรพร้อมด้วยญาติโยม จึงได้โจษขานกันว่า หลวงพ่อโพธิ์ (ดวงตาเพชร) สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ และรู้ได้ล่วงหน้าเสมอ จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้บอกเล่าสืบทอดกันมา แล้วนำมาบันมึกในตำราทองเล่มนี้ มาใคร่ครวญไตร่ตรองดูแล้ว (ท่านอาจารย์โพธิ์เป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์) ตามที่ได้บอกเล่ามา (ช่างเหมาะสมแท้ๆ) ขอกล่าวถึงเครือญาติของหลวงพ่อโพธิ์ ที่อยู่เขตเมืองกรุงเก่าศรีอยุธยา ได้นอนหลับฝันไปว่าให้ไปรับเอาท่านกลับมา พอรุ่งเช้าเครือญาติของท่านทั้ง ๓ ครอบครัว ต่างก็บอกเล่าเหมือนๆ กันว่าให้ไปรับท่านกลับ ณ ที่วัดวังหมาเน่า เขตเมืองพิจิตร ท่านอยากจะกลับภูมิลำเนาเดิม ทุกๆ คนทั้ง ๓ ครอบครัวฝันแบบเดียวกันหมดเลย ฉะนั้นเครือญาติของหลวงพ่อโพธิ์ จึงได้เดินทางไปนำเอาหลวงพ่อโพธิ์กลับมาเขตเมืองศรีอยุธยา แต่ต้องย้อนกลับไปอีก ทีนี้ไปเอาเสาและพื้นพร้อมด้วยสิ่งอื่นๆ ของกุฏิหลวงพ่อโพธิ์ เพราะว่าหลวงพ่อโพธิ์ท่านได้ให้เครือญาติพี่น้องของท่านฝันไปว่าไปเอากุฏิกลับมาให้หมด ทำกินจะได้รุ่งโรจน์ ฉะนั้นเครือญาติจึงต้องไปเอากุฏิมา แต่เอามาแล้วต่างคนต่างก็ฝันเหมือนกันอีกว่า ทำไม่ไม่เอาตอหม้อมาด้วย สิ่งของวิเศษทั้งนั้นทำไมไม่เอามา ฉะนั้นการเดินทางทางเรือไปขุดเอาตอหม้อมา เพราะสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบ จะต้องเดินทางทางเรือ ไม่ก็ต้องทางเกวียน ประวัติของท่านอาจารย์โพธิ์ได้สร้างเกียรติศักดิ์รู้เพียงเท่านี้ หรือจะยังมีประวัติอื่นๆ หลงอยู่บ้างก็อาจเป็นได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • aasg.JPG
      aasg.JPG
      ขนาดไฟล์:
      101.9 KB
      เปิดดู:
      1,319
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  5. เจ๊ตุ้ม

    เจ๊ตุ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,607
    เนื้อ พิมพ์ คนละโซนกันครับ และความหนาขององค์อวบอ้วนกว่าไม่ทราบวัด แท้ครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • zax.JPG
      zax.JPG
      ขนาดไฟล์:
      45.7 KB
      เปิดดู:
      789
  6. เจ๊ตุ้ม

    เจ๊ตุ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,607
    สึกแยะมากครับก็มองยากตามไปด้วยครับพิมพ์ ดูเหมือนจะชลูดกว่าเหรียญจอบหลักๆครับแต่ก็อาจเกิดจากการสึกของโลหะ ลักษณะพิมพ์แบบนี้จะมีอยู่สองพิมพ์ครับ พิมพ์แข้งตรงกับพิมพ์ตาขีด
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • xaz.jpg
      xaz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      394.2 KB
      เปิดดู:
      774
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  7. เจ๊ตุ้ม

    เจ๊ตุ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,607
    พักโฆษณาซักครู่ครับ บางครั้งเราลืมใครบางคน[ame="http://www.youtube.com/watch?v=ZSYbshe62FE"]???????? - YouTube[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ixDyGKmrkmk"]??????? ? ??????????????? - YouTube[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=s59N4zxiM0g"]????????? ???????????????????? - YouTube[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=HK6EExxvcrg"]?????????????????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  8. Stayu

    Stayu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2011
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +186
    นั่งฟังแล้วซึ้งมากๆ.อย่างว่าน้ำตาไหล..สำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่..สุดบรรยายจริงๆ ขอบคุณเจ๊ตุ้ม..
     
  9. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    พี่เจ๊ตุ้มปล่อยชุดนี้ ออกมา ต้องวางกล้องโดยพลันครับ/// โดน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  10. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ยามบ่ายครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN5710.JPG
      DSCN5710.JPG
      ขนาดไฟล์:
      116 KB
      เปิดดู:
      80
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  11. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    [​IMG]
    [​IMG]
    ++++++
    นำมาเผยแพร่ด้วยศรัทธาในองค์หลวงปู่ และขออนุญาตดวงวิญญาณท่านอาจารย์แดง บางพลี ด้วยจิตคาระวะ ครับ
     
  12. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    [​IMG]
    [​IMG]
    นำมาเผยแพร่ด้วยศรัทธาในองค์หลวงปู่ และขออนุญาตดวงวิญญาณท่านอาจารย์แดง บางพลี ด้วยจิตคาระวะ ครับ
     
  13. พีร

    พีร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2012
    โพสต์:
    2,423
    ค่าพลัง:
    +7,409
    คิดถึงเจ้ากรมหลวงพ่อ หายไปหลายวันเลยคุณอ้วนไปไหน สงสัยจะไปหาหลวงปู่มาเพิ่มแน่ๆ:cool:
     
  14. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ใช่เลยครับท่าน พีร

    +++++
    :':)':)':)':)':)'(
     
  15. psom

    psom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,903
    ค่าพลัง:
    +8,391
    [​IMG]
    นำมาเผยแพร่ด้วยศรัทธาในองค์หลวงปู่ และขออนุญาตดวงวิญญาณท่านอาจารย์แดง บางพลี ด้วยจิตคาระวะ ครับ
     
  16. เจ๊ตุ้ม

    เจ๊ตุ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,607
    องค์นี้ไม่ธรรมดาครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  17. ชด ประชากร

    ชด ประชากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +147
    ขอบพระคุณมากครับ ท่านเจ๊ตุ้ม สำหรับคำแนะนำครับ
     
  18. udornp

    udornp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +436
    เรียนสอบถาม ประวัติ หลวงพ่อเงิน กรุวัดขวาง

    ไม่ทราบว่าท่านใด มีประวัติของวัดนี้บ้างครับ
    ผมอยากได้แบบละเอียด
    ไม่ว่าจะเป็นจำนวนพิมพ์ที่จัดสร้าง สร้างไว้จำนวนเท่าใด
    และลักษณะของการดูตำหนิของแต่ละพิมพ์ การดูเนื้อ และที่สำคัญวัดนี้ทันหลวงพ่อเงิน สร้างไว้หรือไม่ หรือเป็นพระที่ลูกศิษย์ท่านสร้างเอาไว้

    ขอรบกวนทุกท่านด้วยครับ (ผมมีรูปของวัดนี้มาสอบถามด้วยครับ 2 องค์) แท้หรือเปล่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. THEKOP1988

    THEKOP1988 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +3,037
    วันนี้มีโอกาสได้ไปนมัสการหลวงปู่เงินที่วัดบางคลานครับ

    เก็บบรรยากาศมาฝากครับ


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  20. THEKOP1988

    THEKOP1988 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +3,037
    บรรยากาศวัดท้ายน้ำครับ

    เส้นทางสมุทรปราการ บรรพตพิสัย โพทะเล รวมระยะทาง760 กิโลเมตร (หลงทางเล็กน้อย)

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ตั้งใจว่าขากลับจะไปกราบหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลงทางซะก่อนเลยหมดเวลากราบหลวงปู่ศุขเลยครับ คราวหน้าเอาใหม่:cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...