ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คุณผมบอกอะไรอย่างนะครับ คุณเป็นคนไม่น่ารัก คิดเอานะคุณย่อมรู้ใจคุณดี ผมนะกล้าที่จะเขียนเพราะอะไรรู้มัยเพราะไม่กลัวว่าเป้นความลับเลย คุณนึกว่าจะเอาสิ่งเหล่านี้มาคอยโต้แย้งหรือทำแต้มเพื่อเอาชนะผม ผมนะไม่โง่หรอกนะครับที่ผมทำไปคุณไม่รู้เรื่องเลยสักนิดว่านั้นคืออะไร
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จิตใจของพระสกิทาคามี คิดแต่เรื่องแบบนี้เหรอครับ?

    คนอื่นจะเอาชนะตัวเอง?
    คนอื่นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร?

    ถ้าสกิทาคามี แบบ newamazing วันๆ คิดแต่เรื่องแบบนี้นะ ผมขอเป็นปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ต้องคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ดีกว่า
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    แล้วคุณไปคุ้ยมาทำไม ทั้งๆคุณไม่รู้เลยเรื่องราวเป็นอย่างไรทำเพื่ออะไร? ผมไม่อธิบายดีกว่า วันๆคุณรู้มั้ยผมทำอะไร แต่ล่ะวันผมมีแต่ ทำทาน นั่งสมาธิ แล้วก็สนทนาธรรม ใครโต้แยงกหักล้างเพื่อความถูกต้องตามทิฎฐิเท่าที่มี จะถูกผิดก็ว่ากันไป
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อ้าว นี่การปฏิบัติยังเป็นในรูปแบบอยู่อีกหรือ ไม่ได้มีสติครองอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อ้าว เกินตัวอีกแล้วท่านอิน นิสัยคุณนี่มันคุยเกินตัวจริงๆ ใครครองสติได้ตลอดเวลา ตอบหน่อยซิ คุณนี่เกินตัวตลอด หัดอ่านเยอะๆสะสมสุตตะเยอะๆนะจะได้ไม่หลงทาง ผู้ที่หมดกิจในอริยสัจนั้นคืออรหันต์ครับ
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อ้าว ไม่รู้หรือ นักปฏิบัติเขาทำกันได้เยอะแยะไป เวลานอนหลับ ก็ยังรู้สึกตัวเลยนะ
     
  7. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ค่อยคุยกันได้หน่อยแบบนี้ เมื่อปฎิบัติถึงจุดหนึ่งการนอนก็จะไม่ใช่การนอนเหมือนคนปรกติแล้ว นั้นเป็นเพราะสติเรามีกำลังสูง เพราะได้เชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกจึงทำให้เรารู้สึกตัวตลอดเวลา นั้นเป็นการก้าวหน้ามากทีเดียว นักปฎิบัติธรรมที่มีความก้าวหน้าจะสังเกตุอาการง่ายๆอย่างนี้ที่พอเป็นรูปธรรมคือเมื่อหลับตาปั๊บ จะต้องมีสภาวะเปลี่ยนแปลงจากปรกติทันที หรือแม้กระทั้งไม่หลับตาก็จะรู้สึกได้ถ้าพัฒนาขึ้นไปอีก อันนี้อยู่ที่แต่ละคนช้าเร็วต่างกันแต่ไปถึงด้วยกันทุกคน นี่คือสภาวะทีี่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรมที่มีแต่ถ้อยคำสละสลวย เป็นเชาว์ปัญญา พุทธศาสนาต้องจับต้องได้เป็นไปตามลำดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  8. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..การหลุดพ้นในเวปนี้ ที่ผมพบเห็นบ่อยมีอยู่2แบบ
    1.หลุดพ้นแบบ เผลอหลุดพ้น
    2.หลุดพ้นแบบ หลุกหลิก-รีบเกินไป

    อย่างไรก็ตามถือว่าได้ Linezen ไปหยวนๆผ่าน..กึ๋นล้วนๆ ครับ สาธุ:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เป็นยังไง งง เผลอหลุดพ้น หลุกลิกรีบเกินไป ผมทำเกือบตายได้แค่กระแส
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขออนุญาตเเก้คำผิดจาก linezen >license
     
  11. โลน้อย

    โลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +695
    ตอบ สติคือการหยุด เพื่อฟัง เพื่อมอง เพื่อรับรู้ เป็นขั้นแรกของสมาธิ ถูกหรือปล่าว
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เอ่อ อันนี้มั่วนะครับ เรื่องจิตใต้สำนึกอะไรนี่...
    แล้วการลืมตา กับ หลับตา นี่ ผู้ที่รู้อยู่เฉยๆ มันก็ไม่ต่างกันนะ ถ้าอยู่กับรู้

    ถ้าไม่อยู่กับรู้ไหลไปตามสภาวะเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบ นั่นแหละ จึงจะเกิดความรู้สึกว่ามันต่างกัน

    เพราะไม่ถึงฐานของการอยู่กับรู้ รู้เฉยๆ จึงมั่วสภาวะออกมา แล้วมันจับได้แบบนี้นะ
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆๆๆๆ

    นี่ๆ เชื่อไหมว่า คนที่เขาจับหลับได้ หรือ แม้จะนอนหลับ แต่จะเห็น
    ว่า จิตแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู เห็น อากัปกริยาของขันธ์5 ได้ในยาม
    ที่หลับเนี่ยะ

    คนที่ปฏิบัติได้ เขาจะกลัว ความเมา และ ความประมาท เกือบเข้า
    เส้นเลยทีเดียว

    เพราะ ความเมา ความประมาท เนี่ยะ มันจะทำให้เห็น " สภาวะหลับ
    ที่ไม่มีสติ " ว่ามันเป็นโทษขนาดไหน

    เมื่อเห็นแล้ว

    อย่างน้อยจะไม่ทำ เรื่อง ฐานอนาถ์คาจาร ( MasterBase ) เพราะ
    หาก จุ๊กกรู้ มันจะหลับอย่างขาดสติ

    อย่างมากคือ ไม่พยายามสร้างความคิดหลอกตนเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่
    เพราะ มันเป็นอาการหลับ(สบาย)แบบปุถุชน ไม่ต่างกับการทำ
    " ฐานอนาถ์คาจาร "

    เอ่อ....แล้วที่กล่าวว่า หลับตาปั๊ป แล้ว เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้า
    ลืมตาไม่เห็น หรือ เห็นก็แล้วแต่ คนที่เขา พัฒนาจริงๆ เนี่ยะ
    เขา พ้นเอา รูปทางกาย มาเป็นเงื่อนไขการภาวนาไปตั้งนาน
    แล้ว เพราะ คนที่เขาภาวนาได้ เขาต้องหยิบ จิต มาพิจารณา
    หรือ " จิตสิกขา " ไม่ใช่ยังงมโข่งอยู่กับ " ศีลสิกขา " ที่เป็น
    เรื่องเงื่อนไขต่างๆ นานาที่คับแคบอยู่กับกาย
     
  14. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    อันที่จริงข้าพเจ้า ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของท่านว่าคำพูดของข้าพเจ้านั้นเหมือนปรัชญา หรือท่านจะเรียกนิยายก็ได้ เพราะชีวิตคนเรามันก็ไม่ต่างจากนิยายเรื่องหนึ่งหรอก ว่าแต่ท่านเคยเปิดมันออกมาอ่านเพื่อทำความรู้จักกับมันหรือยังชีวิตของทื่นน่ะ มันก็แล้วแต่ท่าน ท่านจะเรียกคำพูดพวกนี้ว่า ศาสนา ว่าวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร? เพราะข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องความเป็นทั้งหมด ไม่มีเหตุผลที่ข้าพเจ้าจะต้องปฏิเสธสิ่งใด ข้าพเจ้าขออ้างทั้งหมด.....


    แต่ท่านเข้าใจผิดเรื่อผจญภัยทางความคิด เพราะข้าพเจ้าไม่ได้พูดแต่เรื่องความคิด(ปรีชาญาณ) เท่านั้นอันที่จริงข้าพเจ้าสนุกกับการทำลายความคิดที่คนอื่นยึดถือมากกว่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมักพูดสวนทางคนอื่นอย่างขาวเป็นดำ ก็ไม่ใช่ว่า ข้าพเจ้าโรคจิต แต่ข้าพเจ้ากำลังชี้ประเด็นเรื่องเหนือความคิด เป็นอิสระจากความคิด เรื่องของการใช้เชาว์ปัญญาณฉับพลันโดยปราศจากความคิด สังเกตว่าข้าพเจ้าพูดว่าใช้ ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่า สร้างสรรปัญญาขึ้นมา เพราะปัญญานั้นท่านมีอยู่แล้ว ท่านเป็นสิงโตอยู่แล้วแต่ท่านไม่รู้ตัว(เพราะท่านเป็นสิงโตติงต๊องส์) ท่านแค่ใช้ในสิ่งที่ท่านมีก็เท่านั้น ถ้าท่านไม่ใช่มันก็เหมือนกับท่านไม่มี นั้นก็ถูกแล้ว แต่ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ท่านสร้างมันขึ้นมาได้ ถ้าท่านทำได้ มันก็เป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ เป็นของปลอมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย และย่อมมีวันที่จะสิ้นสุดลงได้ การตื่นรู้ไม่ใช่การสร้างอะไรใหม่ มันคือการใช้ในสิ่งที่เรามี การปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่การสร้างการตื่นรู้ขึ้นมาใหม่ แต่คือการลอกเอาสิ่งที่ห่อหุ้มการตื่นรู้ในใจของท่านออกไป

    ข้าพเจ้าพูดเรื่องที่พ้นออกมาจากพีระมิดความคิด และสำรวจมันทุกแง่มุม......ข้าพเจ้าไม่สนับสนุนให้คนเราผจญภัยทางความคิด ล่องลอยไปตามความคิดเรื่อยๆๆ ให้มันพรากเอาชีวิตของท่านไป ขณะต่อขณะ โดยไม่เคยสำรวจตรวจสอบความคิด และรู้เท่าทันความคิดเลย อันที่จริงท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมคนเราถึงบ้าก็เพราะ เขาหมกหมุ่นกับความคิดที่มีตัวเขาเองหรือผู้คิดเป็นศูนย์กลางมากเกินไปนั้นเอง

    ทีนี้ ท่านพูดว่า "ข้าพเจ้ามีความกลัวเป็นปมด้อยในใจไม่ยอมรับผู้อื่นผู้ใดเป็นศาสดาและเป็นคนหัวดื้น"


    ท่านก็พูดถูกแล้ว แต่ในบางแง่มุมเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ แล้วทำไม?ข้าพเจ้าจะ มีความกลัว มีปมด้อยในใจ ไม่ได้เล่า .... อันที่จริง ถ้าข้าพเจ้าไม่มีความกลัว มีปมด้อยในใจข้าพเจ้าก็สงสัย ว่า ณ ตอนนั้นข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าพเจ้าก็คงไม่ต่างจากก้อนหิน จากสิ่งไม่มีชีวิตใดๆๆ หรือคนตายที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้กระมั้ง ขอบคุณที่ข้าพเจ้ามีสิ่งเหล่านี้ เพราะนั้นทำให้เมื่อความคิดกลัว หรือความคิดที่ปรากฏขึ้นมาในรูปความรู้สึกอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาเนื่องด้วยปมด้อยในใจของข้าพเจ้า เกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็สามารถรู้มันได้ เพราะมีแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่มีสำนึกรู้ เมื่อมันเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็เห็นมันซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น เพราะ เขามักจะมีชีวิตแบบหลงๆๆลืมๆๆ พวกเขาไม่มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หากข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่โดยปราศจากสติ อันเป็นเครื่องกำหนดรู้ในความเป็นไปแห่งชีวิต ก็เท่ากับว่าข้าพเจ้ามิได้มีชีวิตอยู่ หากเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าก็ควรจะพูดเหมือนดังที่อัลแบร์ กามู ได้เขียนไว้ในนวนิยายเรื่อง "คนนอก" ของเขาว่า "ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ประดุจกับคนที่ตายไปแล้ว" และดังคำพังเพยโบราณที่ว่า " ใครมีชีวิตอยู่อย่างหลง ๆ ลืม ๆ ผู้นั้นแหละได้ตายไปแล้วในความหลับ "

    ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือการหวนกลับมามีชีวิต ตื่นขึ้นจากความหลับรับรู้อยู่ว่าเป็นอะไร ทำอะไร คนที่กำลังกินอาหารอยู่นั่นน่ะใคร ผู้ที่กำลังดื่มน้ำอยู่นั่นน่ะใคร ใครที่กำลังโกรธ กำลังโลภ และที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้นล่ะใคร ...
    และใครเสียอีกล่ะที่ใช้ชีวิตให้หมดสูญไปในความหลง ๆ ลืม ๆ และความละเลย ข้าพเจ้าไม่เคยคิดแม้แต่จะกำจัดมัน มันเป็นความสนุกด้วยซ้ำที่ข้าพเจ้าได้เฝ้าดูมันและเห็นมันจบลงไปของมันเอง....

    ทีนี้ ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมรับผู้อื่นผู้ใดเป็นศาสดา ท่านก็กล่าวได้ถูก...

    ข้าพเจ้าจักเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง หลายปีก่อน ข้าพเจ้าเคยไปทำบัตรประชาชน และทุกครั้งก็จะมีการถามว่า ท่านนับถือศาสนาอะไร? จากนั้นก็มี ตัวเลือกให้ท่านเลือกอยู่ไม่กี่ศาสนา ซึ่งข้าพเจ้าได้เว้นช่องว่างนั้นเอาไว้....
    เจ้าหน้าที่ได้ถามข้าพเจ้าว่า "คุณไม่นับถือศาสนาอะไรเลยหรือครับหรือว่าคุณลืมที่จะตอบครับ"
    ข้าพเจ้าตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้ลืม เพียงแต่ไม่มีตัวเลือกที่ถูกใจข้าพเจ้า"
    เจ้าหน้าที่ ส่วนใหญ่จะทำหน้า งง เขาคงแปลกใจในคำตอบของข้าพเจ้า.... เขาจึ่งถามว่า "แล้วคุณต้องก่ารตัวเลือกอะไรครับ"
    ข้าพเจ้าตอบว่า "ข้าพเจ้า ตอบว่าข้าพเจ้า ต้องการที่จะอ้างศาสนาทุกศาสนาในโลกเป็นมรดกทางจิตวิญญาณ ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอาทั้งหมด ทุกศาสนา ไม่มีความจำเป็นต้องเลือก ทำไมเราถึงต้องใจแคบกันนัก....ทำไมท่านถึงไม่สามารถเป็นคนของทุกศาสนาได้... ทำไมเมื่อท่านเป็นชาวคริสต์ท่านถึงจะอ่านพระไตรปิฏก จะเคารพพระพุทธเจ้าไม่ได้ ทำไมเมื่อท่านเป็นชาวอิสลามท่านถึงไมสามารถมีพระพุทธรูปไว้บนหิ้งบูชาในบ้านของท่านได้ นี่ช่างเป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง....ข้าพเจ้าไม่ตองการที่จะเลือกแค่เพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง"
    ตรงจุดนี้ เจ้าหน้าที่ ทุกคนจะตกใจมาก เขาคงคิดว่าข้าพเจ้า บ้า หรือ เพี้ยนไปแล้ว...เขาจึ่งพูดว่า "แต่คุณเลือกได้แค่ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเท่านั้นนะครับ"

    ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาคงจะสำรวจไปเพื่อทำสถิติอะไรสักอย่างที่รัฐไทยต้องการที่จะเก็บข้อมูลว่าในประเทศมีคนพุทธ คนศาสนาอื่นๆๆเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาสำรวจเราจึ่งต้องตอบเพียงตัวเลือกเดียว อันที่จริงในตัวเลือกก็มีแต่ศาสนาหลักๆๆสามศาสนาเท่านั้น ไม่มีแม้ช่อง ...อื่นๆ

    ข้าพเจ้าตอบว่า "ถ้างั้นท่านก็ไม่ต้องใส่ข้อมูลลงไปว่าข้าพเจ้านับถือศาสนาอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ประวัติของข้าพเจ้าที่ท่านจะบันทึกมันว่างไว้อย่างงั้น" และข้าพเจ้าก็พูดต่อว่า "คุณรู้อะไรไหมถ้าคุณเป็นคนของศาสนาที่แท้จริงคุณจะไม่มีวันพูดว่าคุณเป็นศาสนาอะไรเด็จขาด เพราะ ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นพุทธ ในโลกนี้ก็ยังมีชาวคริสต์ มีชาวมุสลิม ชาวสิกข์ และอื่นๆๆ แม้กระทั้งพวกนับถือศาสนา ที่มีความชื่อว่า ไม่นับถือศาสนาอะไรทั้งนั้น ด้วย สิ่งนี้ย่อมนำมาซึ่งการแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายๆๆ และก็มีความขัดแย้งระหว่างคนในศาสนาต่างๆๆ เพราะ ต่างอ้างว่าศาสนาของตนคือความจริงสูงสุดมากกว่าศาสนาอื่นใดในโลก และ ยึดกับความจริงนั้นว่าดีที่สุดสูงสุดแล้ว เป็นจุดสิ้นสุดของการแสวงหาอั นที่จริงเขาไม่ได้เริ่มเสียด้วยซ้ำไป แต่สำหรับคนที่มีศาสนาอย่างแท้จริงเขาย่อมรู้สึกอย่าลึกซึ้งว่ามนุษยชาติหรือกระทั้งสรรพสิ่งนั้นเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม... "

    ต่อมา....เจ้าหน้าที่ก็คงเห็นอาชีพและก็วุฒิการศึกษาของข้าพเจ้า จึงรู้ว่าข้าพเจ้าสอนวิชาปรัชญา เขาก็คงจะคิดว่า อ้อมิน่าล่ะ หมอนี่มันถึงได้เพี้ยนและดื้อนัก

    ประเด็นก็คือ ข้าพเจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกสิ่งใดและทิ้งสิ่งใด ข้าพเจ้าเห็นความงดงามในทุกๆๆศาสนาแล้วทำไมข้าพเจ้าถึงต้องเลือกเล่า ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่ดีท่านก็จะเป็นชาวมุสลิมที่ดีชาวคริสต์ที่ดีด้วย แม้ว่าท่านจะไม่รู้จักพระเยซู นบีมุหมัด ไม่เคยอ่านไบเบิ้ล ไม่เคยอ่านโกหร่าน เพราะ การเป็นคนของศาสนา เราวัดกันทีวุฒิภาวะ คุณภาพในการใช้ชีวิต ยกตัวอย่างศีล5 ถ้าท่านรักษาศีล5ในพระพุทธศาสนาได้ ท่านก็รักษาบัญญัติสิบประการในคริสต์ศาสนาได้ เพราะสาระมันเหมือนกัน

    ท่านอาจจะอ้างว่าศาสนาไม่ได้มีบทบัญญัติให้นับถือและรักพระเจ้า แต่พระเจ้าก็เป็นเพียงคำๆๆหนึ่งท่านจะเปลี่ยนมันเป็นคำว่า สัจจะ ธรรมะ มันก็ไม่ได้ต่างกันเลย และคนที่รักษาศีล5ในพระพุทธศาสนาได้ก็แสดงว่า เขาเป็นคนที่นับถือและรักสัจจะ ธรรมะ เพราะไม่เช่นนั้น เขาก็คงไม่สามารถรักษาศีล5ในพระพุทธศาสนาได้ ในไบเบิ้ลเขียนว่ารักคือพระเจ้า หรือพระเจ้าก็คือความรัก เมื่อท่านรักในคนอื่นประดุจดังเป็นตัวท่านเอง ท่านย่อมไม่เบียดเบียนคนอื่น ท่านย่อมไม่ฆ่า ไม่ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม บริโภคอย่างมีสติไม่บริโภคสิ่งที่ทำให้ท่านขาดสติจนอาจจะเผลอทำร้ายหรือเบียดเบียนคนอื่น อย่างสุรา เพื่อปกป้องศักยภาพที่จะรักของท่านที่มีต่อตัวท่านเองและต่อผู้อื่น ถ้าท่านทำแบบนี้ท่านจะไม่ใช่ชาวคริสต์ที่ดีได้อย่างไร? อีกอย่าง ถ้าท่านเป็นคนพุทธที่แท้จริง ท่านย่อมรักในสัจจะยิ่งกว่าสิ่งใด ท่านย่อมรักในเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย มันก็ตรงกับคำสอนที่พระเยซูพูดว่า ถ้าใจทำได้คือคนของพระเจ้า คือรักพระเจ้าสุดความคิดสุดกำลัง และ รักเพื่อนบ้านของท่านเหมือนท่านรักตัวท่านเอง นี่คือคำสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สรุปคำสอนทั้งหมด แน่นอนว่าศาสนาคริสต์เขียนว่า พระเจ้าคือสัจจะ เช่นเดียวกัน แล้วท่านจะไม่กลายมาเป็นชาวคริสต์ที่ดีได้อย่างไร แม้ว่าท่านจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความเป็นคริสต์ แต่มันก็เหมือนท่านรู้ ท่านเป็นชาวคริสต์ ท่านรู้จักพระเยซู รู้จักพระเจ้า ท่านยังรู้มากกว่าคนที่อ้างว่าเป็นคริสต์ที่มีอยู่ทั่วโลกแต่ไม่เคยทำตามคำสอนสองข้อนี้ได้เลย ...

    ดั้งนั้นข้าพเจ้าขออ้างคำพูดตัวเองอีกครั้ง ว่า ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องความเป็นทั้งหมด ไม่มีเหตุผลที่ข้าพเจ้าจะต้องปฏิเสธสิ่งใด ข้าพเจ้าขออ้างทั้งหมด.....ดังนั้นข้าพเจ้าจึ่งนับถือทุกศาสนาทุกศาสดาและในบางแง่มุมก็ดูเหมือนไม่นับถือทุกศาสนาทุกศาสดาด้วย ฟังดูแล้วอาจจะขัดแย้งกันแต่ชีวิตเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเรื่องของ LOGIC ที่ข้าพเจ้าไม่นับถือทุกศาสดา ก็เพราะข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกศาสดา ไม่มีการแบ่งแยกให้ศาสดาท่านนั้นท่านนี้เป็นสิ่งๆๆหนึ่งที่แยกขาดออกไปที่ข้าพเจ้าจะต้องเคารพ เชื่อฟัง สยบยอม กราบไหว้ ศาสดาไม่ใช่ตุ๊กตาหมีและข้าพเจ้าก็ไม่ใช่เด็กที่ขาดตุ๊กตาหมีไม่ได้อีกต่อไป ไม่งั้นจะฝันร้าย จะนอนไม่หลับ จะร้องไห้ มันเป็นเรื่องของการมีวุฒิภาวะ เมื่อท่านเติบโตขึ้นท่านก็ต้องทิ้งตุ๊กตาหมีไป..... ตุ๊กตาหมีที่อยู่ภายนอกไม่มีความจำเป็นอีก อันที่จริงตุ๊กตาหมีนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ของชีวิตท่าน เขาเหล่านั้นอยู่ในใจท่านตลอดเวลาเป็นเนื้อนาเดียวกันกับท่าน

    ทีนี้ข้าพเจ้ามีนิทานอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นนิทานที่ดีทีเดียว
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บ็อบบี้ หนุ่มวัยกลัดมันส์รีบกับมาบ้านเพื่อแอบเข้าไปพบภรรยา นีน่า เขาต้องการจะทำให้เธอแปลกใจ เขาจึ่งรีบออกจากที่ทพฃำงาน ในขณะที่เขากลับมาบ้านนั้นเงียบ เขาก็คิดในใจว่าสงสัย ภรรยาของเขา คงที่จะนอนอยู่ในห้อง และแล้วเขาจึ่งแอบย่อมขึ้นไป แล้วก็แอบเปิดประตูห้องทันใดนั้นเขาก็พบนีน่าเปลือยกายอยู่กับแซม

    บ็อบบี้พูดว่า"โอ้....ทำไม? ข้าถึงต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจแบบนี้" เขาพูดทั้งน้ำตา

    นีน่ากล่าวตอบว่า "ที่รักคงเพราะวันนี้ คุณกลับมาเร็วไปมั๊งค่ะ"

    ท่านเห็นประเด็นหรือไม่ "ที่รักคงเพราะวันนี้ คุณกลับมาเร็วไปมั๊งค่ะ"" คนเรามักจะหาถ้อยคำเพื่อบิดเบือนประเด็นและหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้เสมอ มันก็คล้ายๆๆกับท่านที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าเข้าใจท่านที่ท่านได้พูดนั้น
    พูดนี่ไปเรื่อยตลอดการสนทนาของท่านและข้าพเจ้า

    ชายคนนี้คงจะบ้า ชายคนนี้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพุทธศาสนา เขาคงเป็นนักปรัชญาเพี้ยน เขาเป็นคนที่ไม่นับถือศาสดาใดเลย เขาอยากจะตั้งตัวเป็นศาสดาเอง เขาพูดราวกับว่า ให้เราโยนตุ๊กตาหมีที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมในพุทธศาสนาทิ้งไปซะ นี่มันบ้าชัดๆๆ เราจะโยนของดีๆๆเหล่านี้เพื่ออะไร มันเป็นแค่คำพูดของคนโรคจิต วิกลจริตมีปมด้อย คนที่อยากสร้างหลักปรัชญาอะไรใหม่สักอย่างเพราะมันฟังดูขัดแย้งกับศาสนาและปรัชญาบางอย่างที่เรารู้จัก เขาคงเป็นคนที่ชอบผจญภัยทางความคิด

    ดังนั้นอย่าไปสนใจคำพูดของคนๆๆนี้ มีแต่ขยะและไร้สาระ ฉันถูกต้องแล้วฉันเชื่อในสิ่งที่เป็นจริงที่สุดแล้ว.....

    เอาล่ะข้าพเจ้าเข้าใจท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้มาเปลี่ยนความคิดอะไรของท่านหรอกมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึ่งจะยุติการสนทนาและไม่แทรกแทรงชีวิตและการตัดสินใจของท่านอีก ถ้าท่านพอใจที่จะนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่ในรังดักแด้ของท่านพ ร้อมตุ๊กตาหมีที่ท่านสร้างของท่านขึ้นมาเองมันก็เป็นสิทธิของท่าน......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  15. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    สรุปเจ้าของกระทู้

    จะพูดแบบ มีสติ หรือ ไม่มีสติ ครับ

    เห็นพูด สติ เป็นตัว ธรรม แต่ บรรยายธรรมะ แบบ ไม่มีสติ

    สาธุ เจริญธรรมครับ
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    การมีสติ เเละไม่มีสติเป็นอนิจจังทั้งสองอย่างความเห็นส่วนตัวครับ!?!?
     
  17. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    แต่การมี สติ ได้ ปัญญา นะครับ

    เพราะ สติ ทำลาย กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา
     
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านกำลังจะเอาความคิดของท่านมาบอกว่าสิ่งที่ท่านคิดนั้นมันถูก มันก็ถูกอยู่ในด้านความคิด แต่ในดานสภาวะที่ปราศจากความคิดนั้น ยังก่อนสิ่งที่ท่านคิดว่าใช่มันยังไม่ใช่สิ่งที่ท่านคิดเพราะสภาวะที่ปราศจากความคิดนั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ไม่คิดเป็นสภาวะที่คิดไม่ได้เพราะตัวคิด(ตัวปรุงแต่งมันดับไปที่เขาเรียกว่าสังขารขันธ์มันดับไปนั้นเอง)เอาล่ะผมเชื่อว่าความคิดของคุณถึงที่สุดแล้วมนุษย์ไม่มีอะไรจะคิดได้สูงกว่านี้อีกแล้วคือความว่างเปล่ามนุษย์ทุกคนคิดได้แค่นี้แหล่ะไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้ แต่ทีนี้สภาวะท่านเคยถึงตรงนี้หรือยัง ไม่มีความรู้สึกเจ็บ ไม่ปวด ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่มีความรูสึกว่ามีตัวตน ไม่ไดยินเสียงใดๆ ไม่มีความคิด ไม่มีสัญญา ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวที่รับรู้ถึงความรูสึกได้ มีแต่ตัวรู้อย่างเดียว ท่านมาถึงสภาวะแห่งอสังขตะธรรมหรือยังถัาใครถึงแล้วก็ยินดีด้วย ถ้ายังไม่ถึงก็ทำให้ถึงนั้นแหล่ะดินแดนของพระนิพพาน ไม่ใช่ดินแดนของความคิดว่าสูญเปล่าที่เป็นเพียงความรู้สูงสุดของดินแดนสังขตะธรรมเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ที่ว่าลืมตาไม่เห็น ไม่ใช่หรอกครับลืมตากํเห็นหลับตาก็เห็นแต่สิ่งที่เห็นนั้นมันดูจะเหมือนกันนั้นแหล่ะทั้งหมดมันก็แค่สิ่งที่เห็นและอาการที่ปรากฎ แต่ที่บอกว่าหลับตาแล้วรับรู้อีกสภาวะหนึ่งก็คือฌานนั้นเองไม่ใช่สภาธรรมปรกติที่มนุษย์มีอยู่ตามธรรมดา ถึงมันจะมีลักษณะที่เหมือนกันทั้งหมดแต่มันให้พลังที่ต่างกันสำหรับการระลึกถึงสภาวะแต่ละสภาวะ ฌานแต่ล่ะขั้นก็มีพลังของจิตที่ต่างกัน
     
  20. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อยู่กับรู้หรืออยู่กับการมีสติที่ระลึกสภาวะความจริงมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับด้านความรู้แต่มันต่างกันตรงพลังแห่งความรู้ครับ เพราะแบบเด็กอนุบาลกับรู้แบบเด็กมหาลัยมันกต้องต่างกันถูกป่าว แต่ความรู้ในพระพุทธศาสนานั้นถึงจะเป็นความรู้ไม่ต่างกันในขั้นสุตตะ จินตะ และภาวนา แต่ภาวนานั้นจะมีพลังมากกว่าเพราะเป็นตัวตัดวัฎฎะครับ ฉะนั้นรู้เฉยจึงต้องรู้เฉยในระดับลึกที่สุดของจิตครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...