ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    มาจุดประเด็นน่าสนใจเรื่อง เมตตา
    สำหรับมีนัมแล้ว มันมีอะไรต่อจากเมตตาไหม
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ว้าว มีนัม แม่นยังกะจับ กวาง

    " หลงทำกาละ " เข้าเป้าเลย
    " จิตที่มันหลุดพ้นจากกายนั้นแหล่ะที่เรียกว่าวิมุติ "

    มีนัม บวก4 แต้ม ..........ฟิ๊ววววส์
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไม่ถึงจริงๆหมดปัญญาแล้วล่ะ ทำต่อนะทำให้มากกล้าๆอย่ากลัวมันไม่ตายหรอก
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    งง เลย ทนายเล็ก ว่าพรือกับเรื่องนี่ต่าว !
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ว่ากันแบบหนังสั้น แต่ เรื่องไหน ไม่รู้นะ วิแคะกันเอง

    เรื่อง อารมณ์มืดที่เสียงใดแทรกไม่ได้ เพราะไปดับกาย
    แบบลิ้นจุกปาก หากยึดอารมณ์นี้เป็นนิจพาน ก็บอกได้คำเดียวว่า
    อเวจีมหานรก ขังเดี่ยว นานๆ จะมี แสงจากการอุบัติของพระพุทธ
    จะสาอดส่องลงไปถึง พอให้เห็นว่า เอ้ย กูมีเพื่อน แต่แล้วก็หายวับ
    แล้วลืมไปอีก ขังเดี่ยวตามเดิม

    แต่เนื่องจาก เคยอุ้มชูบำรุงเลี้ยงอะไรต่อมิอะไรไว้ ก็ ไม่น่าจะไป
    เกิดการ ยึดอารมณ์ตัวนั้น อาจจะผลิกมาปราถนาเสพกองวิบาก
    ที่แอบฝังไว้ในจิตลึกๆ ก็อาจจะส่งไปเกิด ใต้คนธรรพ์นิดนึง แต่ฤทธิ์
    หรือความหล่ออาจจะกินขาดเทวดาทั้งปวงในบางเวลา สลับกับ
    การลงมาถูกหมารุมแทะ ดั่ง เวมานิกเปรตทั้งหลายที่ปรากฏใน
    พระไตรปิฏก

    จริงๆ ท่านว่า

    การนิพพาน จะ สละออก จาคะออก แม้แต่ อารมณ์นิพพาน ไม่ติดข้อง
    ไม่ติดรส

    ถ้าไปติดรส ถ้าเป็นนิพพานจริง ก็จะไม่นิพพาน แต่จะไปเกิดเป็น พรหม

    ถ้าปล่อยถึงจะนิพพาน

    แต่ถ้า อารมณ์นั้นไม่ใช่นิพพาน แต่เป็น นิจพาน ก็นั่นแหละ อเวจีมหา
    นรก เหมือนพวก ติดอารมณ์ฆ่าตัวตาย ทั่วๆไป ที่มีแต่ให้ แต่สุดท้ายก็
    มักฆ่าตัวตายด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ปลง ในแบบของเขา
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    วิชชา ทำให้ เกิดสัมมาทิฎฐิ ...สมถะและวิปัสนาเป็นปัจจัยของวิชชา...สัมมาทิฎฐินี่แหละสำคัญ เพราะถือว่าเป็นส่วนของปัญญาขันธิ์(สัมมาทิฎฐิ และ สัมมาสังกัปปะ)...
     
  7. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    สูญญตา ของคุณ หมายความว่าอย่างไรครับ แค่ดับ สังขาร เองหรอครับ นิหรือ ธรรมะ ที่คุณ นิวเข้าใจ ในการดับ ทุกข์ ....

    สาธุเจริญธรรม
     
  8. ประพน

    ประพน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +2,358
    สติ คือ สตางค์
     
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ตื่นเช้าๆทำบุญตักบาตรนะนิวรณ์ช่วยได้เชื่อผมตื่นมาก็สละความตระหนี่เลยนะสุดยอด
     
  10. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    จักขุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง สิ่งเหล่านี้จะเกิดก็ต่อเมื่อแทงตลอดอริยสัจแล้วถึงเกิดนี่คือมรรคแท้ที่เกิดขึ้นในขันธ์สันดาน ที่หลายๆท่านคุยกันนั้นขั้นศึกษาเส้นทางยังไม่ได้เดินบนเส้นทางจริงๆเลย
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ดับสัวขารก็จบหมดแล้วจะเอาอะไรอีกไม่เหลือแล้ว
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อ๊าาา..อาบอบนวด..ไม่ใช่ซ่องเอ๊ะ..เรียกให้ถูกสถาณที่ซิ ดูโอ่โถงกว่า.
    อ้อ..รู้ละ โกมีนัม ไม่ใช่ฟางว่าน อิอิ(k)
     
  13. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..ท่าน new..คนเราศึกษาธรรม ย่อมเข้าใจผิดกันมั่ง ไม่ใช่เรื่องแปลก เก็บความรู้ที่แปลกๆในกะทู้นี้ ไว้ต่อยอดเราซะ เดี๋ยวก็แจ้งงงเอง..ช้าๆแต่ แน่นอน เจอขวากหนามบ้าง ธรรมดา อย่าท้อนะ แต่ เอะใจมั่ง..
    ..แน่ใจ ก็เอาปฏิเวธ ลึกๆมาคุยเลย หากคุณเป็นสกิทาคา อาจารย์คุณ ต้อง อรหันต์แน่ ใช่ไหมครับ (k)
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ที่กล่าวเนี่ยะ เห็นหรือเปล่าว่า ผมไม่ได้ทำ ?

    ถ้าไม่ได้เห็น ทราบมาจากคนอื่นที่เห็นว่า ผมไม่ได้ทำหรือ !?

    ถ้าไม่ได้ทราบจากคนอื่น มีสิ่งอื่นกระซิบบอกหรือเปล่า !?

    ถ้าไม่มีเลย ไม่รู้เรื่อง ไม่เห็น

    คุณกำลังผิด ศีล5 พูดเพ้อเจ้อ รู้ตัวหรือเปล่าหละนั่น !!!
     
  15. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ข้าพเจ้าค่อนข้างเ้ห็นด้วยเรื่อง อภิปรัชญาทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวนั้นคือความโง่ ใช่เลย มีศาสนาแบบนี้อยู่ในโลก ศาสนาว่าด้วยอภิปรัชญาทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียว มันก็เหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งปากสวย อีกคนหนึ่งจมูกงาม อีกคนหนึ่งหูสวย อีกคนหนึ่งใบหน้าสวย จากนั้นท่านก็เอามารวมกันเป็นผู้หญิงคนใหม่โดยหวังว่าท่านจะได้ผู้หญิงที่สวยที่สุด แต่ท่านจะได้เพียงซากศพ
    เท่านั้น.....ตัวอย่างศาสนาแบบนี้ก็คือ ศาสนาบาไฮ.....

    ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้พูด อภิปรัชญาทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียว อันที่จริงข้าพเจ้าพูดเรื่องศาสนาจอมปลอมทั้งหมด ความเชื่อลวงโลกทั้งหมดที่คนเรายึดถือกันด้วยความไม่รู้ ว่านั้นคือศาสนา จะต้องหายไป เหลือไว้แต่ความจริงใจในศาสนาซึ่งต้องไปพ้นความเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ..... นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าเห็นประเด็นข้าพเจ้าก็พูด แต่ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนท่าน เอาชนะท่าน ข้าพเจ้าก็แค่พูด เพราะ อยากพูด มันก็แค่นั้น พูดเพื่อที่จะพูด ไม่มีเหตุผลอะไรอีก ท่านอาจจะไม่อ่านดูผ่าน และโต้ตอบไปมั่วๆๆอย่างงั้น ซึ่งทำให้ท่านยังคงพูดวนไปวนมา แต่ไม่ได้สนใจปัญหาที่แท้จริง และ สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถึงกระนั้น
    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจ .........เพราะในบางแง่ข้าพเจ้าก็พูดกับตัวเอง...มันเป็นการดีที่เราจะพูดกับตัวเอง เสียบ้าง...ดังนั้นท่านไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรกับคำพูดของข้าพเจ้านัก ลืมๆๆมันได้เลย...

    ศาสนาที่แท้จริงไม่ใช่การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับแบบแผนหรือความเชื่อใด แต่มันคือความจริงใจในตัวเอง การรู้จักตัวเอง นี่คือศาสนา ศาสนามีขึ้นเพื่อช่วยให้ท่านรู้จักตัวท่านเอง ถ้าเป็นอื่นศาสนานั้นก็ไร้ค่าเป็นของปลอม เป็นขยะ และ ธรรมะนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อโต้เถียงทางปรัชญา และก็ไม่ได้มีไว้เพื่อพิทักษ์จารีต รูปแบบ ของลัทธิความเชื่อใดๆๆ แต่มีไว้เพื่อปกป้องอิสรภาพ และ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ....

    ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องความเป็นเนื้อแท้ ดั้งนั้นข้าพเจ้าไม่ได้เอาท่านไปเปรียบกับคนอื่นท่านก็จงเป็นท่าน มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอให้ท่านเป็นท่านอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นท่านแบบปลอมๆๆ อย่างเป็นชาวพุทธ เมื่อท่านมาท่านไม่ได้เป็นพุทธ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะคุ้นเคยกับสิ่งนี้ โดยลืมความเป็นจริงข้อนี้ไป ความเป็นพุทธให้อัตลักษณ์แก่ท่าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่หลอมรวมจิตสำนึกความเป็นตัวตนของท่าน ที่ท่านหล่อเลี่ยงมันด้วยความสุข และพยายามปกป้องมันจากความทุกข์ และก็ตอบสนองแบบเป็นกลไก ในขณะที่สัจจะคุกคามมันตลอดเวลา ว่ามันไม่มีอยู่จริง เป็นมายา

    ถ้าท่านไม่เห็นสิ่งนี้ ท่านก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธจริง

    ดูนี่สิ "พระสัทธรรมของพระพุทธองค์นั้นสูงสุดแล้ว เป็นจริงอย่างสูงสุด และ ต่างจากศาสนาอื่นศาสนาอื่นไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ดังนั้นอย่าเอามาเทียบกันมันไม่จำเป็นไร้สาระ"

    นี่คือสิ่งที่ชาวพุทธจะพูด และถ้าเปลี๋ยนคำว่า พระพุทธองค์เป็นพระคริสต์ก็จะกลายเป็นคำพูดของชาวคริสต์ เปลี่ยนพระพุทธองค์เป็นพระกฤษณะ ก็จะกลายเป็นคำพูดของชาวฮินดู

    มันไม่ได้ต่างกันเลย ทุกคนก็อ้างเหมือนกัน ว่า"พระสัทธรรมของศาสนาของฉันนั้นสูงสุดแล้ว เป็นจริงอย่างสูงสุด และ ต่างจากศาสนาอื่นศาสนาอื่นไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ดังนั้นอย่าเอามาเทียบกันมันไม่จำเป็นไร้สาระ" มันเป็นการเติมเต็มตัวเองเพราะเมื่อฉันยกย่องศาสนาของฉัน ฉันก็ยกย่องตัวฉันไปด้วย เพราะฉันรู้สึกดีจริงโชคดีมากๆๆ เพราะฉันเป็นชาวพุทธ ผู้เดินบนพุทธมรรคา มันก็เป็นการยึดติดเอาตัวเองเป็นศุนย์กลางอยู่ดี ด้วยเหตุนี้คนส่วนใหญ่จึ่งไม่เคยเห็นความงามในศาสนาอื่น และ มนุษย์เราก็ยังคงเป็นกลุ่มๆๆก๊กๆๆ สันติภาพจึ่งไม่มีอยู่จริง มีแต่ความขัดแย้ง ปราศจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน ชาวพุทธไม่เคยอ่านไบเบิ้ลหรืออ่านด้วยอคติ แต่พูดราวกับรู้ว่าการเป็นคริสต์เป็นอย่างไร? ชาวคริสต์ ฮินดู มุสลิม ก็ทำแบบนี้ไม่ต่างกัน แล้วจะว่าศาสนาทั้งหลายไม่เหมือนกันได้ไง ก็ศาสนิกแสดงออกเหมือนกันซะขนาดนี้

    คราวที่แล้วท่านพยายามขายศาสนาพุทธให้ข้าพเจ้า ลองดูสิมันดีต่อคุณนะ ลองปฏิบัติดูและคุณจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิืด นี่คือสัทธรรมของจริง อันที่จริงนี่ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าท่านไม่ได้เป็นชาวพุทธนะ แต่ท่านน่าจะเป็นชาวคริสต์ เพราะพฤติกรรม นักขายมันจะมาจากชาวคริสต์ มันเป็นที่รู้กันดี ข้าพเจ้าเคยอยู่กับพวกชาวคริสต์มาก่อน และ ความพยายามของพวกเขาก็คือ ขายสินค้าที่เรียกว่าคริสต์ศาสนาให้ข้าพเจ้า ท่านต้องลองดูนะ เพราะเรามีบาปกำเนิด และคำพูดพระคริสต์คือสัทธรรมเป็นพระวจนะจากพระเจ้า ยอมรับแล้วท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ แหมมันช่างเหมือนกับทีวีไดเร็กซ์ ซะจริง ลองดูสินค้าตัวนี้นะ ทดลองก่อนเจ็ดวัน ยินดีคืนเงิน ลิซซ่า คุณรู้สึกเป็นไงบ้าง มันยอดมากเลยค่ะ

    ดังนั้นท่านน่าจะเป็นชาวคริสต์ เพราะชาวพุทธไม่ค่อยสนใจ เรื่องขายตรงเท่าไหร่? การแสดงออกของท่านมันบ่งบอกว่าท่านเป็นชาวคริสต์

    และคนเหล่านี้ก็คิดว่าตัวเองรู้แล้วซึ่งไร้สาระ ก็ศาสนาเราเป็นความจริงสูงสุดแล้วจะผิดได้ไง ดังนั้นคำสอนผิดยังคงถูกรักษา ไว้ในศาสนาพวกนี้ เช่น โลกแบน มีเขาพระสุุเมรุตรงกลางจักรวาล พร้อมกำชับว่ามันมาจากอำนาจวิเศษดังนั้นไม่มีวันผิด วิทยาศาสตร์ไม่รู้ความจริง ไม่ใช่เลยแบบที่วิทยาศาสตร์พูด ศาสนาดูจะต่อต้านวิทยาศาสตณ์ไอ้พวกวัตถุนิยม มันมาจากความกลัวชัดๆๆ กลัวว่าวิทยาศาสตร์จะเปิดโปงความเชื่อไร้สาระก็พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้วจะบอกว่ามีการวิวัฒนาการได้ไง คนในศาสนาเหล่านี้หยิ่งยโสเกิดกว่าที่จะยอมรับว่าบางเรื่องเขาก็ไม่รู้......... ดั้งนั้นเขาจึ่งไม่เห็นความงามของการไม่รู้ ไม่เห็นความลึกลับของชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย...การไม่ยึดติดในคำสอนไม่ได้หมายถึง ท่านปฏิเสธคำสอนนั้นนี้แล้ว อ้างว่าท่านไม่ยึดติด เพราะนั้นก็เป็นการยึดติดอีกรูปแบบหนึ่ง แต่มันคือการมองให้เห็นว่าสัจจะไม่ใช่สิ่งตายตัว ความจริงที่ท่านยึดถือในวันนี้ว่าจริงอาจจะผิดในวันพรุ่งนี้ได้ไม่ว่ามันเก่าแก่เพียงใด ท่านต้องพร้อมที่จะเปลี่ยน เมื่อสัจจะความจริงที่จริงกว่าตัดสารส่งมายังท่านไม่ใช่ยึดถือกับข้อสรุปนั้นๆๆ ว่าจริงอย่างเหนียวแน่น

    ประเด็นต่อมา ดูเหมือนว่า ท่านจะคิดว่า การต้องสละอะไรที่เป็นของรักของหวงของท่าน ให้ผมดู จะเป็นการยืนยันว่าท่านได้บรรลุธรรม จะในระดับไหนก็ตามแต่ล่ะ แสดงให้ดูจงแสดงให้ดูสิจงละความยึดติด มันก็เหมือนกับถ้าท่านคิดว่า คนที่บรรลุธรรมต้องคลานสี่ขาเห่าเหมือนหมา นั้นคือการสละความยึดติดไง ท่านทำตัวทุเรศๆๆ ได้ก็แสดงว่าท่านเป็นอิสระจากความละอายได้ นั้นแสดงว่าท่านบรรลุธรรมนะ ท่านเดินบนน้ำ ทนความเจจ็บปวดให้ผมดูสิ ถ้าทำได้จะเป็นการยืนยันว่าท่านได้บรรลุอย่างท่านอ้าง

    ท่านไม่ว่ามันไร้สาระหรือ ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางทั้งนั้น และก็พยายามที่จะพิสูตรว่า เราเป็นนั้นเป็นนี่จริง เพราะฉันทำได้อย่างที่แกบอก จงยอมรับฉันสิ ฉันทำได้อย่างที่ฉันพูดเลยเห็นไหมว่าฉันแน่จริง....
    แล้วทำไมเราถึงต้องพิสูตรให้คนอื่นเห็นด้วยว่าเราเป็นอะไรไม่เป็นอะไร? คนที่บรรลุธรรม ไม่จำเป็นต้องพิสูตรอะไร เขาก็แค่เป็นอย่างที่เขาเป็น เป็นคนธรรมดา ทำไมต้องพิสูตรให้คนอื่นเห็น ทำไมเราต้องขึ้นอยู่กับความคิดของคนอื่นต้องให้คนอื่นมาคอยบงการว่าเราเป็นนั้นเป็นนี่ และทำไมเราต้องยอมรับหรือดิ้นรนที่จะเป็นตามที่คนอื่น หรือสังคมบอก ทำไมเราไม่เป็นตัวเราเอง เป็นตัวเองอย่างแท้จริง ไม่เป็นแม้อรหันต์หรือนักบุญ ไม่เป็นปุถุชน หรือคนบาป นั้นคือความจริง การพยายามที่จะพิสูตร นั้นแหละที่ชี้ว่า เขาคนนั้นยังไม่บรรลุธรรม เขาแค่ตอบสนองแบบเดิมๆๆ โดยยังคงยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่ดี ซึ่งเป็นเรื่องโง่ๆๆ

    มหาวีระไม่ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมจริงเขาเป็นศาสดาศาสนาเชน เหตุผลเพราะคนที่บรรลุธรรมจริงต้องสละให้หมด แต่พระพุทธเจ้ายังมีจีวรสามผืนมีบาตร นี่คือความโลภ พระองค์ไม่ได้สละทั้งหมด ท่านคงจะเคยได้ยินว่า มหาวีระ นั้นไม่ใส่เสื้อผ้า เพราะการมีเสื้อผ้าก็แสดงว่าท่านยังข้องกับวัตถุยังไม่ได้สละจริง ท่านยังมีความอายที่จะเปลือย แล้วจะเป็นอรหันต์ได้ไง มหาวีระไม่มีบาตร เพราะบาตรก็เป็นวัตถุ เวลากินอาหารจึ่งต้องวางบนมือทั้งสอง แล้วเอาปากกินเหมือนสุนัข แต่นั้นคือผู้บรรลุธรรม ตามแบบฉบับของมหาวีระ มันก็เป็นเหตุผลเดียวกัน

    อันที่จริงข้าพเจ้าไม่เคยบอกว่าข้าพเจ้าบรรลุธรรมแล้ว เพราะข้าพเจ้าไม่เป็นแม้ผู้บรรลุธรรม ข้าพเจ้าแค่เป็นตัวข้าพเจ้านั้นคือการบรรลุธรรม ข้าพเจ้าไม่พยายามเป็นอะไำรทั้งนั้นดังนั้นข้าพเจ้าจึ่งเป็นทุกสิ่ง และก็เป็นทุกสิ่งมาตั้งแต่ต้น เป็นหนึ่งเดียว ดั้งนั้นข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธความรู้ การใช้เหตุผล และอีกด้านคือเชาว์ปัญญา ซึ่งไม่ได้มาจากความรู้ แต่ผลุดขึ้นมาจากความตื่นรู้ ข้าพเจ้ายอมรับทั้งหมด

    ท่านพูดว่า "ข้าพเจ้าไม่สนใจเหตุผลอะไรเกี่ยวกับเรื่องทาน"งั้นการทำทานของท่านก็เป็นการกระทำไปอย่างไร้เหตุผลไม่ได้ไตร่ตรองความถูกผิด เช่น การทำทานของท่านอาสจจะเป็นการทำลายศาสนาของท่านทางอ้อมก็ได้แทนที่จะเป็นการส่งเสริมศาสนา สรุปก็คือท่านพอใจแค่นั้นเป็นพอ แล้วท่านจะต่างจากสัตว์ตรงไหนล่ะสัตว์มันก็ทำไปตามความพึงพอใจของมัน มีตัวมันเองเป็นศูนย์กลางไม่มีการไตร่ตรองก่อน
    " ข้าพเจ้าสนใจคนที่พูดเรื่องหลุดพ้นที่สวยหรูแต่ข้าพเจ้าเบื่อที่จะได้ยินสิ่งเหล่านี้" นี่ก็เหมือนกัน ท่านไม่เคยใช้เหตุผลไตร่ตรองก่อนที่จะพูด ท่านว่าท่าน สนใจคนที่พูดเรื่องหลุดพ้นที่สวยหรู แต่ท่านก็เบื่อคนพวกนี้ สรุปท่านสนใจจริงหรือเปล่า ถ้าท่านเบื่อท่านก็ละจากความสนใจไปสิ ท่านเป็นคนโรคจิตหรืออย่างไร ฉันไม่สนใจแต่ฉันก็หมกหมุ่นนะท่านพูดอะไรของท่าน ท่านรู้ตัวหรือเปล่า ท่านพูดราวกับคนเสียสติ.....นี่แหละการไม่ใช่เหตุผลไตร่ตรองก่อน

    ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธเหตุผลและความรู้ข้าพเจ้าต้องใช้มัน ไม่งั้นข้าพเจ้าจะพูด จะขับรถ จะทำอะไรได้อย่างไร ดั้งนั้นข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธตำรา อันที่จริงอาหารสมองก็เป็นสิ่งจำเป็นในบางครั้ง...และ ข้าพเจ้าจะบอกตรงๆๆว่า ที่ท่านอ้างว่าเป็นคำสอนของศาสนาพุทธหลายๆๆอย่างก็ไม่ตรงกับคำสอนในศาสนาพุทธที่ข้าพเจ้าศึกษามาเท่าไหร่......แต่นั้นไม่สำคัญ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้กำลังพูดเรื่องพุทธศาสนา แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องพวกนั้น ถ้าข้าพเจ้าไม่วาดภาพท่านจะว่าข้าพเจ้าวาดภาพไม่เป็นหรือ? มันช่างไร้สาระยิ่ง ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่แสดงตัวออกท่านจะว่ามันไม่มี หรือ? ท่านจะไม่ด่วนสรุปไปหน่อยตามความจำได้หมายรู้ที่มักจะผิดของคนเราไปหน่อยหรือ ถ้าท่านเห็นแสงสีขาวท่านไม่ได้ให้มันผ่านปริซึมท่านจะว่ามันไม่ได้มีสีแดง ม่วง เขียว เหลือง ทำนองนี้หรือ...นี่แหละ คือการด่วนสรุปและยึดติดเอากับความจำได้หมายรู้นั้น ซึ่ง เราต้องไปให้พ้น และเห็นสิ่งต่างอย่างที่มันเป็น

    แต่ข้าพเจ้าเป็นนายเหนือมันมันไม่ใช่นายของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีเชาว์ปัญญา ข้าพเจ้าปฏิเสธการที่เหตุผลและความรู้อ้างว่านั้นคือทั้งหมดของชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องของสมองไม่ใช่หัวใจดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่มีวัน ยอมรับความรู้ และ ปฏิเสธเชาว์ปัญญา อย่างที่วิทยาศาสตร์ ปรัชญาตะวันตก ศาสตร์ต่างๆๆที่มาจากตะวันตกทำ และ ข้าพเจ้าก็จะไม่พึ่ีงพิงแต่เชาว์ปัญญาแต่ปฏิเสธความรู้อย่างที่ศาสนาในตะวันออกทำที่เน้นการตื่นรู้ เชาว์ปัญญา สมาธิภาวนา การลื่นไหลของชีวิตและความปิติ ข้าพเจ้าพูดเรื่องความเป็นทั้งหมด...หัวสมอง
    ต้องไปพร้อมหัวใจ

    ฟังให้ดีว่าศาสนาในนิยามของข้าพเจ้าต่างจากท่านศาสนาที่ท่านทั้งหลายถือนั้นคือศาสนาปลอมๆๆ ถ้าเป็นพุทธก็เป็นพุทธปลอมๆๆ เช่น
    เป็นพุทธที่มาจากการเลียนแบบ อยากเป็นแบบนั้นแบบนี้แบบบุคคลในอุดมคติ
    อย่างพระอรหันต์ ถ้าฉันทำแบบนี้ได้ฉันก็จะเป็นอรหันต์ โหคนนั้นทำแบบนี้ได้เขาเป็นนักบุญแน่ๆๆ หรือพวกมาจากความกลัวเช่นนรก และความโลภเช่นอยากได้สวรรค์ ซึ่งมาจากความกลัวและความรู้สึกพร่องจึ่งต้องสะสมบุญบารมี(เอาเป็นเอาตาย) เพื่อชดเชยส่วนที่ขาด เพื่อไปเสพสุขในโลกหน้าเกิดใหม่ที่ดีกว่า หรือพวกมาจากเรื่องปาฏิหาริย์ที่เป็นเรื่องของการสวดอ้อนวอนพระเจ้า พระพุทธเจ้า พิธีกรรม เรื่องพึ่งพามนุษย์วิเศษ แต่ไม่ได้ฝึกฝนให้ท่านค้นพบของจริงสิ่งแท้ในตัวท่าน พวกมาจากเพียงตรรกะ เช่นฉันจะพิสูตรพระเจ้าด้วยเหตุผลให้แกดู ศาสนาแบบพัฒนาคำสอนให้ซับซ้อนจนคนทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง เพื่อจะได้ไม่มีใครโต้แย้ง....ช่างตลกจริงๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2013
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เรื่องสติ ตอบได้ ทำไม่ได้ จะบรรลุได้อย่างไร
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เรื่องอาจารย์นั้นผมตอบไม่ได้ไม่แน่นอนปัจจัตตัง
     
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คุณทำอยู่หรือเปล่า ถ้าทำอยู่แล้วก็ทำให้มากขึ้นอีก โจทย์ที่ให้ไว้นะพยายามทำให้ได้ไม่ยากหรอกมันแค่เส้นบางๆเอง
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆ นี่ ยังเชื่อว่า ตนเอง เป็นคนเดียวในโลก ที่ทำได้ หรือไงครับ

    ไหง ตระหนี่ คับแคบ แบบนั้น หละ
     
  20. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...