ทำบุญอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะมีวิบากเช่นไร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 16 ตุลาคม 2013.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    เขาบอกว่าปัญญาประดุจดังอาวุธ

    มีปัญญาก็สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง

    ถ้าข้าพเจ้าทำบุญด้วยการถวายพระไตรปิฏกอย่างเดียวตลอดชีวิต

    ไม่ทำบุญ(การถวายของ)อย่างอื่นเลย

    ข้าพเจ้าจะมีวิบากเป็นเช่นไร?





    research-cat.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2013
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    หลวงพ่อ :- "ถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ ยังไม่ถือเป็นทาน เราจะมีทรัพย์สิน มีเสื้อสวม มีผ้านุ่ง มีบ้านอยู่ นั่นเป็นอานิสงส์ของทาน การให้ ถ้าเราบูชาพระพุทธเจ้าจัดเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ นึกถึงความดีของท่าน ไม่ถือว่าเป็นทาน อานิสงส์ได้คนละอย่าง

    พุทธบูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมีอำนาจมาก นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม มีรัศมีกายสว่างไสวมาก เทวดาหรือพรหมนี่เขาไม่ดูเครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างออกจากกาย

    ธัมมบูชา มหาปัญโญ การบูชาพระธรรม มีปัญญามาก คือใคร่ครวญในพระธรรมจนเกิดปัญญา จิตเป็นสมาธิ

    สังฆบูชา มหาโภคะวะโห สงเคราะห์พระสงฆ์ เกิดไปรวยมาก เพราะเราใช้วัตถุเป็นเครื่องหมาย

    อานิสงส์ต่างกัน แต่ต้องทำ ๓ อย่าง ไม่งั้นหลวงพ่ออด"
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=zeedhama&date=19-08-2013&group=31&gblog=9

    ถ้ามีปัญญาอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์จะลำบากในโลกมนุษย์ ถึงแม้มีสติปัญญาหาเงินมาได้ ก็หามาได้ไม่มากนัก เพราะไม่มีบารมีในด้านนี้ อาจมีเหตุอื่นให้ใช้เงิน และไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เนื่องจากไม่ได้ทำพุทธบูชาไว้ อาชีพที่เป็นตัวแทนที่พอจะเห็นได้ก็คือนักวิจัยหรืออาจารย์สอนมหาลัย กล่าวคือ มีสติปัญญามาก แต่ไม่มีเงินมากมาย อาจมีเพียงเงินเดือนและเงินพิเศษบางอย่าง ต้องเกิดในครอบครัวยากไร้ แต่สอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ แต่อย่าฝันถึงเงินสิบล้านร้อยล้านคงไม่มี ในตอนสุดท้ายชีวิตไม่น่าจะได้เป็นอธิการบดี เอาแค่คณบดียังฝืด ดังตัวอย่าง



    ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ มีคนหนึ่งเขามาเกิด แต่คนคนนี้น่ะในชาติก่อน ๆ เวลาบำเพ็ญบารมีตัดทานบารมีออกจากใจ แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ตัวนี้เขาไม่ได้ให้ แต่จิตเขาละความโลภ คือละความอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นที่ใครไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะเขาไม่เอา เขาไม่อยากได้ แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน ที่ว่า "ทานัง สัคคโส ปาณัง" ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์" เขาบอกว่ามันต่ำไป เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า คือ

    1. มีศีลบริสุทธิ์

    2. สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์

    3. มีปัญญาแจ่มใส เพื่อตัดกิเลส

    ก็เป็นการบังเอิญว่าชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดา ก็สงสัยอาจจะเป็นเทวดาคนจนก็ได้ ทิพยสมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ ทีนี้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี

    โสเภณีเวลานั้นถือว่าเป็นตระกูล เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง สังคมหรือสมาคมหนึ่ง แต่ว่าโสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่าโสเภณีเลวไม่ใช่อย่างนั้น เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี พอออกมาเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการ เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ ทิ้งปล่อยให้ตาย ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้

    เวลานั้นโสเภณีผู้ชายยังไม่มี ถ้าบังเอิญมีโสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้ บางประเทศก็จะหากินคล่องเหมือนกัน เป็นการบรรเทาความเดือนร้อนของบุคคลแต่ละคน

    ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุข ถูกปล่อย แต่เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ตายเพราะอะไร เพราะว่ามีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้ เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้นไม่ตาย ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ไม่มีอะไรจะกิน แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร

    ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้ เป็นลูกเขาออก เอารกมาฝังก็แอบดู พอเขาไปแล้วก็ย่องเข้าไปขุดเห็นรกเด็ก เลยนำรกมากิน ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว นี่การขาดทานบารมี หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาเห็นพระท่านมีความสุข เลยขอบวช พระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช

    ในเมื่อบวชแล้วเวลาบิณฑบาตตอนเช้า พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ เพราะเดินตามอาวุโส ชาวบ้านใส่บาตรจากหน้า พอจะถึงองค์หลังข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน ท่านก็เดือดร้อน ไม่ได้กินข้าว อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้ ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้ หาเองไม่ได้ ใจก็ไม่สบาย

    วันที่สอง ท่านอุปัชฌาย์บอกว่า "วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้คุณเดินข้างหน้า ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ" แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์ อย่างต่ำก็ต้องเป็นวิชชาสามหรืออภิญญาหกแน่ เพราะรู้เรื่องในใจดี รู้กฎของกรรมดี ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่า คนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร

    วันที่สอง ชาวบ้านบอกว่า "วานนี้เราใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้รวมกันใส่จากหลังมาหาหน้า" พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดี แต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด

    วันที่สาม อุปัชฌาย์บอกว่า

    "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณยืนกลาง เขาจะใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น" เป็นอันว่าท่านยืนกลาง

    วันที่สาม ชาวบ้านบอกว่า "วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันที่สอง ใส่หลังไม่ถึงหน้า วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก" เขาก็ทำตามนั้น ปรากฏว่าทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมดพอดี

    วันที่สี่ พระอุปัชฌาย์บอกว่า "ยืนรองฉัน มันใส่แบบไหนถึงทั้งนั้น"

    ในวันต่อมาเขาใส่บาตรตามระเบียบ ใส่บาตรที่ 1 เขาไม่เห็นบาตรที่ 2 ไปใส่บาตรที่ 3 พอวันต่อมาอุปัชฌาย์บอกว่า "คุณยืนรองฉัน" ท่านเอามือจับบาตรไว้ เขาจึงเห็นบาตรของท่าน

    นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริง ๆ ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน แต่นั้นบังเอิญเป็นบารมีของท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด อุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนักท่านก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตรเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว
    http://www.luangporruesi.com/335.html



    หมายเหตุ
    ถ้าข้าพเจ้าทำบุญด้วยการถวายพระไตรปิฏกอย่างเดียวตลอดชีวิต
    ข้าพเจ้าจะมีวิบากเป็นเช่นไร?

    ถ้าถวายพระไตรปิฏกถือว่าเป็น ธัมมบูชา+สังฆบูชา ดังนั้นคำถามที่ถามจึงไม่ชัดเจน ซึ่งผมวิเคราะห์คำถามแล้ว เข้าใจเอาเองว่าผู้ถามต้องการคำตอบแบบไหน ถ้าจะเป็นธัมมบูชาเพียงอย่างเดียว เช่น ฟังเทศน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2013
  3. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าคุ้นๆ กับเรื่องเล่านี้นะ
    ไม่รู้จะเป็นเรื่องเดียวกับพระที่ริษยาในลาภของพระอรหันต์หรือเปล่า
    เลยทำอุบายไล่พระอรหันต์ออกจากวัด
    พอมาเกิดในสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยต้องอดอาหาร

    คือการที่ถวายพระไตรปิฏกแต่ไม่ได้ทำกรรมหนักเช่นการขวางลาภของพระอรหันต์ ข้าพเจ้าคิดว่าไม่น่่าจะเจอวิบากหนักเช่นนั้น

    ผิดพลาดประการใดขออภัย
     
  4. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    รู้สึกจะชาดกเรื่องนี้นะ..



    โลสกชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของความอิจฉาริษยา


    สถานที่ตรัสชาดก

    เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี

    สาเหตุที่ตรัสชาดก

    ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีหญิงในหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่งได้ตั้งครรภ์ ตั้งแต่นั้นมาทั้งหมู่บ้านก็อดอยาก จึงไล่นางออกจากหมู่บ้าน นางคลอดบุตรและเลี้ยงจนเดินได้ก็ให้ออกไปหากินเอง เด็กชายร่อนเร่ไป จนอายุได้ ๗ ขวบ วันหนึ่งพระสารีบุตรได้เห็นเด็กชายกำลังเก็บเศษอาหาร ท่านรู้สึกสงสารจึงให้บวชเป็นสามเณร ต่อมาอุปสมบทฉายาว่า โลสกติสสะ บำเพ็ญเพียรต่อมาไม่นานได้บรรลุพระอรหันต์ แต่ท่านก็ยังคงมีลาภน้อย จนใกล้วันเข้านิพพาน

    พระสารีบุตรคิดจะอนุเคราะห์ให้ท่านได้ฉันอาหารอิ่มสักมื้อ จึงพาไปบิณฑบาตด้วย แต่ไม่ได้อะไรเลย เมื่อท่านไปบิณฑบาติมาแล้วฝากไปให้แต่ท่านก็ไม่ได้รับ พระสารีบุตรจึงต้องถือบาตรไว้ แล้วให้พระโลสกติสสะนั่งฉันจากบาตรในมือท่านจนอิ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วท่านก็นิพพานในวันนั้นเอง

    ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาสนทนากันถึงเหตุนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่อง โลสกชาดก ดังนี้

    เนื้อหาชาดก

    ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์รูปหนึ่งมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน กุฎุมพีเห็นท่านเกิดความศรัทธา จึงนิมนต์ให้ท่านไปที่วัดซึ่งตนเป็นอุปัฏฐากอยู่ เขาบำรุงพระอาคันตุกะอย่างดี จนเจ้าอาวาสเกิดความอิจฉาริษยา ยามบิณฑบาตตอนเช้ากฎุมพีให้นิมนต์พระอรหันต์ไปด้วย พระเจ้าอาวาสก็แสร้งเอาเล็บเคาะระฆัง เคาะประตูให้ไม่ได้ยิน แล้วไปแต่คนเดียว

    ขณะพระเจ้าอาวาสบิณฑบาตกลับมา ระหว่างทางเอาข้าวปายาสในส่วนของพระอรหันต์ที่กฎุมพีฝากถวายเทลงในกองไฟ แล้วจึงกลับวัด เมื่อมาถึงได้แอบเข้าไปดูในกุฏิ แต่ไม่เห็นจึงฉุกคิดขึ้นว่าพระรูปนี้คงเป็นพระอรหันต์ ท่านเสียใจมาก ตรอมใจจนมรณภาพในที่สุด

    เมื่อมรณภาพแล้วจึงตกนรกหมกไหม้อยู่หลายแสนปี เมื่อพ้นจากนรกแล้ว เศษกรรมยังนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์อีกถึง ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขอยู่อีก ๕๐๐ ชาติ ทุกภพทุกภาพที่เกิดจะอดอยากยากแค้นมากได้กินอิ่มมื้อเดียวก่อนตายเท่านั้น ชาติต่อมาได้มาเกิดเป็นลูกคนยากจนมีชื่อว่า มิตตพินทุกะ เมื่อโตขึ้นเที่ยวเร่ร่อนไปเรื่อย ได้เรียนในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง ต่อมาได้ทะเลาะกับเพื่อนศิษย์คนอื่น จึงออกจากสำนักเร่ร่อนไปจนถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง แต่งงานและมีลูก ๒ คน ต่อมาถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน ครอบครัวเขาหลงเข้าไปในเขตที่อมนุษย์ภรรยาและลูกถูกจับกิน แต่ตัวเขาหนีรอดได้

    เร่ร่อนไปจนถึงเมืองท่าแห่งหนึ่ง มิตตาพินทุกะสมัครเป็นกรรมกรในเรือ เมื่อเรือสินค้าแล่นไปได้ ๗ วัน ก็หยุดขึ้นมาเฉยๆ นายเรือ จึงให้จับสลากหาผู้เป็นกาลกิณี เขาก็จับสลากได้ทุกครั้ง จึงถูกจับปล่อยลอยแพแล้วเรือก็แล่นต่อไปได้ทันที มิตตพินทุกะได้รับความลำบากมาก ด้วยผลบุญที่เคยรักษาศีลในชาติที่เกิดเป็นพระเจ้าอาวาส ทำให้แพลอยไปถึงที่อยู่ของเทพธิดาเปรตและได้เสวยสุข แต่เขายังคงลอยแพต่อไปอีก

    กระทั่งได้พบเกาะแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของยักษ์ มิตตพินทุกะมองเห็นแม่แพะตัวหนึ่งซึ่งเป็นนางยักษ์แปลงตัวมา ด้วยความหิวจัด เขาจึงกระโดดจับแพะ จึงถูกแม่แพะดีดกระเด็นข้ามทะเล ไปตกอยู่ข้างคูเมืองพาราณสี ในขณะนั้นเอง คนเลี้ยงแพะของพระราชาช่วยกันซุ่มจับโจรขโมยแพะ จึงกรูกันเข้ามาจับตัวเขาไว้ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ผ่านมาพอดีจึงนำตัวมิตตพินทุกะกลับไป แล้วให้โอวาทว่า “บุคคลใด เมื่อท่านผู้หวังดีเอ็นดูจะเกื้อกูลสั่งสอน ก็มิได้กระทำตามที่ท่านสอน บุคคลผู้นั้นย่อมเศร้าโศกอยู่เป็นนิตย์ เหมือนมิตตพินทุกะจับขาแพะแล้ว เศร้าโศกลำบากอยู่”

    ประชุมชาดก

    มิตตพินทุกะ ได้มาเป็นพระโลสกติสสะ

    อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้มาเป็นพระองค์เอง

    ข้อคิดจากชาดก

    ๑. ผู้ที่อิจฉาริษยาความดีของบุคคลอื่น จะส่งผลให้ตนเองเกิดเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา

    ๒. ยิ่งทำลายลาภของผู้ที่มีคุณธรรมสูงเพียงไร ก็ยิ่งได้กรรมหนักมากเพียงนั้น

    ๓. ผู้ไม่เชื่อฟังคำตักเตือนของผู้หวังดีย่อมได้รับความเดือดร้อน
     
  5. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941


    เมื่อถวายพระไตรปิฎกก็เป็นการให้"ธรรมทาน" อันเป็นยอดแห่งทานทั้งปวง เพราะเป็นปัจจัยแก่ปัญญาอย่างเลิศที่สามารถพาใครๆพ้นทุกข์ได้เป็นสมุทเฉท...เป็นปัจจัยแก่การได้พบพระธรรมของพระพุทธเจ้าในภพหน้าอีกมาก เป็นปัจจัยสำคัญแก่การได้รู้ถูกเห็นถูกมีทิฏฐิที่ตรง ก็เพราะได้ทิฏฐิตรงย่อมเจริญมรรค๘ได้เป็นปรกติ พ้นจากความเห็นผิดหรือความงมงายในที่ทั้งปวงได้เพราะวินิจฉัยด้วยปัญญาอันดีในเหตุผลที่มาที่ไปของเรื่องราวต่างๆได้ แม้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ก็ย่อม ขวนขวายเข้าหากัลยาณชนเพื่อคำชี้แนะ และทราบชัดว่าืบุคคลที่ตนพาตนเข้านั่งใกล้เพื่อเงี่ยโสตลงสดับนั้นเป็นพาลหรือบัณฑิต ด้วยปัญญาดีของตนนั่นเทียว

    จึงผู้มีปัญญาดีเช่นนี้ย่อมไม่ถูกใครๆหลอกลวงด้วยสิ่งเหลวไหลไร้สาระได้..


    ที่จริง...คำถามเช่นนี้ไม่ได้ตั้ง อยู่บนความจริงอะไร เพราะแม้การให้เงินขอทานบ้าง แบ่งขนมให้เพื่อนบ้าง เลี้ยงนกเลี้ยงงู หรือเลี้ยงอาหารพ่อแม่พี่น้องญาติก็เป็นทานที่คนทั่วไปทำกันเป็นปรกติ....แม้การให้เช่นนั้นก็ย่อมมีผลตามมาเสมอไม่ได้สูญหายไปใหน..

    ..ทรัพย์แม้มีมากหากขาดปัญญาเสียแล้ว ทรัพย์นั้นจะสนับสนุนเจ้าของไปทางใดก็ลองตรองดู...ส่วนความแร้นแค้นที่เกิดนั้น ส่วนหนึ่งเพราะความตระหนี่ แต่ส่วนมากเกิดเพราะการล่วงทุจริตทางกายกรรมวจีกรรมหรือมโนกรรมมาก่อน จึงต้องพบความกันดารอันสอดคล้องกับเจตนาที่ตนเคยล่วงไป...

    ทรัพย์นั้นเป็นปัจจัยสำคัญแก่การดำรงชีวิต แต่ปัญญาเท่านั้น เป็นปัจจัยแก่การพ้นทุกข์ คนมีทรัพย์มาก ไม่ใช่เหตุแห่งการพ้นทุกข์อะไร แต่คนมีปัญญามาก ต่างหากที่สามารถเข้าถึงความไม่เกิดได้...

    พระพุทธเจ้าของเรา ผู้สามารถเป็นพระจักรพรรดิได้ในโลก ทรงบริบูรณ์ด้วยทรัพย์นับไม่ได้เลย แต่ด้วยทรงสั่งสมปัญญามามากแลนาน จนเต็มเปี่ยมจึงไม่ทรงเห็นสาระอะไรๆของทรัพย์เหล่านั้น กลับทรงหลีกห่างออกไปเสียเพื่อความพ้นจากสังสารทุกข์โดยส่วนเดียว...

    พวกเราคิดว่า นี้พอจะรับรองความยินดีในปัญญากันได้บ้างสักหน่อยใหมครับ?


    ขออนุโมทนาคำถามและความตั้งใจจะถวายพระไตรปิฎกของท่านจขกทด้วยอย่างยิ่ง (ตรวจสอบว่าเป็นฉบับที่ถูกต้ิองหรือปลอมปนด้วยครับ)
     
  6. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947



    ช่วยแนะนำฉบับที่ควรพิมพ์ถวายหน่อยได้ไหมฮับ?
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2013
  8. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
  9. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... มีปัญญาดีมาก แต่ไม่มีอะไรจะกินจะใช้ มีตัวอย่างมาแล้ว ลองอ่านดูครับ

    ... จะเล่านิทานสักเรื่องหนึ่ง เอาไหม มันจะช้าก็ช้า จะจบเมื่อไรก็ช่าง ก็เล่าสู่กันฟัง

    ... ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ มีคนหนึ่งเขามาเกิด แต่คนคนนี้น่ะในชาติก่อน ๆ เวลาบำเพ็ญบารมีตัดทานบารมีออกจากใจ แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ตัวนี้เขาไม่ได้ให้ แต่จิตเขาละความโลภ คือละความอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นที่ใครไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะเขาไม่เอา เขาไม่อยากได้ แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน ที่ว่า " ทานัง สัคคโส ปาณัง " ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า " ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์ " เขาบอกว่ามันต่ำไป เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า คือ

    1. มีศีลบริสุทธิ์

    2. สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์

    3. มีปัญญาแจ่มใส เพื่อตัดกิเลส

    ... ก็เป็นการบังเอิญว่าชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดา ก็สงสัยอาจจะเป็นเทวดาคนจนก็ได้ ทิพยสมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ ทีนี้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี

    ... โสเภณีเวลานั้นถือว่าเป็นตระกูล เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง สังคมหรือสมาคมหนึ่ง แต่ว่าโสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่าโสเภณีเลวไม่ใช่อย่างนั้น เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี พอออกมาเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการ เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ ทิ้งปล่อยให้ตาย ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้

    ... เวลานั้นโสเภณีผู้ชายยังไม่มี ถ้าบังเอิญมีโสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้ บางประเทศก็จะหากินคล่องเหมือนกัน เป็นการบรรเทาความเดือนร้อนของบุคคลแต่ละคน

    ... ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุข ถูกปล่อย แต่เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ตายเพราะอะไร เพราะว่ามีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้ เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้นไม่ตาย ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ไม่มีอะไรจะกิน แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร

    ... ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้ เป็นลูกเขาออก เอารกมาฝังก็แอบดู พอเขาไปแล้วก็ย่องเข้าไปขุดเห็นรกเด็ก เลยนำรกมากิน ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว นี่การขาดทานบารมี หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาเห็นพระท่านมีความสุข เลยขอบวช พระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช

    ... ในเมื่อบวชแล้วเวลาบิณฑบาตตอนเช้า พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ เพราะเดินตามอาวุโส ชาวบ้านใส่บาตรจากหน้า พอจะถึงองค์หลังข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน ท่านก็เดือดร้อน ไม่ได้กินข้าว อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้ ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้ หาเองไม่ได้ ใจก็ไม่สบาย

    ... วันที่สอง ท่านอุปัชฌาย์บอกว่า " วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้คุณเดินข้างหน้า ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ " แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์ อย่างต่ำก็ต้องเป็นวิชชาสามหรืออภิญญาหกแน่ เพราะรู้เรื่องในใจดี รู้กฎของกรรมดี ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่า คนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร

    ... วันที่สอง ชาวบ้านบอกว่า " วานนี้เราใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้รวมกันใส่จากหลังมาหาหน้า " พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดี แต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด

    ... วันที่สาม อุปัชฌาย์บอกว่า " เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณยืนกลาง เขาจะใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น " เป็นอันว่าท่านยืนกลาง

    ... วันที่สาม ชาวบ้านบอกว่า " วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันที่สอง ใส่หลังไม่ถึงหน้า วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก " เขาก็ทำตามนั้น ปรากฏว่าทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมดพอดี

    ... วันที่สี่ พระอุปัชฌาย์บอกว่า " ยืนรองฉัน มันใส่แบบไหนถึงทั้งนั้น "

    ... ในวันต่อมาเขาใส่บาตรตามระเบียบ ใส่บาตรที่ ๑ เขาไม่เห็นบาตรที่ ๒ ไปใส่บาตรที่ ๓ พอวันต่อมาอุปัชฌาย์บอกว่า " คุณยืนรองฉัน " ท่านเอามือจับบาตรไว้ เขาจึงเห็นบาตรของท่าน

    ... นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริง ๆ ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน แต่นั้นบังเอิญเป็นบารมีของท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด อุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนักท่านก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตรเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว

    ... นี่การให้ทานน่ะมีความสำคัญอย่างนี้นะ จงอย่าคิดว่าเราต้องการเฉพาะนิพพาน เราไม่ให้ทาน เราเอาเฉพาะศีลภาวนาอันนี้ไม่ได้ ท้องไม่อิ่ม มันภาวนาไม่ไหว มันจะตายเอา ดีไม่ดีมันเป็นโจร

    ... การให้ทานของบรรดาท่านพุทธบริษัทเราจะต้องให้ ถ้าบุญบารมีของเรายังไม่เต็มเพียงใดเราก็เอาละ เราก็จะต้องใช้ต้องกิน แต่ถ้าบุญบารมีเต็ม เราก็จะมีความอุดมสมบูรณ์


    ... จากหนังสือบารมี๑๐ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     
  10. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947

    เรื่องเดียวกับที่ท่าน pongio เล่าเลย
    แค่ไม่นิยมให้ทานต้องประสบวิบากกรรมรุนแรงเช่นนั้นเลยเหรอคะ
    คุ้นๆ ว่าเรื่องนี้ เป็นเรืื่่่่่องเดียวกับ
    โลสกชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของความอิจฉาริษยา รึเปล่า?
     
  11. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    เข้าใจถูกแล้วครับ ความแร้นแค้นของภิกษุนี้มาด้วยบาปเก่าที่ริษยาพระอรหันต์ครับ อ่านเรื่องที่นี่ครับ..

    http://84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=270041


    แต่แม้จะต้องอดอยาก จนถึงที่สุด ท่่านก็พ้นทุกข์บรรลุพระอรหันตผลไปแล้วครับ...ท่านไม่ได้บรรลุเพราะหิวหรืออิ่มเลย ..การทำบาปเวรภัยทั้งปวง ควรละเว้น ส่วนบุญทั้งหลายก็ควรเจริญให้ครอบคลุมเท่าที่สามารถนั่นแล..
     
  12. พุธทสิณ

    พุธทสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +404
    ถ้าหากผลบุญส่งผลเป็นวัตถุคงจะมีแต่หนังสือกองเต็มวิมาร.มีปัญญามากแต่ไม่มีมีทรัพย์ก็ลําบากเหมือนกัน.มีทรัพย์มากแต่ไม่มีปัญญาก็ลําบากภายหลังเหมือนกัน.

    ไม่ว่าจะถวายทานสิ่งใดต้องประกอบด้วยปัญญา,ด้วยคิดว่าเราจะให้ทานด้วยความเคารพเพื่อสงเคราะห์ตนเองและบุกคนอื่น.การให้ทานสิ่งใดๆก็ตามถ้าทําด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้วเราจะสามารถอธิษฐานสิ่งใดก็ได้นะ.ในที่สุดก็คือการสิ้นไปแห่งกิเลสนั่นเองใช่ใหม?
    จะยกตัวย่างเช่นว่า การสร้างที่พักอาศัยให้แก่พระภิกขุได้ชื่อว่าให้ความสบาย.....การให้อาหารได้ชื่อว่าให้ทุกสิ่งคืออายุ วรรณะ สุขะ พละ.....
    ถ้าการถวายแต่หนังสือพระไตรปิฏกอย่างเดียวให้แก่พระเณรไปแต่ท่านเหล่านั้นไม่นําเอาไปเปีดอ่านศืกษาหาความรู้,หรือแม้นแต่ผู้ที่ถวายเองไม่เคยที่จะเปิดอ่านแล้วไช้รก็ไม่มีความหมายอันใด..คิดดูในสมัยก่อนๆของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นแม้แต่พระอัครสาวกผู้มีปัญญามากเคยมีใหมที่ท่านได้ถวายหนังสือพระไตรปิฏกแล้วปราภนาเป็นผู้มีปัญญามาก?
    ให้ทานแล้ว ต้องรักษาศีล และปฏิบัติภาวนา.เดินตามทางสายกลางไม่เคร่งเกินไป ไม่ย่อย่อนเกินไปนั่นแหระดีที่สุดครับ.ผิดถูกยังไงให้ท่านพิจารนาเอาเองนะครับ.:boo:
     
  13. อิ๊ด

    อิ๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +551
    เราเคยถวายคอมพระ รู้สึกท่านชอบมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2013
  14. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947

    แม้พันคนไม่อ่าน แต่มี 1 คนอ่าน
    แล้ว 1 คนนั้นได้บรรลุธรรมเป็นผู้หนุนนำเผยแพร่ธรรมะพระพุทธองค์สืบไป นั้นก็ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลแล้ว

    หรือแม้จะไม่มีคนอ่านเลย
    แต่ก็ได้มีส่วนในการสืบทอดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ให้สถิตอยู่กับโลก แค่นั้นข้าพเจ้าก็มีความปิติยินดีมากแล้ว ว่าได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ประเสิรฐกับโลกแม้ไม่มีผู้เห็นค่านั้นก็ตาม
     
  15. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    สาธุจ้า

    นี่เอารูปตัวเองมาใช้เป็นรูปแทนตัวเลยเหรอ?
     
  16. อิ๊ด

    อิ๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +551
    จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวเขารู้กันหมด :D
     
  17. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    อันนี้ ไม่รู้นะ
    แต่เรา ทำทุกอย่างที่ทำได้ ตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ ถ้ามีโอกาสนะ
    ยิ่งถ้ารู้ ว่าทำแล้ว ได้เลย
    ได้บัดเดี๋ยวนั้น แบบไม่ต้องรอ
    ข้าพเจ้า จะหมั่นไป
    ถ้ารู้นะ จะหมั่นไป
    ดักหน้าวัด
    555+

    เอาบุญมาฝากนะ
    ถวาย ต้นมะนาว และ มะยงชิดพันธ์ใข่ไก่ เข้าวัดหนองป่าพง
    พระท่านบอกว่า
    โมทนาสาธุด้วยนะโยม มะนาวนี้กำลังแตกยอดเลยนะ
    โมทนาสาธุเช่นเดียวคะท่าน
    วันนั้นเอาต้นไม้ไปลง ลูกค้าบอกมีอีกใหม เอาหมด
    YES!(อยู่ในใจ อยู่ในใจ)
    เฮงๆ รวยๆ คะ
     
  18. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    อนุโมทนาบุญถวายต้นไม้และอื่นๆที่ท่านกลิ่นฯทำไว้แล้วด้วยครับ ..ดูเหมือนท่านกลิ่นฯออกใจร้อนเนอะครับ..."....ยิ่งถ้ารู้ ว่าทำแล้ว ได้เลย
    ได้บัดเดี๋ยวนั้น แบบไม่ต้องรอ
    ข้าพเจ้า จะหมั่นไป
    ถ้ารู้นะ จะหมั่นไป
    ดักหน้าวัด...".
    ..:cool::cool::cool:
     
  19. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ขอบคุณคะ
    แฮะๆ
    ...................................
     
  20. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ

    ดีจังเลยได้ทำบุญวัดป่า ที่มั่นใจได้ว่าเป็นเนื้อนาบุญแน่นอน

    ข้าพเจ้าก็ชอบส่งสังฆทานทางไปรษณีย์ไปถวายที่วัดหนองป่าพงเช่นกัน

    อยู่ไกล ทำได้เท่านี้แหละ

    ว่าแต่ท่านกลิ่น...เขียนหนังสือ สำนวนดูแปลก เข้าใจยากนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...