เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริง!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 พฤษภาคม 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส เป็นกษัตริย์ฝรั่งเศสและนาวาร์ตั้งแต่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1774 - 10 สิงหาคม ค.ศ. 1792
    และเป็นกษัตริย์นาวาร์ไปพร้อมๆ กันในช่วงที่อยู่ในราชสมบัติประเทศต้องเจอปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากจนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส
    ซึ่งพระองค์ถูกประหารชีวิตขณะที่มีอายุเพียง 37 ปี

    ครั้งเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ถูกโหราจารย์เตือนอยู่เสมอว่าให้ระวังวันที่ 21 ของทุกเดือนไม่งั้น
    จะมีเคราะห์ร้าย ซึ่งพระเจ้าหลุยส์กลัวเลขนี้มาก ซึ่งพระองค์จะไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยในวันที่ 21 หากแต่เลข 21 ก็นำมา
    ซึ่งเคราะห์ร้ายจนได้

    เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1791 เกิดเหตุการณ์หน้าประวัติศาสตร์ของโลกคือปฏิวัติฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 16
    และพระราชินี ถูกจับในได้ที่วาแรนจ์ขนะหลบหนีออกจากฝรั่งเศส จนต้องถูกนำตัวกลับปารีส

    เมื่อวันที่ 21 กันยายน 1791 ฝรั่งเศสยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ออกและประกาศตนเป็นสาธารณรัฐ

    และสุดท้ายวันที่ 21 มกราคม 1793 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกบั่นพระเศียรด้วยกิโยติน !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2014
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    รอย ซัลลิแวน


    [​IMG]

    จากสถิติโอกาสที่มนุษย์จะมีโอกาสถูกฟ้าผ่าได้สองครั้ง(ในวันและเวลาที่แตกต่างกัน) แต่กระนั้นก็มีมนุษย์บางคน(และคนเดียวในโลก)
    ที่ถูกฟ้าผ่า 7ครั้ง !!!

    (นักคณิตศาสตร์ประเมินความเป็นไปได้ที่คนคนหนึ่งจะถูกฟ้าผ่า 7 ครั้ง มีโอกาสเพียงแค่
    1 ใน 16,000,000,000,000,000,000,000,000 (16 ตามด้วยศูนย์ 24 ตัว)

    รอย ซัลลิแวน (7 กุมภาพันธ์ 1912 - 28 กันยายน 1983) เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติชาวอเมริกัน ประจำอุทยานแห่งชาติ
    เชนันโดอาห์ในรัฐเวอร์จิเนีย ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1942 ถึง 1977 โดยที่ซัลลิแวนได้เคยถูกฟ้าผ่ามาแล้วถึงเจ็ดครั้งในช่วงเวลา
    ที่ต่างกัน ซึ่งสามารถรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับฉายา "มนุษย์สายล่อฟ้า" เขาได้รับ
    การยอมรับในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ในฐานะที่เคยได้รับอุบัติเหตุจากฟ้าผ่ามากกว่ามนุษย์คนอื่น ๆ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่(ในตอนนั้น)
    ซึ่งเขาถูกฟ้าผ่าเจ็ดครั้งในวันและเวลาที่แตกต่างกันต่อไปนี้

    1942 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าครั้งแรกระหว่างประจำการอยู่บนหอคอยระฆังระวังไฟป่า สายฟ้าฟาดลงมาที่ปลายเท้า ผลลัพธ์คือเล็บหัวแม่โป้งเท้าหลุด

    1969 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างที่กำลังขับรถลงเขา ความแรงของกระแสไฟฟ้าทำให้เขาหมดสติ และเผาขนคิ้วจนไหม้เกรียม

    1970 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างนั่งอยู่บนสนามหญ้า ทำให้ไหล่ซ้ายเป็นแผลไหม้

    1972 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างที่เขาอยู่ในที่ทำการอุทยานฯ คราวนี้เขาเสียเส้นผม

    หลังจากถูกฟ้าผ่ามาแล้ว 4 ครั้ง รอยคิดว่าเขาต้องไม่ประมาท นับตั้งแต่นั้นมา เขาพกกระติกน้ำติดตัวตลอดเวลาเพื่อเอาไว้ดับไฟ

    1973 ขณะที่ขับรถอยู่นั้น ฟ้าผ่าก็ฟาดลงกลางศีรษะของรอยอย่างแรงจนเขากระเด็นออกมานอกรถ และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องเสียเส้นผม

    1976 ซัลลิแวนเห็นก้อนเมฆลอยตามเขาเหมือนจงใจ รอยเดาได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา จึงพยายามวิ่งหนีแต่ก็ไม่พ้น เขาถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 6 ตรงบริเวณลานตั้งแคมป์

    1977 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 7 ระหว่างที่กำลังนั่งตกปลา คราวนี้ค่อนข้างจะโดนหนักหน่อย เขาถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะหน้าอกและท้องเป็นแผลไฟลวก

    แต่การรอดชีวิตจากฟ้าผ่านั้นมันไม่ดีเสียเลยเมื่อผู้คนต่างพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่อยู่ใกล้กับซัลลิแวน ในช่วงหลังอันเนื่องมาจากการกลัวถูกฟ้าผ่า และนี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจสำหรับเขา ครั้งหนึ่งเขาได้เคยกล่าวไว้ว่า

    "เช่น เมื่อผมเดินไปกับหัวหน้าพิทักษ์ป่าในวันหนึ่ง ได้มีฟ้าผ่าลงมา
    หัวหน้าได้กล่าวว่า ผมจะขอไปหาคุณในภายหลังก็แล้วกัน"

    ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1983 ซัลลิแวนได้เสียชีวิตลงในวัย 71 ปี ด้วยการยิงตัวเองเข้าที่ช่องท้อง หมวกเจ้าหน้าที่สองใบของเขาได้รับการจัดแสดงในกินเนสส์เวิลด์เอ็กฮิบิทฮอลในนครนิวยอร์กและรัฐเซาท์แคโรไลน่า

    เรื่องลึกลับ วิทยาศาสตร์ ของหายาก น่าสนใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 พฤษภาคม 2014
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ฆาตกรรมซ้ำสองในเวลาห่างถึง 157 ปี

    [​IMG]

    ความบังเอิญที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงสองคนคือ แมรี่ แอชฟอร์ดและนางบาร์บารา ฟอร์เรส

    ทั้งสองต่างตกเป็นเหยื่อของฆาตกรที่คล้ายคลึงกันในหมู่บ้านเล็กๆ ประมาณ 5 ไมล์นอกเมืองเบอร์มิงแฮมในประเทศอังกฤษ

    ทั้งคู่มีอายุ 20 ปีเหมือนกัน, เกิดวันเดียวกัน, ถูกฆาตกรข่มขืนและฆ่ารัดคอเหมือนกัน ร่างกายถูกพบห่าง 300 หลาเหมือนกัน และถูกพบวันจันทร์ของวันที่ 27 พฤษภาคมเหมือนกัน หากแต่สิ่งที่แตกต่างกันคือทั้งสองถูกพบคนละปี คือ ค.ศ.1817 และ 1974 ห่างกันถึง 157 ปี!

    เรื่องราวบังเอิญยังไม่จบเพียงเท่านั้น วันเกิดเหตุทั้งสองต่างมาเยี่ยมเพื่อนในตอนเย็นเพื่อเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อไปงานเต้นรำท้องถิ่นตอนเย็น (เชื่อว่าเป็นที่พวกเธอพบฆาตกร)

    หลังจากมีการพบศพทั้งสอง ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมทั้งสองคดีมีชื่อทอร์ตัน เหมือนกัน ทั้งสองทอร์ตันถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม และพิพากษายกฟ้องในเวลาต่อมา ซึ่งความบังเอิญน่ากลัวดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรนั่น ไม่มีใครรู้ได้


    รวมเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นจริง
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=pZyttLoTcJM]รวมเรื่องเหลือเชื่อ - YouTube[/ame]
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    ในศตวรรษที่ 19 เอ็ดการ์ อัลเลน โพ (1809-1849) เจ้าพ่อแห่งนวนิยายสยองขวัญยุคใหม่ได้เขียนนิยายที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งชื่อเรื่องเล่าของอาร์เธอร์ (The Narrative of Arthur Gordon Pym of Nantucket) ซึ่งวางแผงเมื่อปี 1838

    เนื้อหาประมาณว่าเรือแตกมีผู้รอดชีวิตสี่คนและอยู่ในซากเรือหลายวันท่ามกลางอาหารขาดแคลน และเมื่อหลายวันต่อมาคนที่รอดชีวิตก็ตัดสินใจที่จะฆ่าและกินเด็กในห้องโดยสารที่ชื่อริชาร์ด ปาร์คเกอร์

    ในปี 1884 เรือใบมิยองเน็ตเกิดล้มลงกลางทะเลมีผู้รอดชีวิตเพียงสี่คนและติดอยู่ในเรือหลายวัน และสามลูกเรือตัดสินใจ...

    ฆ่าเด็กในห้องโดยสาร โดยเด็กชายคนนั้นชื่อริชาร์ด ปาร์คเกอร์ !!!
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เรือไททานิก

    [​IMG]

    วันที่ 14 เมษายน ปี 1912 “ไททานิก” เรือเดินสมุทรใหญ่ที่ในโลกในขณะนั้น ได้ออกเดินทางครั้งแรก
    ด้วยความยิ่งใหญ่ของมันหลายคนต่างขนานนามมันว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" แน่นอนผลเป็นไงก็รู้นะ ก็มันเกิดไปชนภูเขาน้ำแข็งแล้วจมลงสู่ท้องมหาสมุทร

    ก่อนหน้านี้ 14 ปี ก่อนที่ไททานิกจะจมนั้นมีนวนิยายเรื่องหนึ่งออกสู่ท้องตลาด คนเขียนชื่อ มอร์แกน โรเบิร์ตสัน เรื่อง Futility เป็นนิยายเนื้อเรื่องเกือบเหมือนไททานิกมากๆ คือเรื่องกล่าวถึงเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความหรูหรา
    อลังการ มโหฬาร และได้ฉายาว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" เหมือนกันแค่นี้ยังไม่พอความน่าประหลาดใจอยู่ที่รายละเอียด
    ของเรือและเหตุการณ์ที่สอดคล้องกันมาก ดังนี้ คือ


    - ในนิยาย เหตุเกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ ส่วนเรื่องจริง เหตุเกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ

    - ในนิยาย เรื่อเดินทางจากนิวยอร์คไปลิเวอร์พูล ส่วนเรื่องจริง เรือเดินทางจากเซาแธมป์ตันไปนิวยอร์ค

    - ในนิยาย สาเหตุของการสูญเสียเกิดจาก เรือชนภูเขาน้ำแข็ง ใช้ความเร็วสูงเกิน มีเรือช่วยชีวิตน้อยเกินไป "จำนวนขั้นต่ำตามกฎหมายกำหนด"
    ส่วนเรื่องจริง สาเหตุของการสูญเสียเกิดจาก เรือชนภูเขาน้ำแข็ง
    ใช้ความเร็วสูงเกิน มีเรือช่วยชีวิตน้อยเกินไป "จำนวนขั้นต่ำตามข้อกำหนดของสภาการค้า"

    - ในนิยาย เหตุเกิดในเวลากลางคืนของเดือนเมษายน ส่วนเรื่องจริง เหตุเกิดเวลาห้าทุ่ม 40 นาที ในวันที่ 14 เมษายน

    - ในนิยาย เรือไททั่นได้ฉายาว่า เรือที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีในมหาสมุทร ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์
    ส่วนเรื่องจริง เรือไททานิกได้ฉายาว่า เรือที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีในมหาสมุทร สิ่งมหัศจรรย์แห่งยุค เรือที่ไม่มีวันจม

    - ในนิยาย เรือมีความยาว 800 ฟุต ส่วนเรื่องจริง เรือมีความยาว 880 ฟุต

    - ในนิยาย น้ำหนักตัวเรือ 45,000 ส่วนเรื่องจริง น้ำหนักตัวเรือ 46,328

    - ในนิยาย ระวางขับน้ำ 45,000 ส่วนเรื่องจริง ระวางขับน้ำ 66,000

    - ในนิยาย กำลังขับเคลื่อน 40,000 แรงม้า ส่วนเรื่องจริง กำลังขับเคลื่อน 45,000 แรงม้า

    - ในนิยาย จำนวนใบจักร 3 ส่วนเรื่องจริง จำนวนใบจักร 3

    - นอกจากนี้ในเรือก็มีเครื่องยนต์ 3 เครื่อง ทำความเร็ว 24-25 น็อต เท่ากับไททานิกเหมือนกัน
    ระหว่างบรรทุก 70,000 ตัน ซึ่งมากกว่าไททานิก 4,000 ตัน(ต่างกันไม่ถึง 6%) และสั้นกว่าเรือไททานิก
    เพียง 80 ฟุต

    เรือลำดังกล่าว ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งประกอบด้วยผู้โดยสารที่มีชื่อเสียงและคนในสังคม
    ชั้นสูงเหมือนกับไททานิก จากนั้นมันก็ไปชนภูเขาน้ำแข็งกับวันที่ไททานิกจม และเรือช่วยชีวิตไม่พอและมันก็จมสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกเหมือนกัน ที่สำคัญเรือในนิยายของโรเบิร์ตสัน มีชื่อว่า "เรือไททัน"


    [​IMG]
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    Lincoln & Kennedy

    [​IMG]

    Abraham Lincoln ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 16 และ John Fitzgerald Kennedy ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
    คนที่ 35 ต่างมีความเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด ดังเรื่องจริงต่อไปนี้

    Abraham Lincoln ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภา Congress ในปี 1846 John
    F. Kennedy ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภา Congress ในปี 1946
    ซึ่งห่างกัน 100 ปี พอดี

    หลังจากนั้นอีก 14 ปี...
    Abraham Lincoln ได้รับการเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1860
    John F. Kennedy ได้รับการเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1960
    ซึ่งห่างกัน 100 ปี อีกเช่นกัน

    คำว่า Lincoln และ Kennedy ต่างมีตัวอักษรทั้งหมด 7 ตัวเท่ากัน ทั้งคู่เป็นประธานาธิบดีที่ให้ความสนใจกับสิทธิของประชาชนเป็นหลัก



    [​IMG]

    รองประธานาธิบดีของทั้งคู่ชื่อ Johnson Andrew Johnson เป็นรองประธานาธิบดีของ Lincoln เกิดปี 1808
    Lyndon Johnson เป็นรองประธานาธิบดีของ Kennedy เกิดปี 1908
    ชื่อของรองประธานาธิบดีทั้งสองมีความยาว 13 ตัวอักษรเท่ากัน
    และทั้งคู่เกิดห่างกัน 100 ปีพอดี

    Lincoln มีลูก 2 คน ชื่อ Edward และ Robert
    Kennedy มีน้อง 2 คน ชื่อ Edward และ Robert

    Lincoln ต้องพบกับความสูญเสียเมื่อ ลูกชื่อ Edward ป่วยและเสียชีวิต
    Kennedy ต้องพบกับความสูญเสียเมื่อ น้องชื่อ Robert ถูกยิงเสียชีวิต

    เลขาฯ ของประธานาธิบดี Lincoln ชื่อ Kennedy ได้แนะนำว่าไม่ควรเดินทางไปที่โรงละครในวันที่ถูกยิง
    เลขาฯ ของประธานาธิบดี Kennedy ชื่อ Lincoln ได้แนะนำว่าไม่ควรเดินทางไปที่เมือง Dallas ในวันที่ถูกยิง
    และประธานาธิบดีทั้งสองก็ถูกยิงจนเสียชีวิตอย่างปริศนา มือสังหารที่สังหารประธานาธิบดีทั้งสองเป็นชาวใต้เหมือนกัน

    John Wilkes Booth ซึ่งเป็นมือปืนที่สังหาร Lincoln เกิดในปี 1839
    Lee Harvey Oswald ซึ่งเป็นมือปืนที่สังหาร Kennedy เกิดในปี 1939
    ทั้งสองเกิดห่างกัน 100 ปี
    ชื่อมือปืนทั้งคู่มีความยาว 15 ตัวอักษรเท่ากัน

    Lincoln ถูกยิงขณะที่อยู่ในโรงละครชื่อ "Kennedy"
    Kennedy ถูกยิงขณะที่อยู่ในรถยี่ห้อ "Lincoln"
    ทั้งคู่ถูกยิงในวันศุกร์ และถูกยิงที่ศีรษะเหมือนกัน ทั้งคู่ถูกยิงในขณะที่มีภรรยาอยู่เคียงข้าง

    Booth หลังจากซุ่มยิงประธานาธิบดี Lincoln ที่โรงละครแล้วได้หนีไปซ่อนตัวที่โกดัง
    Oswald หลังจากซุ่มยิงประธานาธิบดี Kennedy จากโกดังแล้วได้หนีไปซ่อนตัวที่โรงละคร

    ทั้ง John Wilkes Booth และ Lee Harvey Oswald เสียชีวิตก่อนที่จะได้รับการพิจารณาคดีในชั้นศาล



    เรื่องลึกลับ วิทยาศาสตร์ ของหายาก น่าสนใจ
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    นายโรเบิร์ต ฟอลลอน (Robert Fallon) จากนอร์ธทัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ขึ้นชื่อว่าเป็นนักโปกเกอร์ที่เก่งกาจ แต่ขี้โกง
    และชอบเดินทางไปเล่นโป๊กเกอร์ในหลายที่ในโลก

    จนกระทั้งในปี 1858 เขาถูกนักเล่นพนันในวงใช้ปืนยิงเขาในบ่อนซานฟรานซิสโก เนื่องจากเขาจับโกหกได้ว่าเขาโกง

    แต่กระนั้นปัญหาตามมาก็คือเขาได้ทิ้งเงินเล่นโปกเกอร์ไว้ 600 ดอลลาร์ แต่ไม่มีใครเอาเงินจำนวนนั้นเพราะว่าเป็นเงินอับโชค

    เพื่อเป็นการแก้ปัญหาบรรดานักพนันที่ร่วมเล่นกับฟอลลอนจึงตัดสินใจเรียกคนดูมาเล่นแทนเพื่อให้ครบขา และคนดูคนนั้นก็ได้เงินจากการเล่นโป๊กเกอร์ได้อีก 2,200 ดอลลาร์ หากแต่วงโปกเกอร์แตกเสียก่อนเพราะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    เข้ามาทลายวงและจับกุม

    ต่อมาคดีนี้ก็ไปถึงศาล ศาลได้ตัดสินว่าคนดูคนนั้นควรส่งเงิน 600 ดอลลาร์ในตอนแรกให้แก่บุตรชายของฟอลลอน

    หากแต่ปัญหาตามมาคือฟอลลอนขาดการติดต่อญาติไปหลายปี ทำให้หลายฝ่ายต้องสืบหาประวัติฟอลลอนไปพักใหญ่

    จนกระทั่งรู้มาว่าลูกชายของฟอลลอนนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเลยเพราะเขาก็คือ “คนดู” คนนั้นนั่นเอง เขาเป็นลูกแท้ๆ ของฟอลลอนที่เขาไม่เคยเห็นพ่อนานตั้ง 7 ปี !!!


    เรื่องลึกลับ วิทยาศาสตร์ ของหายาก น่าสนใจ
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    ปี 2010 ไมเคิล ดิ๊ก (Michael Dick) ชาวอังกฤษ พยายามตามหาลูกสาวของเขาที่หายตัวไปยาวนาน 10 ปี นับจากเขาแยกจากภรรยาคนแรกของเขา เขาคาดว่าเธอน่าจะอยู่ที่ Sudbury, Suffolk แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยพบเธอเลย

    แต่ไมเคิลก็ไม่ท้อถอยเมื่อเขาหันไปใช้บริการโฆษณาช่วยเหลือในหนังสือพิมพ์ โดยให้ช่างภาพกดชัตเตอร์ครอบครัวของเขา เพื่อรายงานสถานการณ์ของครอบครัวให้เธอทราบหากได้อ่านมัน

    จนกระทั่งวันหนึ่งไมเคิล ก็พบกับลิซ่าลูกสาว ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณแม่อายุ 31 ปี ซึ่งเธอหายไปจากชีวิตไมเคิลนานถึง 10 ปี

    สาเหตุที่เธอได้พบกับเขาก็เพราะลิซ่าดันไปเห็นรูปของเธอติดมาในรูปถ่ายของไมเคิลและครอบครัว !!

    ซึ่งภาพดังกล่าว ในฉากหลังลิซ่ากำลังเดินผ่านด้านหลังของครอบครัวของไมเคิลไม่กี่ฟุต โดยเธออธิบายสถานการณ์ว่า...

    ตอนนั้นฉันกับแม่ยืนในสถานที่นี้แค่เดินเหมือนปกติทุกวันโดย เธอไม่รู้ว่าไมเคิลอยู่ที่นั่น และบังเอิญช่างภาพกดชัตเตอร์ติดเธอพอดี เธอไม่รู้ว่าภาพดังกล่าวจะถูกนำไปโฆษณาหาคนหายในหนังสือพิมพ์ในเวลาต่อมา

    ลิซ่าอธิบายสถานการณ์ว่า “บางทีอาจเป็นเพราะโชคซะตา”
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    ที่เมืองมอนซ่า สมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 แห่งอิตาลี ได้เสด็จไปร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อเสวยอาหารค่ำพร้อมกับ
    เอมิลิโอ ปอนเซีย-วาญ่า (Emilio Ponzia-Vaglia) เสนาธิการของพระองค์

    เมื่อพระองค์สั่งอาหารก็ได้สังเกตว่า เจ้าของร้านอาหารนั้นหน้าเหมือนพระองค์เป็นอย่างมากและทั้งคู่ก็เริ่มคุยจนเกิดความประทับใจต่อกันทั้งสองฝ่าย

    นอกจากนี้ พวกเขาทั้งสองยังพบความคล้ายกันอื่นๆ อีกมากมาย

    - ทั้งคู่เกิดในวันเดียวกัน ปีเดียวกัน
    - ทั้งคู่เกิดในเมืองเดียวกัน
    - หญิงที่แต่งงานมีชื่อเดียวกันคือ มาร์เกอริตา (Margherita)
    - เจ้าของร้านเปิดร้านอาหารของเขาในวันเดียวที่สมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 ครองราชย์เป็นกษัตริย์อิตาลี
    - และเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม 1900 เจ้าของร้านดังกล่าวได้ถูกยิงลึกลับ

    และในวันเดียวกันนั้นเองสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 ก็ถูกลอบสังหารจากผู้นิยมอนาธิปไตยท่ามกลางฝูงชน
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เกมส์แก้ปริศนาอักษรไขว้เกือบเปลี่ยนประวัติศาสตร์

    [​IMG]

    โดยเรื่องของเรื่องคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มพันธมิตรวางแผนที่จะบุกยุโรปในเดือนมิถุนายน 1944

    ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างรหัสลับขึ้นมาแทนคำพูดเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกรู้ความลับ โดยแต่ละฝ่ายจะใช้ชื่อแผนกลุ่มตนเอง เช่นหากเป็นการโจมตีทางเรือใช้รหัสว่า เนปจูน จุดหมายปลายทางฝรั่งเศส และจุดนัดพบคืออ่าวมัลเบอร์รี่ สมทบยูทาร์และโอมาฮ่า โดยรหัสที่ว่านั้นถูกเก็บเป็นความลับอย่างยิ่งยวด

    หากแต่ว่าก่อน 33 วัน ที่จะมีแผนโจมตียุโรป รหัสลับหลายคำที่ว่าดันไปปรากฏในเกมส์อักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์เดลี เทเล กราฟ ของลอนดอน ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งสร้างความวิตกกับพันธมิตรมากหากนาซีอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แล้วรู้รหัสลับนี้

    โดยตัวอย่างรหัสดังกล่าว ก็เช่น

    - Juno , Gold และ Sword (รหัสชื่อชายหาดที่อังกฤษตั้งขึ้น)
    - Omaha (ชื่อชายหาดวัน D-Day ปรากฏออกมาเมื่อ 22 พฤษภาคม 1944)
    - Overlord (ปรากฏออกมาในวันที่ 27 พฤษภาคม)
    - Mulberry (ชื่อท่าเรือ ปรากฏในวันที่ 30 พฤษภาคม)
    - Neptune (ชื่อรหัสการโจมตีทางเรือ ปรากฏวันที่ 1 มิถุนายน ก่อนปฏิบัติการของทางฝ่ายพันธมิตรเพียงไม่กี่วัน)

    ทำให้หน่วยงานรักษาความมั่นคงของอังกฤษก็คงจะนั่งอยู่เฉยไม่ได้ รีบแจ้งไปจับกุมสายลับของพวกนาซีมาให้ได้

    แต่เมื่อสืบทราบที่มาพบว่าคนทำเกมส์ดังกล่าวเป็นครูโรงเรียนประถมธรรมดาอายุ 54 ปี ชื่อ เลียวนาร์ด ดาวี (Leonard Dawe)
    (3 พฤศจิกายน 1889-12 มกราคม 1963) ที่เขาลงเกมส์ในหนังสือพิมพ์มานานกว่า 20 ปี และไม่รู้เรื่องวัน D-Day อะไรด้วย

    โดยการสอบสวนถามว่าเหตุใดเขาจึงต้องเลือกคำเหล่านี้มาใส่อักษรไขว์ด้วย โดยเขาตอบกลับไปว่ามันผิดกฎหมายเหรอ...ที่เลือกคำที่เขาชอบมาใส่ในเกมส์ และนี้คือเรื่องบังเอิญที่เกือบเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก



    เรื่องลึกลับ วิทยาศาสตร์ ของหายาก น่าสนใจ
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    บทเพลงแห่งความตาย

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4WBZwLkvpFI]The Hungarian Suicide Song - Gloomy Sunday - YouTube[/ame]

    เพลง Gloomy Sunday - บทเพลงแห่งความตาย ที่ถูกสั่งห้ามเปิดในอังกฤษและฮังการี

    ประวัติ

    กลูมมี่ ซันเดย์เป็นเพลงที่แต่งขึ้นโดยนักกวีชาวฮังการีผู้หนึ่ง ชื่อว่า "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า" แต่งโดยหนุ่มฮังกาเรียนนามเรสโซ เซเรสส์ (Reszo Seress)

    มันเริ่มมาจากเมื่อเดือนธันวาคม ปี1932 เรสโซเป็นที่เป็นนักแต่งเพลงยากจน เขาพยายามหาเลี้ยงชีพอยู่ในนครปารีส แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเพลงแต่ละเพลงของเขาไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งคนรักของเขาก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยจนทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง ในที่สุดในวันหนึ่ง ทั้งคู่ก็ต้องถึงคราวแยกทางกัน

    ด้วยเหตุนี้ ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง มันเป็นวันฝนตก เรสโซที่ทั้งหดหู่และเศร้าหมองด้วยเหตุการณ์ต่างๆก็ได้แต่งเพลงนี้ขึ้นในวันนั้น ซึ่งเป็นการบรรเลงทำนองด้วยเปียโน เขาใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ประพันธ์เพลงเสร็จ จากนั้นจึงได้ส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆแต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ

    และสุดท้ายก็มีสำนักพิมพ์บทประพันธ์แห่งหนึ่งรับไว้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากเพลงนี้ได้ถูกเผยแพร่ไปยังมหานครต่างๆทั่วโลก...

    ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมันนี ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ขอให้วงดนตรีเล่นเพลงกลูมมี่ซันเดย์ให้ฟัง หลังจากนั้น เขากลับบ้านและระเบิดศีรษะด้วยปืนรีวอลเวอร์หลังจากบ่นกับญาติๆว่าเขารู้สึกกดดันอย่างรุนแรงกับท่วงทำนองเพลงที่เขาไม่อาจลบมันออกไปได้

    สัปดาห์ต่อมาที่กรุงเบอร์ลินสาวผู้ช่วยร้านขายของแขวนตัวตายอยู่ในแฟลตที่พัก พบบทเพลงกลูมมี่ซันเดย์อยู่ที่ห้องของเธอด้วย

    สองวันหลังจากนั้น เลขานุการิณีในนิวยอร์กได้ฆ่าตัวตายด้วยแก๊ส ในจดหมายลาตายได้ขอร้องให้เล่นเพลงนี้ในงานศพของเธอด้วย

    สัปดาห์ถัดมา ชาวนิวยอร์กอีกรายเป็นชายวัย 82 ได้กระโดดหน้าต่างอพาร์ตเมนท์ชั้น 7 ลงมาตาย โดยก่อนตายเขาได้เล่นเพลงนี้

    ในเวลาไล่เลี่ยกัน วัยรุ่นกรุงโรมก็กระโดดสะพานฆ่าตัวตายหลังจากที่ได้ฟังเพลงมรณะนี้เช่นเดียวกัน

    ไม่นานนักเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้หนึ่งก็ได้ยิงตัวตายหลังจากที่ได ้อ่านเนื้อเพลงนี้ รายต่อมาเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่พยายามกินยาพิษเมื่อได้ยินเพลงน ี้จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง

    ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในกรุงบูตาเบส ชายคนหนึ่งก็ไดยิงตัวตายในขณะที่เพลงนี้กำลังบรรเลงอยู่ และรายอื่นๆอีกมากมาย...

    และผู้ประพันธ์เพลงนี้เองก็ต้องเจอชะตากรรมอันเลวร้าย เมือคิดจะไปคืนดีกับคนรัก แต่ในเวลาต่อมาเขาก็รู้ว่า คนรักของเขาได้กินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว ที่ข้างร่างของเธอคือแผ่นกระดาษบทเพลงกลูมมี่ซันเดย์นั่นเอง

    รัฐบาลฮังการีได้สั่งห้ามไม่ให้เปิดเพลงนี้ออกอากาศ แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังเกิดในที่อื่นๆอีก เช่นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางบีบีซีก็ได้ถูกสั่งห้ามเปิดเพลงนี้เช่นกัน แต่ในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำอย่างรัฐบาลอังกฤษและฮังการี

    โดยสรุปแล้วการฆ่าตัวตายนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพลงนี้ประมาณ 200 รายทั่วโลก

    และในปี 1968 ชาวอังกฤษคนหนึ่งก็ได้กระโดดจากชั้น 8 ของอาคารแห่งหนึ่ง เขาคือ เรสโซ เซเรสส์ ซึ่งไม่สามารถแต่งเพลงได้อีกหลังจากการแต่งทำนองเพลง "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า"

    และนี่เองคือที่มาสำหรับบทเพลงแห่งความตายที่มีชื่อว่า "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า" หรือ "gloomy sunday"



    เนื้อเพลง


    เพลง "Gloomy Sunday"
    แต่งโดย ลาฟโร จาร์วัว
    ทำนองโดย เรสโซ เซเรสส์

    Sunday is gloomy, my hours are slumberless
    Dearest the shadows I live with are numberless
    Little white flowers will never awaken you
    Not where the black coach of sorrow has taken you
    Angels have no thought of ever returning you
    Would they be angry if I thought of joining you?

    Gloomy Sunday

    Gloomy is Sunday, with shadows I spend it all
    My heart and I have decided to end it all
    Soon there'll be candles and prayers that are sad I know
    Let them not weep let them know that I'm glad to go
    Death is no dream for in death I'm caressing you
    With the last breath of my soul I'll be blessing you

    Gloomy Sunday

    Dreaming, I was only dreaming
    I wake and I find you asleep in the deep of my heart, here
    Darling, I hope that my dream never haunted you
    My heart is telling you how much I wanted you


    คำแปล


    วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า

    วันอาทิตย์นี้ช่างแสนเศร้า ฉันอยู่แต่ในความมืดมานานพอแล้ว
    ฉันและหัวใจของฉันได้ตัดสินใจที่จะจบทุกอย่างแล้ว
    อีกไม่นานฉันก็จะห้อมล้อมไปด้วยธูปเทียนและคำภาวนา ฉันรู้ว่ามันเศร้า
    แต่อย่าร้องไห้ไปเลย เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการทำ
    ความตายสำหรับฉันไม่ใช่ความฝัน เพราะว่าฉันจะได้สัมผัสเธออีกครั้ง
    ด้วยลมหายใจสุดท้ายของฉัน ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ

    วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า

    นั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน
    ฉันตื่นขึ้นมาเห็นเธออยู่เคียงข้างในใจของฉัน
    ฉันหวังว่าความฝันของฉันนั้นไม่ได้ทำให้เธอเศร้า
    เพราะหัวใจของฉันกำลังบอกเธอว่า ฉันต้องการเธอมากแค่ไหน

    วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า

    เครดิต - https://th-th.facebook.com/NiyayXeaMaChaer?hc_location=timeline
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2014
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    Anneliese Michel ร้องเหมือนเสียงปีศาจ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-4xiT67GrbY]Real Anneliese Michel 6 demons - YouTube[/ame]


    เรื่องราวต่อไปนี้ เป้นเรื่องจริงที่เกิดจากคนที่มีตัวตนอยู่จริง

    Anneliese Michel อันเนลีส มิเชล เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952 ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก ( Catholic ) เธอเป็นเคสทีมีอาการที่เรียกว่า ผีเข้า ( Exorcism ) เด่นชัด และมีอาการยาวนานจนเธอเสียชีวิต โดยมีอาการพูดด้วย เป็นเสียงของปีศาจ และอาการแปลกๆ เป็นเป็นที่สนใจของสาธารณะชนอย่างมาก โดยชีวิตของเธอยังเป็นเค้าโครงภาพยนต์ สุดสยอง เรื่อง " The Exorcism of Emily Rose" และเรื่อง " Requiem " จากชีวิตจริงของเธอ

    ประวัติส่วนตัว ของ Anneliese Michel
    • เธอเกิดวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952
    • เธอเป็นบุตรสาวของ โจเซฟ และ อันนา มิเชล
    • เธอตายวันที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ. 1976 ด้วยวัย 23 ปี
    • เธอนับถือศาสนา คริสต์ นิกายคาธอลิก ( Catholic )
    • เธอมีพี่น้องรวมกัน 4 คน เป็นหญิงล้วน
    • ครอบครัวของเธอเป็นพวกเคร่งศาสนา ซึ่งนั้นอาจเป็นเหตุ แห่งเรื่องราวอันเลวร้ายของเธอ

    จุดกำเนิด แห่งเรื่องราวอันเลวร้าย(ผีเข้า) ของ Anneliese Michel

    • อันนา มิเชล มารดาของ Anneliese เกิดตั้งท้องก่อนแต่งงาน และนั้นถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างมากสำหรับชาวคาธอลิกที่เคร่งศาสนา และการลงโทษก็คือทางครอบครัวบังคับให้ อันนา มิเซล แต่งชุดดำในวันแต่งงาน

    • 1956 บุตรสาวคนโต (ไม่ทราบชื่อ) ที่เกิดจากการท้องก่อนแต่งเกิดเสียชีวิตลง ยิ่งทำให้ อันนา ยิ่งคิดว่าบาปกรรมได้ตามลงโทษเธอ ทำให้อันนาบังคับ ให้ Anneliese สวดมนต์ ชำระบาปอย่างสม่ำเสมอ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    • 1968 ขณะที่ Anneliese อายุได้ 16 ปี เธอเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรงเป็นครั้งคราว พ่อแม่ของเธอนำเธอไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์ระบุว่าเธอเป็นโรคลมบ้าหมูชนิดร้ายแรง แพทย์ได้จ่ายยามาให้กินแต่อาการของเธอกลับยิ่งทรุดลง

    • 1968-1973 ตลอด 5 ปีั เธอต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุดลงทุกวัน ประกอบกับความเชื่อทางศาสนา ทางครอบครัวของเธอจึงเริ่มหันเข้าสู่วิธีทางไสยศาสตร์ เพราะคิดว่าอาการของเธอ เกิดจาก ผีเข้า


    [​IMG]

    บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) และ หลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) สองหลวงพ่อที่ประกอบพิธีไล่ผี ให้แก่ Anneliese

    • 1975 เดือนกันยายน บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) และหลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) เป็นผู้ประกอบพิธี ตามกำหนดแล้วพิธีไล่ผี หรือ ปีศาจ ร้ายนี้จะต้องทำกันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ครั้งหนึ่งใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง ระหว่างประกอบพิธีกรรมอาการของ Anneliese จะดิ้นรนอย่างแรงจนต้องใช้ผู้ชายจับครั้งละ 3 - 4 คน บ้างครั้งต้องล่ามโซ่ไว้ เป็นที่น่าแปลกประหลาดใจว่า อาการของเธอกับดีขึ้นอย่างมากจนเธอสามารถกลับไปเรียน ไปโบสถ์ได้ตามปกติ แต่อาการก็ดีได้เพียงระยะสั้น

    • 1976 ผลจากการเข้าพิธีไล่ผีอย่างเข้มข้น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดน้ำและอาหาร ก็ทำให้เธอล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม ไข้ขึ้นสูงจนเธอไม่ขยับตัวได้ แต่พิธีไล่ผีก็ยังต้องดำเนินต่อไป และการประกอบพิธีในวันที่ 30 มิถุนายน ก็เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการประกอบพิธีกรรม เพราะในวันรุ่งขึ้นเธอก็เสียชีวิตลงอย่างเดียวดายในห้องนอนของเธอ เมื่อพ่อแม่ของเธอมาพบเธอก็เสียชีวิตลงแล้วในเช้าวันที่ 1 กรกฏาคม 1976 เล่ากันว่า ประโยคสุดท้ายที่ Anneliese พูดกับแม่ของเธอในคืนก่อนหน้านั้น ก็คือ “แม่...หนูกลัว”

    • หลังจากการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ พบว่าเธอเสียชีวิตจาก อาการขาดสารอาหาร และน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นถ้ามีการเอาใจใส่หรือดูแลเธอที่ดีกว่านี้

    • ตลอดช่วงเวลา 10 เดือนหลังก่อนเสียชีวิต เธอต้องเข้ารับพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง

    • จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำหให้อัยการรัฐสั่งฟ้องร้อง พ่อ แม่ของเธอ พร้อมด้วยบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ ด้วยข้อหา กระทำการโดยประมาทอันทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

    • 1978 เดือนกุมภาพันธ์ ได้มีการขุดศพของ Anneliese Michel ขึ้นมา แล้วฝังลงไปใหม่ มีข่าวลือว่า มีแม่ชีมาบอกว่าศพของ Anneliese Michel นั้นไม่เน่าเปื่อย จึงมีการขุดขึ้นมา แต่ทางครอบครัวอ้างว่าที่ขุดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนโลงเป็นโลงอย่างดีให้แก่เธอ

    • 1978 เดือนมีนาคม บาทหลวงให้การแก่ศาลว่า Anneliese Michel ถูกผีเข้าโดยใช้เทปเสียงระหว่างการประกอบพิธีกรรมไล่ผี เป็นหลักฐาน และถ้อยคำในเทป บางส่วนที่หลวงพ่อระบุว่า เป็นสำเนียง แฟรงกลิช ซึ่งเป็นสำเนียงเสียงของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผีร้ายที่เข้าสิงเธอ แต่ศาลเห็นคำแก้ต่างฟังไม่ขึ้นและสั่งลงโทษจำคุก จำเลยทั้งสี่เป็นเวลา 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปีแทน


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    เรื่องจริงของหญิงสาว ที่ถูกผีเข้าจนตาย
     
  14. อสุนีบาต

    อสุนีบาต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +237
    สุดยอดจริงๆ เอาเรื่องแบบนี้มาลงอีกนะคะ คนนี่ก็ช่างสังเกตุนะ
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    บันทึกสถิติหญิงที่ตัวเล็กที่สุดในโลก

    [​IMG]

    [​IMG]

    จโยติ อัมเก้ จากเมืองนักปูร์ ประเทศอินเดีย ได้รับการบันทึกสถิติจากกินเนส เวิล์ด เรคคอร์ดให้เป็นหญิงสาวที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ด้วยความสูงเพียง 62.7 เซนติเมตรและน้ำหนักเพียง 5 กิโลกรัม โดยเมื่อวานนี้ (12 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ อัมเก้ ได้เดินทางไปยังตึกเอมไพรด์ สเตจ ชั้น 86 ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐ เพื่อทำการโปรโมตหนังสือกินเนส เวิล์ด เรคคอร์ดฉบับปี 2557

    สำหรับนางสาวอัมเก้นั้น ร่างกายของเธอมีลักษณะแคระแกร็นจากความผิดปกติแต่กำเนิด ในการสร้างและเจริญเติบโตของกระดูกอ่อน ซึ่งทำให้เธอมีความสูงเทียบเท่ากับเด็กอายุ 2 ขวบเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอมีอายุ 19 ปีแล้ว

    ทั้งนี้เธอเป็นเจ้าของสถิติหญิงสาวที่ตัวเล็กที่สุดในโลกมาแล้วหลายครั้ง และแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีหญิงสาวที่เป็นเจ้าของสถิติตัวเล็กที่สุดโลกมากกว่า อัมเก้ ก็ตาม แต่เจ้าของสถิติคนก่อนหน้านี้ได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2438 โดยเธอมีชื่อว่า พอลลีน มัสเตอร์ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีส่วนสูงเพียง 58 เซนติเมตรเท่านั้น

    อัมเก้ ได้เปิดเผยอีกว่า ภายหลังจากที่กินเนส เวิร์ล เรคคอร์ด ได้บันทึกสถิติของเธอ ถือเป็นการเปิดโลกกว้าง และทำให้เธอได้เดินทางไปในสถานที่ต่างๆทั่วโลก นอกจากนี้ชื่อเสียงของเธอยังสร้างโอกาสให้เธอได้เป็นนักแสดงของในวงการบอลลิวูดส์ ซึ่งเธอก็ยอมรับว่า เธอวาดฝันถึงการได้เป็นนักแสดงในวงการฮอลลิวูดส์ด้วยเช่นกัน


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=oyky5ZYi0_c]กินเนสบุ๊ค บันทึกสถิติหญิงตัวเล็กที่สุดในโลกสูงเพียง 62.7 ซม.! - YouTube[/ame]
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    จับคนตายมาถ่ายภาพ...สยอง...

    Post-Mortem Photgraphy หรือเรียกกันว่า Memorial Portraiture

    หรือ Memento Mori (ภาษาละติน) เป็นการถ่ายภาพบุคคลที่เสียชีวิตแล้วไว้เป็นที่ระลึก

    กิจการถ่ายภาพนี้ได้รับความนิยมหลังจากมีการคิดค้นวิธีถ่ายภาพแบบ ดูแกรีโอไทพ์ (Daguerreotype) ในปี 1839 เนื่องจากบางคนไม่สามารถนั่งเป็นแบบในการเขียนภาพเหมือนบุคคลได้ (Painted Portrait) และการถ่ายภาพดังกล่าวยังมีราคาถูกกว่าและรวดเร็วกว่า จึงเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นกลางที่ต้องการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เสียชีวิตไปแล้วเก็บไว้เป็นที่ระลึก

    กิจการการถ่ายภาพแบบนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ทางแถบทวีปยุโรป และค่อยๆ สูญหายไป (Die out) หลังจากมีการคิดค้นการถ่ายรูปแบบ Snapshot

    ในช่วงยุควิกตอเรียน (Victorian Era) อัตราการตายของเด็กและทารกนั้นสูงมาก ภาพถ่ายส่วนใหญ่จึงเป็นภาพถ่ายของเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ และเมื่อมีการคิดค้นภาพแบบ Carte de Visite (ภาพเล็กๆ ที่อยู่บนการ์ด) ทำให้สามารถทำสำเนาภาพแจกจ่ายให้กับบรรดาญาติทั้งหลายได้อีกด้วย

    การถ่ายภาพ Post-Mortem Photgraphy มีทั้งแบบที่ถ่ายใกล้ๆ (Close up) ใบหน้าและแบบถ่ายเต็มตัว ส่วนมากจะไม่นำเอาโลงศพเข้ามาประกอบ ศพที่นำมาถ่ายจะมีลักษณะเหมือนกำลังหลับลึก หรือมีการจัดท่าทางให้ดูเหมือนมีชีวิต

    ศพผู้ใหญ่จะถูกจัดท่าให้นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยใช้ไม้หรือวัสดุอื่นๆ มาช่วยค้ำ หรือไม่ก็ผูกติดกับวัสดุที่เอามาค้ำ บางครั้งก็ใช้วัสดุมาช่วยค้ำเปลือกตาเพื่อให้ดูเหมือนกำลังลืมตา หรืออาจจะใช้วิธีเขียนตาลงไปบนภาพเพื่อให้ดูมีชีวิตมากยิ่งขึ้น

    สำหรับภาพถ่ายช่วงแรกๆ (โดยเฉพาะแบบ แอมโบรไทพ์ (Ambrotypes) และแบบทินไทพ์ (Tintype) จะมีการนำเอาสีชมพูอ่อนๆ มาแต้มที่แก้มศพด้วย ในกรณีที่เป็นการถ่ายภาพเด็กมักจะจัดท่าให้เหมือนนอนอยู่บนที่นอน หรือถ่ายภาพคู่กับของเล่นชิ้นโปรด รวมทั้งมีการถ่ายคู่กับสมาชิกในครอบครัว (ส่วนใหญ่จะถ่ายคู่กับผู้เป็นมารดา) นอกจากนี้มักจะนำเอาดอกไม้มาประดับตกแต่งด้วย


    [​IMG]


    [​IMG]

    ศพเด็กผู้หญิงถูกจับให้โพสต์ทำท่านั่งเล่นตุ๊กตา


    [​IMG]

    หญิงสาวลูกคนมีตระกูลซึ่งตายแล้วแต่ถูกจับให้โพสต์ในท่ายืน
    ลองสังเกตขายันเหล็กที่ล็อคตัวของเธอไว้ใต้ชุดกระโปรง
    ให้ยืนได้แบบเดียวกับตุ๊กตา


    [​IMG]

    น้องสาวกับศพพี่ชายที่ตายไปแล้ว



    [​IMG]

    เด็กโดนจับโพสต์ท่านั่งแล้วเปิดตา ศพมักไม่มีแววความสดใสในดวงตาและรอยยิ้ม


    [​IMG]

    เจ้าสาวผู้โชคร้ายเสียชีวิตแล้ว เธอถูกจับให้โพสต์เหมือนคนยังมีชีวิต


    [​IMG]

    อันนี้ก็มีฐานล็อคใต้ชุดให้ยืนได้


    [​IMG]


    [​IMG]

    ทายซิว่าคนไหนคือนางแบบ (ศพ)


    http://board.postjung.com/752401.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 พฤษภาคม 2014
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ผู้ชายอุ้มท้องคู่แฝดของตัวเอง

    [​IMG]

    เป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่งที่กระทาชายชาวอินเดียนายหนึ่ง มีนามว่า ซันจู ภากัต (Sanju Bhagat) อายุ 36 ปี ชายชาวนายากจนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองนาคปุระ (Nagpur) รัฐมหาราษฎระ เกิดมีท้องขนาดใหญ่โตผิดปกติมานานและเนื่องจากเขาเป็นคนผอมบาง จึงดูคล้ายคนท้องใกล้คลอดประมาณนั้น จนเป็นที่หัวเราะล้อเลียนของเพื่อนบ้าน

    นายซันจูนี่ก็อุตส่าห์ปล่อยให้ท้องของตนเองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเกินจะแบกรับไหว หายใจหายคอไม่ออก จนต้องนำส่งโรงพยาบาล และเขาก็ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที แพทย์สันนิษฐานว่าเป็นเนื้องอกขนาดใหญ่ผิดปกติ และเป็นห่วงว่าจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ระหว่างการผ่าตัด บรรดาแพทย์ต่างก็เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดเมื่อเริ่มต้นผ่าตัดเอาเนื้องอกอันตรายนี้ออก และไม่มีใครกล้าคาดเดาว่าสิ่งที่จะเอาออกมานี้คืออะไรกันแน่

    ทันทีที่ศัลยแพทย์ผ่าตัดลึกเข้าไปในช่องท้อง ก็มีของเหลวไหลทะลักออกมา ปริมาณเกือบจะเต็มถังน้ำได้ และแล้วสิ่งประหลาดที่สุดก็เปิดเผยออกมา เมื่อแพทย์คนหนึ่งล้วงมือเข้าไปภายใน แล้วแจ้งว่าในช่องท้องเต็มนั้นไปด้วยกระดูก จากนั้นก็ดึงเอาชิ้นส่วนแรกออกมาเป็นแขนขา ตามด้วยชิ้นส่วนอื่นๆ เช่น อวัยวะเพศ ผม กราม เป็นต้น ปรากฏว่าสิ่งที่เอาออกมาจากท้องของนายซันจูนี้ เป็นกึ่งสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุด ที่มีแขนขาที่เจริญได้ที่พร้อมเล็บที่ยาวพอสมควร

    สิ่งมีชีวิตหน้าตาน่ากลัวที่ดึงออกมาจากท้องกระทาชายนายนี้จริงๆ แล้วก็คือ ร่างของคู่แฝดของนายซันจูนั่นเอง กรณีท้องโตของนายซันจูจึงกลายเป็นตัวอย่างประหลาดและหายากที่สุดทางการแพทย์ ที่ตัวอ่อนทารกเติบโตอยู่ในตัวอ่อนอีกทีหนึ่ง

    และตามรายงานของแพทย์กล่าวว่า เท่าที่ทราบพบเพียง 90 รายในประวัติศาสตร์การแพทย์ กรณีที่แฝดพี่น้อง คนหนึ่งติดอยู่ในตัวของอีกคน และก็เจริญเติบโตคล้ายกับพยาธิที่อยู่ในตัวคู่แฝดอีกคนนั้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้มีแนวโน้มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก และปกติแล้วแฝดทั้งคู่ก็มักไม่รอดชีวิตเมื่อคลอดออกมาดูโลก

    อย่างไรก็ตามมีน้อยรายมากที่แฝดทั้งคู่จะรอดชีวิตอยู่โดยมีอีกคนอยู่ภายในตัวของอีกคน และเติบโตมีชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยอาหารที่ผ่านสายสะดือเดียวกัน โดยอีกคนเป็นลักษณะของตัวอ่อนที่ยังไม่พัฒนาคล้ายพยาธิที่อยู่ในท้อง และมักจะถึงมือหมอเมื่อตอนที่ตัวอ่อนนั้นเติบโตขึ้นมากๆ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่คู่แฝดที่เป็นเจ้าของร่าง

    ภายหลังการผ่าตัด นายซันจูก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมากโดยทันที และเมื่อหมอแจ้งกับเขาว่าได้ผ่าตัดเอาสิ่งใดออกจากท้องของเขา เขาก็ปฏิเสธที่จะดูหน้าตาของคู่แฝดตนเอง ท้ายที่สุดก็เดินทางกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติสุขที่นั่น แต่ตัวเขาก็ยังเป็นที่ล้อเลียนนินทาของเพื่อนบ้านต่อไปว่า เขาเข้าเมืองไปช่วงหนึ่งเพื่อไปคลอดลูกมา ซึ่งก็มีส่วนใช่อย่างที่ชาวบ้านเขาว่าเหมือนกันเนอะ!



    เรื่องเหลือเชื่อในอินเดีย – ผู้ชายอุ้มท้องคู่แฝดของตัวเอง
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [​IMG]

    ทุกอย่างเริ่มต้น ด้วยนักช่างภาพสองคนที่ภาคเหนือของ บอตสวานา ที่อยู่ๆก็ได้พบกับกลุ่มลิงบาบูน ประมาณ สามสิบ ตัว ลิงบาบูนเหล่านี้กำลังถูกไล่ล่าโดยสิงโตตัวเมียตัวนึง และด้วยความโชคร้ายนั้น แม่บาบูนและทารกน้อย ก็โดนไล่ทันและโดนกัดไว้ในปากจนได้

    สิ่งที่ สอง ช่างภาพ ของเราไม่ได้ คาดหวังเลยว่า พวกเขาจะได้เป็นพยาน พร้อมกับ
    บันทึกเหตุการณ์ โดยช่างภาพ David Attenborough จะพลาดไม่ได้เลยกับถ่ายสกู๊ปข่าวนี้


    [​IMG]

    ขณะที่ สิงโตได้กัดแม่ลิงบาบูนจนเสียชีวิตแล้ว ลิงบาบูนน้อยได้หลุดออกมาจากปากของสิงโตนั้นได้ และก็พยายามที่จะให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ โดยจนตะเกียกตะกายไปจนถึงต้นไม้

    สิงโตนั้นประหลาดใจมากว่า ลิงบาบูนน้อยตัวนี้ได้หลุดออกมาจากความตายทั้งที่แม่ตนเองได้ตายไปแล้ว จนสามารถคลานไปถึงต้นไม้ได้ยังไง


    [​IMG]

    ลิงบาบูน ทารกพยายามที่จะ ปีน ต้นไม้ขึ้นไป

    แต่ก็เท่านั้น ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเกินไป ทำให้ไม่สามารถปีนจนถึงที่สุดได้

    หลังจากนั้นเอง สิงโตก็เริ่มเดินเข้ามาใกล้ลิงบาบูน ทารกขึ้นเรื่อยๆ

    นี้จะเป็น ช่วงเวลาที่ เราทุกคนจะต้องกลั้นหายใจแล้ว ใช่มั้ย?

    [​IMG]

    และทันใดนั้น มันช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน! สิงโตไม่ทำอะไรเลย แต่กลับจะเล่นกับลิงบาบูนตัวน้อยที่สั่นกลัว ด้วยความอ่อนโยนแทน

    แต่ลิงบาบูนทารกเองก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่และ ยังคง อ่อนแอ หลังจากที่สิงโตพึ่งจะงับตัวมันไป

    ณ จุดนี้เองสองช่างภาพ ของเรากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากในการบันทึกเรื่องราวต่อไป เพราะ พวกเขารู้ว่าโชคชะตาของทุกคนมันไม่เข้าใครออกใคร และสิงโตอาจเกิดเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ


    [​IMG]

    แต่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ !
    มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในโลกนี้
    นอกเสียจากการ์ตูนดิสนีย์ที่คนเราเอามาแต่งขึ้นเท่านั้น

    [​IMG]

    สิงโตตัวนั้นได้จับเจ้าลิงบาบูนตัวน้อยมา และทิ้งร่างนอนไปด้วยกัน
    รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดและความอ่อนโยนของสัตว์คู่นี้


    [​IMG]

    ลิงบาบูน ทารกในที่สุดก็ เริ่มที่จะ ตอบสนองสิงโต
    ไม่ว่าจะเริ่มดึงขนหน้าอกสิงโต และพยายามที่จะดูดนมจากตัวสิงโต


    [​IMG]

    และทันใดนั้น สิงโตตัวอื่น ๆ ก็เริ่มที่จะสนใจและ เข้าใกล้ พวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
    สิงโตตัวเมียนั้นรู้ได้เลยทันทีว่าต้องปกป้องเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ระหว่างอกของเธอ
    สิงโตเลยไล่พวกฝูงของมันด้วยท่าทีก้าวร้าว!
    เพื่อที่จะให้พวกมันถอยกลับไป


    [​IMG]

    ในขณะเดียวกันนั้น พ่อลิงบาบูนน้อยกำลังคอยเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมด
    และ กำลังรอคอยเวลาเหมาะสมที่จะเข้าไปช่วยชีวิตลูกของมัน

    เขาได้เช็คอย่างรอบความถึงเวลาที่เหมาะสมในการลงไปช่วยลูกของมัน
    ทันทีที่ เขาเห็น โอกาส
    เขา บินโฉบ ลงมาและ คว้า ลิงบาบูน ทารก
    และพาขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความปลอดภัย


    [​IMG]

    นี่คือเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน
    ตั้งแต่จาก ความอ่อนโยนของสิงโตที่่มีให้กับทารกน้อยบาบูน
    ตลอดไปจนถึงพ่อลิงบาบูนที่กล้าหาญ ที่ทำให้ เรื่องนี้จบลงได้ด้วยดี

    และเครดิตทั้งหมดคงต้องยกให้
    สอง ช่างภาพ ที่ จับภาพ เหตุการณ์ทั้งหมด
    โดยช่างภาพ Evan Schiller and Lisa Holzwarth นั้นเอง


    จริงหรอ เมื่อสิงโตฆ่าลิงบาบูน? แต่สิ่งที่เขาจะทำต่อไปนั้น อาจทำให้คุณ ช๊อค!!!
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เมื่อสิงโตเจอหญิงผู้เคยช่วยชีวิตมัน

    ประชาชนชาวเมืองคาลิ โคลอมเบีย ต่างตกตะลึงที่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิงโตพันธุ์อัฟริกัน ร่างยักษ์ และหญิงที่ช่วยมันจากการถูกทารุณกรรม ด้วยการกอดและจูบที่ดูดดื่มยาวนานของทั้งคู่

    เอนา จูเลีย ทอร์เรส วัย 47 ปี เจ้าหน้าที่ของศูนย์ดูแลสัตว์วิลลา ลอเรนาในคาลิ ให้อาหารและพยาบาลเจ้าจูปิเตอร์ สิงโตอัฟริกันจนกลับมามีสุขภาพดี หลังจากที่เมื่อหลายปีก่อน เธอพบเจ้าจูปิเตอร์ถูกทารุณกรรม และร่างกายซูบผอมในคณะละครสัตว์ร่อนเร่

    ทอร์เรส กล่าวว่า “มันน่าอัศจรรย์ที่เห็นสัตว์เช่นนี้ช่างน่ารักและมีความรักใคร่ กอดนี้เป็นกอดที่จริงใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับในชีวิต”


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Bvq2OeMrca0]เมื่อสิงโต เจอหญิง ที่เคยช่วยชีวิตมัน จะทำอย่างไร - YouTube[/ame]
     
  20. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ขอบคุณน้องมินต์ ที่นำมาให้ชม
    เป็นกำลังใจให้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...