พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมให้บุตรภรรยาเป็นทานเหมือนกันหมดหรือ หรือให้เฉพาะพระเวสสันดร?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 กรกฎาคม 2006.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    ถามเรื่อง

    ทานของพระเวสสันดร
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0>[FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]

    “ ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    ย่อมให้บุตรภรรยาเป็นทานเหมือนกันหมดหรือ หรือให้เฉพาะพระเวสสันดรเท่านั้น ”
    “ ขอถวายพระพร เหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่พระเวสสันดร ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้ทานบุตรและภรรยาเหมือนกันหมด ก็ขอถามว่าให้ด้วยความยินยอมของบุตรภรรยาเหล่านั้นหรือไม่ ? ”
    “ ขอถวายพระพร สำหรับภรรยานั้นยินยอม แต่ว่าบุตรนั้นยังเป็นทารกอยู่ ก็ร้องไห้เพราะยังไม่รู้จักอะไร ถ้ารู้ความดีแล้วก็ยินดีตาม ไม่ร้องไห้รำพันเช่นนั้น ” ​

    <CENTER> </CENTER><CENTER>คำถามที่กระทำได้ยาก ๗ ข้อ</CENTER>
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระนาคเสน การที่พระโพธิสัตว์ได้ให้บุตรอันเป็นที่รักของตน เพื่อไปเป็นทาสพราหมณ์ เป็นการกระทำได้ยาก ข้อที่ ๑
    การที่พระโพธิสัตว์ได้เห็นพราหมณ์ผูกมัดพระเจ้าลูกทั้งสอง ด้วยเครือไม้แล้วเฆี่ยนตีไป แต่ทรงเฉยอยู่ได้นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๒
    การที่พระโพธิสัตว์ได้ยกพระเจ้าลูกทั้งสองที่สลัดเครื่องผูกให้หลุดออก แล้ววิ่งกลับไปหาพระองค์อีกนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้พราหมณ์ ผูกมัดไปด้วยเครือไม้อีก เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๓
    การที่พระโพธิสัตว์ทรงได้ยินเสียงพระเจ้าลูกทั้งสองร่ำร้องไห้ว่า “ พราหมณ์ นี้เป็นยักษ์จะนำหม่อมฉันทั้งสองไปกินเสีย ” ก็ทรงเฉยอยู่ไม่ทรงปลอบโยนว่า “ อย่ากลัวเลยลูกเอ๋ย ” อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๔
    การที่พระชาลีกุมาร ได้หมอบกราบลงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่พระบาทว่า “ ขอให้พระน้องนางกัณหากลับมาอยู่กับพระองค์เถิด หม่อมฉันผู้เดียวจะไปกับยักษ์ ยักษ์จะกินหรืออย่างไรก็ช่าง ” แต่พระเวสสันดรไม่ทรงรับคำอ้อนวอนอันนี้ ข้อนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๕
    เมื่อพระชาลีกุมารร้องไห้คร่ำครวญว่า “ ข้าแต่พระบิดา พระหทัยของพระองค์ช่างแข็งกระด้างแผ่นศิลา เมื่อข้าพระองค์ทั้งสองกำลังได้ทุกข์ พระองค์ยังเพิกเฉยอยู่ได้ พระองค์ไม่ทรงห้ามยักษ์ ที่จักนำหม่อมฉันทั้งสองไปในป่าใหญ่ อันไม่มีมนุษย์นี้เลย ” ดังนี้ พระเวสสันดรก็ไม่ทรงกรุณา อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๖
    เมื่อพระเจ้าลูกทั้งสองร้องไห้ด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง จนลับคลองพระเนตรไป แต่พระหฤทัยของพระเวสสันดร ซึ่งควรจะแตกออกเป็นร้อยเสี่ยง พันเสี่ยง ก็ไม่แตก ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๗
    พระนาคเสนเฉลยว่า
    “ ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่พระเวสสันดร ได้กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก จึงมีเสียงสรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เหล่าเทพเจ้า อสูร ครุฑ นาค พระอินทร์ v ยักษ์ ต่างก็สรรเสริญ อยู่ในที่อยู่ของตน ๆ กลองทิพย์ก็บันลือขึ้นเอง จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังมีผู้คิดกันอยู่ว่า ทานของพระเวสสันดรนั้น ดีหรือไม่ดี
    กิตติศัพท์อันนั้นย่อมแสดงให้เห็นคุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ ผู้มีสติปัญญาละเอียด ผู้รู้แจ้งในคุณ ๑๐ ประการนั้น ​

    <CENTER> </CENTER><CENTER>คุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์</CENTER>
    ๑. ความไม่ติดอยู่ในของรักของชอบใจ
    ๒. ความไม่อาลัยเกี่ยวข้อง
    ๓. ความสละ
    ๔. ความปล่อย
    ๕. ความไม่หวนคิดกลับกลอก
    ๖. ความละเอียด
    ๗. ความเป็นใหญ่
    ๘. ความเป็นของรู้ตามได้ยาก
    ๙. ความเป็นของได้ยาก
    ๑๐. ความเป็นของไม่มีใครเสมอ ”
    “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลเหล่าใด ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ด้วยการให้ทาน ทานของบุคคลเหล่านั้นจะให้ผลเป็นสุข จะทำให้ไปเกิดในสวรรค์ไดมีอยู่หรือ? ”
    “ มีอยู่มหาบพิตร ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอจงแสดงเหตุการณ์เปรียบเทียบ ”
    “ ขอถวายพระพร ถ้ามีสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันดี เป็นโรคมีร่างกายตายไปแถบหนึ่ง หรือเป็นโรคง่อยเปลี้ยหรือหรือเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเดินไม่ได้ มีผู้อยากได้บุญคนใดคนหนึ่ง ยกสมณพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยานพาหนะ นำไปส่งให้ถึงที่ประสงค์ บุคคลผู้นั้นจะได้ผลเป็นสุข ได้ไปบังเกิดในสวรรค์หรือไม่ ? ”
    “ ได้ไปเกิดทีเดียว พระผู้เป็นเจ้า อย่าว่าแต่ยานทิพย์เลย ถึงผู้นั้นจะเกิดในที่ใด ก็จะได้ยานพาหนะสมควรแก่ที่นั้น ๆ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้ยานช้าง ยานม้า ยานรถ ยานทางบก ยานทางน้ำ เมื่อเกิดในสวรรค์ก็จะได้ยานทิพย์ ความสุขจักต้องเกิดแก่เขาตามสมควรแก่ชาติกำเนิด ชาติสุดท้ายเขาก็จักได้ขึ้นยานฤทธิ์ ไปถึงเมืองพระนิพพานเป็นแน่ ”
    “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่นก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ พระเวสสันดรทำให้พระเจ้าลูกทั้งสองต้องเป็นทุกข์ ด้วยการผูกมัดด้วยเถาวัลย์ ก็จะได้สุขเหมือนอย่างนั้น
    แต่ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก เพื่อให้เห็นว่าการให้ทานด้วย การทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ คือ
    พระราชาที่เก็บพลีกรรม ( ส่วย ) โดยชอบธรรม มาทรงบริจาคทานตามอำนาจนั้นมีอยู่ พระราชานั้นจะได้ความสุข อันเกิดจากการทรงให้ทานนั้นบ้างหรือ ทานนั้นจักทำให้ไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ ? ”
    “ได้ พระผู้เป็นเจ้า พระราชานั้นจักต้องได้ รับผลแห่งทานนั้นหลายแสนเท่า จักได้เกิดเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา จักได้เกิดเป็นเทวดายิ่งกว่าพระราชา จักได้เกิดเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา เกิดเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม เกิดเป็นพราหมณ์ยิ่งกว่าพราหมณ์ เกิดเป็นพระอรหันต์ยิ่งกว่าพระอรหันต์เป็นแน่ ”
    “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยการทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็ต้องมีผลเป็นสุขต้องให้เกิดในสวรรค์ได้ เพราะพระราชาทรงบีบคั้นประชาชนมาให้ทาน ยังได้เสวยยศและสุขอย่างนั้นได้ ” ​

    <CENTER> </CENTER><CENTER>อติทาน </CENTER>
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระนาคเสน ทานที่พระเวสสันดร ทรงกระทำนั้นเป็นอติทาน คือเป็นทานอย่างยิ่ง เพราะพระเวสสันดรได้ทรงให้ทานพระอัครมเหสีของพระองค์ เพื่อไปเป็นภรรยาของผู้อื่น ทรงให้ทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์
    ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันธรรมดาการให้ทานเกินไป ผู้รู้ทั้งหลายในโลกก็ตำหนิติเตียน เปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกหนักเกินไปเพลาเกวียนก็หัก เรือบรรทุกหนักเกินไปก็จมอาหารที่กินมากเกินไปก็ไม่ย่อย ข้าวในนาเมื่อฝนตกมากเกินไปก็เสีย การให้ทานเกินไปสิ้นทรัพย์ แดดร้อนเกินไปในแผ่นดินก็ร้อน รักเกินไปก็บ้า โกรธเกินไปก็มีโทษ
    หลงเกินไปก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ โลภเกินไปก็ทำให้ลักขโมย พูดมากเกินไปก็พลาด น้ำเต็มฝั่งเกินไปก็ล้น ลมแรงเกินไปสายฟ้าก็ตก ไฟร้อนเกินไปน้ำก็ล้น เอาใจใส่ต่อการเรียนเกินไปก็บ้า กล้าเกินไปก็ตายเร็ว ฉะนั้น ข้าแต่พระนาคเสน พระเวสสันดรให้ทานเกินไป ก็ไม่มีผล ”
    พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า
    “ขอถวายพระพร อติทาน คือทานอันยิ่งเป็นของผู้รู้ทั้งหลายในโลกสรรเสริญ พวกใดให้ทานเป็นเช่นนั้นได้ พวกนั้นย่อมได้รับความสรรเสริญในโลก คนปล้ำย่อมทำให้คนปล้ำ อีกฝ่ายหนึ่งล้มลงด้วยกำลังแรงกว่า แผ่นดินย่อมทรงไว้ได้ซึ่งคนและสัตว์ ภูเขา ต้นไม้ ทั้งหลาย เพราะแผ่นดินเป็นของใหญ่ยิ่ง
    มหาสมุทรไม่รู้จักเต็ม เพราะมหาสมุทรเป็นของใหญ่ยิ่ง เขาสิเนรุไม่รู้จักหวั่นไหว เพราะเขาสิเนรุเป็นของหนักยิ่ง อากาศไม่มีที่สุดเพราะอากาศเป็นของกว้างยิ่ง ดวงอาทิตย์จำกัดเมฆหมอกเสียได้ เพราะรัศมียิ่ง ราชสีห์ไม่มีความกลัว เพราะมีชาติกำเนิดยิ่ง แก้วมณีให้ความสำเร็จปรารถนาทั้งปวง เพราะเป็นของคุณยิ่ง
    พระราชาย่อมเป็นใหญ่ เพราะเป็นผู้มีบุญยิ่ง ไฟย่อมเผาสิ่งทั้งปวงได้ เพราะมีความร้อนยิ่ง เพชรย่อมเจาะแก้วมณี แก้วมุกดาแก้วผลึกได้ เพราะเป็นของแข็งอย่ายิ่ง เทพยดา มนุษย์ ยักษ์ อสูร ทั้งหลาย ย่อมหมอบกราบภิกษุ เพราะมีศีลยิ่ง พระพุทธเจ้าไม่มีผู้เปรียบเพราะเป็นผู้วิเศษยิ่ง
    ข้อความเหล่านี้ฉันใด ทานอันยิ่งก็เป็นที่สรรเสริญของผู้รู้ทั้งหลายฉันนั้น
    ทานอันยิ่งของพระเวสสันดรนั้น มีผู้สรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เพราะทานอันยิ่งนั่นแหละ พระเวสสันดรจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ล้ำเลิศใน มนุษยโลก เทวโลก ขอถวายพระพรทานที่ไม่ควรให้มีอยู่หรือ ? ”
    “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ทานที่ไม่ควรให้นั้นมีอยู่ ๑๐ อย่าง ผู้ใดให้ทานเหล่านั้น ผู้นั้นก็ไปสู่อบาย มีดังนี้ ​

    <CENTER>ทาน ๑๐ อย่างที่ไม่ควรให้</CENTER>
    ๑. หญิงให้เมถุนธรรมเป็นทาน
    ๒. ปล่อยโคตัวผู้เข้าไปในฝูงแม่โคเพื่อเมถุนธรรม
    ๓. ให้น้ำเมา คือสุราเมรัยเป็นทาน
    ๔. ให้รูปเขียน อันประกอบด้วยเมถุนธรรมเป็นทาน
    ๕. ให้ศาตราวุธเป็นทาน
    ๖. ให้ยาพิษเป็นทาน
    ๗. ให้โซ่ตรวน ขื่อคา เป็นทาน
    ๘. ให้ไก่เพื่อให้เขาไปฆ่า
    ๙. ให้สุกรเพื่อให้เขาไปฆ่า
    ๑๐. ให้ทานเครื่องตวง ตาชั่ง ทะนาน เพื่อใช้โกง
    เหล่านี้ บัณฑิตไม่สรรเสริญ ทำให้ผู้ให้ให้แล้วไปสู่อบายนะ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้ถามถึงสิ่งที่ไม่ควรให้ทาน ถามถึงสิ่งที่ควรให้ทาน แต่เมื่อทักขิไณยบุคคล (ผู้ควรรับประทาน ) ยังไม่เกิดก็ยังไม่ควรให้ ว่าทานอย่างนั้นมีอยู่หรือดังนี้ต่างหาก ”
    “อ๋อ...ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเมื่อจิตเลื่อมใสเกิดขึ้นแล้ว คนบางพวกก็ให้ทานโภชนะแก่ทักขิไณยบุคคล บางพวกก็ให้ทานเครื่องนุ่งห่มก็มี ให้ทานที่นอนก็มี ให้ทานที่อยู่อาศัยก็มี ให้ทานเครื่องปูก็มี ให้ทานเครื่องนุ่งห่มก็มี ให้ทานทาสีและทาสก็มี ให้ทานเรือกสวนไร่นาที่ดินก็มี ให้ทานสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าก็มี ให้ทานทรัพย์ตั้งร้อยตั้งพันก็มี ให้ทานราชสมบัติใหญ่ก็มี ให้ทานชีวิตก็มี ”
    “ขอถวายพระพร ถ้าหากว่าในโลกนี้ผู้อื่นยังให้ทานชีวิตได้ เหตุใดจึงมีผู้ติเตียนพระเวสสันดร ผู้เป็นทานบดีอย่างร้ายแรง เพราะเหตุพระราชทานพระราชทานพระราชโอรส ธิดาอัครมเหสี
    อีกประการหนึ่ง เมื่อว่าตามปกติโลกแล้ว บิดาให้บุตรเป็นค่าใช้หนี้ หรือเป็นค่าเลี้ยงชีพ หรือขายไป เพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
    “ ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ถ้าได้ พระเวสสันดรเมื่อยังไม่สำเสร็จพระสัพพัญญุตญาณก็เป็นทุกข์ เพื่อต้องการพระสัมพัญญุตญาณนั้น จึงได้ให้โอรส ธิดา อัครมเหสี เป็นทาน แต่เหตุใดมหาบพิตร จึงทรงติเตียนพระเวสสันดรอย่างร้ายแรงล่ะ ? ”
    “ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้ติเตียนทานของพระเวสสันดรเลย เป็นแต่ติเตียนการที่พระเวสสันดร ได้ให้ทานโอรสธิดากับอัครมเหสีเท่านั้น เพราะเมื่อว่าตามที่ถูกแล้วเวลายาจกมาทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรควรพระราชทานตัวของพระองค์เอง จึงสมควร ”
    “ขอถวายพระพร ข้อนั้นไม่ใช่การกระทำของสัตบุรุษ คือเมื่อเขาขอบุตรภรรยา จะให้ตัวเองนั้นไม่ถูก เมื่อเขาขอสิ่งใด ๆ ก็ควรให้สิ่งนั้น ๆ อันนี้เป็นการกระทำของสัตบุรุษทั้งหลาย
    ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ามีบุรุษคนหนึ่งมาขอน้ำ ผู้ใดให้ข้าวแก่บุรุษนั้นจะเรียกว่าผู้นั้นเป็นกิจจการี คือผู้กระทำตามหน้าที่แล้วหรือ ? ”
    “ไม่เรียก พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเขาขอสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น จึงเรียกว่ากระทำถูก ”
    “ข้อนี้ก็เหมือนฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือเมื่อพราหมณ์ทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรผู้เป็นทานบดี ก็ไม่พระราชทานตัวของพระองค์เอง ได้พระราชทานโอรสธิดาอัครมเหสีไปแก่พราหมณ์นั้น ถ้าพราหมณ์นั้นขอพระสรีระทั้งสิ้นของพระเวสสันดร พระบาทท้าวเธอไม่ห่วงใยเสียดายพระองค์ ต้องทรงบริจาคพระองค์ไปแล้ว
    ถ้านักเลงสะกา หรือสุนัขบ้าน สุนัขป่าเข้าไปทูลขอพระเวสสันดรว่า ขอจงให้พระองค์ยอมเป็นทาสของข้าพระองค์ พระเวสสันดรก็จะทรงยินยอมทีเดียว ทั้งที่ไม่ทรงเดือดร้อนเสียใจภายหลัง เพราะว่าพระวรกายของพระเวสสันดรเป็นของทั่วไปแก่คนหมู่มาก
    เหมือนกับต้นไม้มีผล อันเป็นของทั่วไป แก่หมู่นกต่างๆ ฉะนั้น ด้วยพระเวสสันดรทรงเห็นว่า เมื่อเราปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้ไม่มีทรัพย์ ผู้ต้องการทรัพย์ ย่อมเที่ยวแสวงทรัพย์ ย่อมเที่ยวหาไปตามทางดงทางเกวียน ทางน้ำ ทางบก เพื่อให้ได้ทรัพย์ฉันใด พระเวสสันดรผู้ไม่มีทรัพย์คือพระสัพพัญญุตญาณ ก็ได้แสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ด้วยการพระราชทานทรัพย์และธิญชาติ ยาน พาหนะ ทาสี ทามา ทรัพย์ สมบัติ บุตร ภรรยา ตลอดถึงหนัง เลือดเนื้อ หัวใจ ชีวิตของพระองค์ฉันนั้น
    อีกประการหนึ่ง อำมาตย์ผู้ต้องการความเจริญ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คือต้องการเป็นพระราชา ย่อมสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ทั้งสิ้นของตนแก่คนอื่นๆ ฉันใดพระเวสสันดรก็ทรงสละสิ่งของภายนอกตลอดจนถึงชีวิตแก่ผู้อื่น เพื่อให้ได้พระสัมมาสัมโพธิญาณฉันนั้น
    ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรทานบดีทรงดำริว่า พราหมณ์ขอสิ่งใดเราควรให้สิ่งนั้น จึงจะเรียกว่าเราทำถูก ทรงดำริอย่างนี้จึงได้พระราชทานโอรส ธิดา อัครมเหสี
    การที่พระองค์พระราชทานโอรส ธิดาอัครมเหสี ให้แก่พราหมณ์นั้น ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง หรือเห็นว่ามีอยู่มาก หรือเพราะไม่อาจเลี้ยงได้ หรือเพราะรำคาญ ได้พระราชทานไปเพราะทรงมุ่งหวังพระสัพพัญญุตญาณต่างหาก ทรงรักพระสัพพัญญุตญาณมากกว่า
    ข้อนี้สมกับที่ตรัสไว้ใน จริยาปิฎก ว่า “ ไม่ใช่ว่าลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเราไม่ใช่มัทรีไม่เป็นที่รักของเรา พระสัพพัญญตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงได้ให้ทานบุตรธิดาภรรยา อันเป็นที่รักของเรา ”
    ขอถวายพระพร ครั้งพระเวสสันดร พระราชทานโอรสธิดาไปแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปภายในบรรณศาลา ทรงกรรณแสงด้วยความรักยิ่ง ดวงหทัยได้ร้อนขึ้น เมื่อพระนาสิกไม่พอหายใจก็ได้ปล่อยลมหายใจร้อย ๆ ออกมาทางพระโอษฐ์ มีน้ำพระเนตรเจือด้วยพระโลหิต ไหลนองเต็มสองพระเนตร
    เป็นอันว่า พระเวสสันดร ทรงรักพระราชโอรสธิดาอย่างยิ่ง แต่ได้ทรงอดกลั้นความโศกไว้ได้ ด้วยทรงดำหริว่า อย่าให้ทานของเราเสียไปเลย ​

    <CENTER> </CENTER><CENTER>อานิสงส์ ๒ ประการ</CENTER>
    ขอถวายพระพร คราวนั้น พระเวสสันดรได้เล็งเห็นอานิสงส์ ๒ ประการ จึงได้ทรงพระราชทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์ อานิสงส์ ๒ ประการนั้นคือประการใดบ้าง
    ประการที่ ๑ ว่า อย่าให้ “ ทานตบะ ” เครื่องเผากิเลส คือ ทานของเราเสียไปเลย
    ประการที่ ๒ ว่า ลูกเล็กทั้งสองของเราเป็นทุกข์ ด้วยได้กินแต่ลูกไม้หัวมัน เมื่อเราให้ทานไป พระเจ้าปู่ทรงจะได้ทรงรับไปเลี้ยง เพราะพระเวสสันดรทรงทราบดีอยู่ว่า คนอื่น ๆ ไม่อาจใช้ลูกของเราให้เป็นทาสทาสีทาสาได้ พระเจ้าปู่จะต้องไถ่ลูกทั้งสองของเราไว้ ทั้งจักมารับเราด้วย
    เป็นอันว่า พระเวสสันดรเล็งเห็นคุณวิเศษ คืออานิสงส์ ๒ ประการนี้ จึงได้พระราชทานลูกทั้งสองไป
    อีกประการหนึ่ง พระเวสสันดรทรงทราบอยู่ว่า พราหมณ์ผู้นี้แก่เฒ่าเต็มทีแล้วใกล้จะตายอยู่แล้ว คงไม่อาจใช้ลูกทั้งสองของเราเป็นทาสได้ บุรุษอาจจับดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากลงมาใส่ไว้ในชะลอมหรือในผอบ หรือทำให้หมดรัศมีได้ ด้วยกำลังปกติหรือไม่ ? ”
    “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พราหมณ์เฒ่าผู้มีบุญน้อยนั้น ก็ไม่อาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้เหมือนกันฉะนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง ขอจงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิอันมีรัศมีแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์นั้น ไม่มีใครอาจเอาผ้าหุ้มห่อปิดไว้ได้
    อนึ่ง ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีใครขึ้นขี่ได้ หรืออาจปกปิดไว้ได้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งฉันใด พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ก็ไม่มีใครอาจใช้เป็นทาสทาสีได้ฉันนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง มหาสมุทรอันกว้างใหญ่หาประมาณมิได้ ย่อมไม่มีใครอาจปิดให้มีแต่เพียงท่าเดียวได้ พระยานันโทปนันทนาคราชที่สามารถพันรอบเขาสิเนรุราชได้ ๗ รอบนั้นย่อมไม่มีใครสามารถจับมาใส่ชะลอมหรือผอบไปเล่นละครได้
    พระยาเขาหิมพานต์อันสูงถึง ๕๐๐ โยชน์ กว้างยาวถึง ๓๐๐ โยชน์ มียอดถึง ๘ หมื่น ๔ พันยอด อันเป็นแดนเกิดแห่งมหานที ๕๐๐ สาย อันเป็นที่อาศัยของหมู่ภูตใหญ่ ๆ เป็นที่ทรงไว้ซึ่งไม้หอมต่าง ๆ สล้างสลอยไปด้วยทิพยโอสถตั้งร้อย ๆ อย่างย่อมแลดูสูงตระหง่านเหมือนกับเมฆอันลอยในท้องฟ้าฉันใดพระเวสสันดรก็สูงด้วยพระเกียรติยศ เหมือนกับพระยาเขาหิมพานต์ฉันนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้
    อีกประการหนึ่ง กองเพลิงที่ลุกรุ่งเรืองอยู่บนภูเขา ในเวลากลางคืนมืด ๆ ย่อมปรากฏเห็นแต่ไกลฉันใด พระเวสสันดรก็ปรากฏเห็นไกลฉันนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง กลิ่นดอกกากะทิงบนภูเขาหิมพานต์ เมื่อมีลมพัดมา ย่อมส่งกลิ่นไปไกลถึง ๑๒ โยชน์ฉันใด กลิ่นความดีของพระเวสสันดร ก็หอมฟุ้งไปทั่วแดนอสูร คนธรรมพ์ ยักษ์ รากษส นาค ครุฑ กินนร อินทร์พรหมทั้งหลายทุกชั้นฟ้าฉันนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ให้เป็นทาสทาสีได้
    ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรได้ทรงกำชับสั่งพระชาลีกุมารไว้ว่า
    “ลูกเอ๋ย....พระเจ้าปู่จักต้องไถ่เจ้าทั้งสองด้วยทรัพย์จากพราหมณ์ไป แต่เมื่อจะทรงไถ่นั้น จงให้ไถ่ตัวเจ้าด้วยทองคำพันตำลึง ให้ไถ่น้องกัณหาด้วยทาส ทาสี ช้าง ม้า โค ทองคำ อย่างละร้อย ๆ ถ้าพระเจ้าผู้จะทรงบังคับเอาเปล่า ๆ พวกเจ้าจงอย่ายอม จงติดตามพราหมณ์ไป” ทรงสอนอย่างนี้แล้ว จึงได้พระราชทานไป
    ผ่ายพระชาลีกุมารที่พระเจ้าปู่ตรัสถามว่าจะต้องไถ่เจ้าทั้งสองอย่างไร จึงกราบทูลว่า
    "พระบิดาของหม่อมฉันได้ตีราคาหม่อมฉันไว้พันตำลึงทอง ได้ตีราคาน้องกัญหาไว้ด้วยทรัพย์อย่างละร้อย มีช้าง ๑๐๐ เชือก เป็นต้น พระเจ้าข้า" เรื่องมีอย่างนี้แหละมหาบพิตร" “ข้าแต่พระพนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ทำลายข่ายทิฏฐิ ย่ำยีถ่อยคำของผู้อื่นได้แล้วได้แสดงเหตุผลไว้เพียงพอแล้ว ทำให้เข้าใจปัญหาข้อนี้ได้ง่ายแล้ว” ​

    <TBODY></TBODY></TABLE>
    [/FONT]​
     
  2. sutthida

    sutthida เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +3,388
    การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายนำสุขมาให้
     
  3. suchat

    suchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1,239
    โมทนาครับผม
     
  4. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ท่านให้ทาน ก็คือ ทาน ...

    เป็นทานที่จะตัดยากที่สุด
     
  5. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    เป็นโจทย์ที่ยากจริงๆ สำหรับพุทธภูมิ
     
  6. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    เป็นไปตามลำดับขั้นของจิต กระทำข้ามไม่ได้ นั่นหมายถึง ถ้าบารมียังไม่ถึงก็จะให้มีเหตุให้กระทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อถึงแล้วทั้งวาระบุญกุศล และแม้แต่เทวดาบันดาลให้เป็นอย่างนั้นก็จะเกิดขึ้นเอง เหตุทั้งหลายที่สำคัญๆ ที่พระโพธิ์สัตว์จะต้องกระทำเพื่อพระโพธิญาณ ทั้งหมดเกิดจากการกระทำเล็กๆ น้อยสะสมกันเป็นอสงไขย เมื่อถึงกำหนดการและวาระจิตรับได้จึงได้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ผู้ที่บารมียังไม่ถึงจึงไม่อาจเข้าใจได้ถึงน้ำใจในขณะนั้นๆ ได้
    จริงๆ แล้วอยากให้มีกระทู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมิลินทปัญหาบ้างนะครับ เพราะแม้แต่ตัวผมเอง การที่ทำให้มีสติปัญญาได้ละเอียดขึ้นก็เพราะเรื่องนี้ อ่านจบไปหลายรอบ ได้แง่คิดทุกรอบ มีประโยชน์มากๆ ในการแก้ข้อสงสัยหรือข้อปฏิบัติอื่นๆ ที่หาคำตอบได้ยาก ผมเองคนนึงที่จะช่วยอธิบายในส่วนที่พอจะเข้าใจได้
     
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    พูดง่ายๆนะ
    ไม่ต้องมาขอตรงๆกับเราก็ได้
    เกิดว่า มีคนมาแย่งแฟน หรือ เมีย

    หรือเมีย เปลียนใจไปมีคู่นอนใหม่


    หรือ เห็นจะจะเต็มเต็ม ในภาพบาดตา คุณสละวางอารมณ์อันเป็น

    ข้าศึกกับการบำเพ็ญทานบารมีได้เร็วขนาดไหน

    เช่น ไม่อาฆาต ไม่คิดร้าย ตัดใจได้เร็ว ฯลฯ เป็นต้น



    ตอนนั้นขณะนั้น อารมณ์ผมขึ้นสุดๆนะ แต่สติมาทัน กรวดน้ำคว่ำขันเลย

    ประกาศต่อฟ้าดิน เลย

    ขออภัยทาน และ ทานในคนที่รักดั่งแก้วตา ดวงใจนี้
    จงเป็นปัจจัยแห่งความเต็มเปี่ยมแห่ง
    พระสร้อยสรรเพชรโพธิญาณ


    พูดง่ายนะ แต่ก็ผ่านมาด้วยใจจริงๆ
     
  8. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    B]มีคนเขาไปโพสในพันทิพนะว่า หนูเกลียดพระพุทธเจ้าในเรื่องสาเหตุการให้ลูกเป้นทาน เพราะเขาบอกว่าถ้าพ่อของเขาทำอย่างนี้เอขก้เกลียดพ่อเหมือนกัน สงสัยว่าถ้าเป็นลูกของเรา เป็นลูกสาวกำลังวัยรุ่น เขามาขอเอาไปเป็นโสเภณี แล้วเราทานให้ เราจะไม่บาปเหรอแล้วลูกสาวเราก็ไม่เต็มใจด้วย สงสัยจังเลย[/B]
     
  9. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676
    ทาน คือการให้ ทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆๆๆ คือการให้ตัวเองเป็นทาน ไม่ยืดติดกับสิ่งใดๆๆ ไม่สั่นไหวกับสิ่งใดๆๆ อารมณ์สงบนิ่ง ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น ไม่อยู่ ไม่.................สิ่งนี้ทำได้ยากที่สุด (ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ)
     
  10. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ...เป็นทานที่ทำได้ยากยิ่ง


    .
     
  11. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ถ้าทั้งสามี-ภรรยา-ลูก ตั้งใจเต็มใจร่วมกันที่จะมาสร้างมหาทานครั้งนี้
    เข้าใจลึกซึ้งเรื่องทานกันทั้งครอบครัวว่าเป็นมหากุศล
    สัญญากันอย่างเด็ดขาดไว้ตั้งแต่ชาติก่อนๆ(ชาตินี้อาจจำไม่ได้)
    ก็ OK นะ
     
  12. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    ทานะปะระมัตถะปาระมี สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  13. freedom

    freedom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2005
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +301
    การอุบัติขึ้นของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นของหาได้ยากยิ่ง
     
  14. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    “ ไม่ใช่ว่าลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเราไม่ใช่มัทรีไม่เป็นที่รักของเรา พระสัพพัญญตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงได้ให้ทานบุตรธิดาภรรยา อันเป็นที่รักของเรา ”
    ขอถวายพระพร ครั้งพระเวสสันดร พระราชทานโอรสธิดาไปแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปภายในบรรณศาลา ทรงกรรณแสงด้วยความรักยิ่ง ดวงหทัยได้ร้อนขึ้น เมื่อพระนาสิกไม่พอหายใจก็ได้ปล่อยลมหายใจร้อย ๆ ออกมาทางพระโอษฐ์ มีน้ำพระเนตรเจือด้วยพระโลหิต ไหลนองเต็มสองพระเนตร
    เป็นอันว่า พระเวสสันดร ทรงรักพระราชโอรสธิดาอย่างยิ่ง แต่ได้ทรงอดกลั้นความโศกไว้ได้ ด้วยทรงดำหริว่า อย่าให้ทานของเราเสียไปเลย


    สาธุ ค่ะ
    การให้สิ่งที่เป็นที่รักที่สุดดั่งดวงใจเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่ถ้าให้ได้แล้วก็เกิดความสุขอย่างยิ่ง
     
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    การบริจาคลูกเมียเป็นทานนั้นตามตำราบอกว่าทุกพระองค์ เป็นหลักสูตรตายตัว การยกลูกหญิงลูกชายให้เขาไปนี่ไม่ยากหากเราไม่ค่อยจะรักลูก ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่บางคนที่ขายลูกให้ไปเป็นโสเภณี หรือให้ลูกไปขายตัวนี่ก็มีมาก ให้ไปเป็นทาสกรรมกร ทั้งๆที่ก็ยังมีทางเลือกอื่น ภรรยาหากว่าเราไม่รักซะอย่างเราจะเอาไปเทรินรุ่นใหม่เมื่อไรก็ได้ มันไม่ยาก

    มีกี่คนใครมาขอก็ให้ได้ไม่ยากนั่นเพราะเราไม่รัก ยิ่งหากว่าภรรยาประพฤติต่อเราไม่สมควร ไม่เป็นไปตามหลักหน้าที่ของภรรยาที่ดี เราก็ยกให้ใครก็ได้ จะได้พ้นๆอกเราไป ไม่ต้องหนักใจ อย่างที่คนเขานิยมพูดกัน คือภรรยานี่เป็นอะไรที่แก่ก็ง่าย ตายก็ยาก ทิ้งก็ไม่ได้ ขายก็ไม่ออกสาระพัดที่จะสร้างความหนักใจให้สามี บ่นเย็น ด่าในตอนเช้า ติดสุรา แล้วก็เมรัย ติดการพนัน แล้วอีกสารพัด อย่างนี้ไม่ต้องบำเพ็ญอะไรเลยก็ยกให้คนอื่นง่ายๆ ใครก็ไม่แปลก ดีซะอีกจะได้ไปถอยเมียป้ายแดง

    แล้วทีพระโพธิสัตว์เวลายก ลูก เมียให้เป็นทานทำไมต้องโลกสะท้านแผ่นดินสะเทือน ทวยเทพเจ้าเหล่าเทวาทั้งหลายแซ่ซร้องโมทนาสาธุการ ทำไม ทำไม.....?

    ทำไมค่าถึงต่างกันมาก คนทั่วไปยกลูกให้กันโครมๆเทวดานั่งมองเฉย อัญเชิญให้มายังไม่มา ขึ้นสัคเคกาเมสามรอบ ท่านก็เฉย ฉะเพาะผมเองนี่มีคนเขายกลูกชายลูกหญิงให้เป็นลูกบุญธรรมน่าจะหลายสิบคน ผูกข้อมือรับลูกชายลูกหญิงเหล่านี้ หมดด้ายชาตรีของหลวงพ่อไปหลายถุง เทวดาไม่พูดอะไรสักแอะเดียว นั่นเขาก็ยกลูกให้เหมือนกันนี่


    การที่จะแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นนี่ จะต้อง มีความดี มีความรักผูกพันกันมาอย่างช้านานหนักหนา นานขนาดสามีภรรยาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหายไป คนที่อยู่ก็ห่วงหาอาวรณ์กินไม่ได้นอนไม่เป็นสุข ไม่เป็นอันจะทำอะไร ทำไปก็ไม่รู้ว่าประโยชน์อะไร ประโยชน์ให้ใคร ความผูกพันธ์คุ้นเคยมันไม่ไช่แค่ชาติเดียวที่ทำดีต่อกันแค่ไม่กี่เรื่อง

    แต่การที่ติดตามกันมาคุ้นเคยกับทุกเรื่อง ทุกสิ่งอย่างที่บอกว่า มองตาก็รู้ใจ แต่คนที่ตามกันมานานหนักหนา ไม่ต้องมองหน้า ไม่ต้องมองตาก็รู้ใจ นั่งทำงานอยู่ก็รู้ใจ ของคนที่อยู่ที่บ้านหรือคนที่รอคอยเรา คนอยู่ที่บ้านก็ไม่ต้องรอให้เรามองหน้าซะก่อน ค่อยรู้ใจ รู้ใจก่อนที่จะเห็นหน้ากันด้วยซ้ำไป ที่เป็นอย่างนี้เพราะอยู่ด้วยกันมาจนคุ้นเคย จนต่างก็รู้หน้าที่ว่าควรจะทำอะไรให้แก่กัน รู้ว่าคนคอยต้องการอะไร คนที่มาถึงต้องการอะไร


    เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องอารมณ์ใจที่ละเอียดอ่อนพูดไปเท่าไรก็ไม่จบ


    ก่อนที่จะพูดเรื่องการยกให้ใคร การให้อะไรใครโดยเราไม่รักไม่ผูกพันนี่ง่ายมาก

    ทีนี้พูดถึงเรื่องของความรักความห่วงใย สร้างความรักความห่วงใยขึ้นมาให้มีในใจนี่สิยากกว่าแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากันเรื่องสละ มีลูกได้มีความรักลูก ดูแลเอาใจใส่ให้ทั่วถึง ทำหน้าที่ครบถ้วน เรียกว่ารักถนอมยิ่งกว่าไข่ในหิน นี่รู้จัก มีความรักในลูกแล้วทำความเพียรเพื่อลูกแล้วหรือยัง


    เมื่อมีภรรยา แล้วมองเห็นคุณค่าความดีของภรรยาที่มีต่อเรารอบด้านแล้วหรือยัง เห็นความงดงามในน้ำใจของนางแก้วที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเราแล้วหรือยัง มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา พี่น้อง เพื่อนผูง หมู่คณะเหล่านี้ เราเห็นคุณความดี แล้วมีความรักในความดีเหล่านั้นแล้วทำความเพียรเพื่อภรรยา และท่านทั้งหลายเหล่านี้แล้วหรือยัง


    เดี๋ยวมาต่อครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2014
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436
    แบบฝึกหัดง่ายๆในชีวิตประจำวัน

    คือ การสละความลำเอียงของใจ

    ด้วยจิตที่ไม่ติดในความรัก และ ความชัง

    หรือ ไม่ถูกชักนำ ให้ทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ เพราะกิเลสรัก-ชัง


    จะทำให้ใจมีกำลัง

    ผ่องใสละวางนิวรณ์ อันเป็นกิเลสหยาบๆเบื้องต้นได้ง่าย






    ...



    แล้วที่ต้องสละ ละ วาง บริจาค มากกว่านั้น

    จะทำได้มากเพียงใด ก็ต้องเริ่มมาจากพื้นฐานเหล่านี้

    ที่หล่อเลี้ยงให้กำลังใจ เข้มแข็ง ผ่องใส มีปัญญาถูกทางมากขึ้น









    [​IMG]






    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2014
  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <TABLE class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellSpacing=0 xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><TBODY><TR><TD class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">ลองมาดูความรักของพ่อที่มีต่อลูก ขนาดนี้ดูนะครับ


    กระแตโพธิสัตว์
    กาลเมื่อ สมเด็จพระจอมมุนี ยังสร้างสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น ปรากฏว่าครั้งหนึ่ง พระองค์อุบัติในดิรัจฉานภูมิเสวยพระชาติเป็นกระแตสัตว์เดียรฉานมีนิวาสสถานอยู่ ณ ที่ใกล้มหาสมุทรทะเลใหญ่

    อยู่มาวันหนึ่ง เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมมาเป็นอันมากกระแสน้ำซึ่งมีกำลังเชี่ยวกรากดุดัน พัดผันพาเอารังพร้อมทั้งลูกของพระโพธิสัตว์ลงไปสู่มหาสมุทรทะเลหลวงหายไป ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อได้รับอุปัทวเหตุเช่นนี้ ก็มีใจเศร้าเฝ้าคิดสงสารลูกของตนเป็นหนักหนา เสวยทุกขเวทนาดั่งว่าจะขาดใจตายไปตามบุตร สุดที่จะคิดถึงเหตุผลประการใด มีใจมุ่งหมายครุ่นคิดอยู่แต่ว่า
    “เราจะกระทำความเพียร วิดน้ำในมหาสมุทรนี้ให้แห้งแล้วจะค้นหาลูกเราจนพบให้จงได้”

    ครั้นเกิดมุมานะฉะนั้นแล้ว ก็เริ่มกระทำความเพียรเอาหางของตนจุ่มลงไปในน้ำพอเปียกชุ่มแล้วก็วิ่งขึ้นไปสลัดน้ำลงบนที่ดอน แล้วก็ย้อนกลับมาเอาหางจุ่มน้ำ และวิ่งไปสลัดน้ำลงบนที่ดอนอีก แต่พระโพธิสัตว์เจ้าเฝ้าวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางแห่งตนอยู่อย่างนี้ จนสรีระร่างกายได้รับความบอบช้ำเหน็ดเหนื่อยนักหนา เป็นเวลาถึง 5 – 6 วัน น้ำนั้นจะพร่องไปสักนิดก็หามิได้ ก็มันจะพร่องไปได้อย่างไรเล่า เพราะว่าไม่ใช้น้ำในตุ่มในไห แต่เป็นน้ำในมหาสมุทรใหญ่ทะเลหลวงซึ่งมีมากมายเหลือคณนา แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ สัตว์ผู้มีใจเด็ดคือ กระแตโพธิสัตว์นั้นก็มีใจมั่นคง จะได้ย่อท้อหย่อนจากความเพียรเสียก็หามิได้ กลับตั้งใจมานะพยายามวิดน้ำในมหาสมุทรต่อไปอีกอย่างไม่ลดลง

    ด้วยเดชะวิริยะบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งใจกระทำอย่างผิดธรรมดาในครานั้น ก็บันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ขององค์สมเด็จพระอมรินทราธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพยเจ้าเบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ถึงอาการแข็งกระด้างเป็นอัศจรรย์ ครั้นองค์มัฆวานทรงส่อทิพยเนตรทราบประพฤติเหตุนั้นแล้วจึงเสด็จลงมาจากเทวโลกในวันที่ 7 แปลงเพศเข้าไปหากระแตโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งกำลังเอาหางวิดน้ำในมหาสมุทรอยู่อย่างอุตลุดแล้วทรงมีเทววาทีเอ่ยถามขึ้นมา
    “ดูกร ท่านผู้เป็นกลันทกชาติ คือ กระแต่ ท่านมาทำอะไรพิกลอยู่ที่นี่”

    “เรากำลังทำการวิดน้ำในมหาสมุทร” พระโพธิสัตว์ตอบ
    “ท่านมีความประสงค์สิ่งใดๆ จึงถึงกับต้องวิดน้ำทั้งมหาสมุทรทีเดียว”
    “เรากระทำความเพียรในครั้งนี้ เพื่อหวังจะให้น้ำในมหาสมุทรนี้แห้ง แล้วจะค้นหาบุตรของเราที่ถูกน้ำพัดพามาจมลงที่มหาสมุทรนี้ให้พบ”


    สมเด็จพระอมรินทราธิราช จึงตรัสว่า
    “การที่ท่านจะวิดน้ำในมหาสมุทรนี้ให้แห้งนั้น เห็นทีจะขัดสนนัก คือ ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจักต้องตายเปล่าเสียเป็นแน่แท้ ท่านมิแลดูดอกหรือว่า น้ำในมหาสมุทรนี้มากมายนัก สุดวิสัยที่ผู้ใดผู้หนึ่งจักวิดให้แห้งได้ ไฉนท่านจึงมากระทำการอันสำแดงความโง่ออกมาให้ปรากฏเห็นปานฉะนี้ หยุดเสียเถิด อย่าได้พยายามต่อไปเลย จะตายเสียเปล่าๆ”


    “ท่านนั่นแหละโง่” พระโพธิสัตว์ผู้เป็นกลันทกชาติกล่าวตอบแล้วจึงพูดต่อไปตามประสาแห่งตนว่า “ตัวท่านเป็นคนโง่ เพราะเป็นผู้มีใจเกียจคร้านหาความเพียรมิได้ ขึ้นชื่อว่าคนเกียวคร้านเหมือนเช่นตัวท่านนี้ หาควรที่เราจะเจรจาด้วยไม่ตั้งแต่ท่านมาชักชวนเจรจาอยู่นี้ ก็เป็นการเสียเวลาเราอยู่เป็นอันมาก เราเสียดายเวลานัก ท่านจงไปเสียให้พ้นเถิด อย่ายืนอยู่ที่นี่เลย อ้าว ว่าอย่างไรเล่า บอกว่าไปให้พ้น”


    พระโพธิสัตว์ตวาดไล่พระอินทร์ดังนี้แล้ว ก็ก้นหน้าก้มตาวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางของตนต่อไปอย่างขะมักเขม้น โดยไม่ยอมพักผ่อนหยุดยั้ง ข้างฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราช เมื่อถูกตวาดเช่นนั้น จึงทรงพระดำริว่า แท้จริงธรรมดาว่า สัตว์ผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรนี้ ย่อมมีความเพียรใหญ่ประจำอยู่ในสันดานอย่างเอกอุ ดูเอาเถิดในกาลบัดนี้ถึงแม้จะกระทำสิ่งที่เหลือวิสัย เราลองน้ำใจบอกให้เลิกละเสียด้วยเหตุผลอันสมควรนักหนาก็หาละทิ้งความตั้งใจเดิมเสียไม่ ช่างมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญน่าสรรเสริญนัก เมื่อมีเทวดำริเช่นนั้น จึงทรงไปนำเอาลูกกระแตซึ่งยังไม่ตายมามอบให้แก่พระโพธิสัตว์ด้วยเทวานุภาพแล้วก็สำแดงองค์ให้ทราบว่า พระองค์เป็นจอมเทพเบื้องสรวงสวรรค์ เปล่งรัศมีพรรณรุ่งเรืองโอภาส เสด็จกลับไปสู่ไพชยนตปราสาท อันเป็นเทวสถานพิมานที่ประทับอยู่แห่งพระองค์

    เรื่องที่เล่ามานี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์คือท่านผู้ปรารถนาเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ย่อมจะมีมนัสมั่นคงนักหนา ถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้งไปถือกำหนดเป็นสัตว์เดียรฉานก็ดี ก็ย่อมมีน้ำใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยม ถ้าลงได้ตั้งใจกระทำสิ่งใดแล้ว แม้จักยากแสนยากเพียงใดก็ตาม การที่จะมีความเพียรอันย่อหย่อนหรือเลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคันนั้นเป็นอันไม่มีอย่างเด็ดขาด นี่แหละท่านทั้งหลายคือความมั่นคงเด็ดเดี่ยวแห่งน้ำใจของพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้เฝ้าปรารถนาเพื่อจักได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2014
  18. โพธิทาส

    โพธิทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +109
    โมทนาครับผม กำลังใจบารมีทำให้เต็ม เร่งรัด เข้าใจธรรมสังโยชน์ ดูส่งเสริมปัจจัยภายใน ภายนอก กรรม กัลยานิมิตร ...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...