แชร์ผลการปฏิบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฐสิษฐ์929, 13 มิถุนายน 2014.

  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พระอรหันต์ไปฝึกฤทธิ์หลังเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลส แล้วเอตทัคคะนี้ ที่ท่านเป็นเอกในเรื่องนั้นนี้ จะมีขึ้นกันตอนไหน ไปฝึกหลังเป็นพระอรหันต์กันรึ..
    คุณจะให้ผู้ปรารถนาพระปัจเจก ไปฝึกอภิญญา หลังเป็นได้รึ..?
    การเดินทางในสังสาร ก็มีพลั้งพลาด แม้นแต่พระพุทธองค์


    ก็ยินดีในเจตนาดี คนอื่นๆ เขาก็คงอย่างนั้น
    การโต้แย้งกัน ก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา.. ขอให้มีเจตนาดี ก็คงดี..แล้ว..
     
  2. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    ประเด็นหลักๆหลวงปู่แสดงเรื่องเหตุแห่งทุกข์ และ วิธีการปฏิบัติให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ในการเทศนาสั่งสอน 400 กว่ากัณฑ์ นั่นคือหลักการออกเทศนาสั่งสอน ให้ผู้ไม่รู้ได้รู้ ให้ผู้ที่รู้ได้ลองปฏิบัติตามดู ท่านแนะให้ลองปฏิบัติดู ผลของการปฏิบัติเป็นสิ่งยืนยันที่ท่านเทศน์ ก็มีด้วยเอวังละประการฉะนี้ ใครจะทำอะไรเพื่ออะไรก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยผมทำหน้าที่สมควรแก่ตนเองส่วนผู้ฟังจะยังประโยชน์ได้แค่ไหนแล้วแต่เหคุปัจจัย
     
  3. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    หลวงปู่สาวกโลกอุดรแสดงธรรมจนถึงวันท้าย

    เรื่องนี้ผมได้รับฟังจากญาติโยมที่สำนักสงฆ์บ้านหนองเรือ อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งที่สุดท้ายที่หลวงปู่อยู่ว่า หลวงปู่แสดงธรรมจนปอดหายไปทั้งสองข้างและละสังขารไปโดยสงบ โดยไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ผมซึ่งลูกศิษย์ที่แม้นจะมาภายหลังก็เคารพในปฏิปทาท่านเป็นอย่างมาก ท่านเสียสละทุกอย่าง ทำทุกอย่างเพื่อการเผยแพร่ธรรม โดยไม่หวังชื่อเสียงทางโลกแต่อย่างใด
    ธรรมมะที่ท่านแสดงอาจจะดูแปลกและแตกต่างจากที่เคยได้รู้หรือได้ยินมา แต่ประกอบด้วยเหตุด้วยผล สามารถปฏิบัติและรู้ตามได้จริงครับ
     
  4. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สงสัยท่านจะเข้าใจผิดนะ การบรรลุธรรมที่ได้ฤทธิ์นั้นเป็นการสำเร็จธรรมพร้อมได้สมาธิระดับฌานสี่และจิตน้อมไปเพื่อฤทธิ์นั้นตามจริตของแต่ล่ะท่านที่ได้สะสมมาแตกต่างกันก็จะเป็นเอตทักคะตามที่ได้สะสมมา ส่วนท่านใดสำเร็จธรรมแล้วแต่ไม่ได้ฌานสี่ยังไม่ได้ฤทธิ์จะปฏิบัติฌานสี่ต่อเพื่อทำฤทธิ์ก็ได้ครับ แต่คนที่สำเร็จธรรมแล้วไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอกครับ พอเข้าใจนะ
    ส่วคนที่ยังไม่ได้เป็นอะไรเลยปฎิบัติเอาฤทธิ์ระวังจะเป็นเหมือนเทวทัตนะมีตัวอย่างให้เห็นเพราะจิตที่ยากได้ฤทธิ์เป็นกิเลสครับ นำไปสู่อะไรก็ได้และมีให้เห็นกันมากมายที่คิดว่ามีฤทธิ์แล้วสร้างอะไรๆกันมากมายอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน เป็นมิจฉาทิฎฐิ เดรัชฌานวิชาตามพุทธวจนครับ พอเข้าใจนะ
     
  5. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สมมุตินะครับสมมุติ สมมุตว่าตัวท่านเองเป็นอริยะบุคคลแล้วรู้ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งมีประโยชน์ถูกต้องแก่สิ่งสมควรกล่าว ท่านเองจะยังกล่าวในสิ่งที่ไม่เป็นไปในเรื่องต่อการบรรลุธรรมเหรอครับ และสมมุติว่าพระพุทธองค์ยังอยู่ท่านจะทำอย่างไร มีตัวอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิพระสารีบุตรเรื่องการแสดงธรรมเพื่อการบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีเลย

    สิ่งที่ควรศึกษา

    พระพุทธเจ้า ทรงตรัสกับพระสารีบุตร

    [๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถีสมัยนั้นแล ท่านพระ
    สารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมารดาในบุพพาราม ใกล้พระนคร
    สาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุ
    ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มี
    สังโยชน์ในภายนอก ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
    ตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยใน
    โทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

    เมื่อแตกกายตายไปภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
    เป็นอนาคามีกลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน
    เป็นอนาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วย
    อาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน
    สิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง

    เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็น
    อนาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
    เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วใน
    ปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียง
    เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

    ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย
    ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา
    เพื่อสิ้นความโลภ

    ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพ
    นั้นแล้ว เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
    นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้
    เช่นนี้ ฯ


    ครั้งนั้นแล เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
    แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรนั่น
    กำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
    แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง
    พระกรุณา เสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับคำ
    อาราธนาด้วยดุษณีภาพ

    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระเชตวันวิหารไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระสารีบุตร
    ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถวายบังคมพระ
    ผู้มีพระภาค แล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
    ดูกรสารีบุตร เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปหาเรา
    จนถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วบอกว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
    และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนาง
    วิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส
    ขอพระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาเสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด

    ดูกรสารีบุตร ก็เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง
    ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง
    แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน

    ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
    จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
    แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ... ๖๐ องค์บ้าง
    เป็นจิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมแล้วในภพนั้นแน่นอน
    ดูกรสารีบุตร ก็ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นเช่นนี้

    ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
    แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
    เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง

    เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่ เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร

    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ
    เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
    เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ

    ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ


    http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0



    หมายเหตุ:

    เหตุที่พระองค์ ทรงตรัสกับพระสารีบุตรเช่นนี้ว่า

    "เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

    เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

    เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
    เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ"

    เพราะสิ่งที่พระสารีบุตร ได้พูดไปแล้ว เกี่ยวกับพระอนาคามี
    เป็นเรื่องของ ผู้ที่มีเหตุแห่งภพ(การเกิด) บังเกิดขึ้นอยู่

    เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสต่อไปว่า



    "ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"

    หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยาย ที่พระองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร(คือ ฟังแค่คำที่สารีบุตรกล่าวไป)

    ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว หมายถึง หากพอใจติดอยู่แค่พระอนาคามี ไม่มุ่งกระทำเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

    เหตุแห่งภพ(การเกิด) ย่อมมีบังเกิดขึ้นอยู่ พระองค์จึงทรงตรัสว่า ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว เพราะเหตุนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แล้วคุณว่า ท่านเพิ่งมีฤทธิ์กันตอนบรรลุและเป็นเอตะทัคคะไหมล่ะ
    หรือเขามีอัชฌาสัยมาแล้ว ถ้าไม่มีมา จะมามีตอนบรรลุได้ไหมล่ะ
    ท่านเทวทัต ไปรอมีอภิญญาตอนเป็นพระปัจเจกได้ไหม.?
    พระพุทธเจ้า ไปรอมีอภิญญาตอนเป็นพระพุทธเจ้าไหม..? บารมีของผู้ได้เอตะทัคคะด้านฤทธิ์ หรือบารมีของพระปัจเจก หรือพุทธภูมิ ท่านต้องคล่องฌานอภิญญามาก่อน

    ที่ควรพูดว่า คงเข้าใจนะ น่าจะเป็นเรามากกว่า
    คนเป็นพระอรหันต์แล้วมาฝึกฤทธิ์น่ะ ท่านคงไม่เอาแล้วนอกจากอาจจะมีเหตุผลของท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  7. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    แชร์ผลการนับลูกประคำ

    ผมได้ปฏิบัติในการนับลูกประคำอยู่ระยะหนึ่ง การปฏิบัติก็ง่ายๆครับ ส่วนใหญ่ผมจะใช้ในเวลานั่งปฏิบัติ การนับก็นับไปแต่ละลูก มือขวาเป็นการนับส่วนมือซ้ายเป็นการดึง แต่ละลูกนี้เมื่อเลื่อนไปแต่ละครั้งให้กำหนดว่า 1, 2, 3, 4, 5 จนครบ 108 แล้วนับใหม่หรือกำหนดว่าพุทโธ1, พุทโธ2 ก็ใช้ได้เช่นกัน แรกๆก็ให้ได้ 1 จบไม่ให้ผิด และก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
    การปฏิบัติผมสามารถนับสูงสุดได้ 12 จบ สภาวะจะเบามากเหมือนลอยอยู่ในอากาศ นับต่อไปไม่ได้ ซึ่งตอนนั้นจะเห็นความคิดไหลไปเหมือนสายน้ำเอื่อยๆ ช้าๆ ที่ปรากฏก็นิ่งและเบาสบายมากๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เนอะ ก็ขนาดเห็นแล้วยังไม่รู้ก็มี

    พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 12

    ผู้ใดมีปกติไม่เห็นพระอริยะเจ้าเหล่านั้นในบัดนี้ และไม่ทำความดี
    ในการเห็น ผู้นั้นพึงทราบว่าเป็นผู้ไม่เห็นพระอริยะเจ้า และผู้ไม่เห็น
    พระอริยะเจ้านั้นมี ๒ จำพวก คือ ผู้ไม่เห็นด้วยจักษุพวกหนึ่ง ผู้ไม่เห็น
    ด้วยญาณพวกหนึ่ง ใน ๒ พวกนั้น ผู้ไม่เห็นด้วยญาณท่านประสงค์เอา
    ในที่นี้. แม้ผู้ที่เห็นพระอริยะเจ้าด้วยมังสจักษุ หรือด้วยทิพยจักษุ ก็ชื่อว่า
    เป็นอันไม่เห็นอยู่นั่นเอง เพราะถือเอาเพียงสี (รูป) แห่งจักษุเหล่านั้น
    ไม่ใช่ถือเอาโดยเป็นอารมณ์แห่งอริยปัญญา แม้สัตว์เดียรัจฉาน มี
    สุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น ย่อมเห็นพระอริยเจ้าด้วยจักษุ และ
    สัตว์เหล่านั้นจะชื่อว่าไม่เห็นพระอริยเจ้าก็หามิได้

    ในข้อนั้นมีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์
    เล่ากันมาว่า อุปัฏฐากของพระเถระผู้ขีณาสพ ผู้อยู่ ณ จิตรลดา-
    บรรพต เป็นผู้บวชเมื่อแก่ วันหนึ่งท่านเที่ยวบิณฑบาตกับพระเถระ
    ถือบาตรและจีวรของพระเถระ เดินไปข้างหลัง ถามพระเถระว่า
    ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นไร. พระเถระ
    ตอบว่า บุคคลบางตนในโลกนี้เป็นคนแก่ ถือบาตรและจีวรของ
    พระอริยะทั้งหลาย ทำวัตรปฏิบัติ แม้เที่ยวไปด้วยกัน ก็ไม่รู้จักพระอริยะ
    ผู้มีอายุ พระอริยะทั้งหลายรู้ได้ยากอย่างนี้. แม้เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้น
    ท่านก็ยังไม่รู้อยู่นั้นเอง เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยจักษุและการเห็น
    ด้วยญาณ (ปัญญา) ก็ชื่อว่าเห็น เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ตรัสไว้ว่า ดูก่อน วักกลิ ประโยชน์อะไรด้วยกายเน่าที่ท่านเห็นอยู่นี้.
    ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา. ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม.
    เพราะฉะนั้น แม้ผู้ที่เห็นด้วยจักษุไม่เห็นอนิจจลักษณะเป็นต้นที่

    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 13
    พระอริยะทั้งหลายเห็นด้วยญาณ และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยะบรรลุ
    แล้ว พึงทราบว่าไม่เห็นพระอริยะ เพราะไม่เห็นธรรมอันกระทำ
    ความเป็นพระอริยะ และไม่เห็นความเป็นพระอริยะ.

    ไม่เห็นพระอริยะ
     
  9. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    แต่ชาตินี้ท่านก็ปฎิบัติธรรมเพื่อความสิ้นทุกข์ครับ ส่วนที่ได้ความเป็รเลิศนั้นเป็นการสะสมจากอดีตชาติครับ ไม่มีใครหรอกครับที่เข้ามาเพื่อให้ได้ฤทธิ์มีแต่พวกมิจฉาทิฎฐิครับ ส่วนอภิญญาต่างๆที่เกิดกับพระพุทธเจ้านั้นสมควรเกิดได้เต็มกำลังของฤทธิ์ทั้งหมดเพราะสะสมมานานมหาศาลมาก แต่การปฎิบัติธรรมก่อนบรรลุธรรมของพระปัจเจกกับพระพุทธเจ้าที่ปราถนาแต่การบรรลุโพธิญานครับ ต่างกับพวกมิจฉาทิฎฐิที่เข้ามาหวังฤทธิ์ในพุทธศาสนาคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียดแก่พระพุทธองค์ เพราะสิ่งนั้นมักจะนำพาสู่มิจฉาทิฎฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  10. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อ้าว แล้วตอนมาเอาฤทธิ์ ของพระปัจเจก พระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ไม่เป็นมิจฉารึ คนอื่นๆ เป็น
    แล้วท่านเทวทัต ที่คุณว่าๆ ท่านไม่ใช่ พระปัจเจกรึ

    ฤทธิ์มีมาก่อนศาสนา หลายคน(โยคี)คิดว่าฌานสมาบัติเป็นที่สุดแห่งทุกข์ หาทางหลุดพ้น(เขาคิดดีนะ) แต่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติแล้วพบว่าไม่ใช่ และค้นพบว่านิพพานเป็นที่สุดแห่งทุกข์


    คงจะพอเท่านี้นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ท่านเองจัดอยู่ผู้เห็นพระอริยหรือยัง
     
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ทำไมเหรอ..
     
  13. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งหมดเพราะฤทธิ์ไม่ได้ช่วยให้ได้มรรคผลนิพพาน มิจฉาทิฎฐิในความหมายทางศาสนาไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร เป็นเพียงความเห็นที่ไม่ถูกทางที่ไม่ได้นำไปเพื่อความหลุดพ้น อาจจะเป็นคนดีอย่างพระโพธิสัตว์ซึ่งในขณะนั้นยังไม่บรรลุธรรม สัมมาทิฎฐิคือความคิดที่นำไปสู่การบรรลุธรรมเท่านั้นจึงเรียกว่าสัมมาไม่ใช่มิจฉา
     
  14. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ไปเอาพระวัจนะ มาหน่อย ..
     
  15. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเองไม่รู้หรอกครับว่าใครเป็นอริยะหรือไม่ และไม่สนจริงๆนะเพราะผมไม่รู้จริงๆ ผมสนใจในพระธรรมคำสอนและเข้าไปหาพระสงฆ์ทรงธรรมทรงวินัยที่เป็นที่พึ่งขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟังในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อนำมาปฎิบัติครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  16. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    พวกเทวดา พรมมีฤทธิ์มากมายทำไมไม่บรรลุธรรมครับ แล้วทำไมถึงมานั่งฟังธรรมพระพุทธเจ้าครับเขามาทำไมถ้าฤทธิ์เป็นสิ่งที่ทำให้บรรลุธรรมได้จริง
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ที่ยกมาน่ะ พระวจนะนะ ไมได้มาสรุปเอง เออเอง

    พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 12

    ผู้ใดมีปกติไม่เห็นพระอริยะเจ้าเหล่านั้นในบัดนี้ และไม่ทำความดี
    ในการเห็น ผู้นั้นพึงทราบว่าเป็นผู้ไม่เห็นพระอริยะเจ้า และผู้ไม่เห็น
    พระอริยะเจ้านั้นมี ๒ จำพวก คือ ผู้ไม่เห็นด้วยจักษุพวกหนึ่ง ผู้ไม่เห็น
    ด้วยญาณพวกหนึ่ง ใน ๒ พวกนั้น ผู้ไม่เห็นด้วยญาณท่านประสงค์เอา
    ในที่นี้. แม้ผู้ที่เห็นพระอริยะเจ้าด้วยมังสจักษุ หรือด้วยทิพยจักษุ ก็ชื่อว่า
    เป็นอันไม่เห็นอยู่นั่นเอง เพราะถือเอาเพียงสี (รูป) แห่งจักษุเหล่านั้น
    ไม่ใช่ถือเอาโดยเป็นอารมณ์แห่งอริยปัญญา แม้สัตว์เดียรัจฉาน มี
    สุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น ย่อมเห็นพระอริยเจ้าด้วยจักษุ และ
    สัตว์เหล่านั้นจะชื่อว่าไม่เห็นพระอริยเจ้าก็หามิได้

    ในข้อนั้นมีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์
    เล่ากันมาว่า อุปัฏฐากของพระเถระผู้ขีณาสพ ผู้อยู่ ณ จิตรลดา-
    บรรพต เป็นผู้บวชเมื่อแก่ วันหนึ่งท่านเที่ยวบิณฑบาตกับพระเถระ
    ถือบาตรและจีวรของพระเถระ เดินไปข้างหลัง ถามพระเถระว่า
    ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นไร. พระเถระ
    ตอบว่า บุคคลบางตนในโลกนี้เป็นคนแก่ ถือบาตรและจีวรของ
    พระอริยะทั้งหลาย ทำวัตรปฏิบัติ แม้เที่ยวไปด้วยกัน ก็ไม่รู้จักพระอริยะ
    ผู้มีอายุ พระอริยะทั้งหลายรู้ได้ยากอย่างนี้. แม้เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้น
    ท่านก็ยังไม่รู้อยู่นั้นเอง เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยจักษุและการเห็น
    ด้วยญาณ (ปัญญา) ก็ชื่อว่าเห็น เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ตรัสไว้ว่า ดูก่อน วักกลิ ประโยชน์อะไรด้วยกายเน่าที่ท่านเห็นอยู่นี้.
    ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา. ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม.
    เพราะฉะนั้น แม้ผู้ที่เห็นด้วยจักษุไม่เห็นอนิจจลักษณะเป็นต้นที่

    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 13
    พระอริยะทั้งหลายเห็นด้วยญาณ และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยะบรรลุ
    แล้ว พึงทราบว่าไม่เห็นพระอริยะ เพราะไม่เห็นธรรมอันกระทำ
    ความเป็นพระอริยะ และไม่เห็นความเป็นพระอริยะ.

    ไม่เห็นพระอริยะ
     
  18. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ถามนะคุณรู้หรือไมว่าท่านใดเป็นอริยะ ถ้ารู้ดูจากอะไรครับ
     
  19. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์นี่แท้จริงแล้วทางศาสนาหมายถึงพระอริยบุคคล (ดูในบทสวดมนต์ได้) ท่านมีควมสำคัญในการสืบทอดพระศาสนา
    คนเข้าถึงธรรม เป็นพระอริยะ ย่อมยึดพระรัตนะตรัยเป็นสรณะ ให้ความเคารพพระสงฆ์ซึ่งพระสงฆ์ ก็คือ พระอริยะนั่นเอง
    ที่ยกมาเป็นการเห็นพระอริยะด้วยญาณ..
    (บรรลุธรรมที่พระอริยะบรรลุ จึงจะเห็นจริง แม้นมีความเชื่ออยู่ก็ดี ตาเห็นแล้วก็ดี แต่หากไม่ถึงธรรมด้วยตนก็ไม่เห็นความเป็นพระอริยะเพราะไม่เห็นธรรมที่กระทำให้เป็นพระอริยะ)
    พระอริยะทั้งหลายเห็นด้วยญาณ และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยะบรรลุ
    แล้ว พึงทราบว่าไม่เห็นพระอริยะ เพราะไม่เห็นธรรมอันกระทำ
    ความเป็นพระอริยะ และไม่เห็นความเป็นพระอริยะ.

    เห็นคุณชอบประกาศความเป็นพระอริยะ คุณยังดูไม่ออก ว่าใครเป็นพระอริยะ
    แถมบอกพระพุทธเจ้าไม่ให้ไปหาพระอริยะ เพราะไม่มีทางรู้ ขอให้หยุดความคิดเข้าหาพระอริยะเสีย ให้ไปทำสังฆทานแทน เพราะบุญมากเท่าทำกับพระองค์ คุณมีเจตนาอะไรหรือ ?

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ bigtoo [​IMG]
    และที่จริงแล้วในการปฎิบัติธรรมเราไม่จำเป็นวิ่งหาอริยบุคคลเลยก็ได้ เพราะถ้าเราเองไม่มีความรู้แล้วเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครเป็นอะไรแค่ไหน ขอเราศึกษาจากตำราก็พอจะมีขอเพียงให้เราสะสมสุตตะให้มากเราจะรู้ด้วยตนเองว่าสิ่งไหนน่าจะเป็นธรรมะที่แท้จริงโดยเฉพาะจากพระสูตรต่างๆที่พระองค์แสดงไว้ และให้เราทดลองปฎิบัติไปเราก็รู้เองได้ แต่ถ้าท่านสนใจที่จะเข้าหาพระสงฆ์ก็เข้าไปถามไถ่หาความรู้ได้ทั้งนั้นพระสงฆ์ที่ทรงธรรมทรงวินัยก็มีอยู่มาก แต่ถ้าจะหาอริยเจ้านั่นขอให้หยุดความคิดนี้ได้เลย เพราะมีคนไปถามพระพุทธองค์ว่าจะหาพระอริยะนั้นจะรู้ได้อย่างไร พระพุทธองค์ไม่ให้ไปหาหรอกเพราะไม่มีทางรู้ได้ และพระองค์หาทางออกให้เราในเรื่องนี้คือการทำสังฆทานนั้นเองได้บุญมากกว่าทำบุญกับพระองค์เอง เช่นเดียวกันกับเรากำลังหาพระอรหันต์เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านใดเป็นอะไร และจะทำให้เรามีพระสงฆ์เป็นสรณได้เที่ยงตรง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  20. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ตกลงคุณทราบหรือไม่ทราบครับว่าใครเป็นอริยะ ส่วนผมที่ถามว่าผมมีจุดประสงค์อะไร? เพื่อความถูกต้องตรงแก่ธรรม ไม่เอนเอียงในเมื่อเราไม่รู้ก็ไม่รู้จะเดากันไปทำไม มัวแต่วิ่งหากันแล้วเจอมั้ยล่ะ เจอแล้วใช่มั้ยล่ะ สู้เรามีจิตเป็นกลางกับสงฆ์ทุกรูปน่าจะสมดุลย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...