แชร์ผลการปฏิบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฐสิษฐ์929, 13 มิถุนายน 2014.

  1. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ที่ว่ามาก็ไม่มีอะไรผิดครับ แต่เป็นส่วนในรายละเอียด ซึ่งในรายละอียดของการปฏิบัตินั้นก็มีแยะมากครับ ที่ผมพูดมานี้เอาหลักก่อน
    ในตำรานั้นมีทั้งถูกและไม่ถูกปะปนกันอยู่ครับ ฌานนี้ก็มีในพระไตรปิฎก ผมได้อธิบายไปแล้วว่าการปฏิบัติที่จริงเป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด บางอย่างเป็นพื้นฐานตามลำดับกันไปเป็นทานศีลเบื้องต้น สมถวิปัสสนา(พิจารณา)ท่ามกลาง ฌาน9หรือญาณ9 หรือมรรค8หรือปฏิปัฏฐาน4เป็นที่สุด ก็ต้องดูที่ว่านั้นอยู่ในส่วนใด ถ้าเป็นส่วนสูงสุดก็ทำลายกิเลสได้
    ปัญหาเบื้องต้นกับขั้นกลางไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่สุดท้ายมีปัญหาอย่างแน่นอน ถ้าพูดไปก็จะไปกระทบพระอาจารย์ท่านอื่นทันที เพราะหลายสำนักเอาระดับกลางมาไว้สูงสุดซึ่งตรงนี้ก็ไปอิงกับพระไตรปิฎกบางส่วนที่ตบแต่งเพิ่มเติมมา ทั้งที่ในระดับสูงที่แท้จริงก็ถูกทิ้งไปเลย และในพระไตรปิฎกว่าฌานเป็นเบื้องบาทของวิปัสสนานี้ละก็ยิ่งพาหลงไปใหญ่ ฌาน9 ก็เหลือแค่ฌาน8 จุดมโนทวารแม้นปรากฏในพระไตรปิฎกแต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่ทวารอื่นมาที่อยู่ หลายสำนักก็เลยเอาหัวใจมาเป็นจุดมโนทวารซึ่งก็ไม่ถูกต้องอีก หากลงในรายละเอียดต้องศึกษากันอีกมาก ผมบอกได้เลยแค้เพียงเอาตามตำราชาตินี้รับรองศึกษาไม่หมดเป็นแน่ เพราะนอกจากพระไตรปิฎกยังมีตำราอื่นๆอีกแยะมากสุดบรรยาย ที่หลวงปู่แสดงพุทธพจน์ปลอมแปลงก็มีด้วย ยิ่งพูดมากคนก็จะยิ่งจะไม่ดี ผมจึงมุ่งเอาแต่ธรรมที่ปฏิบัติเป็นหลัก ถกเถียงในรายละเอียดกันก็อยากจะหาข้อยุติได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2014
  2. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    คุณพูดมานั้นถูกทั้งหมดครับ
    แต่ถามว่าวิธีที่ปฏิบัติทำอย่างไร ความยากอยู่ตรงนี้ การอธิบายนี้ว่าก็ยากอยู่นะ แต่วิธีนี้ละ พระพุทธเจ้าท่านต้องบำเพ็ญบารมีมาเท่าไรจึงมาเห็นวิธี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะคิดวิธีได้เอง
    มีข้อสังเกตุประการหนึ่งมีท่านหนึ่งในพุทธกาลท่านมีความเชี่ยวชาญในหลักธรรมต่างๆอย่างมาก มีลูกศิษย์มากมาย แต่ท่านเองกลับไม่รู้วิธีปฏิบัติอะไรเลย ท่านถูกพระพุทธองค์ว่าหลายครั้งก็เลยไปปฏิบัติ ตั้งใจว่าให้ได้ก่อนเข้าพรรษา เอาไปเอามาตั้ง 30 ปีก็ไม่ได้บรรลุอะไร ต้องไปฟังธรรมจากสามเณร ท่านแนะวิธีให้จึงปฏิบัติสำเร็จในวันเดียว
    ผมคิดเอาเองนะว่าที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาไม่รู้เท่าไหร่นั้น ก็มาค้นพบการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นโดยมารู้ตำแหน่งจุดมโนทวารและการเพ่งที่จุดมโนทวารเพื่อการตรัสรู้ เมื่อไปเทียบกับพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่ปฏิบัติกันนั้นก็เพียง 3 - 7 วันก็ตรัสรู้แล้ว ของพระพุทธเจ้าเรานี้ปฏิบัติตรงจุดก็แค่วันเดียวเท่านั้น ดั้งนั้นความเห็นผมถ้าทำอย่างอื่นทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
    พิจารณาดูเอาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2014
  3. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ใช่เลยครับคุณ ฐสิษฐ์ ที่ไม่ใครสามารถคิดค้นวิธีการดับทุกข์ได้เองนอกจากพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า มรรคแปดพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบและนำมรรคนั้นมาบอกกับเหล่าสัตว์ เพื่อใช้ขนสัตว์พ้นจากทุกข์ ส่วนพระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ด้วยวิธีการใดอันนี้ผมไม่ทราบครับ แต่ผมนำคำที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมาปฏิบัติเท่านั้นครับ พระพุทธเจ้า ท่านทรงเล็งพระญาณถึงอุปนิสัยของสัตว์แล้วจึงได้แนะนำ ถึงวิธีการต่างๆไว้แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นสติปัฏฐาน อานาปานสติ ผมว่าทำอย่างนี้ก็สามารถสำเร็จได้เช่นเดียวกันครับ
     
  4. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    พึ่งจะอ่านถึงตรงนี้ ทำให้ระลึกถึง คุณพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ที่เคยเขียนถึงความหมาย ของ "นะโมพุทธายะ อะอุมะ" ไว้ที่ ทำบุญทำทาน - Powered by Discuz!


    ขอไว้อาลัย แด่ คุณพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ด้วยค่ะ ท่านเป็นอาจารย์ทางธรรมที่ทรงคุณค่าของเราท่านหนึ่ง ท่านได้ละขันธ์ ๕ แล้ว เมื่อวันที่ 8 ก.ค.57
    ดูรายละเอียดเพื่อได้ที่ คุณพลศักดิ์เสียแล้วนะครับ - สนทนาธรรมทั่วไป - ใบไม้นอกกำมือ - Wunjun Group

    อ่านธรรมของคุณพลศักดิ์ได้นะคะ ในเว็บใบไม้นอกกำมือนั้น ท่านได้เขียนไว้บางส่วนค่ะ

    เห็นคุณพลศักดิ์เขียนกระทู้ อ้างอิงถึงคุณ ฐสิษฐ์929 เมื่อวันที่ 6 ก.ค.57
    ไว้ที่นี่ พระเจ้าสร้างมนุษย์ หลังจากนั้นกลไกของมนุษย์(สสาร)และวิญญาณ(พลังงาน)ก็สร้างตัวเองไปเรื่� คุณฐิษฐ์929 เข้าไปอ่านดูได้ค่ะ

    คุณพลศักดิ์ พึ่งโพสไปไม่กี่วันเอง วันนี้ก็ไม่มีคุณพลศักดิ์ไปเขียนไปโพสกระทู้ในเว็บนั้นอีกแล้ว
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนัตตา

    นี่คือลักษณะของ อนัตตา มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป เป็นความว่าง

    ท่านที่ยังไม่เข้าใจว่า ขันธ์๕ คือ คือ ความว่าง เป็นอย่างไร ลองวิจัยทบทวนดูเองนะคะ
     
  5. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ MindSoul1 ครับ ขันธ์5 คือ ความว่าง ในความเข้าใจคุณ MindSoul1 คืออย่างไรครับ ช่วยขยายความได้ไหมครับ ขอบคุณครับ
     
  6. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    คำตอบ ก็ตอบไว้เรียบร้อยแล้วนี่คะในข้อความข้างบนหนะ อิอิ
    ยกมาให้ทบทวนใหม่ แล้วกันนะคะ
    ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็อ่านพระสูตร ในโพสต่อไปนะคะ

    ขอไว้อาลัย แด่ คุณพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ด้วยค่ะ ท่านเป็นอาจารย์ทางธรรมที่ทรงคุณค่าของเราท่านหนึ่ง ท่านได้ละขันธ์ ๕ แล้ว เมื่อวันที่ 8 ก.ค.57
    ...

    คุณพลศักดิ์ พึ่งโพสไปไม่กี่วันเอง วันนี้ก็ไม่มีคุณพลศักดิ์ไปเขียนไปโพสกระทู้ในเว็บนั้นอีกแล้ว
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนัตตา

    นี่คือลักษณะของ อนัตตา มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป เป็นความว่าง

    ท่านที่ยังไม่เข้าใจว่า ขันธ์๕ คือ คือ ความว่าง เป็นอย่างไร ลองวิจัยทบทวนดูเองนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2014
  7. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    <center> ๓. เผณปิณฑสูตร
    </center><center> ว่าด้วยอุปมาขันธ์ ๕

    </center> [๒๔๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้อยุชฌบุรี.
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้ พึงนำกลุ่มฟองน้ำใหญ่มา
    บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้น โดยแยบคาย
    เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    กลุ่มฟองน้ำนั้น
    พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย
    สาระในกลุ่มฟองน้ำพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ
    อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย
    เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    รูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่าหาสาระมิได้
    สาระในรูปพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.

    [๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเมล็ดหยาบตกอยู่ในสรทสมัย
    ฟองน้ำในน้ำ ย่อมบังเกิดขึ้นและดับไป บุรุษผู้มีจักษุ พึงเห็น เพ่ง
    พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    ฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย
    สาระในฟองน้ำนั้นพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.

    เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯลฯ
    อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    เวทนานั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
    สาระในเวทนาพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้น เหมือนกัน.

    [๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่
    พยับแดด ย่อมเต้น ระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง
    พิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    พยับแดดนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่าฯลฯ
    สาระในพยับแดดพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
    สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    [๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม้แก่น
    เสาะหาไม้แก่น เที่ยวแสวงหาไม้แก่นอยู่ ถือเอาจอบอันคม พึงเข้าไปสู่ป่า
    บุรุษนั้นพึงเห็นต้นกล้วยใหญ่ตรง ใหม่ ยังไม่เกิดแก่นในป่านั้น
    พึงตัดโคนต้นกล้วยนั้นแล้วจึงตัดปลาย แล้วจึงปอกกาบใบออก
    บุรุษนั้นปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยใหญ่นั้น
    จะพึงได้แก่นแต่ที่ไหน บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    ซึ่งต้นกล้วยใหญ่นั้น
    เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    ต้นกล้วยใหญ่นั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้
    แก่นในต้นกล้วยพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.

    สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ
    อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย
    เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย สังขารนั้น
    ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้

    สาระใน สังขารทั้งหลายพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกลหรือลูกมือนักเล่นกล
    พึงแสดงกลที่หนทางใหญ่ สี่แพร่ง บุรุษผู้จักษุพึงเห็น เพ่ง
    พิจารณากลนั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    กลนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
    สาระในกลพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.

    วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ
    อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
    เมื่อภิกษุเห็น เพ่ง พิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย วิญญาณนั้น
    ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
    สาระในวิญญาณพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
    ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป
    ทั้งในเวทนา
    ทั้งในสัญญา
    ทั้งในสังขาร
    ทั้งในวิญญาณ
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
    เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ฯลฯ
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้.

    พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
    จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

    [๒๔๗] พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้วว่า
    รูปอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ
    เวทนาอุปมาด้วยฟองน้ำ
    สัญญาอุปมาด้วยพยับแดด
    สังขารอุปมาด้วยต้นกล้วย และ
    วิญญาณอุปมาด้วยกล.

    ภิกษุย่อมเพ่งพิจารณาเห็นเบญจขันธ์นั้นโดยแยบคายด้วยประการใดๆ
    เบญจขันธ์นั้นย่อมปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่าด้วยประการนั้นๆ

    ก็การละธรรม ๓ อย่าง อันพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญาดังแผ่นดินปรารภ
    กายนี้ทรงแสดงแล้ว ท่านทั้งหลายจงดูรูปอันบุคคลทิ้งแล้ว.
    อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ย่อมละกายนี้เมื่อใด
    เมื่อนั้น กายนี้อันเขาทอดทิ้งแล้วย่อมเป็นเหยื่อแห่งสัตว์อื่น
    หาเจตนามิได้ นอนทับถมแผ่นดิน
    .

    นี้เป็นความสืบต่อเช่นนี้
    นี้เป็นกลสำหรับหลอกลวงคนโง่
    เบญจขันธ์เพียงดังว่าเพชฌฆาตผู้หนึ่ง
    เราบอกแล้ว สาระย่อมไม่มีในเบญจขันธ์นี้.


    ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วมีสัมปชัญญะ มีสติ
    พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน.

    ภิกษุเมื่อปรารถนาบทอันไม่จุติ (นิพพาน)
    พึงละสังโยชน์ทั้งปวง
    พึงกระทำที่พึ่งแก่ตน
    พึงประพฤติ
    ดุจบุคคลผู้มีศีรษะอันไฟไหม้ ดังนี้.

    <center> จบ สูตรที่ ๓.
    </center>

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๓๑๓๒ - ๓๑๙๑. หน้าที่ ๑๓๔ - ๑๓๖.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=3132&Z=3191&pagebreak=0
     
  8. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมจะขอกล่าวในส่วนของอนัตตา ในส่วนนี้ก่อนจะรู้อนัตตาจะต้องรู้จักกับอัตตาก่อน ขันธ์ห้าเป็นอัตตาทุกขันธ์ แต่ตัวจริงเสียงจริงเป็นตัวใด
    โดยสภาพธรรมทุกหมวดจะมีอธิบดีอารมณ์ซึ่งเป็นตัวหลัก หากไม่รู้ว่าตัวใดเป็นตัวหลักตัวใดเป็นตัวรอง เราก็จะไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นตัวใดไม่จริง
    การปฏิบัติธรรมก็เป็นการค้นหาอัตตาตัวจริงและทำลายมันซะ เมื่อทำสำเร็จนั้นละเราจึงจะได้เห็นอนัตตา ส่วนอนัตตาจะมีลักษณะอย่างไร ตราบใดที่ไม่เห็นเราก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ที่ว่างนั้นว่างอย่างไร
    ลักษณะของความว่างเองก็มีหลายระดับ ระดับเบื้องต้นความว่างที่มีตัวรู้อยู่ ตรงนี้มันก็ว่างแต่ว่างเป็นระดับแรก ว่างโดยมีตัวรู้ หากไม่มีตัวรู้ก็คงไม่รู้ว่าว่าง ว่างตรงนีอยู่ระดับอรูปฌาน5 ต่อไปก็ว่างแต่ไม่มีตัวรู้แต่ก็ยังมีขันธ์ ตรงนี้เป็นความว่างของพระอรหันต์ระดับอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ซึ่งขณะทรงอรหันตมรรคหรือทรงฌานนิโรธสมาบัติ ความว่างตรงนี้เป็นระดับอนัตตาที่สมบูรณ์ ระดับผู้เห็นก็เป็นระดับพระอรหันต์เท่านั้น แม้นพระอริยบุคคลระดับรองลงมาก็ไม่มีโอกาสได้เห็น ตรงนี้หลวงปู่สาวกโลกอุดรได้แสดงไว้ ซึ่งในระดับความว่างตรงนี้ตรงกับคำว่า "นิพพานัง ปรมัง สูญญัง" ซึ่งหลวงปู่แปลว่าสูญจากว่ารู้สึกนึกคิด นิมิตร และอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น เป็นความว่างที่ไม่มีตัวรู้เพราะตัวสติก็ไม่มี เมื่อไม่มีตัวรู้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าว่าง นี่ละครับใครยังไม่ได้สัมผัสก็ไม่มีทางจะรู้ได้
    ระดับปุถุชนผมว่าเรามาหาวิธีที่จะไปให้ถึงตรงนั้นกันดีกว่า การที่เราจะไปพยายามอธิบายอะไรที่มันไกลตัวอย่างสุดฟ้าสุดดิน ผมไม่เห็นประโยชน์อะไร ที่จะไปทำเช่นนั้นครับ
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  9. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    พระพุทธเจ้าก็เห็นเท่านี้แหล่ะไม่มากไปกว่านี้ มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น มีสิ่งหนึ่งตั่งอยู่ มีสิ่งหนึ่งดับไป ในฝ่ายสังขตะธรรม เรียกง่ายๆว่าสูงสุดก็สภาวะของสัญญาเททยิตนิโรธนั้นเอง ส่วนฝ่ายอสังขตะธรรมเป็นปัญญาเข้าไปเห็นความจริงทุกสภาวะ ทุกอย่างไม่ใช้ตัวตนบุคคลเราเขา เป็นแต่เพียง(สภาวะที่เกิดขึ้นและดับไปไม่ใช่ตัวเรา) ความรู้นี้แหล่ะครับจะไถ่ถอนความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา นี่แหล่ะครับปัญญา แต่ปัญญาแบบนี้พิจารณาได้ไม่ยากทุกคนเข้าถึงได้ จึงเรียกว่าสุตตะมยปัญญาและไตร่ตรองได้ด้วยความคิดเรียกว่าจินตามยปัญญา ปัญญาสองอย่างนี้ไม่สามารถดับกิเลสได้ ปัญญาที่จะดับกิเลสได้ต้องมีอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป สาวกที่บรรลุธรรมตามแนวที่ตนเองบรรลุก็จะสอนได้เพียงตนเองบรรลุเท่านั้น ไม่สามารถรู้ในการบรรลุในแนวอื่นที่เขาบรรลุกัน อย่าคิดว่าอย่างนี้ถูกอย่างเดียวสิ่งอื่นนั้นไม่มี นี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ อย่าเชื่อเพราะนี่คือครูอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อเพราะเรามีความเห็นตรงกับความคิดต้นคิดว่าถูกฯลฯ
     
  10. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    มิจฉาทิฏฐิ ปิดทางไปมรรคผลนิพพานจริงหรือ ตอนแรกมาลองพิจารณาดูมันจะแย่ขนาดนั้นจริงหรือ อนันตริยกรรมก็ยังมีวันหมดกรรมได้ พอจะมีทางได้บรรลุธรรมได้ แต่มิจฉาทิฏฐิ ปิดตายหนทางไปสู่มรรคผลนิพพาน แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสไว้ว่า บุคคลเช่นนี้พระพุทธองค์ไม่สอน เพราะสอนไม่ได้ แต่เข้าใจในคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว มันคงไม่ได้จริงๆ กับมิจฉาทิฏฐิ ตัวร้ายกาจนี้
     
  11. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    คนจะบรรลุธรรมน้อยเท่าเขาโค นอกนั้นเปรียบเหมือนขนโคที่เลาะไปตามกันเป็นส่วนมาก ธรรมชาติของน้ำย่อมไหลไปตามกระแส คิดจะทวนกระแสน้ำย่อมทำได้ยากยิ่ง ธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสรู้เป็นของทวนกระแสของกิเลส ตัณหาราคะ นั้นยากยิ่งสำหรับผู้ที่ยังเอาฃนะใจตนยังไม่ได้ วิธีการพ้นทุกข์จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ผิด อยู่ที่ตัวเรามีความเพียร มีจิตตั่งมั่นจะพ้นทุกข์เพียงไร นี่คือวิสัยของผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ในชาตินี้
     
  12. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผิดแล้วครับที่ผู้มีมิจฉาทิฎฐิสอนไม่ได้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีมิจฉาทิฎฐิกันทั้งนั้นก่อนที่จะได้รับพุทธปัญญาของพระองค์ หรือจะเถียง ที่พระองค์ไม่สอนคนที่มีความเห็นผิดกับบางคนนั้นพระองค์มีญานรู้ว่าบุคคลนั้นยังไม่ถึงเวลาอันสมควรครับ พอเข้าใจนะ ไม่ใช่ผู้มีมิจฉาทิฏฐิสอนไม่ได้ครับ ก็จะมีแต่ผู้ที่ยังมีความเห็นผิดยังยึดติดกับมงคลที่ไม่ใช่มงคลในศาสนา พวกกรวดหิน ปูนทรายที่มาในรูปต่างๆ หรืออะไรที่มาในรูปร่างประหลาดๆทีคิดว่าช่วยอะไรๆได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ความเห็นที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นเท่านั้นเท่านี้ ผมมองว่าอันตรายกับความเห็นต่อๆไปที่จะปรากฏขึ้น ลองพิจารณาดูนะครับ
     
  14. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ขอโทษทีครับ คุณ MindSoul1 ที่ไม่ได้อ่านดีๆซะก่อนครับ ขันธ์5 ที่ว่าว่างนี่ คือ ว่างจากความเป็นตัวตนใช่หรือเปล่าครับ พระวจนะที่ยกมาดีมากๆเลยครับ อนุโมทนาด้วยครับ คุณ MindSoul1 พอจะทราบไหมครับทำไมพระพุทธเจ้าอุปมาวิญญาณขันธ์ ว่าเป็นกล ของนักเล่นกล ช่วยขยายให้ด้วครับ ถามมากขออภัยด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2014
  15. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ ฐสิษฐ์ ครับใน #271 --- การค้นหาอัตตาตัวจริงและทำลายมันซะ --- การทำลายอัตตาต้องทำอย่างไรครับ ตรงนี้น่าสนใจครับ ขอบคุณครับ
     
  16. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ผมอ่านความเห็นของคุณ bigtoo แล้วน่าสนใจนะครับ ผมเห็นว่าเป็นสัมมาทิฐินะครับ ใน#272 --- สาวกที่บรรลุธรรมตามแนวที่ตนเองบรรลุก็จะสอนได้เพียงตนเองบรรลุเท่านั้น --- ตรงนี้คุณ bigtoo มีอะไรแนะนำในการปฏิบัติหรือไม่ครับ ขอบคุณครับ
     
  17. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ผมว่านะครับคุณ jittinon พระพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ อยากรู้อะไรก็รู้ได้ทั่วโลกธาตุไม่มีประมาณ แต่แก่นธรรมที่นำมาสอนก็ไม่พ้นเรื่องความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของขันธ์5 ธรรมทั้งวนอยู่กับเรื่องเหล่านี้ครับ คุณjittinon เห็นด้วยไหมครับ
     
  18. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ ฟางว่าน ครับ ตรงนี้น่าสนใจ --- ทิฏฐิบุคคลบรรลุได้ยาก --- เป็นเพราะอะไรครับ ขอบคุณครับ
     
  19. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627

    ทิฏฐิทุกคนมีด้วยกันทุกคน บางคนมีมิจฉามาก่อนเป็นส่วนมาก แล้วค่อยมีสัมมาทิฏฐิ ในภายหลังเมื่อมีเหตุปัจจัยให้มีให้เกิดขึ้นมาได้ แต่บุคคนเช่นใดเล่าหนอ จึงมาบอดไปบอด บุคคลเช่นว่านี้ยังมี เวลาอันแสนยาวนั้น 1 พุทธธันดร สำหรับบุคคลที่มีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้า อยู่ในโลกันตนรก บุคคลเช่นว่านี้ยังมี

    ที่พระองค์ไม่สอนคนที่มีความเห็นผิดกับบางคนนั้นพระองค์มีญานรู้ว่าบุคคลนั้นยังไม่ถึงเวลาอันสมควรครับ พอเข้าใจนะ ไม่ใช่ผู้มีมิจฉาทิฏฐิสอนไม่ได้ครับ ในส่วนนี้คุณตีความเอาเองใช่ไหมครับว่าเป็นอย่างที่คุณอธิบายมา หรือคุณรู้มาจากที่ใด หรือคิดวิเคราะห์พิจารณาเอา แล้วถ้าอ้างว่าที่พระพุทธองค์ทรงยังไม่สอนเพราะรู้ด้วยพระญาณว่าสัตว์ผู้นี้ยังมิควรแก่การสั่งสอน แล้วสัตรว์นี้ตัองรอเหตุปัจจัยอื่นใด อีกเล่า ถ้าถึงคราวที่ไม่มีพระพุทธองค์ทรงมาโปรด หรือเขายังมีมิจฉาทิฏฐิเช่นว่านี้อยู่เนื่องๆ มิได้ประกอบสิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นสัมมาขึ้นมาบ้างเลย ประกอบแต่สิ่งที่มีมิจฉาทิฏฐิ เนื่องด้วยทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน เนื่องด้วยมีความเห็นผิดเป็นนิจอยู่เนืองๆเช่นนี้ ผลยอมเป็นไปตามเหตุ แล้วเมื่อใดสัตว์นี้จึงจะเกิดดวงตาเห็นธรรมได้เล่า 1 พุทธธันดรจะเพียงพอแก่สัตว์เหล่านี้หรือไม่ เนื่องด้วยมีเหตุเป็นเช่นนี้ประพฤติมีความเห็นผิดอยู่เป็นเช่นนี้ ผลจึงยากที่จะเเปรเปลี่ยนเป็นอื่น แต่ถ้ากลับกันถ้าเขาสามารถที่จะทำให้มีเกิดสัมมาทิฏฐิได้ด้วยตัวของเขาเอง มีหรือที่พระพุทธองค์จะไม่ทรงทราบด้วยพระญาณว่าเขาคนนี้สามารถบรรลุธรรมได้เพราะเขาได้สร้างเหตุให้เกิดมีสัมมาทิฏฐิขึ้นมาบ้าง ก็ยังมีโอกาสโน้มเข้ามาในทางที่เป็นสัมมาทิฏฐิซึ่งมีโอกาสบรรลุธรรมได้ พระองค์ไม่สอนเพราะเขาได้ยึดมิจฉาทิฏฐินั้นเหนื่ยวแน่นไม่แตกต่างจากอวิชชาอันเหนี่ยวแน่นภายในกมลสันดานของเขาไปแล้ว เนื่องด้วยเห็นอยู่แบบนี้สร้างเหตุไว้เช่นนี้ จึงยากที่จะสั่งสอนให้บรรลุธรรมได้ ถ้าใครมีมิจฉาทิฏฐิอันฝั่งแน่นเช่นนี้ ก็ย่อมยากที่จะบรรลุธรรมได้ เพราะเป็นด่านขวางกั้นหนทางไปสู่ความพ้นทุกข์

    ส่วนเรื่องการยึดติดในสิ่งของหรือสิ่งอื่นใด ที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย บุคคลที่หยั่งลงยึดมั่นในพระรัตนตรัยที่แท้จริงก็ต้องเป็น โสดาปัติผล เป็นต้นไป เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่ายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้จริง นอกนั้น เป็นปกติธรรมดา ที่เขาจะยึดหรือไม่ยึดอะไร อันนั้นก็สุดแล้วตามเหตุปัจจัยของคนๆนั้นที่ได้กระทำมา เพราะยังไม่ได้บรรลุธรรมอันใด จะพูดแต่ปากว่าเรายึดถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้จริงนั้นเป็นมโนที่คิดขึ้นมาเอง มิได้ทำได้จริง แต่ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่ในการคิดที่จะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    ยินดีสนทนาแลกเปลี่ยนครับเรื่องธรรมะ ธรรมนั้นเน้นภาษาปฏิบัติ เป็นหลัก พูดน้อย ปฏิบัติให้มากน่าจะดีกว่า หลวงปู่ท่านก็ยึดปฏิปทานี้ ปากท่านก็มีแต่เรื่องอะไรที่ท่านยังไม่รู้จริง ท่านจะไม่พูด รอจนกว่าท่านทำได้จริงท่านจึงพูดแบบตรงที่สุด รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่เกิดขึ้น แล้วนำมาสั่งสอน
     
  20. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    พระพุทธองค์ก็เพียรบอกทางแก่สัตว์โลกทั้งเทวดาและมนุษย์เป็นเวลา45พรรษาก็ได้ประโยชน์กันไปมาก ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกครับทีฝึกไม่ได้แต่เวลาของเขาจะมาถึงตอนไหนต่างหาก ท่านอย่ากล่าวว่ามนุษย์ฝึกไม่ได้เลยท่านกำลังคิดผิดดูถูกมนุษย์ด้วยกัน คนเราสะสมมาไม่เหมือนกันทุกคนมีเวลาของแต่ล่ะคน.
    ส่วนเรื่องที่ท่านจะเคารพท่านใดเป็นอาจารย์ผมห้ามไม่ได้นะครับทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่สิ่งที่ผมพยายามกล่าวกับหลายท่านคือการที่หลายท่านกล่าวว่าท่านนั้นเป๋นอริยเจ้าขั้นนั้นขั้นนี้สิ่งนี้ต่างหากที่ผมขอค้านความเห็นเหล่านี้ท่านรู้ได้จริงหรือ ผมถามจริงๆคุณก็ไม่รู้ใช่ป่าว แล้วพูดเพื่ออะไร นี่ต่างหากประเด็นที่เราไม่เข้าใจกันว่ามีพระสงค์เป็นสรณะนั้นจะต้องวางจิตอย่างไร หลายท่านมีหลวงปู่ของฉัน มีหลวงตาของฉันที่ฉันเชื่อว่าเป็นอรหันค์เป็นสรณะ ซึ่งมันไม่ตรงตามคำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...