วิญญาณกสิณ คืออะไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นะมัตถุ โพธิยา, 14 ธันวาคม 2014.

  1. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    ผมไปพบในพระไตรปิฎก
    เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
    อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

    กสิณสูตร

    " ดูกรภิกษุทั้งหลาย บ่อเกิดแห่งกสิณ ๑๐ ประการนี้
    ๑๐ ประการ เป็นไฉน คือ
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งปฐวีกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งอาโปกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งเตโชกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งวาโยกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งนีลกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งปีตกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมชัดซึ่งโลหิตกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งโอทาตกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งอากาสกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งวิญญาณกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บ่อเกิดแห่งกสิณ ๑๐ ประการนี้แล ฯ "


    ท่านใดพอจะช่วยอธิบาย วิญญาณกสิณ ได้บ้างครับ
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ทั่วๆไปนะครับ..ที่นำมาลงเป็นเหตุที่สามารถทำให้ตัวจิตเข้าสู่วิญญานกสิณได้ครับ..
    และก็เป็นปกติธรรมดาครับในทางปฏิบัติครับ การที่ตัวจิตจะเข้าถึงในโหมดวิญญานนี้ได้..
    ด้วยสภาวะปกติของจิต ณ เวลานั้นจะสามารถสัมผัส รับรู้ ถึงพลังงานของกสิณกองต่างๆ
    ได้ทั้ง ๑๐ กองก่อนเป็นพื้นฐานอย่างน้อยครับ.โดยมีกสิณอากาศซึ่งเปรียบเสมือน
    ตัวเชื่อมและให้เข้าถึงได้..แต่ถ้าทำกสิณไม่ได้ ก็ยังสามารถเชื่อมได้ แต่จะได้ในส่วนของพลังงานความร้อนที่มีแหล่งกำเนิดจากดวงอาทิตย์
    และพลังงานความเย็น ที่มีแหล่งกำเนิดจากดวงจันทร์ ซึ่เป็นต้นกำเนิดเดิมอยู่แล้วจากภายนอกได้เช่นกัน..และไม่จำเป็นจะต้อง
    มีความชำนาญในการใช้งานทุกกอง.
    .แต่อย่างน้อยตัวจิตจะมีความสามารถในการเรียกเป็นพลังงานขึ้นมาได้ทุกๆกองเป็นพื้นฐาน
    .ในที่นี้หมายความ มีพลังงานขึ้นมาก่อนที่ตัวจิต
    จะนึกคำภาวนาออกได้.ทางปฏิบัติถ้าหากใช้งานได้มักจะเป็นเช่นนี้..
    ส่วนการเรียกก็แตกต่างๆกันไป อย่างเมื่อก่อนมหาบรุษท่านอาจเรียกว่า กสิณพระเหตุเพราะ
    เวลานั้น.ตัวจิตเชื่อมกับรูปแทนพระพุทธฯและด้วยมีกระแสเมตตาที่หนักหนักนิ่งมานาน
    จึงเป็นธรรมดาที่จะเชื่อมกับรูปแทนพระพุทธฯหรืออื่นๆได้
    ส่วนห่มเหลืองมีชื่อในอดีตท่านเรียกเป็นโหมด
    อรูปฌานเหตุเพราะว่าในโหมดนี้จะไร้รูปร่าง จะมีแต่เส้นสายเป็นลักษณะกะแส
    และแสงร่วมด้วย..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..
    ไม่ว่าทางภาษาจะเรียกแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่ทางด้านกิริยา
    ของจิตจะคล้ายคลึงกันดังต่อไปนี้ครับ..

    ๑.คือจะพ้นจากสภาวะของการสร้างเป็นรูปร่างขึ้นร่างขึ้นมา หรือ พ้นสภาวะการปรุงแต่งใดๆ
    ก็ตามที่ยังเป็นรูปเป็นร่างได้...
    ๒.ตัวจิตมีความสามารถในการเชื่อม ในระดับของของธาตุที่เป็นโหมดวิญญานธาตุ
    โดยที่ไม่จำเป็นต้องจับต้อง และที่สำคัญคือสามารถข้ามพ้นเรื่องมิติและเวลาได้.
    เรียกง่ายๆก็คือมีการเชื่อมกระแส จากตัวจิตไปยังภายนอกได้.
    และสามารถไปเชื่อมกับภายนอกได้ทุกๆระดับ..โดยเรื่องเวลาที่ผ่านมาแล้วไม่เป็นผล...
    และสามารถใช้ได้หากว่าตัวจิตมีความคุ้นเคยในการตัดความคิดออก
    ในขณะที่กำลังเชื่อมในสภาวะปกติแบบลืมตาทั่วๆไปครับ..
    ๓.สามารถมองเห็นกระแสได้ด้วยตาเปล่าแม้ใช้ระดับกำลังสมาธิไม่มาก..
    ๔.สามารถเชื่อมและใช้งานได้ ในระดับกำลังสมาธิไม่มาก หรือในสภาวะปกติแบบลืมตา..
    ๕.สามารถแยกรวมกสิณเป็นชุดๆได้ เช่น รวมเฉพาะกสิณสี รวมเฉพาะกสิณกลาง..
    รวมทั้งดึงขึ้นมาทีละกองได้..
    ๖.สามารถส่งผ่านพลังงานตรงนี้ไปยัง สถานที่ วัตถุต่างๆได้
    ๗.สามารถดึงพลังงานกสิณจากแหล่งต่างๆได้ เช่น จากเปลวไฟ จากน้ำ เป็นต้น..
    ๘.สามารถดูดพลังงานต่างๆ จากแหล่งอื่นๆได้ โดยไม่ต้องสัมผัส รวมทั้งการเพิ่มพลังงาน..
    ๙.สามารถเพิ่มความหนาแน่นได้ จากการฝึกสะสมสมาธิ...
    ฯลฯ.
    และที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ ที่มาจะเป็นห่มเหลือง หรือเป็นบุคคล
    ที่มีฐานกำลังสมาธิใช้งานในระดับสูงเป็นปกติ หรือฝึกจนมีความชำนาญ
    ในการเข้าถึงสมาธิใช้งานได้จริงในกำลังสมาธิระดับสูง..
    ปัจจุบันยังพอพบว่ามีห่มเหลืองบางท่านทำได้อยู่...

    และกิริยาทางจิตที่เล่ามานี้..จะเป็นพื้นฐานปกติของแบบการฝึกที่เรียกว่า
    วิชาเดินธาตุ อยู่ในระดับพื้นฐานของโหมด วิญญานธาตุ ซึ่งถ้าหากว่าจิตสามารถ
    เชื่อมกับอากาศธาตุได้เพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะดึงพลังงานร้อนและเย็นจากภายนอกได้..
    แต่จะมีขอบเขตจำกัดในเรื่องของการนำไปใช้งาน..เนื่องจากว่าตัวจิตยังจะมีกำลังจิต
    ไม่เพียงพอต่อการต้านทานพลังงานรูปแบบต่างๆจากภายนอก
    และที่สำคัญก็คือสายตาพิเศษในการมองเห็นจะไม่ดีพอ...เพราะฉนั้นจึงเป็นเรื่อง
    จำเป็นที่ผู้ที่จะก้าวไปถึง โหมดวิญญานธาตุนี้ จะต้องฝึกให้จิตมีกำลังจิตจากกสิณเป็น
    พื้นฐานก่อนให้ได้ในกำลังสมาธิระดับที่ปั่นปฏิภาคนิมิตรกสิณให้ได้อย่างน้อย
    หรือมีความชำนาญในการเข้าถึงขั้นอฐิษฐานจิตในระดับกำลังสมาธิระดับสูงแล้ว
    เกิดผลได้อย่างห่มเหลืองมีชื่อในอดีต..เพราะต่อจากโหมดนี้
    เรื่องปกติวิสัยทางจิตแบบนี้..ก็จะเป็นพื้นฐานในการก้าวเข้าสู่ระดับจิตธาตุ
    ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีพื้นฐานจากการเดินปัญญาลดละกิเลส จนจิตเข้าสู่ความว่าง
    ใช้งานได้ คือมีความเป็นทิพย์และมีกำลังจิตใช้งานได้พร้อมกัน.
    โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ใช้สมาธิ ไม่ข่ม อย่างน้อยให้ได้เกือบตลอดทั้งวันเป็นอย่างน้อย
    แม้ว่าผู้ที่เคยสะสมบารมีทางด้านนี้มา จะสามารถสัมผัสได้ รับรู้ได้ รวมถึง
    สามารถทำโน้นทำนี่ได้ กับกระแสหรือเส้นสายได้ แม้ในเวลาตาปกติก็ตาม
    สิ่งที่ได้คือความเป็นทิพย์ของจิตในระดับใช้งาน แต่สิ่งที่ขาดก็คือเรื่อง
    ของกำลังจิตเพื่อที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง.ในระดับที่สัมผัสได้ รับรู้ได้
    ทั้งจากบุคคลภายนอกและผู้ที่สามารถใช้งานได้ครับ....

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ ขอบคุณครับ..
     
  4. agentlight555

    agentlight555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +56
    .
    เขียน ๒๒.๔๔

    เรียนถามท่านนพ

    สวัสดีครับ แหม...ให้รอซะหลายวันเชียว ไปเที่ยวไหนมารึเปล่าครับ
    บังเอิญจังเลย นักรบแสงเค้าเพิ่งโพสท์เกี่ยวกะเรื่องวิญญานพอดี
    รบกวนช่วยพิจารณา แล้วแปลเป็นภาษาของท่านให้ฟังหน่อยสิครับ
    เผื่อจะได้เข้าใจการทำงานของจิตในขณะนั้น ของเค้าได้ดีขึ้น แบบมีหลักการ ๕๕๕

    เราตัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับวิญญาน ซึ่งเค้าคงไม่รู้จักวิญญานกสิณแน่เลย
    ถึงพูดแบบชาวบ้านแบบนั้นออกมา ก็น่าแปลกใจจังนะครับ
    เค้าไม่รู้เรื่องอะไรซักเท่าไหร่ ทำไมถึงทำได้ขนาดนั้น
    หรือเค้าโมเมมั่วไปเอง อ่านแล้วก็น่าสงสัย แต่ก็ดูเนียนดี ไม่มีพิรุธเลย

    ท่านเจ๋งที่สุดแล้ว เท่าที่เคยอ่านเจอมา ๕๕๕
    ไม่ได้แกล้งชมนะ แต่ชมตรงๆ เลย ขอบอก
    รบกวนช่วยไขความลับความเก่งกาจ
    หรือความโม้มั่วเมค ของนักรบแสงด้วยนะครับ



    ตัวแทนที่มีอำนาจเต็ม แห่งแสง / แพะรับบุญ

    .
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040

    แห๋มๆมีหลักการยังไงน้อคุณ ๕๕๕ เด่วเล่าอะไรให้ฟังหูไว้หูก็ไดครับ
    อืมๆๆ เทคนิคการอุทิศส่วนกุศลว่าด้วยกิริยาทางจิตในการวางอารมย์
    และลักษณะของกระแสบุญที่แผ่ออกไปในลักษณะแบบแผ่กระจาย
    กรณีนี้เป็นลักษณะที่เค้าเล่ามานั่นหละครับ.แต่เค้าอาจจะถนัด
    ในการวางอารมย์ในระดับกำลังสมาธิสูงร่วมด้วยเล็กน้อย.ถ้าเป็นการอุทิศใน
    ลักษณะเฉพาะจะไปเป็นวงกลมๆคล้ายลูกฟองน้ำ.เหมือนเราเป่า
    หลอดดูดน้ำผสมฟองสบู่นั่นหละครับ...
    ที่นี้ในเรื่องของบุญเรื่องการอุทิศก็เป็นกระแสพลังงานเช่นกันครับ..
    พวกนี้มีข้อพิเศษตรงที่สามารถข้ามเรื่องมิติและเวลาได้.เช่นกันคล้ายคลึง
    กับเรื่องของพลังงานกสิณวิญญานที่ได้เคยเล่าให้ฟังมาก่อนหน้าครับ..
    หลุมดำที่เค้าเรียก บางกลุ่มก็เรียกประตูมิติ.เป็นเสมือนประตูในการเชื่อม
    สถานที่หนึ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในมิติและเวลาที่แตกต่างกัน..

    บางทีถ้าเราตาดีหน่อยไปตามวัดต่างๆจะสังเกตุเห็นประตูแบบนี้ได้ครับ
    .และเป็นเสมือนช่องทางให้กระแสพลังงาน
    สามารถผ่านประตูแห่งนี้แล้วไปปรากฏยังสถานที่แห่งหนึ่งได้ทันที ..
    เป็นเทคนิคคอลเทอมอย่างหนึ่งในการส่งพลังงานครับ..ทั่วไปเราจะใช้
    การนึกปลายทางให้ได้ก่อน อย่างน้อยก็ให้รู้ ให้เชื่อมได้ว่านั้นคือปลายทาง
    ที่จะส่ง จะด้วยการเชื่อม การนึกให้เห็นด้วยภาพหรืออะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับ
    ความถนัดของแต่ละบคุคลครับ..และอีกวิธีการหนึ่งก็คือการเปิดประตูมิติ
    ซึ่งสามารถเปิดขึ้นตรงไหนก็ได้ครับ ส่วนความสามารถในการขยายก็
    แล้วแต่บุคคลครับ..โดยปกติจะเปิดที่บริเวณด้านหน้าตัวเองก่อนเป็น
    การเปิดประตูจากจุดที่ตัวเองอยู่และก็เปิดอีกหนึ่งประตูก็คือประตูที่เป็น
    ปลายทางแล้วก็ทำการเชื่อมทั้ง ๒ ประตูเข้าด้วยกัน..ก็จะสามารถส่ง
    กระแสพลังงานต่างๆผ่านประตูตรงนี้ได้ สามารถยื่นอวัยวะเพื่อไป
    สัมผัสลักษณะของอากาศภายในได้ สามารถเชื่อมตาที่ ๓ กับประตูได้
    สำหรับคนที่ชำนาญ สามารถส่งจิตผ่านไปได้แต่การส่งจิตในอดีตพบว่า
    สามารถทำให้หลงมิติได้.เนื่องจากค้นพบว่าสามารถส่งได้แต่ตอนกลับ.
    ยังไม่พบการเปิดเพื่อกลับมายังจุดเริ่มต้น.เนื่องจากการเปิดเพื่อมายังจุด
    เริ่มต้นที่เราอยู่จะเป็นเทคนิคของฝ่ายที่มีแต่ดวงจิตที่สามารถทำได้เป็น
    ปกติ..เราจะทำได้จะต้องไม่มีสายใยบางๆที่เชื่อมกายทิพย์และตัวจิตไว้
    ในอีกมิติหนึ่งครับ.ยกเว้นว่าจะเป็นบุคคลที่สำเร็จในระดับจิตธาตุที่สามารถ
    เล่นแร่แปรธาตุแล้วสลายทั้งกายตรงนี้ก่อน แล้วไปขึ้นรูปกายตนใหม่ใน
    อีกมิติหนึ่ง.เราอาจคุ้นเคยในลักษณะของคำว่าหายตัวได้ ซึ่งห่มเหลือง
    หรือบุคคลที่ทำได้ การไปปรากฏอีกที่หนึ่งได้ทันที.ก็คือการไปขึ้นรูปกาย
    อีกที่นั่นหละครับ เพียงแต่อาจเรียกแตกต่างกัน แต่ทางกิริยาทางจิตจะคล้ายกัน
    เหมือนลักษณะของพวกจานบินไร้สัญชาติที่เค้าทำกันได้ปกตินั้นหละครับ..
    ของเราทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แต่ยังไม่สามารถนำวัตถุข้ามไปได้
    แบบที่เสถียรครับ.ส่วนการที่คิดอยากจะรู้อะไร
    กิริยาทางจิตในการรับรู้อย่างที่เล่ามาก็ถือว่าเป็น
    กิริยาปกติที่พวกกลุ่มต้นกำเนิดทางจิตแบบที่ไม่ใช่มาจากไตรภพนี้เค้าทำได้กันปกติอยู่แล้วครับ
    นอกจากเรื่องอาวุธพิเศษที่ติดตัวมา เรื่องที่กายทิพย์ที่เค้ามีปลีกไว้สำหรับเหาะ
    เรื่องการเชื่อมพลังาน..รวมทั้งความสามารถใน
    การเปิดประตูมิติ ถ้าถามว่าเค้าทำได้อย่างไร ก็ทำได้ปกติเค้านั้นหละครับ
    เป็นความสามารถทางจิตปกติของกลุ่มนี้เค้าครับ กลุ่มนี้เค้าจะรู้ๆกันดีครับ..
    ..ส่วนที่ส่วนตัวเล่าให้ฟังก็เป็นในลักษณะของหลักการในการทำสิ่งที่คุณ
    ถามว่าเค้าทำไมทำได้หรือทำได้อย่างไร..
    .ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีลูกเล่นอย่างไร คือเค้าจะทำงานภายใต้ความคิด
    หรือพูดง่ายๆว่าคิดจะทำอะไรแบบไหนออก ณ เวลานั้นๆนั่นหละครับ
    ส่วนในหลักการทำพวกนี้เค้าจะมีเครื่องรู้ของเค้าเองได้อัตโนมัติ
    เนื่องจากตัวจิตจะมีการเชื่อมไปยังแหล่งความรู้ได้เป็นปกติวิสัย.
    .ส่วนความสามารถ
    ในการถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดอย่างไร..
    ก็แล้วแต่บุคคลครับ ขึ้นอยู่กับว่าเค้าจะเล่าหรือไม่เล่า
    นึกออกไหมครับ ว่าอะไรที่เค้าทำได้ปกติมันก็ไม่ใช่เรื่อง
    น่าตื่นเต้นอะไร เหมือนคุณจะไปบอกคนอื่นๆว่าผมทานข้าวได้นั่นหละครับ
    ซึ่งเรื่องราวของบุคคลที่คุณนำเรื่องมาลงถือว่ามีเทคนิค
    ในการเล่าได้น่าติดตามมาก น่าจะไปเขียนเป็นหนังสือ
    ขายได้นะครับอ่านแล้วน่าติดตามและสนุกดีครับ.

    ปล.ส่วนประเด็นจะใช่ ไม่ใช่ จริงไม่จริง ทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นหลัก
    ประเด็นก็คือ เค้าต้องการจะสื่ออะไรให้เราทราบ
    นั่นคือวัตถุประสงค์ในการถ่ายทอดครับ
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    กรรมฐาน ก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า อยู่ใน " กสิณ10 "

    วิธีการเพ่ง 10 วิธี โดย จะเริ่มจาก วิธีไหนก็ได้ เป็น กรรมฐานตั้งต้น หลัง
    จากได้ การเพ่งลักษณะใดลักษณะหนึ่ง อีก 9 อย่างที่เหลือก็เหมือนกัน ต้องรู้ได้

    ดังนั้น

    คนบางคนในโลกนี้ เขาเริ่มที่ กสิณวิญญาณ ก่อน "ดิน น้ำ ลม ไฟ วรรณะ "
    " อากาส "


    *******

    "ดิน น้ำ ลม ไฟ วรรณะ " " อากาส " ทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่ภายนอก เป็นธรรมภายนอก

    กรณีที่ต้องการฝึก กสิณวิญญาณ ก็ไม่ได้ยากอะไร ไม่ต้องไป อรูปฌาณ อะไร

    ก็แค่ กำหนดรู้ว่า เพ่งกสิณภายนอก ธรรมภายนอก จิตมันจะผลิก แบบ เหรียญมีสองด้าน

    ดังนั้น เพ่งออกไปข้างนอก ไปสู่ธรรมภายนอก แล้ว ผลิกเข้ามาสิ อะไรมันแล่นออกไปรับรู้

    เมื่อกำหนดแบบนั้น มันจะเหมือน ไม่ส่งจิตไปถึง ธรรมวัตถที่เป็นสิ่งภายนอก มันจะเหมือนติดเบรก
    แล้ว รับรู้สิ่งที่ส่งไปรับรู้ จับต้องได้เหมือนตาเห็นรูป ยิ๊บๆ แย๊บๆ ( ธรรมชาติจิตย่อมส่งออกนอก )

    ซึ่งถ้ายังส่งออกอยู่ ยังไม่เข้าฐานจิต มันจะเหมือน ตั้งอยู่ข้างนอก

    แต่ถ้าเข้าฐาน คือ น้อมเข้ามาอย่าให้เกินกายหนาคืบกว้างศอก มันจะ เห็นช่อง
    ว่างอันเป็น สิ่งที่ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้าไปตั้งอยู่ ( อากาส ) เช่น ช่องว่างของหลอด
    ลม ที่เป็นโพรง ให้ดิน น้ำ ลม ไฟ ตั้งขึ้นกลายเป็น " หลอดลม " แต่ เราจะไม่
    ติดตรงนั้น หากเพ่งเข้ามาอีกหน่อย มันจะไปอยู่แถวกลางอก มันยิ๊บๆ แย๊บๆ กลาง
    อก ยังไม่กระทบมหาภูตรูป หรือ อากาสใดๆ [ พูดอีกแง่คือ เห็นกายเป็น คูหาสยัง
    แล้วจึงผลิกไปเห็น วิญญาณเป็นคูหาของจิต -- ภาษที่นิยมคือ มีวิญญาณครอง บาลี ก็ ทุรังคมัง เอกาจรัง ]

    ......... หลวงพ่อพุธ ถวายคำอธิบายการภาวนาของในหลวงว่า

    " รู้อยู่ที่ไม่รู้ นั่นแหละ สุดยอดการรู้ "

    ***********

    อนึ่ง พึงทราบว่า คนที่จะยั๊บยั้งไม่เพ่งส่วนที่จิตเข้าไปกระทบธาตุ4 หรือ ที่ตั้งของธาตุ4(อากาส)
    จะต้องมี ญาณที่ชื่อว่า ปฏิสังขารญาณ ( ญาณที่ทำให้พ้น จาก นามรูป ) แล้ว วางเฉยต่อ
    การเห็น ยิ๊บๆ แย๊บๆ กลางอก แล้ว อนุโลมรู้(อย่างรู้ว่า ไม่รู้ว่ารู้อะไร) เพียงแค่นั้น ไม่ล่วงเกินกว่านั้น

    เมื่อทำได้ จิตจะทรงฌาณ ได้ทุกอริยาบท ทุกการกระทำ หาก กิเลสเกิดก็จะเกิด
    สมถะอารมณ์คู่ปรับขึ้นวิถีตัดแบบตทังคปหาน

    แต่โดยมาก จะต้อง อนุโลมตาม " ทิฏฐิ " เพื่อการบริหารหมู่ ดังนั้น ความรวด
    เร็วในการแสดงออก จะดูคล้ายคนเจ้าอารมณ์ คนที่ขี้โมโห [ ปฏิสัมภิทา ให้กำหนดรู้ธรรมชื่อ ปัญญาเร็ว ]


    และ พึงทราบว่า กสิณวิญญาณ ไม่มีเรื่อง อิทธิฤทธิ กระจอกๆ แบบ กสิณดิน น้ำ ลม ไฟ

    เพราะ กสิณวิญญาณ จะเป็น บาทฐานของ สิ่งที่เหนือกว่า อิทธิฤทธิ พลังงานบ้าๆบอๆ
    การทักจิตทายใจสัตว์หน้าขน แบบชาวบ้านๆ (เนื่องจากอำนาจของ ปฏิสัขารญาณ ต้อง
    คว่ำสัตว์ลงเหลือเพียง นามรูป เพื่อข้าม) นั่นคือเป็นบาทฐานของ " อนุสาสนียปาฏิหารย์ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2014
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อารมณ์ แปลแบบ พี่ไทย หรือ หนังช่อง 7 จะหมายถึง mood

    อารมณ์ ภาษาบาลีดั้งเดิม แปลว่า Object หรือ " วัตถุที่ถูกรู้ ถูกดู ถูกสังเกต"

    อารมณ์ ที่เป็น นาม ยก นาม ขึ้นสังเกตได้ ก็เรียกว่า อารมณ์เหมือนกัน โดยมีสำนวนว่า
    " ยกเห็นนามรูปได้เหมือนตาเห็นรูป "

    อารมณ์ จะผลิกกลายเป็น อารมณ์แบบหนังช่อง7 ก็เมื่อมี การเสวย

    ********************

    จิตเสวยอารมณ์

    จิตที่เข้าสังเกตุ รูปก็ดี นามรูปก็ดี หากยังไม่ " ยินดี ยินร้าย แสร้งทำ
    เฉย " ก็จะเรียกว่า กำหนดรู้ ( ถือว่า ไม่มีการเสวย )

    แต่ถ้า เกิดความ " ยินดี ยินร้าย แสร้งทำเฉย " แล้ว ก็จะเรียกว่า เกิดการเสวยอารมณ์
    และเริ่มเป็น ปุถุชนคนหนา แบบ หนังช่อง7 ทั้งเรื่องตลาด และ แบบจักรๆวงษ์ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2014
  8. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    พระพุทธเจ้า พระสมณะโคดม เป็น " พระอรหันต์แบบเตวิชโช "

    ถ้า กสิณวิญญาณ คือ อรูปฌาณ พระสมณะโคดมก็ต้องเป็น พระอรหันต์อุภโตภาค เป็นอย่างน้อย



    ฝาก สาธุชน พิจารณา" แบบเงียบๆ " ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2014
  9. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ไป พยากรณ์ หรือ คาดคะเน จิตของพระพุทธเจ้า
    ระดับจิตต้องระเดียวกับ พระพุทธเจ้า หรือ สูงกว่า

    เจ๋งจริงๆ

    ผู้ที่ยังไม่เจ๋ง จำกัดกรอบ ดูจิตตนเอง ก็พอแล้ว กระมัง
     
  10. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็มันไม่ได้ยาก เกินจะ " พิจารณาแบบเงียบๆ " เน้นนะว่า แบบเงียบๆ

    พระสมณะโคดม สำเร็จ พระอรหันต์แบบเตวิชโช ท่านให้ สาวกทั้งหลาย พยากรณ์
    พระพุทธองค์แบบนั้น จะชื่อว่า ไม่กล่าวตู่พระองค์ พระพุทธองค์ตรัสฏีกาเอาไว้ให้

    ทีนี้

    เตวิชโช ก็ต้องเป็นพวก สำเร็จ กสิณแน่ๆ (ฌาณ4)

    ทีนี้ ก็ พิจารณาไปตามกำลังสิ พระพุทธองค์ ก่อนตรัสรู้ ท่านบอกหรือเปล่า
    หละว่า " ทำกสิณดิน น้ำ ลม ไฟ วรรณขาว เหลือง แดง หรือ อากาสา "

    ก่อนที่จะน้อมไปใน จตูปาตญาณ บุพเพวาสา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2014
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ยังไม่เคยเจอเรื่อง "พระพุทธเจ้าสอนกสิณ" หรือ "พระพุทธเจ้า เดินจิตในกสิณ" แต่อย่างไรทั้งสิ้น

    +++ ใครเจอก็ "เอามาฝาก" แปะ ๆ ไว้ในนี้ก็ได้ (ของเดียร์ถี ไม่เอา เอาเฉพาะของพระพุทธเจ้า เท่านั้น) นะครับ
     
  12. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    นั่นสิ

    ขนาด รูปฌาน 5 องค์ ก็ไม่ได้บอกว่าทำยังไง

    ถ้าไม่มี พระ มาบอกว่า อันนี้เป็นอันนี้ ไม่มีทางเลย ที่จะรู้รายละเอียดขององค์5 ของรูปฌาน ได้

    บอกให้ วิตก บอกให้วิจารณ์ ทำยังไง
    บางตำราบอก ให้ ละวิตก ละวิจารณ์
    บางตำราบอกให้ ทำวิตก ทำวิจารณ์
    ค้นในพระไตรปิฏก ก็ไม่มีบอกที่ไหนเลย ว่าขั้นตอนเป็นยังไง
     
  13. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269

    ถ้าดูจากพุทธพจน์ที่อ้างอิงมานี้
    ตั้งแต่ ปฐวีกสิณ ถึง อากาสกสิณ กสิณทั้ง๙นี้ล้วนเป็นรูปฌาน

    พระพุทธองค์ทรงนำวิญญาณกสิณมารวมกับกสิณทั้ง๙นี้ แล้วจัดเป็นกสิณ๑๐
    เป็นไปได้ไหมว่า วิญญาณกสิณ ก็จัดอยู่ในเขตของรูปฌาน ด้วยเช่นกัน ?
     
  14. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ตีความจากอรรถกถาอีกทีนะ
    กสิณ 10 คือ
    ดิน น้ำ ไฟ ลม
    สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว
    รวมถึง กสิณช่องว่าง(อากาศ) กสิณแสงสว่าง(อาโลกะ)

    ในพระสูตร กสิณ10 ไม่มีกสิณแสงสว่าง แต่มีวิญญาณกสิณแทน
    ซึ่งเคยได้ยินว่า ในอรูปฌานสองคือวิญญาณัญจายตนะ มีแสงสว่างเป็นอารมณ์
    ไม่แน่ใจนะ วิญญาณกสิณ อาจจะหมายถึงการเพิกถอนจากการกำหนดกสิณต่างๆ ในเบื้องต่างๆ ทิศต่างๆ มาเป็นการกำหนดรู้แต่ตัววิญญาณ(ตัวรู้)แทนหรือเปล่า?? คือใช้การกำหนดตัวรู้นี้ ไปจนถึงรูปฌานและเข้าอรูปได้..
    วิญฺญาณกสิณํ นี้ วิญญาณเป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณ. น่าจะเป็น วิญญาณที่เป็นไปในอากาศ(ช่องว่างก็น่าจะเป็นทุกที่) ที่เพิกจากการกำหนดกสิณอากาศ(การกำหนดช่องว่าง) มาเป็นตัววิญญาณเองกระมัง..??

    อรรถกถากสิณสูตรที่ ๕
    กสิณสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
    ชื่อว่ากสิณ เพราะอรรถว่าทั้งสิ้น ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเขตแห่งธรรมทั้งหลายที่มีกสิณนั้นเป็นอารมณ์ หรือเพราะอรรถว่าตั้งไว้. เหตุนั้น จึงชื่อว่ากสิณายตนะ บ่อเกิดแห่งอารมณ์ที่เป็นกสิณ.
    บทว่า อุทฺธํ ได้แก่ แหงนดูพื้นอากาศเบื้องบน.
    บทว่า อโธ ได้แก่ ก้มดูพื้นดินเบื้องล่าง.
    บทว่า ติริยํ ได้แก่ กำหนดไปรอบๆ อย่างทุ่งนา.
    จริงอยู่ พระโยคาวจรบางรูปเจริญกสิณเบื้องบนเท่านั้น บางรูปก็เบื้องล่าง บางรูปก็กวาดไปอย่างนี้ด้วยอาการนั้นๆ ไปรอบๆ เหมือนต้องการจะดูรูปที่มีแสงสว่าง ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ปฐวีกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธํ อโธ ติริยํ.
    ก็บทว่า อทฺวยํ นี้ ท่านกล่าวเพื่อกสิณอย่างหนึ่งไม่แปรเป็นอย่างอื่น เหมือนอย่างว่า เมื่อพระโยคาวจรเข้าไปสู่น้ำ [อาโปกสิณ] ทุกทิศก็มีน้ำอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นฉันใด. ปฐวีกสิณก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นปฐวีกสิณอย่างเดียว ไม่เจือกสิณอย่างอื่น.
    ในกสิณทั้งปวงก็นัยนี้เหมือนกัน.
    คำว่า อปฺปมาณํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแผ่กสิณนั้นๆ ไปไม่มีประมาณ.
    จริงอยู่ พระโยคาวจรเมื่อแผ่กสิณนั้นด้วยใจ ย่อมแผ่ไปทั่วทีเดียว ไม่ถือประมาณว่า นี้เป็นตอนต้นของกสิณนั้น นี้เป็นตอนกลาง.
    ก็ในบทว่า วิญฺญาณกสิณํ นี้ วิญญาณเป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณ.
    จริงอย่างนั้น วิญญาณอันนั้น ท่านเรียกว่าวิญญาณ. พึงทราบความเป็นเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ในวิญญาณที่เป็นไปในวิญญาณกสิณนั้น ก็ด้วยอำนาจอากาศที่เพิกกสิณ.
    นี้เป็นความสังเขปในวิญญาณกสิณนั้น. ส่วนกสิณมีปฐวีกสิณเป็นต้นเหล่านั้น ก็กล่าวไว้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค โดยนัยแห่งกัมมัฏฐานภาวนานั้นแล.

    จบอรรถกถากสิณสูตรที่ ๕

    ��ö��� �ѧ�ص�ùԡ�� �ʡ�Ժҵ ����ѳ��ʡ� �����ä��� � �. ��Գ�ٵ� ˹�ҵ�ҧ��� � �� �
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2014
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ฟังธรรมะ ต้องเปิดใจกว้างๆ แล้ว พยายามอย่าตีความด้วยวิธี ตรรกศาตร์

    ให้ลองเอาไป สมาทานพิสูจน์ จะทราบได้ว่า มันมี รส(อรรถ)เป็นอย่างไร

    พอเข้าไปสัมผัส อรรถ คือ สมาทานแล้วมันรู้อรรถนั้นได้ มันก็จะเป็น สิ่งที่คุณ
    รู้เองเห็นเอง ไม่ใช่การเชื่อ



    ลองดูนะ


    1. เอากระป๋องนม กลมๆ สักสองใบ มาวางตรงหน้า จะแข็ง นิ่ม อ่อน เย็น ร้อน สีขาว
    สีเหลือง สีแดง หรือ เป็นกระป๋องว่างๆเปล่า ก็ได้

    2. ยกมือขึ้นมาสองมือ ทำท่าจะ ตะครุบกระป๋องนมทั้งสอง แบบ เพ่งจ้อง จับให้มั่น
    อย่าให้คลาดสายตา ยิ่งหื่น ยิ่งชัด

    3. จนกระทั่ง มือมันเคลื่อนจะไป จับ ขยำ ขยี้ ตรงนี้ ให้ยั้งมือไว้ อย่าให้ถึง

    4. กำหนดรู้ ความรู้สึกที่ ยั้งเอาไว้ ( เป็นการ หลีกออกจาก กามสัญญา ปฏิสัง
    ขาร อย่างหนึ่ง )

    5. อนุญาติให้ ชักเข้า ชักออก แต่ อย่าแตะ อย่าต้อง สัมผัส กระป๋องนม เพียงเท่านี้
    ขอเพียงเท่านี้ เพื่อเร้าให้จับความรู้สึก ที่มันยังไม่ถึง แต่ ก็หมายจะจับแบบลึก
    สุดใจ ( ยิ่งหื่นๆ ยิ่งชัด )

    5.1 ตรงนี้ ถ้าเคยฝึกสมาธิมาดี ศีลดี จะเห็น ใจที่กระเพื่อมถูกบีบคั้น ถ้าไม่
    เป็นพวกที่ อุปทานไปทางลมปราณ พลังจักรยาน ชิงสุกก่อนห่าม

    5.2 กรณีที่เป็นพวกเล่นปราณ เกิดสัญญารู้ธรรมภายในอื่นๆ ให้ ตั้งจิตครอบ
    งำสัญญานั้นก่อน อย่าไปสาระวนกับ การถ่ายพลัง วิ่งพลัง อัดพลัง

    5.3 เมื่อครอบงำสัญญาอื่นๆ มันจะ รวบมารู้ที่ ใจ ที่ถูกบีบเค้น ยิ๊บๆ แย๊บๆ

    5.4 ตอนเห็น ยิ๊บๆ แย๊บๆ อย่ากระโจนเข้าไป " จ้อง " ให้ อาศัยสภาพ
    ธรรมนั้นเป็น " บ่อกสิณ " ฝึกบ่อยๆ มันจะค่อยๆ รู้ชัดขึ้น ห่างขึ้น จน
    จับได้ว่า " จิตอาศัยวิญญาณเป็นวิหาร "

    5.5 อุคหนิมิต .....สังเกตเลย อุคหนิมิต คือ การหลีกออกจากสังขาร
    แต่ พระสารีบุตรจะแนะนำว่า เอาแค่ หลีกออกจากสังขารที่เป็นอกุศล
    ไว้ อย่าไปยุ่ง นิมิตอื่น อย่าไปยุ่งปิติ5 ก็จะทำให้ทราบถึง สมถะอารมณ์
    ที่ใช้แก้จิต หลากหลายลีลา ตามเหตุปัจจัย

    5.6 ปฏิภาคนิมิต......คือ การหลีกออกได้ จากกิเลส นิวรณ์ เมื่อตรวจพบ
    กองกิเลส นิวรณ์ ภาวสวะ สาสวะ และ อาสวะ [ ตทังคประหาน ]

    6. การอนุโลมตาม เมื่อฟาดกิเลสคล่อง แต่ก็ยังทราบชัดใน หน้าที่การงาน
    มันจะต้อง วางจิตอนุโลมตาม ดังนั้น บางอย่างก็อนุโลมด้วยจิตที่เป็นกลาง
    ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เท่าที่จิตจะกำหนดรู้ได้ หากวันไหน ไม่เห็นยิ๊บๆ แย๊บๆ
    ปรากฏตลอด ก็จะทราบเองว่า แม้นความเลอเลิศก็ยังแปรปรวนได้ ( อันนี้
    จะเป็นเรื่อง การยกเห็นตามความเป็นจริง จะเป็นการ ขึ้นวิปัสสนา )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2014
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เรื่อง รูปฌาณ4 อรูปฌาณ4 ต้องระลึก สมาทาน คำสอนของพระพุทธองค์ให้แม่นๆ ว่า
    อรูปฌาณ แต่ละตัว ไม่ใช่เข้าไปด้วยการ คิด ( ตั้งใจ )


    มัน เกิดการผันเข้าไป ตามเหตุปัจจัยของการ เสพ ซ่อง ทำให้มาก ซึ่ง " วิตก "
    โดยหยิบจาก รูปวจรจิต อรูปวจร ก่อนหน้า

    จะขึ้น อากาสาวิญญาตนะ ก็ต้องมี " การล่วงรูปราคะ " เหลือแต่จิตดวงเดียว
    นี่ก็สว่างเรือหายแล้ว

    และเพราะ อาศัย สัญญาระลึกได้ในสภาวะล่วงรูปราคะ ล่วงรูปสัญญา เอา สภาสะนี้
    มากำหนดรู้ให้มากๆ จิตมันจะผลิกไปสู่ อากาสาวิญญตนะ เอง

    เอา สภาวะที่ล่วงอากาสวิญญตนะ มาพิจารณาให้มากๆ( เอามา กำหนดเห็นวิตก ที่ทำ
    ให้จิตกำเริบกลับไปรูปฌาณ ) จิตมันจะมีพลัง ดีดขึ้น ผลิกต่อไปสู่ ......

    แล้ว กำหนดรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยความเป็น สมาบัติ กำหนดรู้ผัสสะ เข้า ออก สมาบัต

    ไม่ใช่ เอ๊อะ อย่างนี้มั้ง อย่างนี้มั้ง แหกแข่ง แหกขา ทำท่า วางหน้า วางตา แล้วบอก กูได้อรูปฌาณ
     
  17. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทีนี้ ถ้าไปทดลองดู ตามโพส #17

    ตรงขั้นตอน ข้อที่ 5.


    คุณลองถามตัวเองดูว่า เป็น รูป หรือ อรูป

    ลองหันไปถาม คนที่เห็นเรากำลังทำท่า ตะครุบ ถามเขาเลยว่า เขาเห็นเราจับรูป หรือเปล่า

    ถ้าคุณ อาศัย ภาพมือที่ยังไม่แตะกระป๋องนม เป็น อรูป คุณ ลองถามคนอื่นดูก่อนว่า
    เชื่อคุณไหม แล้วทำไมเขาถึงไม่เชื่อว่า " คุณไม่ได้จับมันสักหน่อย "


    เหรียญ มีสองด้าน พอเข้าใจไหมหละ
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทีนี้ ถ้าเห็น บ่อกสิณได้ แล้ว ทำให้มากๆ ลองสังเกตเลย

    อะไรที่เป็นเรื่อง สำเร็จอำนาจกสิณ มันปรากฏ หรือไม่ปรากฏ

    พิสูจน์ได้ อะไรที่เป็นพื้นๆ วิชามีเลข มันก็ค่อยๆ วิจัยเข้ามา

    จับต้องได้ สมาทานเป็น ประธานสังขารได้ ( อนุโลมตามปราถนา ได้ ก็เรียก)
     
  19. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ท่านบุคคลที่3 คอยสังเกตุการณ์ครับ

    อากาสาวิญญานนี้มันใช้ทำอาไรรึคับ
     
  20. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เป็นอะไร ...แนวไหนหละ

    ถ้าเป็น แนวไม่พ้นสังสารวัฏ และ เป็นไปเพื่อความ เมาธรรม ก็จะเป็น แนว ถาม แล้วก็ตอบ เรื่อยเปื่อย

    แต่ถ้าเอา แนวเพื่อการพ้นสังสารวัฏ ก็แค่ " กุศลที่ไม่เที่ยง " ที่เอามายกสัมผัส พิสูจน์
    ประจักษ์ว่า มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นควร เป็นเรา หรือ ของๆเรา หรือ !?


    ซึ่ง ไม่ใช่การถามตอบเรื่อยเปื่อย มุ่งเสพสุขเกิดจากการได้ยินเรื่องธรรม ถามแล้ว ก็ต้องเอาไปกระทำ
    พิสูจน์ ว่า เออ เรือหายเอ้ย ไม่เที่ยงจีจีด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...