ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. joofjang

    joofjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +421
    รบกวนชี้แนะเรื่องการฝึกดูลมหายใจให้ด้วยครับ
    ผมฝึกดูลมหายใจมาประมาณ 2 ปี โดยจะนั่งตอนกลางคืนเกือบทุกวัน นานประมาณ 40 - 60 นาที และช่วงเช้าเป็นบางวัน ปัญหาคือผมจะรู้สึกเกร็งที่ใบหน้าหรือศีรษะมาตลอด 2 ปี ผมพยายามผ่อนคลายและแค่ดูอาการที่เกิดขึ้นอย่างเดียว อาการก็ไม่หายไป จนหลายๆครั้งท้อมากๆอยากจะเลิกฝึกไปแต่ก็พยายามรักษากำลังใจอดทนฝึกมาตลอด ไม่ทราบว่าผมจะแก้อาการนี้อย่างไรดีครับ หรือจะเปลี่ยนไปฝึกกองอื่นแทนดีครับ (ผมเคยซื้อลูกแก้วมาลองฝึกกสิณ แต่ฝึกได้ไม่ถึง 2 เดือนปวดตามากเลยเลิกฝึกไป)
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015





    ลมหายใจนั้น ก็คือ ธาตุลมที่หล่อเลี้ยงร่างกายของเรานั่นเอง

    เรียกโดยทั่วไปก็คือ อานาปานสติ
    การฝึกแบบนี้เป็นของสายหลวงปู่มั่น
    สายวัดป่า หรือ สายอีสาน นั่นเอง
    โดยมีคำบริกรรมกำกับว่า "พุทโธ"
    ผมฝึกสายนี้เป็นครั้งแรก
    โดยตัวผมเองไปติดอยู่แค่ญานขั้นที่สี่
    จนลึกลงไปในอุเบกขารมณ์ คือ
    ความรู้สึกนิ่งๆ นั่นเอง แต่ไม่ได้หลับนะครับ

    ต่อมาเมื่อฝึกนานๆเข้า จะมีความรู้สึกตึงๆ
    ที่หน้าผาก หรือ ระหว่างคิ้ว หรือ
    ประมาณกลางศรีษะ มันจะรู้สึกปวดตึ๊บๆ
    หรือปวดจี๊ดๆ จนทนไม่ได้ต้องเลิกทำสมาธิ
    และก็ต้องเลิกทำสมาธิไปพักใหญ่ๆ
    สอบถามหลายคนที่ฝึกมานานๆ
    ก็จะมาตันอยู่ตรงนี้ เกือบทุกคนก็ว่าได้

    ต่อมา ผมลองฝึกเพ่งลูกแก้ว
    ตามแบบอย่างของวัดธรรมกาย
    ก็ทำไม่ได้ ไม่สามารถทำสมาธิได้อีก
    เพราะเกิดอาการปวดซะก่อนนั่นเอง
    แต่ยังสามารถเนรมิตกายแก้ว
    ให้เกิดขึ้นได้นะครับ
    โดยผมลองสอบถามเด็กๆ
    ที่ฝึกสายวัดธรรมกาย
    เค้าจะบอกว่า ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลยครับ
    มีแต่ความเบาสบายมากกว่า
    ก็คือ อาการ เบาๆใสๆ ของวัดธรรมกายนั่นเอง
    เพราะว่าหลักการของวัดธรรมกายนั้น
    จะเน้นอยู่ที่ฐานที่เจ็ด คือ บริเวณท้อง
    จึงไม่เกี่ยวกับระบบประสาทเลยครับ
    จึงไม่เกิดปัญหาความเจ็บปวดขึ้น


    ต่อมา จึงฝึกกสิณแสงสว่าง
    ตามแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เพราะอยากได้ตาทิพย์
    อันนี้ฝึกได้ครับ ยังติดตาอยู่
    กระทั่งเดี๋ยวนี้ครับ

    ต่อมาอีก วันหนึ่ง
    ผมได้ไปกราบไหว้พระอริยสงฆ์
    แถวๆหัวหิน หลายๆรูป
    ผมได้ไปฝึกสมาธิในโบสถ์
    ผมก็ปวดขึ้นมาอีก
    ผมจึงได้คิดพิจารณาดูว่า
    มีการฝึกเกี่ยวกับ
    ความเจ็บปวดบ้างไหม
    ผมจึงได้คิดออกว่า
    เมื่อตอนเป็นเณรน้อยอยู่ที่ขอนแก่น
    ผมเคยได้ฝึก การภาวนาแบบปวดหนอๆๆๆๆๆ
    ของสายหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    โดยลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ที่นั่น
    สอนให้ทำ แต่ด้วยความเป็นเด็ก
    จึงเห็นว่าเป็นเรื่องยาก
    ที่เด็กๆ จะมานั่งจับความรู้สึกเจ็บปวด
    จึงฝึกที่พุทโธอย่างเดียว
    เพราะว่าถูกจริตดี
    เมื่อมันปวดซะขนาดนี้
    ก็ไม่ต้องพุทโธแล้ว
    เอา ปวดหนอๆๆๆๆ ดีกว่า
    เมื่อผมภาวนาปวดหนอไปเรื่อยๆ
    อาการปวดที่มีอยู่
    ก็ยิ่งปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีก
    จนสุดท้ายก็คล้ายกับเกิดอาการชา
    แล้วความเจ็บปวดก็เริ่มหายไป
    ที่นี้ อาการปวดนั้น ได้ขยับไปปวดที่อื่น
    ผมก็ตามไปภาวนาปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆ
    มันก็หายปวดอีก
    คราวนี้ได้ผล มันปวดตรงไหน
    ก็ปวดหนอๆๆๆ ใส่มัน มันก็หายเอง

    อาการปวดๆ แล้วเราภาวนาว่าปวดหนอๆๆๆ
    อย่างนี้มันดันไปเข้าข่ายวิปัสสนาพอดี
    โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าเป็นวิปัสสนา
    แต่ภาวนาแล้วหายปวดจึงชอบทำบ่อยๆ
    ความที่มันเข้าข่ายของวิปัสสนานั่นเอง
    จิตของเรา ก็พิจารณาเพิ่มว่า
    "ทุกข์ก็ไม่เที่ยงหนอ เกิดแล้วก็ดับ
    ดับแล้วก็เกิดอีก วนเวียนอย่างนี้
    ไม่มีที่สิ้นสุด"
    "ปวดหนอๆๆๆๆๆๆ"

    ให้ทำสลับกันไปสลับกันมา
    จนชำนาญ
    ครั้นนั้นเรานั่งได้ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง
    โดยที่ปกติจะนั่งได้เต็มที่ ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเอง

    สรุปก็คือ ไม่ต้องฝึกแล้วครับ
    สำหรับสมถะ ให้เน้นวิปัสสนาไปเลยตรงๆ
    เน้นฝึกไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน
    สามอย่างนี้ อย่างอื่นอย่าไปสนมัน
    แค่นี้ก็จะเอาตัวรอดได้
     
  3. ปภณพรรธน์

    ปภณพรรธน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +6
    สวัสดีครับ ผมฝึกดูลม ภาวนาพุท โธ มาได้ซัก 3-4เดือนแล้วครับ ไม่ก้าวหน้าไปไหน ผมเป็นไซนัส จะแน่นจมูกข้างนึงเสมอ เวลาทำสมาธิจะชอบมีอาการปวด จมูก เพดานปากปน หน้าผาก โดยไม่ได้เพ่งนะครับ ก็ฝืนทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่หายครับ มีวิธีแก้ไหม

    ผมได้เจอการฝึกอีกแบบเป็นสำนักสงฆ์ เขาให้หายใจเข้าออกเร็วๆแรงๆ ร่างกายจะเกร็งชาทั้งตัว แต่เหนื่อยมาก วิธีนี้ผมเห็นเป็น ดวงสีหลายๆสีมากมาย แต่สีเขียวชัดสุด ผมเิงก็ไม่เเน่ใจในวิธีนี้ เพราะไม่เคยได้ยินที่ไหน อยากทราบว่าแนวปฏิบัตินี้มีอยุ่ไหม แล้วผมทุถูกไหม

    ผมเคยจับกสินแสง โดยดูหลอดไฟตะเกียบสีส้มครับ ดูไม่นาน 1-2นาที หลับตาลืมตา หลับตาก็เห็นเป็นแสงสีเหลือง ขอบจะเริ่มแดงจนในที่สุดเป็นสีแดงทั้งวงแล้วก็หายไปนิมิตลอยไปลอยมาไม่นิ่ง บางทีลืมตา แสงสีเหลืองก็ยังอยู่แต่เป็นลักษณะ2มิติ ครับ ผมมาถูกทางไหมครับ ผมฝึกแบบจับฉ่ายมาก เพราะทำไม่ได้เรื่องเลยซักอย่างเก็เปลี่ยนไปเรื่อยจนเริ่มท้อแล้วครับ รบกวนชี้นำผมที
     
  4. joofjang

    joofjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +421
    ถ้าเราฝึกวิปัสนาโดยไม่ทำสมาธิเลยจะได้หรือครับ การกำหนดหนอนี่ถ้าอาการเกร็งหายไปแล้วเราต้องไปดูยุบพองที่ท้องต่อไหมครับ ขอบคุณครับ
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015






    ที่เราทำวิปัสสนาอยู่
    อันนี้ก็เกิดสมาธิเหมือนกัน
    แต่เป็นสมาธิขั้นเล็กน้อย


    พระสุกกวิปัสสโก ก็คือ
    พระที่ข้ามขั้นตอนต่างๆ
    แห่งการฝึกสมถะไปเลย
    เน้นที่วิปัสสนาอย่างเดียว
    ก็เพราะพิจารณาดูแล้วว่า
    หนทางแห่งอภิญญา
    ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง
    อีกทั้งไม่ได้มีอภิญญาเก่าๆ
    ที่มีมาแต่ชาติปางก่อน
    มาให้ผลในชาตินี้
    และเมื่อตรองดูแล้ว
    ครั้นจะฝึกสมถะอีกให้เกิดอภิญญา
    ก็จะเนิ่นนานเกินไป
    อาจจะตายเสียก่อน
    ในระหว่างการฝึก
    ดังนั้น จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่า
    จะขอบรรลุธรรมในชาตินี้ดีกว่า
    เพราะชาติหน้า เราอาจไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก

    พระที่เป็นสุกกวิปัสสโก
    ส่วนมากจะเป็นปราชญ์แห่งยุค
    เช่น ท่านพุทธทาส ท่านปัญญานันทะ
    หลวงพ่อสนอง ท่านว วชิระเมที


    พระสุกกวิปัสสโก มิใช่ไม่ดีนะครับ
    ท่านเป็นพระที่จิตใจแน่วแน่แล้ว
    สามารถหักใจให้ละสมถะได้
    ย่อมไม่ธรรมดา อีกทั้งสามารถ
    บรรลุธรรมได้เร็วกว่า
    พระอริยบุคคลทั่วๆ ไป
    ดังนั้น เมื่อจิตท่านตั้งมั่นดีแล้ว
    ท่านย่อมบรรลุธรรมได้ทันทีทันใด


    แต่จิตของท่านไม่ได้คิด
    อยากจะเห็นสวรรค์วิมาณ เทวดา นางฟ้า
    ทั้งๆ ที่ก็สามารถทำได้
    และเมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือ
    ท่านก็คิดแต่เพียงว่า
    กรรมของใครก็ของคนนั้น
    เราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมนั้น
    เพราะเมื่อใครไปยุ่งเกี่ยวกรรมของคนอื่น
    คนที่ยุ่งนั้น ก็ต้องได้รับกรรมนั้น
    ร่วมกับเจ้าของกรรมด้วย
    จะเห็นว่า หนทางพ้นกรรมนั้น
    ก็จะมีแต่อโหสิกรรมเท่านั้น
    ยิ่งเข้าไปวุ่นวายกับกรรมคนอื่น
    ตัวเราเองก็จะไม่พ้นทุกข์ไปด้วย
    เพราะไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม


    ส่วนการกำหนดหนอนั้น
    เมื่อปวดหายไปแล้ว
    ในระหว่างที่ว่างอยู่
    ยังไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น
    ก็ให้ดึงคำภาวนาที่ว่า
    "ปวดไม่เที่ยงหนอ
    ปวดเป็นทุกข์หนอ
    ทุกข์ก็ไม่เที่ยงหนอ
    เกิดแล้วก็ดับ
    ดับแล้วก็เกิดอีก
    วนเวียนอย่างนี้
    ไม่มีที่สิ้นสุด
    ตัวเราก็ไม่เที่ยงหนอ
    ดับแล้วก็เกิดอีก
    ไม่มีที่สิ้นสุด"


    และเมื่อเกิดปวดขึ้นอีก
    ก็ให้ละการพิจารณา
    มาเป็นการภาวนาว่า
    "ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆ"

    การใช้นั้น ให้สลับไปสลับมาอย่างนี้ครับ

    ส่วนกำหนดลมหายใจให้เลิกทำก่อนครับ
    แต่ถ้าหากว่าอยากทำสมถะ
    ก็สามารถเปลี่ยนจากวิปัสสนา
    มาเป็นสมถะได้ครับ
    ก็คือทำอย่างนี้
    ให้ภาวนาตอนหายใจเข้าว่า "ปวด"
    แล้วภาวนาตอนหายใจออกว่า "หนอ"
    โดยที่ไม่ต้องเอาจิตไปจับที่่ความเจ็บปวด
    ให้จับที่ลมหายใจอย่างเดียว
    อันนี้จะเป็นสมถะ มิใช่วิปัสสนา
    แต่ผู้ที่ฝึกสายหลวงพ่อจรัญ
    บางท่านหลงคิดว่า ตนเองฝึกวิปัสสนาอยู่
    ทั้งๆที่ฝึกได้แค่สมถะ
    จึงยังไม่สามารถบรรลลุธรรมได้เสียที
     
  6. joofjang

    joofjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +421
    ขอบคุณคุณ nilakarn มากครับ
    ส่วนตัวแล้วอยากจะฝึกสมถะให้ได้ดีก่อนแล้วค่อยเริ่มวิปัสสนา ถ้าผมเริ่มจากดูการหายใจก่อน (ไม่ได้ดูที่ปลายจมูกแต่ดูทั้งตัว เนื่องจากถ้าเริ่มดูที่ปลายจมูกเลยอาการเกร็งจะเกิดทันทีเลยครับ) เมื่ออาการเกร็งหรือปวดเกิดขึ้นแล้วก็กำหนดรู้ว่าเกร็งหนอๆ
    ถ้าอาการหายไปแล้วพิจารณาว่าอาการนี้เกิดแล้วก็ดับไป ตัวเราเองก็เหมือนกัน จากนั้นถ้าไม่มีอาการเกร็งแล้วก็กลับไปดูการหายใจใหม่ แบบนี้จะดีไหมครับ
    ขอบคุณครับ
     
  7. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    WoooooW !!!!! dannce_
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015




    หากอยากจะฝึกสมถะ
    แต่จับที่ลมหายใจไม่ได้
    ผมยังมีอีกวิธีหนึ่งจะแนะนำ
    ก็คือ การเพ่งยุบหนอพองหนอที่ท้อง
    อันจะไม่เกิดอาการเกร็งใดๆเลย
    เวลาท้องพองออก ก็ให้ภาวนาว่า "พองหนอ"
    เวลาท้องยุบเข้า ก็ให้ภาวนาว่า "ยุบหนอ"
    จนกระทั่งจิตตั้งมั่นได้แล้ว
    เราก็ละจากอาการเพ่งยุบพองเหล่านั้นเสีย
    แล้วก็ให้พิจารณาที่วิปัสสนาต่อ

    คือ ให้เราพิจารณาว่า
    "ท้องพองเดี๋ยวก็ยุบ
    ท้องยุบเดี๋ยวก็พอง
    ไม่มีที่สิ้นสุด
    เกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา
    ก็เหมือนกับตัวเรา ที่เกิดแล้วก็ดับ
    ดับแล้วก็เกิดอีก
    ไม่มีที่สิ้นสุด
    ตัวเราก็ไม่เที่ยง เหมือนกันหนอ"
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015





    ให้เลิกฝึกดูลม หรือการกำหนดที่บริเวณหน้า หรือศรีษะ
    เพราะบริเวณนี้มีเส้นปราสาทเยอะ
    เมื่อเพ่งไปนานๆ
    ย่อมเกิดอาการเกร็งขึ้นได้
    แล้วฝึกอย่างอื่นทดแทน


    คนที่เป็นไซนัส
    เกิดอาการที่ธาตุเย็นเข้าแทรก
    คือจะเกิดอาการเวลาที่กระทบถูกความเย็น
    ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเย็นๆ
    เช่น แอร์ นำ้เย็น ไอติม
    อากาศเย็น ช่วงเช้ามืด
    หน้าหนาว นอนพื้นปูน
    นอนที่ต่ำ เป็นต้น


    ควรหาธาตุร้อนมาช่วยเสริม
    ใส่เสื้อผ้าหนาๆให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ
    จนกระทั่งออกร้อนนิดๆๆ


    วิธีแก้ทางที่ 1
    ฝึกเตโชกสินช่วยบำรุงธาตุ
    เวลาฝึกให้จับอาการของกสิน
    ความร้อน ให้ตัวเรารู้สึกร้อน
    ภาวนาว่า "เตโช ไฟๆๆๆๆๆๆ"
    หรือ "ร้อนหนอๆๆๆๆๆๆ"
    บังคับไฟให้ใหญ่เท่าตัวเรา
    แล้วห่อหุ้มร่างกายไว้


    2
    ฝึกเพ่งกสินสีแดง
    โดยการหลับมองพระอาทิตย์
    ที่แสงยังไม่แก่กล้าเกินไป
    จะเกิดมีสีแดงที่บริเวณม่านตาของเรา
    ให้คงสีแดงไว้ให้แดงที่สุด
    จนไม่มีสีอื่นมาเจือปน
    แล้วคงสีแดงล้วนนั้นไว้ให้นานที่สุด
    จะได้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ด้วย
    หากจะฝึกอภิญญาให้เคลื่อนย้าย
    จากตรงนั้น ไปตรงนี้ ให้เล็กให้ใหญ่
    ให้ยาวให้สั้น
    เวลาอธิษฐานจิตใช้งาน
    ให้อธิษฐานว่า
    "ขอจงให้รัศมีของข้าเป็นสีแดง"


    3
    เน้นฝึกสายหลวงพ่อจรัญ
    จับอาการความเจ็บปวดที่
    เกิดขึ้นในร่างกายของเรา
    ที่มันเกิดแล้วก็ดับ


    4
    ฝึกสายธรรมกาย
    เน้นจับความรู้สึกบริเวณท้องน้อย


    5
    ฝึกสายวัดมหาธาตุ
    เพ่งพองยุบที่ท้อง

    6
    ฝึกอสุภะกรรมฐาน



    ส่วนการฝึกของสำนักสงฆ์นั้น
    เป็นการเพ่งสมถะ
    ซึ่งวิธีที่ถูกต้องก็คือ
    ให้เราภาวนาเร็วขึ้น
    ประมาณ 2 เท่า ขึ้นไป
    แต่อย่าให้เร็วจนเกินไป
    จะหายใจไม่ทันได้
    ลองฝึกหายใจดูก่อน
    ว่าของเราแรงสุดได้เท่าไหน
    แล้วเอาเท่านั้นพอ
    การฝึกแบบเร็วๆ
    จะทำได้ง่ายกว่าช้าๆ
    ส่วนดวงสีดวงที่ชัดที่สุดนั้น
    เค้าเรียกว่า เป็นของเก่าของคุณ
    ที่เคยได้อยู่ก่อนแล้ว
    ก็ให้จับสีนั้นแล้วฝึกฤทธิ์ต่อเลย

    กสินแสงสว่าง ที่คุณฝึก ถูกทางแล้ว
    แต่ให้เปลี่ยนจากสีส้ม
    เป็นสีจากแสงนีออน ตอนดืนมืดแทน
    หรือเวลาที่มันเปลี่ยนเป็นสีอื่น
    ให้รอซักนิด จนกระทั่งมันหมดสี
    แล้วเรานึกจินตนาการก่อน
    ว่ามันควรจะมีอาการเหมือน
    แสงสว่างจากหลอดไฟนวลๆขาว
    จากนั้นค่อยเพ่งตาม ภาวนาว่า
    "อาโลกสินังๆๆๆๆ แสงสว่างๆๆๆๆ"

    ข้อสุดท้ายการฝึกของคุณ
    จับฉ่ายจนเกือบจะดีครับ
    ่แค่เพิ่มตอนท้ายใส่ลงไปหน่อย
    ให้เลือกฝึกอยากเดียวเท่านั้น พอแล้ว
    อย่าโลภมาก จะลาภหาย

    ส่วนอันนี้เป็นของคนอื่นที่เข้าอ่านข้อความนี้
    ใครฝึกสายหลวงพ่อจรัญ พอจะเอาตัวรอดได้หวุดหวิด
    ใครฝึกสายอสุภะ เอาตัวรอดได้สบาย
    ส่วนสายอื่นๆ ต้องมีวิธีฝึกอีกเยอะ กว่าจะช่วยตัวเองได้
     
  10. joofjang

    joofjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +421
    ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำครับ
     
  11. ปภณพรรธน์

    ปภณพรรธน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอบพระคุณมากครับ ที่ช่วยชี้แนะ
     
  12. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เตโชกสิณ นี่ฝึกง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือครับ แค่นึกให้มันร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ภาวนาไปเรื่อยๆ
    และนึกให้มีไฟลุกท่วมกาย เอาแบบชาวไซย่าได้ไม๊ครับ

    ที่เราเคยลอง นึกรูปตอนแปลงเป็นซุปเปอร์ไซย่า มีไฟลุกท่วมเลยครับ
    แล้วบังคับปราณให้พุ่งขึ้นมาจากก้นกบ มันพุ่งวาบขึ้นมาเป็นระลอกเลย
    ขับมอไซค์ตากฝนอยู่ แป๊บเดียวหายหนาวเลย ได้ผลจริงแฮะ
    แบบนี้ นับว่าเป็นกสิณไฟ ใช่หรือเปล่าครับ

    แล้วถ้าอยากจะบังคับไฟจากเตาแก๊ส ให้ไฟมันพุ่งแรงๆ ออกมาเป็นรูปมังกร
    จะต้องฝึกยังไงได้หรือเปล่าครับ ไม่ทราบว่ามีใครเค้าทำกันเล่นบ้างไม๊

    กสิณแสง นี่ฝึกแล้วมองในที่มืดได้เหมือนมีไฟฉายเลย จริงหรือเปล่า
    ท่านทำได้ไม๊ครับ ถามท่านจิตสิงห์แล้วไม่ยอมตอบ ไม่รู้ทำไม


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015


    การฝึกทุกอย่างเป็นนานาจิตตัง
    แล้วก็รู้ได้เฉพาะตนครับ
    บอกคนอื่นก็ไม่เชื่ออยู่ดี
    เพราะไม่เคยทำได้


    คนที่ทำได้ไว ย่อมตอบว่า ฝึกง่ายจัง

    คนที่ฝึกด้วยความลำบาก
    ต้องนานกว่าจะได้
    ย่อมจะตอบว่า
    ฝึกได้ไม่ยากแล้วก็ไม่ง่ายเท่าไหร่


    ส่วนที่ฝึึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที
    ย่อมตอบว่า มันยากส์มากพระเจ้าจอร์จ


    ตอนฝึกเป็นการฝึกที่จิต
    คงจะไหม้ไฟไม่ได้หรอกครับ
    แต่ตอนใช้เป็นการใช้ที่กาย
    ต้องระวังให้ดี


    การฝึกสมถะ มันต้องใช้
    ตัวช่วยทุกอย่างและครับ
    ่ตัวช่วยตัวนี้ก็คือ
    จินตนาการ นั่นเอง
    การนึกคิดของจิตเรา
    กลับเข้ากันได้กับโลกวิญญานซะนี่
    แต่นำมาใช้กับโลกมนุษย์ไม่ได้
    เดี่๋ยวเค้าจะหาว่าเราบ้า
    สิ่งที่เราฝึกทุกอย่างหลบๆซ่อนทำ
    แต่เทวดากลับรู้เห็น

    หากคุณสามารถบังคับปราณได้
    แนะนำให้มันวิ่งเป็นวงกลมมาบรรจบกัน
    ตามแบบหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ปราณจะหมุนติ้วๆ
    รู้สึกมีกำลังวังชาเกิดขึ้น
    เหมือนม้าหนุ่ม

    การบังคับไฟ ตอนขับรถตากฝน
    อันนี้ผมใช้ประจำครับ


    หากคุณคิดจะดึงไฟ
    จากที่อื่นมาสู่กายเรา
    ให้ฝึกดึงในฝัน หรือ
    ในญาน ให้ได้ก่อนนะครับ
    เมื่อคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว
    ่ค่อยมาฝึกจุดเทียนในโลกจริงครับ

    ทั้งหมดนี่ เป็นมายาการ
    หรือ ลูกเล่นของธาตุไฟ





    ต่อไปเป็น กสินแสง
    หรือ กสินแสงสว่าง


    ที่ท่านไม่ยอมตอบ
    ก็เพราะท่านเห็นว่า
    ตอบไปก็ไม่ได้ประโยชน์
    อันนี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
    ท่านเลยไม่ตอบ
    เพราะจิตของท่านได้ทิ้งสมถะแล้ว
    หากคุณเห็นธรรมของท่าน
    คุณถึงจะเข้าใจถึงจิตท่าน
    ว่าท่านถึงตรงไหนแล้ว
    รีบขออภัย ไม่สาย

    คนที่เห็นในทีมืืดได้
    มองกลางคืน ดั่งเห็นกลางวัน
    ในกัลป์นี้มีเพียง
    พระพุทธเจ้า 5 พระองค์เท่านั้น
    นอกนั้น ตั้งแต่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ลงมา
    ความสามารถในการมองเห็นในที่มืด
    ก็ลดหลั่นกันลงมา
    ส่วนมนุษย์อย่างเราๆ
    มองเห็นในที่มืดด้วยอภิญญาได้
    แค่ประมาณแสงหิ่งห้อย

    แต่สามารถขยายแสงหิ่งห้อย
    ให้ใหญ่ขึ้นได้ ตามกำลังญาน
    ที่เราได้ฝีกมา ว่าให้แสงนี้เล็กลง
    หรือใหญ่ขึ้นได้แค่ไหน
    แสงจะขยายพื้นที่ขึ้น
    แต่แสงยังเท่าเดิม
    ไม่ได้สว่างขึ้นแต่อย่างใด
     
  14. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    ผมมีเรื่องอยากถามครับ
    พอดีผมฝึกมาทางสายกำหนดหายใจมาพอสมควรแล้ว ไม่แน่ใจว่าผมพัฒนามาถึงขั้นไหน แต่เท่าที่อ่านมาก็ตรงกับที่ผมเคยเป็น ตั้งแต่เริ่มมีคำภาวนา มีอาการโยกตัว ตัวเบา แล้วจู่ๆคำภาวนาก็หาย มีอาการสุขแบบนั่งเรื่อยๆเหมือนเรานั่งชมวิวตอนสบายใจ แต่ก็มีอาการปวดมาข้องแวะบ้าง หายไปบ้าง ถึงได้ยินเสียงแต่ก็ไม่รำคาญเสียงประมาณนี้นะครับ แล้วก็ล่าสุด ผมมีอาการหายใจเบาๆสั้นๆ มันกระชั้นเข้าๆ หัวใจเต้นแรงแต่เราก็ได้ยินเบามากจนเหมือนกับจะตายเอาให้ได้ แล้วสุดท้ายมันก็ไม่ตายแต่กลับรู้สึกสงบมากกว่าเดิม เป็นอาการแปลกๆ มันนิ่งๆไม่มีอะไรเลยอยู่ในที่มืด แต่ไม่มีตัวเองเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่อะไรสักอย่างที่บอกไม่ถูกครับ แต่ก่อนผมจะรู้สึกโปร่งๆตัวเกร็งๆ ลมหายใจเบาๆเบามากจนเหมือนไม่มี แต่ล่าสุดไม่เหมือนเดิม ไม่โปร่ง ไม่เกร็ง ไม่รู้อะไรเลย เหมือนอยู่ในอวกาศที่มืดๆสลัวๆที่ไม่มีอะไรเลยไม่มีตัวเราด้วย แปลกมาก แบบนั้นนะครับ แล้วก็ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย เป็นแบบนี้ได้พักใหญ่ ก็ค่อยๆหายไปกลับอยู่อาการโปร่งๆโล่งๆเกร็งๆแทน ผมควรทำยังไงต่อดีครับ
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015


    ยินดีด้วยครับ
    ท่านทะลุไปอรูปญานที่หนึ่ง
    คือ อากาส แล้ว
    ให้ฝึกไปเรื่อยๆครับ
    จนทะลุไปญานที่แปดเลย
    ไม่ต้องทำอะไรครับ
    กำหนดไว้
    เดี่ยวมันเกิดขึ้นเอง


    คอยจำอาการที่คุณอยู่
    ในมืดสลัวๆนั้น เอาไว้ให้ดี
    มันคืออาการของคนที่ฝึก เพ่งอากาส
    เมื่อคุณเข้าญาน
    ชั้นอากาสบ่อยๆ ได้แล้ว
    ให้คุณแหงนหน้า
    มองขึ้นฟ้าหน่อยนึง
    คุณจะเห็นท้องฟ้า
    เลื่อมๆวาวๆ วับๆแวมๆ
    มีดวงดาวเต็มไปหมด

    ที่นี้เมื่อคุณเข้าสมาธิทีไร
    ให้คุณทำมาถึงขั้นนี้เลย
    คือ กำหนดที่อากาสทันที
    โดยตอนที่อยู่ในญาน
    ให้คุณฝึกลอยไปในอากาสดู
    หรือบินอย่างนกดู


    ทีนี้มีหลักสังเกตอีกนิดว่า
    ถ้าคุณถึงขั้นเพ่งอากาสสำเร็จแล้ว
    คุนจะรู้สึกเหมือนตกหลุมอากาสบ่อยๆ
    โดยมีอาการเหมือนตกจากที่สูง
    คุณก็ไม่ต้องตกใจ
    แต่ให้ฝึกอภิญญาทันที
    คือ พอตกจากที่สูงแล้วให้คุณ
    ลองกางแขน แล้วบินเหมือนนกดู
    ให้ฝึกทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ธันวาคม 2014
  16. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    มันไปได้ด้วยหรือครับ แบบว่าผมยังคิดว่าตัวผมน่าจะอยู่ ฌาน 3 เกือบๆ ฌาน 4 อยู่เลยเพราะผมยังได้ยินเสียงอยู่ แต่เมื่อคืนนั่งสมาธิยังไม่ไปถึงแบบที่ผมเล่าครับอย่างมากก็แค่หายใจกระชั้นเข้า คิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมนั่งตอนคนดูหนังอยู่ ได้ถึงแค่อาการโล่งตัวเบา ตัวเกร็ง กับหายใจกระชั้นแค่นั้น แต่ถามจริงๆมันไปถึงอรูปได้เลยหรือครับ เพราะผมก็ไม่ได้ใส่ใจการฝึกเท่าไหร่อีกอย่างผมก็ฝึกเองคนเดียวที่บ้าน ไม่มีอาจารย์นอกจากพระพุทธรูปที่ผมกราบทุกวัน อาจมีอาราธนาบารมีของหลวงพ่อปานหลวงพ่อฤาษีบ้างเพราะผมฝึกตามคำสอนของท่านเท่านั้นเอง แต่ยังไงก็ขอบคุณครับที่อุตส่าตอบกลับมา
     
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015


    โลกิยชน ผู้สำเร็จญาน
    เค้าเล่นญานกันต่อนอยู่ที่ญานที่ 2
    ส่วนคุณเข้าญานไม่เก่ง
    จึงตกจากญานบ่อยๆ
    ก็คือ เดี๋ยวก็สุข
    เดี๋ยวก็ปิติเกิดขนลุกขนพอง
    เดี๋ยวก็ท่องพุทโธจนนิ่งดีี
    เดี่ยวก็นิ่งๆ จนไม่รู้สึกตัวเราว่ามีอยู่
    อันนี้เป็นอาการของญานที่ยังไม่แก่กล้า


    หากแก่กล้าดีแล้ว
    จะนิ่งอย่างเดียวครับ
    แล้วหลังที่ออกจากญาน
    เราก็จะรู้สึกว่ามันมีความสุข
    เหมือนเราได้ไกลจากกิเลส

    ส่วนที่คุณทะลุไปขั้นนั้น ขั้นนี้
    มันเป็นส่วนของอภิญญา
    คือไปถึงได้ แต่ทรงไว้ยังไม่ได้
    หากจับทิศทางได้
    โดยมีครูคอยกำกับ
    ก็จะสามารถทรงอภิญญาได้เช่นเดียวกัน

    และที่สำคัญ
    อย่าดูถูกตนเองจนเกินไป
    และก็อย่ามั่นใจตนเองจนมากไป
    อันนี้อันตรายได้
     
  18. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบคุณครับ ยังไงผมก็จะพยายามต่อไป ขอบคุณสำหรับคำแนะนะมากนะครับ
     
  19. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505

    ตกหลุมอากาศบ่อยๆ คือเพ่งอากาสสำเร็จแล้ว จริงหรือ
    เราจำได้ว่าตอนเป็นพลทหารรักษาพระองค์ เคยซื้อหนังสือฝึกสติ
    ราคาห้าบาท จากแผงหนังสือเก่า ริมถนน ใกล้แยกประดิพัทธ์ ตอนดึก
    มาฝึกบนกองร้อย น่าจะฝึกแค่ไม่กี่วันเองนะ ก็รู้สึกแบบนั้นได้แล้ว
    จนมีวันนึง หลุดออกไปลอยอยู่นอกอวกาศ โล่งๆ มืดๆ
    เห็นดวงดาวอยู่ไกลๆ นั่นมิแปลว่าสำเร็จตั้งแต่ยี่สิบเอ็ดหรือสองแล้วรึ

    แค่ฝึกไม่กี่วันเอง หรืออาจจะเป็นเดือน มันง่ายงั้นเชียวหรือครับ
    แต่ช่วงนั้น ว่างก็ทำสมาธิตลอดเลยนะ
    แต่ก่อนนั้นก็ไม่เคยนั่งสมาธิฝึกเลย เคยแต่ฝึกวิชาตาลอย
    ตอนหลังมาเทียบดู ก็เหมือนกะได้ฌานตั้งแต่สิบหก จะเป็นไปได้ไม๊ครับ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015




    พระพุทธองค์ ยังสอนบอกว่า
    เต็มที่ไม่เกินเจ็ดวัน
    แสดงว่าได้จากของเก่า
    ที่เรามีอยู่แล้ว
    เอามาปัดฝุ่นนิดหน่อย ก็ใช้ได้
    แต่ติดอยู่ ที่มานะนั้นยังแรงกล้าอยุ่
    ทำให้ไม่อาจจะทำใจให้ยอมรับได้

    คุณต้องใช้จินตนาการบ้าง
    ยอมบ้าบ้าง มานะจะได้บางลง
    คิดให้เหมือนเด็กๆ เล่นขายของเข้าไว้
    อย่าคิดแบบนักวิทยาศาสตร์


    ตอนเด็กๆ ผมก็ฝึกสมาธิ
    กับหนังสือโลกทิพย์เหมือนกัน
    อาทิตย์เดียว ผมไปค้างเติ่งอยู่ที่มุ้ง
    ลงมาไม่ได้ หลับทีไร
    ก็ฝันว่าลอยอยู่อย่างนั้น
    ไม่สามารถลงมาได้
    ตอนแรกนึกว่าแค่ฝันไป
    แต่ความจริงมันก็คือ
    ฝันในฝันวิทยา
    ของวัดธรรมกายนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...