จิตจักรวาล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 3 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ทำไม บริษัทเอกชนไทย ชอบรับ "คนมีการศึกษาดี" ???


    เพราะเจ้าของบริษัทฯ ส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งนี้ไงครับ พวกเขาอาจมาจากเถ้าแก่ที่ใช้
    ประสบการณ์ชีวิต ต่อสู้และเอาชนะ จนประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของกิจการได้
    เมื่อเขามีอะไรหลายอย่าง แต่ไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไปเรียนรู้อะไรได้อีกแล้ว
    เขาก็ต้อง "แลก" ด้วยตำแหน่ง, เงินเดือน ฯลฯ ให้กับคนที่มี ที่มาสมัครงานก็จะ
    เอาสิ่งเหล่านี้ มานำเสนอเพื่อแลกกับตำแหน่งและเงินเดือน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?


    สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กที่เรียนดี มีการศึกษา มีอุดมการณ์ มีความเป็นบัณฑิตเหล่านี้
    ก็จะหมดไปครับ ไม่เหลือเค้าคนเดิมอีก มันถูกแลกไปแล้ว มันถูกซื้อไปหมดแล้ว
    เหลือก็แต่ "พนักงาน" ที่หวังว่าเมื่อไร เงินเดือนจะขึ้น, ตำแหน่งจะขึ้น, โบนัสจะ
    เพิ่ม ฯลฯ เห็นไหม? ความคิดเขาเปลี่ยนไป จิตใจเขาเปลี่ยนไปแล้ว ส่วนเจ้าของ
    กิจการก็ดูไม่เหมือนเถ้าแก่คนเดิม ดูน่าเชืื่อถือยังกะนักวิชาการ บางคนไม่ได้เรียน
    อะไรมาเลย อยู่ๆ มาสอนให้รัฐมนตรีใช้หลัก "สองสูง" ได้เฉยเลย คนก็เชื่อถืออีก


    นี่ก็คือ "เกมการแลกเปลี่ยน" ล้วนๆ ครับ เพียงแต่เรามองไม่เห็นส่วนที่ไม่เป็นเงิน เท่านั้นเอง
     
  2. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ครับสมมุติมาก็สมมุติไปแต่ข้างในคืออะไรเรารู้ดีกว่าใคร
    ว่าแต่ท่านดอกไม้เห็นรึยังครับว่าเบี้ยทำงานยังไง จะล่อปลาใหญ่ๆเหยื่อก็ต้องสมน้ำสมเนื้อหน่อย นอนละครับ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เฮ้อ! ไปกันหมดแระ ที่นี้จะคุยเรื่องนี้กับใครได้หนอ
     
  4. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    ไปที่ เครื่องวัดคลื่นสมอง
    จะถามเรื่อง การสื่อสารแนวดิ่ง
     
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้าในวันตรัสรู้
    เราจะเคยได้ฟังเรื่อง การลอยถาดบุคลาธิษฐาน มีข้อความดั่งนี้คือ..

    เมื่อนางสุชาดากลับไปบ้านแล้ว พระมหาบุรุษเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ
    ทรงถือถาดทองข้าวมธุปายาส เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
    เสด็จลงสรงน้ำแล้วขึ้นมาประทับนั่งริมฝั่ง ทรงปั้นข้าวมธุปายาส
    ออกเป็นปั้น รวมได้ ๔๙ ปั้น แล้วเสวยจนหมด ปฐมสมโพธิว่า
    'เป็นอาหารที่คุ้มไปได้ ๗ วัน๗ หน'

    [​IMG]
    เสร็จแล้วทรงลอยถาดและทรงอธิษฐานว่า.....
    ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดจงลอย
    ทวนกระแสน้ำขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก ไปจนถึงวังน้ำวนแห่งหนึ่ง
    ถาดนั้นจึงจมดิ่งหายไปจนถึงพิภพของกาฬนาคราช
    กระทบกับถาดสามใบของพระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์เสียงดังกริ๊ก
    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์นั้นคือ
    พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ และพระกัสสปะ พระ
    มหาบุรุษกำลังจะเป็นองค์ที่ ๔
    [​IMG]

    กาฬนาคราชหลับมาตั่งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในอดีต
    จะตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถาด พอได้ยิน
    ก็รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดในโลกแล้ว
    คราวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อได้ยินเสียงถาดของพระมหาบุรุษก็
    งัวเงียขึ้นแล้วงึมงำว่า

    "เมื่อวานนี้พระชินสีห์ (หมายถึงพระกัสสปพุทธเจ้า) อุบัติในโลกพระองค์หนึ่ง แล้วซ้ำบังเกิดอีกพระองค์หนึ่งเล่า"

    ลุกขึ้นมาไหว้พระพุทธเจ้าเกิดใหม่ แล้วก็หลับต่อไปอีก
    [​IMG]
    ความที่กล่าวมาถึงตอนพระมหาบุรุษทรงลอยถาด
    แล้วถาดลอยทวนกระแสน้ำจนถึง กาฬนาค
    ราชได้บาดาลได้ยินเสียงถาดตกลงนั้น
    ท่านพรรณาเป็นปุคคลาธิษฐานถ้าถอดความเป็นธรรมาธิษฐานก็ได้

    ความอย่างนี้คือ.........
    ถาดนั้นคือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า
    แม่น้ำคือ โลกหรือคนในโลก
    คำสั่งสอนหรือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า
    พาคนไหลทวนกระแสโลกไปสู่กระแสนิพพาน
    คือความพ้นทุกข์ที่ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย
    ส่วนกระแสโลกไหลไปสู่ความเกิด แก่ เจ็บ และตาย
    พญานาคใต้บาดาลผู้หลับใหล คือสัตวโลกที่หนาแน่นด้วยกิเลส
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติบังเกิดขึ้นมาในโลกก็รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า
    แล้วก็หลับใหลไปด้วยอำนาจแห่งกิเลสต่อไปอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p23.jpg
      p23.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.2 KB
      เปิดดู:
      103
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2016
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    บุคคลาธิษฐานในวันตรัสรู้

    - การอธิษฐาน คงหมายถึง ปัญญาที่จะต้องนำพาสัตว์หลุดพ้น
    - ถาดที่ดิ่งลงไป คงหมายถึง การทำสมาธิแนวดิ่ง
    - ตกลงสู่สะดือส่วนที่ลึกสุด คงหมายถึง ตรงนั้นมีคำตอบอะไร?
    - น้ำ คงหมายถึง ตัณหา
    - ทวนกระแสน้ำ คงหมายถึง ทวนกระแสอารมณ์
    - ผ่านคลื่นกระแสน้ำ คงหมายถึง คลื่นกระแสสั่นสะเทือนที่ต้องใช้สิ่งใด
    ในการที่จะฝ่ากระแสให้ดิ่งลึกลงไปด้วยกำลังของสติ สมาธิ อุเบกขา

    ความคิดเห็น...ตามกำลังของปัญญา jityim
    แล้วแต่ทุกท่านจะพิจารณาเห็นตามสมควรค่ะ
     
  7. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    หลายคงจุงเบย อิอิ:cool:
     
  8. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    บุคคลาธิษฐาน คือการแสดงธรรมโดยปรารภตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง
    หมายถึง การนำประวัติเรื่องราวของบุคคลนั้นๆ พร้อมกับการประพฤติปฏิบัติมาเล่าให้ฟังเลย
    เช่น เอาเรื่องประวัติพระสารีบุตรมาแสดง ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน
    ออกบวชได้อย่างไร ฟังธรรมจากใคร ธรรมนั้นมีเนื้อหาอย่างไร
    บวชแล้วกี่วันจึงบรรลุพระอรหันต์ เพราะฟังธรรมอะไร ธรรมนั้นมีเนื้อหาอย่างไร
    อย่างนี้เรียกว่า บุคคลาธิษฐาน

    ธัมมาธิษฐาน การแสดงธรรมโดยปรารภหัวข้อธรรมเป็นที่ตั้ง
    ก็คือ ยกหัวข้อธรรมะขึ้นแสดงเลย โดยไม่ต้องไปอ้างถึงประวัติบุคคล
    เช่น เรื่องความ กตัญญู เรื่องอริยะ สัจจ ๔ ก็ยกอริยสัจจ ขึ้นมาแสดงเลย
    ว่ามีอะไรบ้าง โดยไม่ต้องไปพูดถึงประวัติบุคคลอีก ดังนี้เรียกธัมมาธิษฐาน

    ไม่ใช่ไปตีความว่าเรื่องนี้หมายถึงธรรมข้อนี้ เรื่องนั้นหมายถึงธรรมข้อนั้น
    การไปตีความแล้วอ้างเป็นธัมมาธิษฐาน เป็นเรื่องของบุคคลที่ไม่เชื่อมากกว่า
    เช่นไม่เชื่อว่า ท้าวสหัมบดีพรหม ลงมาอาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรม
    จึงตีความเป็นธัมมสธิษฐานว่าหมายถึง พระกรุณาในพระทัยของพระผู้มีพระภาค
    เจ้าที่มีต่อเวไนยสัตว์มาเตือนให้แสดงธรรม
    ตีความเช่นนี้เป็นเพราะผู้ตีความไม่เชื่อนั่นเองว่าท้าวสหัมบดีพรหมจะมีอยู่จริง
    ไม่เชื่อเรื่องที่พระอาจารย์ชั้นเก่าๆนำมาเล่าสืบๆกันมาว่าจะเป็นเรื่องจริง
    เขาจึงแสดงอาการไม่เห็นด้วย แล้วตีความเป็นธัมมาธิษฐาน
    บอกว่า ท้าวสหัมบดีพรหมหมายถึง ความกรุณา
    ส่วนธิดามาร หมายถึง ความอาลัยอาวรณ์ในความสุขครั้งก่อนบวช
    สรูปแล้ว การตีความ คือเรื่องของคนที่ไม่เชื่อตำรานั่นเอง
    แต่เพื่อจะป้องกันคนอื่นว่า จึงไปเอาเรื่อง บุคคลาธิษฐาน กับ ธัมมาธิษฐานมาอ้าง
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เขาถูกแบน เพราะไปก้าวล่วงพระอรหันต์

    ความจริงสมควรโดนตั้งแต่กระทู้นี้แล้ว เพราะไปเอาความรู้ภายนอก
    มาปนเปกับหลักธรรมทางพระพุทธศานา เข้าข่ายบิดเบือนคำสอนด้วยซ้ำไป

    และยังมีอีกหลายคนที่มีการกระทำในลักษณะเช่นนี้ แต่ยังลอยนวลอยู่ได้
     
  10. มนุษย์835

    มนุษย์835 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +182
    การเปิดกว้างนั้นดีกว่า คนที่รับสามารถพิจารณาไตร่ตรองได้ ส่วนการแบนนั้นบอกว่าก้าวล่วงพระอรหันต์ อันนี้ยิ่งงงใหญ่ ใครคือพระอรหันต์ รู้ได้ไงว่าได้อรหันต์ ได้อรหันต์ แล้วลักษณะการได้เป็นเช่นไร คนที่ได้รู้ได้ไงว่าตัวเองได้ หรือ มีคนมาบอก หรือคิดเดาเอาเอง ในชาดกยังมีนิทานเลยเหล่าพระที่ออกทำกรรมฐานในป่าหลงไปว่าตัวเองได้อรหันต์ สำคัญว่าอรหันต์นี่คือที่สุดแล้วหรือ ถึงไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีก เป็นอรหันต์แล้วคือไม่เอาอะไรอีกแล้วเช่นนั้นรึ
     
  11. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เปิดกว้างนั้นเปิดได้ครับ หนังสือจิตจักรวาลผมเองก็เคยอ่านอยู่
    แต่การหยิบยกมาเขียนแล้วมาอธิบายปะปนกับพระไตรปิฏกนั้น
    มันเข้าข่ายทำให้เกิดความสับสนและรู้ไปแบบผิด ลองอ่านกระทู้ตั้งแต่ต้น
    แล้วคุณจะเข้าใจ

    ส่วนเรื่องโดนแบน กระทู้นั้นคงถูกลบไปแล้ว ผมไม่อยากเอ่ยถึงอีก
    ถ้าอยากรู้ รบกวนเข้าไปหาอ่านในกระทู้นี้เลยครับ http://palungjit.org/threads/ทำผิดกฏ-ใบแดง-สำหรับ-คุณ-frozen-flower-ปรามาสพระรัตนตรัย.560968/
    ความจริงมันมีมากกว่านั้น แต่ผู้ดูแลเขาลบกระทู้ไปหมดแล้ว
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อีกหลายคนนั้นไม่รู้ว่าใครบ้าง ไม่รู้ว่ารวมหมายถึงข้าพเจ้าด้วยหรือเปล่า
    ถ้าเป็นห้องวิทยาศาสตร์ทางจิต จึงไม่น่าแปลกถ้าจะเรียนศาสนาในด้านพลังงาน
    ซึ่งเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งของศาสนาที่นำมาเรียนรู้ร่วมกันได้
    เพราะที่จริงแล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาของจักรวาล
    เป็นความจริงสัจธรรม ที่สามารถนำศาสตร์ต่าง ๆ ที่อยู่ในแขนงใด
    ในโลกนี้นำมาเข้ากับพุทธศาสนาได้หมด เพราะความจริงไม่ว่า
    กาลเวลาผ่านไปแค่ไหน ความจริงก็ยังเป็นความจริงเสมอ
    ถ้าเรานำพลังงาน อะตอม โฟตอน อิเลคตรอน ไปสอนยุคเมื่อ 2500 ปี
    คนคง งง! เป็นไก่ตาแตกเลยนะคะ เพราะคนยุคนั้นยังเข้าถึงพลังงาน
    ไม่เทียบถ้าเทียบกับยุคนี้ ที่วิทยาศาสตร์ล้ำหน้าแบบปัจจุบันนี้


    ธรรมมะ = ธรรมชาติ = สัจธรรม

    ถ้าหากท่านเข้าใจศาสนาอย่างแก่นแท้แล้ว
    เข้าใจทุกประเด็นอย่างกว้างขวางสามารถนำความรู้เหล่านั้น
    มาเชื่อมโยงกันได้ตลอดสาย สามารถหาที่มาที่ไปได้อย่างไม่มีอะไรขัดข้อง
    ถ้ายังไม่ได้ ขอให้เปิดใจฟังอย่างกว้าง ๆ ก็น่าจะดีกว่านะคะ
    เพราะบางทีอาจทำให้เรามุมมองที่กว้างขึ้นค่ะ

    ในพระไตรปิฏกมีผู้ถามพระพุทธองค์ทรงไม่ตอบคำถามเหล่านั้น
    เพราะทรงตรัสว่า "เราไม่ทรงตอบเพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์"
    ความรู้ในโลกนี้มีมากมายหลากหลายเกินกว่าที่สติปัญญาของมนุษย์
    ที่จะเรียนรู้ได้อย่างหมดเปลือก

    คงไม่ผิดหรอกนะคะ ถ้าธรรมมะ ธรรมชาติ สัจธรรม ที่ตัวเขาเอง
    ประสบเจอก็เป็นสัจธรรมของเขา สัจธรรมของเขาก็คือ ความจริงในตัวเขา
    สัจธรรมของเราก็คือความจริงในตัวเรา

    คำว่า บิดเบือน คือ บอกกล่าวผิดเพี้ยนไปจากความจริง

    ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังทรงตรัสว่า...

    ...แม้อ้างว่านี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุสาสน์
    เธอทั้งหลาย ยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของผู้นั้น

    ให้พึง... ตรวจสอบดูในพระสูตร -เทียบดูในพระวินัย ก่อน

    หลักการสันนิษฐานว่า สิ่งนี้ใช่ หรือ มิใช่ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น ตรวจสอบดูในพระสูตรก็ไม่ได้
    เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้ ถือไว้ผิด พึงทิ้งเสีย

    แต่ถ้า ตรวจสอบดูในพระสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ ให้รับมาด้วยดี

    ยุคสื่อสารไร้พรมแดน การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นการดีนะคะ
    ที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้เราได้รู้อะไรกว้างขึ้น
    อยู่ทีภูมิคุ้มกันทางปัญญาของแต่ละท่านล่ะค่ะ ว่าจะถูกดึงดูดให้ได้รับในแบบไหน
    คิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ปราถนาเรียนรู้อะไรก็ได้แบบนั้น นะคะ
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นำข้อความในพระสูตรมาให้พิจารณาค่ะ
    ว่าข้อความตามพระดำรัสของพระพุทธองค์..หมายถึงสิ่งใด

    link คำสอนของพระพุทธเจ้าที่หลาย ๆ ท่านสงสัยมาให้พิจารณาค่ะ����ѡ�­ҳ


    แถลงปัญหามหาภูต

    ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
    อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหนนามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.


    ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้

    ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
    ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.

    อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
    นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้.
    เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.


    และธรรมชาติที่รู้แจ้ง....ที่ว่านี้....คืออะไร

    *****************

    และพระดำรัสที่ว่า...

    เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว
    รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรมหจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

    จิตประภัสสร และ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง นั้นเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ค่ะ
    และอะไร....ที่ว่า....เป็นผู้หลุดพ้น....นะคะ

    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว...ถ้าพรหมจรรย์ก็คือ ชีวิตอันประเสริฐ
    และการใช้ชีวิตอันประเสริฐได้ก็หมายถึง....มรรค 8
    อันไม่ใช่ความเบียดเบียนสิ่งใด...

    กิจที่ทำเสร็จแล้ว....กิจที่ทำหมายถึงอะไร นะคะ
    ถ้าเราจะบอกว่า....หน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์..ได้ไหมค่ะ
    เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อมีหน้าที่...ของความเป็นมนุษย์

    และทำไม? กิจที่ทำ ทำเสร็จแล้ว...บ่งบอกนัยยะอะไรนะคะ

    ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น

    เดิมทีเรามีธรรมชาติที่รู้แจ้ง หรือ ที่ทรงตรัสว่า จิตประภัสสร อยู่แล้ว
    หากธรรมชาตินั้นขาดการรู้แจ้ง เพื่อมาทำกิจ.....
    เป็นไปได้ไหมค่ะว่า...เกิดมาเป็นมนุษย์เพื่ออะไร....

    คิดเพื่อหาความชัดเจน....กับข้อความจิตจักรวาล กับ
    พระพุุทธดำรัสของพระศาสดา นะคะ
     
  14. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมจากธรรมชาติ คาบการสอนของท่านมีน้อยท่านจึงสอนทางอันประเสริฐคือทางแห่งการดับทุกข์ซึงองค์ท่านย่อมรู้เรื่องราวมากมายแต่ไม่มีเวลาสอนเท่านั้นเอง ผู้ที่เดินตามคำสอนของพระองค์พิจารณาคำสอนของพระองค์ย่อมดับทุกข์ได้มากน้อยตามปัญญาที่ได้เดินมา เมื่อเสร็จกิจคือความทุกข์ทั้งปวงนั้นได้ดับไปแล้วมากน้อยตามการพิจารณา (ก็มีบ้างที่บอกว่าเมื่อจบกิจแล้วคือจบ อะไรนอกเหนือจากนี้คือไม่ใช่)แต่กิจหลังจากนั้นซึ่งก็แล้วแต่ใครจะเดินต่อเช่นไรเมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายยังคงมีทุกข์อยู่ เมื่อธรรมชาติยังคงแหว่งเว้าจากการเบียดเบียนของมนุษย์อยู่ และการเรียนรู้ของมนุษย์ก็ควรจบเท่านี้จริงๆเหรอ
    สว่าง หรือมืดอะไรดีกว่ากัน ในเมื่อสว่างมีข้อดีของสว่างมืดมีข้อดีของมืดอยู่ที่เราเข้าใจสิ่งเรานั้นดีแค่ไหนอย่าเพิ่งไปปิดกั้นสิ่งเหล่านั้นและไปกำหนดว่าสิ่งนั้นดีไม่ไม่ดีเลยในเมื่อเราไม่ได้รู้และเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นดีพอ มนุษย์เกิดมาเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อหยิบใช้สิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง
    มรรค 8 คำสอนของพระพุทธเจ้าคือสิ่งสำคัญในการพัฒนาตัวเอง ฐานยิ่งแน่นก็ยิ่งดี เมื่อเรียนรู้สิ่งใดก็น้อมตามมมรรค 8 ยิ่งรู้หลายๆอย่างมากขึ้นมรรคก็ยิ่งสำคัญมากขึ้น เพราะถ้าฐานเอียงเมื่อไหร่ทุกอย่างก็ล้มลงเท่านั้นเอง
    นี่คือเหตุที่ทำไมจึงต้องมีการกล่าวถึงธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ในเมื่อธรรมของพระองค์คือสิ่งสำคัญในการเดินต่อไปข้างหน้าของผม จะให้ผมลืมพระองค์ได้อย่างไรครับ
     
  15. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ไม่เกี่ยว และไม่ได้หมายถึงคุณ jityim
     
  16. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ความจริง ถ้าว่าถึงการเปิดใจกว้างแล้ว ผมเองก็เป็นคนเปิดกว้าง
    ชอบหาอ่านความรู้ แนวคิดแปลกๆใหม่ๆ

    เพียงแต่ผมไม่ชอบคนที่นำหลักคำสอนของศาสนาต่างๆมายำรวมกันแล้วพยายามจะเผยแพร่ให้คนอื่นเชื่อตาม เช่น กล่าวว่า พระนิพพานตามหลักพุทธศาสนา กับจิตจักรวาลเป็นเรื่องเดียวกัน หรือพยายามจะให้ผู้อื่นเข้าใจว่า
    การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือการติดต่อกับจิตจักรวาลได้ ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะถือว่าคนๆนั้น
    กำลังพยายามบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า และกำลังพยายามทำลายคำสอน
    ด้วยการชักจูงให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในคำสอนของพระพุทธเจ้า แบบนี้ยอมไม่ได้
     
  17. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ความจริงไม่ต้องสนเรื่องจะเป็นชื่ออะไรก็ได้จะจิตจักรวาลหรือจิตอะไรก็ต้องเรียนรู้เหมือนๆกัน เพียงแต่จิตจักรวาลก็มีหน้าที่ดูแลจักรวาลก็เท่านั้น แต่ผมก็เชื่ออย่างที่ท่านบอกกล่าวคือต้องมองภายใน ไม่ต้องสนใจอะไรมากว่าข้างนอกจะเป็นอย่างไรเมื่อการเชื่อมต่อเกิดขึ้นการทดสอบก็จะเกิดขึ้นเองอยู่ที่ใจเรามั่นคงแค่ไหนก็ต้องมองที่ภายในใจเรา บางครั้งรู้ในสิ่งที่เราไม่ควรรู้ได้ในสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลา เราควบคุมตัวเองไม่ได้มันจะแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เป็นมนุษย์ธรรมดา เรียนรู้แบบธรรมดา ถึงเวลามันก็ปิ้งของมันเองแหละ
     
  18. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    นิพพานมันก็ต้องคนละที่กับจิตจักรวาลอยู่แล้วนี่ครับเพราะบางคนเขาไม่ได้เลือกไปเรียนรู้ที่แดนนิพพาน แต่ก็มีครูคนเดียวกันได้นี่ครับ
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้อยู่กับตัวเอง นอกเหนือจากนั้นก็ตามท่านกล่าว
    ส่วนการติดต่อจากด้านนอกนั้นก็เหมือนได้ทุนไปเรียน แต่ก็ต้องใช้ทุนคืนด้วย ก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปครับ
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790

    เรามาถกอภิปรายกันจริงๆ เลยนะครับ

    เหตุที่ท่านไม่ควรศึกษาปนเประหว่างจิตทางพุทธศาสนา กับจิตตามจิตจักรวาล

    หนึ่ง ระบบ จิตจักรวาล ผมขออ้างอิง จิตจักรวาลตามที่
    อาจารย์ปริญญา ตันสกุล เสนอเท่านั้น เพราะ จขกท ไม่อยู่ตอบ (และการที่ไม่นิยาม คำ หรือเทอมของคำ ก่อนเวลาสนทนากันไปจะมีการขยายคำนิยาม ซึ่งโสเครติส เอง เวลาจะพาคู่สนทนาไปสู่บทสรุปตามแบบวิภาษณ์วิธีของเค้า เค้าต้องถามหาความหมายในใจจริงเกี่ยวกับ คำ หรือเทอมที่จะพูด แน่นอนว่า คำ หรือเทอม เป็นแค่สมมุติบัญญัติ แต่บุคคลไม่อาจคุยกันได้รู้เรื่องหรือสื่อสารกันเข้าใจได้ ถ้าสมมุติบัญญัติมันไม่ตรงที่จะคุยกัน เหมือนคำว่า บิดา หรือ father ถ้าคู่สนทนาพูดคนละภาษา ต้องทรานสเลชั่น หรือแปลความให้เข้าใจกันก่อน จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า จิตจักรวาล ที่เราคุยกัน เราคุยในความหมายอย่างไร เสียก่อน เพื่อตัดปัญหา การมาทำความเข้าใจเรื่อง นิยาม หรือ การให้ความหมาย จึงถือเอา อาจารย์ปริญญา ฯ เพราะเค้ามีเว็ปไซต์ และให้ความหมาย จิตจักรวาล แล้ว)

    จิตประภัสสร ผมอ้าง ตามที่ท่านพุทธาสอธิบาย เว็ป โกทูโนว (ซึ่งอาจมีการตีความได้แตกออกจากคำอธิบาย ซึ่งผมจะตีความตามที่ผมเข้าใจ หากท่านเข้าใจเป็นอย่างอื่น ท่านต้องเสนอการตีความนั้นอีกครั้งหนึ่งด้วย )

    จิตวิญญาณ อ้างตามอาจารย์ปริญญา ซึ่งอธิบายว่า รูปธรรมแห่งพลังงานที่ได้รับโอกาสจากจิตจักรวาล ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ (คล้ายกับ อาตมันที่แยกออกมาจากปรมาตมัน อาตมันเป็นอมตะและจริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกับ ปรมาตมัน หากบรรลุโมกษะจะกลับคืนสู่ปรมาตมันและไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก)

    ตามที่อ้างถึง ผมมีความเห็นว่า จิตจักรวาล ต่างกับ ปรมาตมัน หรือ พระเจ้า ที่เป็นระบบศาสนาแบบเทวนิยม และแม้ว่าระบบพระเจ้า คือ การกล่าวถึง ผู้สร้าง ผู้กำหนดกฎเกณฑ์ ผู้ริเริ่มและผู้สิ้นสุดสรรพสิ่ง ผู้เกิดก่อนสรรพสิ่ง เหมือนกัน แต่ในระบบฮินดู ปรมาตมันไม่ได้อนุญาตให้อาตมันแยกหรือแตกออก แต่ปรมาตมันคือแก่นแท้ของสรรพสิ่ง อาตมันมาอยู่รวมกับสรรพสิ่ง และติดในมายาโดยไม่เห็นสรรพสิ่งที่แท้จริง เมื่ออาตมันบรรลุดมกษะจึงกลับคืนสู่ปรมาตมันและไม่หวนกลับ พระเจ้าแบบอื่น เช่น พระเจ้าของชาวคริสต์ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้กำหนดหรือลิขิต หรืออนุญาตอะไรแก่มนุษย์ แต่มนุษย์เป็นผู้ละเมิดกฎแห่งสวรรค์ของพระเจ้าเอง จิตมนุษย์ไปจากพระเจ้าเอง มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า เพียงไปอยู่กับพระเจ้าหากจิตบริสุทธิ์แล้ว (อีฟชวนอดัมทานผลความรู้ เพราะซาตานหลอก แม้ซาตานเองพระเจ้าจะสร้างขึ้นแต่พระเจ้าสร้างลูซิเฟอร์ หรือเทพแห่งแสงสว่าง แต่การที่ลูซิเฟอร์ตกสวรรค์กลายเป็นซาตาน เป็นสิ่งที่ลูซิเฟอร์ทำเอง ไม่ใช่พระเจ้ากำหนด) ดังนั้น ระบบความเชื่อทางศาสนามันแตกต่างกันในสาระสำคัญหลายเรื่อง แม้จะเป็นระบบที่เชื่อใน พระเจ้า หรือ ผู้สร้าง (creator) เหมือนกันก็ตาม แต่การที่ลักษณะอื่นแตกต่างกัน มีผลในการปฏิบัติจิต หรือการวางจิตไว้ต่างกัน

    แต่พุทธศาสนา พูดสั้นๆ ง่ายๆ ไม่ใช่ระบบ พระเจ้า การปฏิบัติจิต การวางจิต จึงต่างกัน การที่จะนำระบบเทวนิยม มาปนกับ อเทวนิยม การนำเอาจิตจักรวาล จิตวิญญาณตามระบบนั้น มาแทนที่ จิต จิตประภัสสร ธาตุ ธรรม ตามพุทธศาสนาจึงถือว่าเป็นการบิดเบือน เพราะทำให้ความหมายของ จิต จิตประภัสสร ธาตุ ธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้บิดเบือนไป อย่างแน่นอน
    เอาแค่ จิตประภัสสร ไม่ใช่ จิตอมตะ จิตประภัสสรมีคำอธิบายว่า มันเป็นอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันต้องอบรมจนกลายเป็นจิตประภัสสรถาวร (จิตประภัสสรจึงเป็นเพียงบ่งบอกสภาวะจิตที่มีสภาวะหนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจิตประภัสสรมีตลอดเวลา จิตประภัสสรไม่ได้อมตะ) หากไปอ่านคำนิยาม จิต ของพระภิกษุจะเห็นว่า อ้างอิงตามพระไตรปิฎกด้วย ก็ไม่ได้แปลว่า จิตวิญญาณ ที่อมตะ หรือมาจากพระเจ้า
     
  20. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ผมมองว่า การที่เราจะเป็นอะไรตามหรือจะถูกเรียกว่าอะไรก็ตาม จะมาเรียนรู้อะไรก็ตาม(จะอยู่ในสถานะอะไรก็ย่อมเรียนรู้ได้ตามสมมุติที่เราอยู่) ก็ต้องมีสมมุติเพื่อการเรียนรู้ เพื่อการเปรียบเทียบเพื่อให้ได้เห็นถึงจะแจ้งและเข้าใจในสิ่งนั้น(ยิ่งในธรรมชาติมีตัวตนชัดเจนสัมผัสได้จึงเข้าใจอะไรง่ายกว่า) ส่วนสมมุติที่เราอยู่นั้นก็ได้บอกถึงความเป็นตัวตนต่างๆ ถูกเรียกชื่อไปตามนั้นตามการเรียนรู้ซึ่งเขาจะติดหรือไม่ติดอะไรอันนี้แล้วแต่ตัวเขาเอง
    เอาแค่ จิตประภัสสร ไม่ใช่ จิตอมตะ จิตประภัสสรมีคำอธิบายว่า มันเป็นอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันต้องอบรมจนกลายเป็นจิตประภัสสรถาวร (จิตประภัสสรจึงเป็นเพียงบ่งบอกสภาวะจิตที่มีสภาวะหนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจิตประภัสสรมีตลอดเวลา จิตประภัสสรไม่ได้อมตะ)

    จิตเขาก็เป็นแบบนั้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราทั้งหลายได้ทำให้มันเลอะเทอะเองไม่ใช่เหรอ ก็เหมือนเมื่อแรกเกิดก็บริสุทธิ์ดีเพราะยังไม่รู้ถูกผิดเมื่อได้เรียนรู้สิ่งต่างๆก็เริ่มเข้าใจจนสามารถกลับมาบริสุทธิ์ได้เหมือนเดิมอีกครั้ง
    จิตเขาจึงเสมือนกระจกที่คอยส่องให้เราเห็นตัวเราเองตลอดเวลาแต่เราเคยเห็นเขาหรือเปล่า จิตเขาจึงประภัสสรของเขาอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ประภัสสรตามไปด้วยเสียหน่อย
    แล้วบอกว่าไปที่นั่นที่โน่นที่ไหนกันจะไปได้อย่างไร ในเมื่อยังทำอะไรเลอะเทอะอยู่เลยใครเขาจะเอามันก็ต้องทำให้สะอาดเหมือนที่เรายืมมาซิ
    เมื่อถึงเวลาก็ส่งมอบทุกอย่างกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสบายใจ
    ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถกล่าวคำศัพท์อะไรต่างๆได้เพราะผมไม่ได้ศึกษามา พูดเป็นแต่แบบนี้แหละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...