"จิต"นี้ "ไม่เกิดไม่ตาย"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xtrem, 12 มีนาคม 2016.

  1. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    เหมือนกับตะเกียงเป็นตัวผู้รู้ แสงสว่างของตะเกียง
    มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจากผู้รู้อันนี้
    ถ้าจิตนี้ไม่มี ผู้รู้ก็ไม่มีเช่นกัน มันคืออาการของพวกนี้
    ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่าจิตนี้
    ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน
    มิใช่เรา มิใช่เขา ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตนเราเขา
    ไม่เป็นอะไร ท่านให้เอาที่ไหน เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง
    สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้
    ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง
    เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง
    ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้
    เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของ
    หลอกลวง สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า
    จิตนี้ไม่มีอะไร ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร
    จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ ไม่มีเรื่องราวต่างๆ
    เข้าไปอยู่ในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลง
    สังขารนี่เอง หลงอัตตานี่เอง
    พระศาสนดาจึงให้มองดูจิตของเรา เบื้องแรกมันมีอะไร
    ไม่มีอะไรจริงๆ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย
    ถูกอารมณ์ดีมากระทบก็มิได้ดีด้วย ถูกอารมณ์ร้าย
    มากระทบก็มิได้ร้ายไปด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจน
    รู้ว่าสภาวะเหล่านั้นไม่เป็นแก่นสาร ท่านเห็นเป็นอนิจจัง
    ทุกขัง อนัตตา
    ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง ผู้รู้มิได้ดีใจไปด้วย
    มิได้เสียใจไปด้วย อาการที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละ
    เกิด อาการที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย ถ้ามัน
    ตายก็เกิด ถ้ามันเกิดก็ตาย ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ
    เป็นวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่หยุด
    เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย
    ภพมีไหน ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พิจารณา
    อาการสังขารเหล่านี้แล้วจึงได้ปล่อยวางสังขาร
    วางขันธ์เหล่านี้ เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ
    มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่เฉยๆ
    ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน เพราะมัน
    ขาดจากปัจจัยแล้ว เมื่อรู้ตามความเป็นจริง
    ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มี.


    ธรรมโอวาทหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
     
  2. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอบพระคุณมากครับผม จิตเป็นธรรมชาติธาตุรู้ เราจึงต้องฝึกสติใช่มั้ยขอรับ
     
  3. สังฆะ

    สังฆะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +35
    จิตไม่ใช่ธาติรู้ และมิใช่เฉยๆและมิใช่ไม่ตายรึไม่เกิด. รุ้ส่วนรุ้ รุ่นะมันตัวตนทั้งดุ้น. ใครรุ้จิตมันไม่รุ้ไม่ชี้กับใครเค้า ไม่ใช่สุขก็ไม่เอาทุกข์ก็ไม่เอาให้เฉยๆมันก็คือท่อนไม้แต่ความจริงผลมันแสดงตัวมันอยุ่ ขันธุ์ยังอยู่เวทนามันทำงานตลอดเวลา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เจ็บ ยังมีอยุ่ ปวดยังมีอยุ่ ไม่ใช่เฉย. กินน้ำชาร้อนๆยังต้องเป่า. จิตก็มิใช่อัตตา. ไม่เกิดไม่ตาย. ชาติภพก็มิใช่ ธรรมมะไม่เคยมีแบบนี้นี่มันโต้งเหลือหลาย
     
  4. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    รอฟังผู้รู้ชี้แจงครับ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หลวงปู่ดูลย์ กล่าวว่า พระอาจารย์ชื่อดังๆ. ส่วนใหญ่เปนผีใหญ่

    ผีใหญ่ คือ. อานาคามีมรรค. อานาคามีผล. อรหตถมรรค. เปนได้ สามบุคคล
    ที่ยัง. ยึดถือจิต. ภาวนายังไง. ก้เห็น. สิ่งหนึ่งเที่ยง.

    ปรกติเสขะบุคคล จะกล่าวธรรม. ตามที่ตนรู้เหน

    สิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เหน. ท่านย่อมยังไม่กล่าว. ถ้าจะกล่าว ก็ต้องระบุอิงพระไตรปิฏก
    อิงพุทธวัจนะ นำหน้า อารัมภบท (ถ้าไม่มีการอิงอรรถ อิงธรรม ท่านย่อมกล่าว
    ตาม สัจจ ความจริง เท่าที่ตนเหน)

    ปล. อ่านดีๆ นะจั๊บ. ไม่ได้ระบุชื่อ. และ ไม่ได้ระบุ กาล เวลา. จึงอย่ากระเดียดจับ
    ยัดข้อหา. หาหนาสันติ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    จิตเป็นธาตุรู้ก็ถูกแล้ว นี้ครับ

    คำสอน หลวงปู่ชา ต้องพิจารณาให้รอบครอบครับ

    ส่วนสุดที่ท่านให้เป็นข้อคิด ท่านทิ้งท้ายว่า

    " เพราะมัน
    ขาดจากปัจจัยแล้ว เมื่อรู้ตามความเป็นจริง
    ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มี."


    ความเกิดไม่มีความตายจะมาจากไหน

    ฉะนั้น ส่วนสุดที่หลวงปู่ท่านแนะนำ

    ครูบาอาจารย์หลายท่านก็มีอุปมาอุปมัย แตกต่างกันไป

    หลวงปู่พุธ จะใช้คำว่า

    "สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ จะปรากฎก็ต่อเมื่อ จิตตัดขาดจากกระแสกิเลส"

    หลวงปู่หล้า เขมะปัตโต ท่านอุปมา "จิต พระอรหันต์ บัญญัติจิตไม่ถูก
    เหมือนๆแก่จะตายอยู่แล้ว จะมาเรียกคุณหนู มันก็ไม่ใช่"


    ถ้าเป็น ข้อคิดจากหลวงตามหาบัว

    "นี่ละ ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ถึงที่สุดของจิตดวงนี้ จิตดวงที่ว่าไม่ตาย ๆ เมื่อถึงธรรมธาตุแล้วเป็นอย่างนี้ ไม่มีคำว่าตาย ท่านจึงเรียกว่า นิพพานเที่ยง คือไม่มีคำว่า ตาย"
     
  7. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    จิตเป็นธรรมชาติรู้ ถูกแล้วครับ

    แต่ยังไม่มีปัญญาอะไร
    จึงต้อง มาอบรมจิต ให้มีสติ มีปัญญา
    รู้แจ้ง เห็นจริง ตามพระธรรมคำสอน
     
  8. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอบพระคุณครับผม
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..................มาดู นิยามของนิพพาน อันมีหลายปริยาย แต่ทุกปริยาย ตาม พระพุทธพจน์ ...นิพพานคือ ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ อันใด เรียกว่า นิพพาน:cool: ในอริยสัจ สี่ ครบถ้วนดีอยู่แล้ว ความพ้นทุกข์คืออะไร ต้องรู้อะไร หรือ ยังไง หรือ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม หรือ ว่า สรรพเพธํมมา อนัตตาติ ก็ แล่วแต่:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  10. สังฆะ

    สังฆะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +35
    จิตรุ้อะไรสาวไปสิใครรุ้กันแน่? สาวผลไปหาเหตุสิ จิตมันรุ้ยังไง? มันรุ้ว่าอ่อนว่าแข็งว่าชอบว่าไม่ชอบรึ นั้นจิตรึแน่ใจนะ.?
    พ่อแม่ครุบาอาจารณ์ท่านชี้ธรรมผ่านอักษรสมมุติเราต้องเข้าใจนัยยะที่ซ่อนอยุ่ข้างในด้วยไม่ใช่อ่านผ่านๆแล้วบอกว่าใช่ๆๆๆ เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาสาวลึกลงไป ตามความเป็นจริงที่ผลมันแสดงตัวของมันอยู่ อุปมาเหมือนบ้านนี่แหละอะไรคือบ้านละหน้าต่างรึประตูรึหลังคารึพื้นรึไหนตรงไหนคือบ้าน?
    แต่เมื่อรวมๆเข้าจึงเรียกว่าบ้าน. ส่วนผู้ที่รู้ว่าบ้านคือบ้านเป็นผู้รุ้รึ? มันรุ้ว่าตัวมันเองคือบ้านรึ จิตมันเปรียบเหมือนบ้านนั้นแหละมันรุ้ด้วยตัวมันเองรึว่ามันคือจิตนะ. แล้ววิถีจิตละแล้วภวังคจิตละแล้วใจละมันคืออะไร? แล้ววาระจิตละมันคืออะไร? ไหนอันไหนคือจิตกันแน่ตอบสิ ผุ้รู้คือตัวกรุมันเป็นโปรแกรมหนึ่งที่อวิชชาสร้างขึ้นมา. ที่ว่ารุ้ๆนะมันรุ้ด้วยอัตตาตัวตน. สาวลึกลงไปอีกผู้รู้มันก็ไม่มี มันเปรียบเสมือนเงานั้นแหละ. ยังสาวได้ลึกไปอีกมาก. นี่แค่ชี้ให้เท่านั้นใช้สติปัญญาพิจารณาให้ดี ผลมันแสดงตัวของมันอยุ่ อย่าได้บอกว่าจิตมันรุ้ จิตไหนคือรุ้ตอบสิ ภวังคจิตรึวิถีจิตรึใจรึไหนอันไหนรุ้ แม้แต่ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดยังไม่ใช่จิตเลยเป็นแค่อาการของจิตเท่านั้นใจก็เป็นอาการหนึ่งของจิตภวังคจิตก็เหมือนกัน ไหนตัวรุ้? แล้วไหนคือจิตหามาสิอะไรคือจิตกันแน่ ไม่เข้าใจเรื่องของจิตอย่าได้ยึดมั่นเลย. มันหลงเปล่าๆเอาเท่าที่เราเข้าใจก็พอ ผมเคยบอกแล้วจะเห็นจิตต้องเห็นเวทนาก่อนจะเห็นเวทนาต้องเห็นกายก่อน. ลัดเท่าไรก็หลงเท่านั้น. เห็นกายรุ้จักกายเข้าใจกายแล้วจึงเห็นเวทนาเห็นเวทนารุ้จักเวทนาแล้วจึงสามารถเห็นจิตได้และต้องเข้าใจจิตรุ้จักจิตถึงจะเห็นธรรม555555นี่คือสติปัฏฐาน4อย่าได้ลัดรึยกอันหนึ่งอันใดมายกเท่าไรก็หลงเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  11. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ

    ครูบาอาจารย์สอนตรง ไม่ต้องคิดไรมากเลย

    อย่าง กาย เวทนา จิต ธรรม

    รู้อะไร ฝึกอันไหนก้ได้ มันจะรู้ทั่วถึงกันหมด

    อย่างบ้านที่ว่า จะอยู่ข้างนอกหรือข้างใน
    หากมองดูบ้านที่ข้างนอก มันจะเป็นหน้าต่าง ประตู หลังคา ผนัง มันรวมกันเข้า จึงเป็น บ้าน

    หาก ไปดูเห็นแต่ประตู อย่างเดียวอันนั้นไม่เรียกบ้าน เป็นแค่ประตู
    ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นบ้านได้ มันต้องมีประตูหน้าต่างกำแพงหลังคา รวมกันไว้แล้ว

    สติปัฐฐาน ถึง ดูอะไรก่อน มันก้เห็นถั่วถึงกันหมด

    หากไปเรียงว่า ต้องนี่ กายก่อน จึงจะเห็นเวทนา ต้องเวทนาก่อนจึงจะเห็นจิต

    ครูอาจารย์ท่านก็บอกตรงๆ ว่าแบบนี้ยังเข้าใจผิดอยู่
    อันนี้ไม่มีนัยยะอะไรแอบแฝงเลยครับตรงๆไม่ต้องคิดมาก


    ส่วนในนัยยะที่ท่านแสดง มันเป็นอุปมาอุปมัย
    อุบายวิธี การเข้าถึงสิ่งที่ท่านรู้เฉพาะตนและนำมาบอกกล่าวให้รู้ตาม



    วิธีทำมันง่ายมาก หลวงปู่เทสก์อีกองค์นึง ท่านพูดไว้
    แต่คนมันชอบไปทำยากไว้จะเอาเสียงท่านมาให้ฟังครับ



    ทีนี้ ส่วน ผลการปฏิบัติ มันก้เป็นไปตามลำดับการของมัน
    จะสาวอะไรไปถึงไหนมันก้เป็นไปตามลำดับการของมัน

    ผลงานมันก็ไปตามความเพียรของแต่ละคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    จะว่าไป จิตเป็นธาตุรู้ก็เห็นดังครูบาอาจารย์ท่านว่า
    เพราะส่วนจิตนั้น ประกอบด้วยขันธ์ ๔ แยกกันทำ
    งานตามหน้าที่ เวลารับรู้อะไรที มันมีตัวกูของกูอยู่
    ร่วมด้วยเสมอ แล้วก็มักจะพากันมองเห็นแต่ส่วนที่
    จะพอคิดคาดคะเนเอาโดยเหตุผลไปถึงได้เท่านั้น
    นี้เรียกว่า เป็นการคิดโดยหลักตรรกศาสตร์

    แต่จริงๆ ยังมีอีกส่วนที่ตรรกศาสตร์ล้วงไปไม่ถึง
    อย่างเก่งก็ได้เพียงแค่ใช้จินตนาการตามเท่านั้น
    เพราะธรรมส่วนนี้อาศัยปรากฏการณ์ของรูปนาม
    เป็นประจักษ์พยานสำคัญอย่างเดียว นอกนั้น
    หมดสิทธิ ยกเว้นเมื่อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
    จึงจะแจ้งในธรรมนั้นเอง

    เห็นตรงนี้จึงจะชัดเจนในความเป็นตัวกูของกู
    และนั่นก็เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  13. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ครับเบื้องต้น
    ก็เอาครูบาอาจารย์ เป็นแนวทางครับ

    ส่วนฝึกๆไปก็อยู่ที่ความเพียรแต่ละคน


    สำหรับใครเห็นความชัดเจนตัวกูของกู
    อันนี้เป็น การเห็นสักกายทิฐิหรือเปล่าครับสำหรับพี่ที


    การเริ่มเห็นรูปนามปริเฉท
    สำหรับผมเข้าใจว่าเป็นทางเริ่มของการภาวนาปัญญา
     
  14. สังฆะ

    สังฆะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +35
    เคยเห็นเวลาเด็กน้อยมันเดินไหม. เวลามันจะหัดเดินมันต้องยืนก่อนใช่ไหมมีไหมที่มันเดินเลยโดยไม่ต้องยืนนะ. รึวิ่งก็ได้เด็กน้อยมันวิ่งได้เลยโดยไม่ต้องยืนรึเดินก่อนรึ จะเห็นจิตไม่ต้องเห็นเวทนารึแล้วจะไปเห็นอาการของจิตได้ยังไงในเมื่อไม่รุ้จักเวทนาแล้วจะไปเห็นอาการของเวทนาได้ยังไงถ้าไม่รุ้จักกาย. อุปมาก็เหมือนเด็กน้อยมันจะวิ่งได้ยังไงถ้ามันเดินไม่เป็นมันจะเดินได้ยังไงถ้ามันยืนไม่เป็นรึมันจะเอาอะไรก่อนก็ได้มันวิ่งก่อนค่อยมาหัดเดินรึหรือเดินก่อนค่อยมาหัดยืน. คนต้องรุ้จักและปฏิบัติจะเข้าใจ ไม่ใช่มโนเอา ผลมันแสดงตัวของมันอยุ่มันไม่มีกฏไม่มีตรรกะใดๆทั้งนั้นมันเป็นช่องเป็นร่องที่จะเข้าไป. เอาประตุบ้านมาแล้วบอกนี่คือบ้านจะสร้างหลังคาแต่ไม่ต้องมีพื้นแล้วหลังคามันจะอยุ่ยังไงลอยได้เองรึ สร้างหลังคากลางอากาศให้เสร็จก่อนค่อยมาสร้างพื้นรึมันเป็นไปได้รึสร้างประตูหน้าต่างก่อนค่อยทำผนังรึแล้วไอ้ประตุหน้าต่างมันจะอยุ่ยังไงลอยๆกลางอากาศรึ ใช้มโนเอานะอะไรก่อนก็ได้แต่ลองลงมือปฏิบัติสิมันได้รึ ผลมันแสดงตัวของมันอยุ่ไม่รุ้จักผนังก็ไม่รุ้ว่าจะเอาหน้าต่างไว้ตรงไหนประตูไว้ตรงไหนไม่รุ้จักพื้นจะทำหลังคาไว้ตรงไหนลอยๆไวักลางอากาศรึ ทุกสิ่งต้องมีพื้นมีเสาฯลฯมันจึงสำเร็จเป็นบ้านได้ไม่มีพื้นจะเอาอะไรยืนเรอะ. ลอยกลางอากาศได้รึงั้นก็เหาะไปเลยไม่ต้องเหยียบพื้นแผ่นดิน55555
     
  15. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    อ่านแล้ว อย่าคิดว่า ไม่ถูกจริตนะครับ

    คิดเสียว่า สนทนาเฉยๆ

    คนดี ที่มันก็มีหลายอย่างนะครับ

    หากเหมาเอา คนที่ ดีที่ไปสวรรค์ นั่นมันก้ยังเกิดนะครับนั่น


    มันคนละนิยามกับครูบาอารย์ที่ท่านแนะนำไว้

    อันนี้ก้ความคิดเห็นผมเฉยๆนะครับ อ่านไปผ่านๆเล่นๆ
     
  16. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    เข้าใจอย่างนี้นะครับ

    อันนั้นมันว่าด้วย วิธีการทำครับ
    มันมีผลงานเป็นลำดับลำดาอยู่แล้ว

    หมวดมหาสติปัฐฐาน
    ฝึกอย่างใดอย่างนึง ผลมันถึงได้ทั่วกันหมด
    นั่นคือ ส่วนที่มันเป็นผลงานแล้ว


    ส่วน วิธีการทำ มันก็มีวีธีของมันในแต่ละหมวดอยู่แล้ว

    หากบอกว่า ดูกายสำเร็จแล้ว แล้วถึงจะดูจิต

    คำว่าสำเร็จแล้วนี้ มัน แจ้งถึงจบกิจได้นะครับนั่น

    เว้นเสียแต่ว่า ยังทำไม่ถึงที่สุดแห่งกาย แต่หลงไปก่อน
     
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    dkir^fTii,oyho ,ulv'c[[8nv r^fc[[oydxibpy9b :7j'dH8nvr^f9k,9eik

    dy[r^fc[[oydxDb[y9b :7j' :7j'vk0r^f9k,xitl[dkiINmuj9y;gv'wfhxDb[y9bzjko,k
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ "แค่เห็น"

    แต่ผมว่าอย่าไปบัญญัติภาษา หรือเอาภาวะไป
    เทียบเคียงกับตำราเลยดีกว่า เดี๋ยวสักกายะฯก็
    หลอกหลงจมโลกไปวัน ๆ ซะอีก ไม่พ้นทุกข์ซะที

    แก้ให้ใหม่นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  19. สังฆะ

    สังฆะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +35
    คำว่าจบกิจเป็นเพียงสมมุติภาษาใช้สำหรับผู้แจ้งโลกเท่านั้นครับ. แม้แต่อนาคามียังโง่อยุ่เลย. ยังมีอวิชชาอยุ่ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ใช้วลีนี้ว่าจบกิจ ส่วนการรุ้จักกายเข้าใจมันมิใช่จบกิจคำนี้ยังใช้ไม่ได้ยังห่างไกลอีกยังโง่อยู่ยังไม่สิ้นสงสัย. อย่าเอามารวมกันมันคนละกาลคนละเรื่องกัน ธรรมมะไม่ใช่คิด ด้น ดั้นเดา ไม่ใช่ตรรกะ. มันเป็นสมมุติ รุ้จักและเข้าใจคำว่าสมมุติรึเปล่าครับ. รึเข้าใจว่ามันไม่มีจริงแค่นั้น. นั้นก็ยังไม่หมดความหมายของคำส่าสมมุติ ธรรมก็สมมุติเข้าใจความหมายรึเปล่า? รึไม่เข้าใจตีความตามตัวอักษร. สิ่งเหล่านี้ผมแค่ชี้ร่องให้ทุกคนใช้สติปัญญาพิจารณาเอาเองตามความเป็นจริง. ผลมันแสดงตัวของมันอยุ่ใครก็เถียงไม่ได้ ต้องสาวผลไปหาเหตุปัจจัยมันสาวไปเรื่อยๆเท่าที่กำลังสติปัญญามันมี มันจะเห็นเหตุเห็นผลนั้นคือกฏอิฏฐิปัจยตา. สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ไม่ใช่เอาผลมาแล้วบอกว่าเสร็จแล้วนั้นมันโง่หลาย. ความจริงมันแสดงตัวของมันถึงจะจริงในสมมุติก็ตาม. เชื่อต้องเชื่อด้วยเหตุด้วยผลสามารถอธิบายได้ตามความเป็นจริงมิใช่เชื่อตามๆกันต้องพิสูตรด้วยตนเองถึงจะเชื่อได้ผลมันจะยืนยันกับใจดวงนี้เอง น้ำนะมันไหลมันสาดออกใครจะมีภาชนะอะไรมารองรับแล้วนำไปพินิจพิจารณาตามความเป็นจริงด้วยเหตุด้วยผลสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมีตามร่องของมัน. นี่จึงเรียกว่าพุทธศาสนาที่แท้จริง ไม่ใช่คิดรึเห็นด้วยไม่เห็นด้วยตามเวทนาที่ปรุงแต่งมาจากภวังคจิต. ไม่ต้องเห็นด้วยรึไม่เห็นด้วย. แต่ใช้สติปัญญาพิจารณาว่าตรงตามความเป็นจริงใหมก็แค่นั้นมันจะยืนยันด้วยใจดวงนี้ได้เองโดยไม่ต้องให้ใครมายืนยันเหตุเพราะผลมันแสดงตัวของมันอยุ่ เข้าใจไหมครับ
    ป. ล. คำว่าถึงกันหมดก็มิใช่ความหมายที่เข้าใจว่าทำอะไรก่อนก็ได้มันถึงกันหมด5555
    คำว่าถึงกันหมดหมายความว่ามันทำงานสอดคล้องกันร่วมกันอย่างถึงกันกายทำงานยังไงเวทนาทำงานยังไงจิตทำงานยังไงและธรรมมันคืออะไรมันประสานสอดคล้องรับกันตามธรรมดาธรรมชาติของมันตามๆกันเรามีหน้าที่แค่ดูมิใช่รุ้แต่ก่อนดูต้องรุ้ก่อน. เห็นใหมแม้แต่รุ้กับดูมันยังแตกต่างกันแต่ต้องอาศัยซึ่งกันและกันเมื่อรุ้แล้วดูแล้วยังไงต่อจบเลยรึ5555เปล่ายังมีอีกเมื่อรุ้แล้วจึงทิ้งรุ้มาแค่ดูเมื่อดูแล้วต้องทิ้งดูมันจะทิ้งตัวตนลง. จิตกับธรรมชาติจึงสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยอมรับกันและกัน555555
    พุดไปเดียวจะงงกันอีกเอาเถอะเอาแค่คราวๆพอละกัน. นี่เป็นเพียงสมมุติภาษาที่ใช้สื่อสารเท่านั้นไม่เข้าใจในสำนวนถามได้จะอธิบายให้เข้าใจ55555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  20. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    เอ่อ คือ
    ถ้าไม่ใช้ภาษามาคุยกัน ก็คงไม่ต้องคุยกันหรอกครับ

    เพราะมันจะกลายเป็นคิดต่างๆนานาไปแทน
    กลายเป็นคุยม่ายรู้เรื่อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...