"จิต"นี้ "ไม่เกิดไม่ตาย"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xtrem, 12 มีนาคม 2016.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าเรานึกถึงลมที่มันหยุดนิ่ง ที่เรารับรู้ได้ว่ามันมีลมอยู่ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นลม
    กับ ลมที่เคลื่อนไหลไหวไปมาแตกต่างกันอย่างไร นะคะ
    ที่จริงแล้วไม่อยากพูดหรอกนะคะ...เพียงอุปมาอุปมัยให้ค่ะ

    และลมที่หยุดนิ่งเหมือนไม่มีลม แต่การเคลื่อนเลื่อนไหลไปมาของลม
    มันแทรกอยู่ในลมนั้น หรือ ขณะที่มัีนเคลื่อนไหวไหลไปมา เมื่อมันหยุดเคลื่อนแล้ว ลมมันก็นิ่ง ที่แบบว่ามีหรือ ไม่มี

    ความมีหรือไม่มี มันก็ซ่อนเร้นอยู่ในลมที่ไหวเลื่อนเคลื่อนไหวนั้นเอง

    หรือ ต้องให้มันเคลื่อนเลื่อนไหล (หยุดปรุงแต่ง) หยุดมัน จึงจะเห็นชัดแจ้ง
    ประมาณนี้ค่ะ
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เดี๋ยวจะว่า กล่าวธรรมครึ่งเดียว ไม่แสดงทางออกประกอบไว้


    ก็ต้องขออนุญาติ เท้าความไป พระวัลกกลิ องค์ที่ท่าน ทำฌาณ8
    สำเร็จ3รอบ แต่ก็ยังเสื่อม

    เพราะ อาศัย มาลอกธรรม ลอกการปฏิบัติ ลอกได้ถึงขั้น สำเร็จฌาณ8
    แต่ทว่า ทำไปเพราะมี กิเลส ตัณหา อยู่เบื้องหลัง

    พอทำสำเร็จครั้งหนึ่ง ก็ดีใจว่า ได้เผยแผ่ธรรมของผู้มีพระภาคแล้ว ทำเต็มกำลังแล้ว

    แต่.......ก็ยังเสื่อม ขนาดสำเร็จฌาณ มากกว่า ก๊อปปี้ตัดแปะ ยังเสื่อม


    เดชะบุญที่ ตลอดมา ท่านวักกลิ ท่านไม่ได้ไป ชักชวนใครให้ฟังธรรมท่าน
    แต่คงมีบ้างที่เป็น อมนุษย์

    เพราะ ครั้งที่ฌาณเสื่อมครั้งหลังสุด ท่าน ตัดพ้อ ทำสุดกำลังแล้ว ก็เลย คว้าศาสตรา [ พุดแค่นี้นะ จะไม่กล่าวไปให้เห็นภาพกว่านี้ ]

    เดชะบุญ ท่าน ระลึกของท่านได้ว่า ตลอดมาท่านรักษาศีลได้ ....ปิติ เลยเกิดดับ แสดงความชั่วคราว ของดี!!!
    ให้กำหนดรู้ ก่อนสิ้นลม

    อมนุษย์ที่ มาเป็นหมอกลายล้อม เลย รอเก้อ หาท่านไม่เจอ คาดว่าท่านจะ คว้าเอาความ ถาวร อุปธิ อุปาทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ค่ะ เอาเป็นว่าใช้หลักกามาสูตรแล้วกันนะคะ
    สำหรับบัณฑิตผู้ที่มีปัญญาท่านจะไม่เชื่อใคร
    จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเอง.....
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สัญญาสูตร ภาคพิสดาร


    สัญญาสูตร ภาคปรกติ จะเป็นเรื่อง คนชำนาญใน ฌาณ ทำแล้ว
    ก็หมายมั้นปั้นมือว่า พอตายไป ก็จะเอา อายตนะที่ตนชำนาญ เป็นคติ
    แล้วให้ กำหนดรู้ ว่านั่นคือ สัญญาขันธ์ขยับ เกิด ดับ อีกทีหนึ่ง
    ก็จะ สามารถเป็น ปรินิพพายีบุคคล ในลมสุดท้ายได้

    แต่ สัญญาสูตรภาคพิสดารนี้

    หมายเอา สัตว์จากโลกันตนรก ที่ๆมีแต่ความมืด และ สำคัญว่า มีเพียงตน

    แต่พอ แสงแห่งจักรวาลเกิดดับ หรือ แสงแห่งการปรากฏของพระพุทธศาสนา
    แสงนั้นจะไปส่องสว่างในโลกันตนรก ทำให้ สรรพสัตวเหล่านั้น เห็นว่า อ้าว เรามีเพื่อน
    ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นแสนเป็นโกฏิ(ล้าน) ก็ดีใจ น้ำตาไหล

    "อารมณ์ก็ประมาณว่า พอมีแสง ก็เห็นว่าเอ้ยมีมิตร แล้วก็น้ำหูนำตาไหล"

    สัญญาโลกันตนรก เกิด ตาย จนชำนาญ ไม่ไปไหน เกิดมา ก็เอาแต่
    แสงวูบๆ ว๊าบๆ แล้วก็ โอ้ยมีเพื่อน เมตตา น้ำตาไหล โดยมี เบื่อหน่ายถาวร หลอกอยู่เบื้องหลัง

    วนเวียนกลับไปที่เก่า .......

    กำหนดรู้ว่า นั่นสัญญา เกิด ดับ ซะ หาศีล1 ให้เจอ
     
  6. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความเกิดนั้นเป็นทุกข์

    สำหรับคนที่เกิดมาแล้ว แม้การที่เราต้องอยู่ในสถานที่ใด หรืออยู่ในอิริยาบถใด
    เป็นเวลานานๆ เรายังรู้สึกเบื่อและรู้สึกเป็นทุกข์ ต้องหาทางขยับสับเปลี่ยน
    อิริยาบถเพื่อผ่อนคลายทุกข์
    ดังนั้นถ้าหากว่าคนเราจะแบกความรู้สึกเป็นตัวตน เข้านิพพาน แล้วต้องอยู่แบบนั้นชั่วกาลนาน ชนิดไม่มีเวลาสิ้นสุด มันคงเป็นเหมือนการจองจำชั่วกัลปาวสาน จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้
    มันไม่ต่างกับคนที่ถูกขังคุกอยู่ในนั้นตลอดไป

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความดับต่างหากที่เป็นทางพ้นทุกข์
    ความดับที่เป็นการดับไม่มีเชื้อ ไม่มีการเป็นอยู่ ไม่มีตัวตน

    เป็นอยู่ตลอดกาล คือทุกข์ตลอดกาล
    ดับตลอดกาล คือพ้นจากทุกข์
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207

    ความไม่เคลื่อน มันหยุดนิ่ง ไม่ใช่ตัวตน
    ถามว่า มันหยุดนิ่ง นี่มันคือ ความว่างเปล่าแบบไม่มีอะไรเลยใช่ไหม
    ไม่ใช่คะ มันมี แต่ เหมือนไม่มี ก็คือ มันหยุดเคลื่อนไหว

    ความเคลื่อนไหว นั่นคือ ความทุกข์

    ความหยุด นั่นคือ ความสงบสุขอย่างแท้จริง

    ความเคลื่อนไหว นั่นคือ ปรุงแต่งให้มันเป็นตัวตนขึ้นมา เป็นทุกข์

    ความหยุด คือ ไร้การปรุงแต่งใดๆ หยุดแบบไม่มีอะไรเป็นตัวตน
    แต่ว่าไม่ใช่ความว่างเปล่าเสียทีเดียว คือ มันมีอยู่ของมันนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณคร้าบ เลิกเฮอะ ฮับ ลากไป สุญญตา ความว่างเปล่า

    พอว่างเปล่า ก็ย้อนมา บัญญติโน้นนั่นนี่ ตามใจชอบ อ้างว่า เป็น มหายาน
    ยานใหญ่ ยานแห่งผองเพื่อน



    " ความว่าง " เขาหมายถึง ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปทาน
    สุญญตา คือ สภาวะ ว่างจาก ตัณหา จึงชื่อว่า สุญญตา

    ดังนั้น

    จะไปโน้นนั่นนี่ หยุด ลมหยุด ความคิดหยุด ไอ้นั่นหยุด ไอ้นี่สลบเหมือด
    ถ้า กิเลสมันไม่ล้าง ตัณหาไม่หาย อุปทานไม่ลด อย่าไป
    พูดให้อาย ยอสตรอย เลย ฮับ

    เขากำหนดรู้ทุกข์ หาอุบายนำออกจากทุกข์ ชักชวนพูดเรื่องทุกข์
    และอย่างนี้ๆ คือ การออกจากทุกข์ เขาเป็นพุทธ ไม่ต้องแบ่งนิกาย
    เลย

    เท่าไหร่ ที่เรียกว่า ศาสนาจะเจิดจำรัสขึ้นอีกหนหนึ่ง

    ก็การกระทำอย่าง ยอสตรอย นั่นแหละ ฮับ ใช่เลย

    ส่วนพวก เอะอะ มหายาน ....นั่นมัน ความจานลาย ตั้งแต่ พระพุทธองค์
    ทรงปรินิพพานไป พวก จานลายก็ปรากฏ
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231

    เพชรเม็ดหนึ่ง กับอรหันต์ผู้นิพพานแล้ว เหมือนกันหรือต่างกัน ???
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    แหม่....กระผมก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น...ที่พูดเนี่ยะ จุดประสงค์อยู่ที่ แค่ต้องการ
    ให้เขาเข้าใจให้ถูกต้อง ตรงตามหลักการทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้


    หนี ดีกว่า


    อย่า ประมาท มาร นะฮับ

    ร้อยสันพันคม กำหนดรู้ ไว้ด้วย อย่าฟู อย่าแฟ๊บ
     
  12. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    แค่ ปุจฉา พระอรหันต์ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือว่าเป็นจิตที่ได้นิพานแล้วหรือไม่? ถ้าสมมุติตอบว่าได้แล้ว จิตที่ยังอยู่กับร่างกายพระองค์ เป็นจิตที่ได้นิพานแล้วใช่หรือไม่? สมมุติตอบว่า ใช่ แสดงว่าจิตที่ได้นิพานไม่สูญไปไหนใช่หรือไม่ ถ้านิพานแล้วสูญไม่เหลือแม้จิต แล้วจิตที่ยังคงอยู่กับร่างกายผู้ที่ได้นิพานอยู่ได้อย่างไร ทำไมไม่สูญหายไปเมื่อได้นิพานแล้ว จะรอร่างกายสิ้นชีพเพื่ออะไร? เพื่อจะบอกว่าจิตได้นิพานสูญจากกิเลสหรือไม่ ถึงยังอยู่กับร่างกายนั้นอยู่ หาได้สูญจากความสุขไม่.... (นิพานังปรมังสุขขัง พระนิพานเป็นสุขอย่างยิ่ง) แปลว่ามีผู้ได้ความสุขจากนิพานใช่หรือไม่ ใช้อะไรรับรสสุข ถ้าไม่ใช่จิต...
     
  13. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....อันนี้ผมเข้าใจอย่างนี้นะ

    .....เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว จิต และร่างกาย ก็คงยังอยู่

    ....จิต เจตสิค รูป นิพพาน อยู่ครบครับผม

    ....เมื่อดับขันธ์ แล้ว จิต เจตสิค รูป สูญสิ้นไป ส่วน นิพพานธาตุยังคงอยู่

    ....ความสุขตอนที่ยังไม่ดับขันธ์ของพระอรหันต์ อยู่ที่ใหน เขาอุปมาว่า พระอรหันต์ ที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ เหมือนชายหนุ่มที่อาบน้ำชำระกายดีแล้ว แล้วเอาหมาเน่ามาคล้องคอ เขาเปรียบ ขันธ์ห้าดุจหมาเน่า พอท่านดับขันธ์ ท่านอุปมาดัง การที่คนทำงานได้รับค่าจ้างรังวัล

    .....เวทนา เกิดจากผัสสะ พระอรหันต์ที่ยังไม่ตายก็มี เวทนา เหมือนๆ บุคคลทั่วไป เพียงงแต่ท่านไม่มีอารมณ์ ต่่างๆมาเสียบแทง เหมือนปุถุชน ไม่มีอารมณ์โลภะ โทสะ โมหะมาเสียบแทง ให้ทุกข์ทางใจ

    ....ตัวผู้รู้มีสองตัว คือตัวจิต และตัว นิพพานธาตุ

    ....จิตรับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยระบบประสาทสัมผัส ตัวเชลประสาทอยู่ที่สมอง แล้วแต่ว่าใครจะมีระบบการรับรู้ของประสาทได้ดีกว่า เมื่อรับรู้ก็เกิดเวทนา สุข ทุกข์ กลางๆ

    ....นิพพานธาตุรับรู้ด้วย อะไร ขณะที่เรารู้สึกตัว นั้นแหละคือการรับรู้ของระบบนิพพานธาตุ เมื่อพระอรหันต์ ดับขันธ์แล้ว การรับรู้ก็ยังคงมีต่อไป โดยที่พระพุทองค์ รับประกันว่า เป็นบรมสุข การรับรู้เช่นนั้น จะเป็นอย่างไร

    ....สัมปชัญญะ คือการรู้สึกตัว ท่านเคยรู้จักมันหรือเปล่า ท่านเคยถอนหายใจหรือเปล่า ขณะที่มีความรู้สึกตัว ชั่วแวบเล็กๆ มันสุขมาก ท่านลองสังเกตุดูสิครับ ผมสังเกตุดูละ ใช่เลยครับ สุขมากแต่มันแวบสั้นๆ สั้นมากครับ

    ....ตัวญาณ(นิพพาน) ไม่มีกาลเวลามาเกี่ยวข้อง เวลาเป็นตัวบ่งบอกว่าสะสาร กำลังแตกสลาย นิพานธาตุ เป็นนามธรรมอันคงที่ ไม่มีกาลเวลา สามารถย้อนอดีต หรือท่องไปในอนาคต ทะลุกาลเวลา ท่องไปมาในจักรวาล

    ....ถ้าท่านคิดว่าการท่องวัฏสงสาร สนุก อย่าคิดไปนิพพานเลยครับ
     
  14. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    ดังไดัสดับมาว่า... "ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยของตรรกวิทยา ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ก็ถ้าเราพึงจะแสดงธรรม สัตว์อื่นไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหนื่อยเปล่า ความลำบากเปล่าแก่เรา"

     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย มีเรื่องราวในกาลก่อน บุรุษผู้หนึ่ง ตั้งใจว่าจะคิด ซึ่งความคิดเรื่องโลก จึงออกจากนครราชคฤห์ไปสู่สระบัวชื่อ สุมาคธา แล้วนั่งคิด อยู่ที่ริมฝั่งสระ บุรุษนั้นได้เห็นแล้ว ซึ่งหมู่เสนาประกอบด้วยองค์สี่( คือ ช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า) ที่ฝั่งสระ สุมาคธานั้น เข้าไปอยู่สู่เหง้ารากบัว ครั้นเขาเห็นแล้ว เกิดความไม่เชื่อตัวเองว่า เรานี่บ้าแล้ว เราวิกลจริตแล้ว สิ่งใดไม่มีในโลก เราได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นกลับเข้าไปสู่นครแล้ว ป่าวร้อง แก่มหาชนว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นบ้าแล้ว ข้าพเจ้าวิกลจริตแล้ว เพราะว่า สิ่งใดไม่มีอยู่ในโลก ข้าพเจ้ามาเห็นแล้ววึ่งสิ่งนั้น ดังนี้ มีเสียงถามว่า เห็นอะไร....มา เขาบอกแล้วตามที่เห็นทุกประการ มีเสียงรับรองว่า ถูกแล้ว ท่านผู้เจริญ เอ๋ย ท่านเป็นบ้า ท่านวิกลจริตแล้ว...............ภิกษุทั้งหลาย แต่บุรุษนั้น ได้เห็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง หาใช่เห็นสิ่งที่ไม่มีจริง ภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนดึกดำบรรพ์ สงครามระหว่างพวกเทพกับอสูรได้ประชิดกันแล้ว ในสงครามนั้น พวกเทพเป็นฝ่ายชนะ อสูรเป็นฝ่ายแพ้ พวกอสูรกลัวแล้วแอบหนีไปสู่ภพแห่งอสูร โดยผ่านทางเหง้ารากบัว หลอกพวกเทพให้หลงตันอยู่ .....ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าคิดเรื่องโลก โดยนัยว่า โลกเที่ยงหรือ โลกไม่เที่ยงหรือ โลกมีที่สุดหรือ โลกไม่มีที่สุดหรือ ชีพก็ดวงนั้น ร่างกายก้ร่างนั้น จริงหรือ ชีพดวงอื่น ร่างกายก้ร่างอื่น จริงหรือ ตถาคตตายแล้ว ย่อมเป้นมาแบบที่เป็นแล้วนั้นอีกจริงหรือ ตถาคตตายแล้ว ไม่เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนั้นอีกหรือ ตถาคตตายไปแล้ว เป็นอย่างที่แล้วมาก็มี ไม่เป็นที่แล้วมาก็มี หรือ ตถาคตตายแล้วเป้นอย่างที่แล้วมาก็ไม่เชิง ไม่เป็นก็ไม่เชิง หรือ....เพราะเหตุไรไม่ควรคิดเล่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะความคิดนั้น ไมประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเงื่อนต้นแห่งพรมจรรย์ ไม่เป้นไปเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน เลย.................ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธอจะคิด จงคิดว่า เช่นนี้เป็นทุกข์ เช่นนี้เช่นนี้เป้นเหตุให้เกิดทุกข์ เช่นนี้เช่นนี้เป้นความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้ เพราะเหตุไรจึงควรคิดเล่า เพราะความคิดนี้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเงื่อนต้นของพรมจรรย์ เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และ นิพพาน.....ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในกรรีนี้ พวกเธอพึงถึงความเพียร เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า นี้เป็นทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เป้นทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เถิด ---มหาวาร.สํ 19/558--559/1725-1727:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ยังดำรงขันธ์ ๕ อยู่
    ต่อไปตราบจนกว่าจะสิ้นอายุขัยคือสิ้นวิบากกรรม
    เมื่อขันธ์ ๕ ยังดำรงอยู่ วิบากทางขันธ์ย่อมมีอยู่เป็น
    ธรรมดาตามเหตุปัจจัยด้วยเช่นกัน ในเมื่อกายใจยัง
    อยู่การสัมผัสรับรู้เวทนาทางกายทางใจก็ย่อมจะมี
    ได้เป็นธรรมดา แปลกอะไร ไม่ใช่บรรลุธรรมแล้ว
    ตายด้านนะ มหากุศลยังให้ผลตามเหตุปัจจัยต่อไป
    ได้ เพราะมีขันธ์ธาตุรองรับอยู่ เย็นร้อนอ่อนแข็ง
    รับรู้ได้ ถ้าอนุปาทิเสสนิพพานเมื่อไหร่ ก็ดับสนิท
    ไม่มีส่วนเหลือ และการเข้าถึงกระแสนิพพานนี้
    จะเริ่มรับรู้ได้ตั้งแต่ระดับโสดาบันเป็นต้นไปแล้วครับ
     
  17. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    คำตอบยังไม่กระจ่างแจ้งนัก ขอแค่เพียงคำตอบในระดับรูป(มีขันธ์ห้า) ก็พอ ในระดับไม่มีรูป หรือชั้นนามธรรม มันจะเกินภูมืธรรมไป กรุณาอย่ามาตอบข้าพเจ้าเลย ยกเว้นผู้รู้จริง มีความจริงนั้นอยู่ในภูมิธรรมแห่งตน ตอบได้จ้า....

     
  18. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    คุยกันเฉยๆแล้วกันนะครับ


    หากชอบพระไตรปิฎก

    รูป จิต เจตสิก นิพพาน


    คำสมสุมติ 4 อย่างที่เรียกนี้

    เป็นปรมัตถธรรม เรียกว่า พ้น ลักษณะ บุคคล เรา เขา เช่น นายแดง นายดำ นาย ขาว
    ทีนี้


    หากจะบอกว่า

    ตัวผู้รู้มีสองตัว คือตัวจิต และตัว นิพพานธาตุ

    อันนี้ คงเข้าใจผิด แล้วครับ


    ธรรมที่เป็นสัจจะเป็นปรมัตถ์
    การอธิบายต่างๆ

    หากใช้ ลงด้วย ว่า ผู้บรรลุธรรม พึงรู้ได้ด้วยตนเอง

    ปัจจัตตัง เวธิตัพโพธิ วิญญูหิติ

    ฉะนั้น หาก จะบัญญัติอะไรก้แล้วแต่

    คิดว่า ผู้บรรลุธรรม พึงรู้ได้ด้วยตนเอง คิดว่า โอนะ


    จริงๆหากจะว่าไป

    คุยกันเรื่อง นิพพาน อธิบายลักษณะอะไร มันก็ไม่ตรง
    ว่ามะครับ มันต้องว่ากันด้วย วิธีทำ
    คงจะมีอะไรให้คุยได้เยอะ
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    อ้าว ก็ใช้รูปนาม (กายใจ) ในการรับรู้เวทนาสุขทุกข์
    พอหมดกรรม รูปนามแตกดับหมด จะเหลืออะไรไป
    รับรู้อะไรต่ออีกได้ล่ะ หมดอุปาทานความยึดถือไปแล้ว

    ทีนี้ต้องเข้าใจเรื่องความเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันให้ดี
    ขันธ์ ๕ มี อุปาทานขันธ์ ๕ มี มีอวิชชาเป็นปัจจัยให้
    เกิดทุกข์ เมื่อทุกข์มันมี การหาหนทางออกจากทุกข์
    จึงมี การตรัสรู้ธรรมจึงมี เพราะอาศัยเหตุคือความทุกข์
    มันมีนั่นเอง

    เหตุปัจจัยอาศัยกันและกันเกิดหมด อวิชชามี ทุกข์จึงมี
    วิชชาจึงต้องมี เมื่อสิ้นเหตุหมดปัจจัย ไฟสิ้นเชื้อ เปลว
    เทียนดับแล้ว ยังจะต้องเหลืออะไรอีกเหรอ ไม่ได้จำเป็น
    ต้องใช้อะไรเพื่ออะไรอีกแล้ว ก็จบสิ

    รึยังจะเสียดายอะไรอยู่อีก ต้องให้มีสักหน่อยล่ะ จริงมั้ย
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ภารสุตตคาถา
    (หันทะ มะยัง ภาระสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...