คนไทยก็ไม่ใช่ "คนโง่" แต่ทำไมถูกฝรั่งหลอกจนโงหัวไม่ขึ้น เรื่องที่ตั้งลุมพินีวัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 27 เมษายน 2016.

  1. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    เล่มนี้ ที่เอาไว้จับผิด อินเดีย-เนปาล
    อุตตมสงฆ์ฟาเหียน บันทึกการเดินทางสืบพระศาสนาในประเทศอินเดีย พ.ศ.942-957
    โกษากร ประภาศิริ แปลจากต้นฉบับจีน ของประเทศเกาหลี ฉบับเดียวกับ Professer James Legge แปลเมื่อ คริสตศก 1886
    องค์การศาสนประทีปจัดพิมพ์ พ.ศ.2490
    สำหรับท่านที่อยู่อินเดียอยู่แล้ว และท่านที่เคยไปท่องเที่ยว อินเดีย-เนปาล ช่วยให้ความเห็นด้วยครับ
    (คงไม่ต้องเริ่มที่สาวัตถีก็ได้ ไม่งั้น จะผิดตั้งแต่ ออกเดินทาง ขึ้นเหนือไปเนปาล แทนที่จะลงใต้ ดังในบันทึกหลวงจีนฟาเหียน"
    เริ่ม ต้นที่ "กบิลพัสดุ์" ลองสำรวจสภาพที่ท่านไปเห็นมาเทียบกับ ในบันทึก..ท่านอาจจะแย้งว่า บันทึกนี้ เขียนขึ้นเมื่อ 1,600 ปี ผ่านมาแล้ว คงจะเสื่อมสลาย ไปตามกาลเวลา...อ้าว ไม่ว่ากันครับ
    จากกบิลพัสดุ์ ไปทางตะวันออก ระยะทาง 50 ลี้ หรือประมาณ 25 กิโลเมตร จะพบ ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติ...จากสถานที่ประสูติไปทางตะวันออก 5 โยชน์ หรือประมาณ 80 กิโลเมตร จะเป็น รามคาม หรือ เทวทหะ
    เอาแค่นี้แร่ะ....ลองตรวจสอบกับ สภาพที่ท่านไปเห็น
    ตามประสา คนยังไม่เคยไปอินเดีย-เนปาล ต้องอาศัย กูเกิล กับ Wikipedia เขาบอกว่า
    เมืองกบิลพัสดุ์ในปัจจุบัน
    ในปี พ.ศ. 2442 นักโบราณคดีได้แกะรอยแนวที่ตั้งของเสาพระเจ้าอโศก และตำนานการสร้างเมืองมาจนพบกับเมืองโบราณร้างชื่อ "ติเลาราโกต" อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับกรุงกบิลพัสดุ์ตามที่ระบุในเอกสารหลายฉบับ "อยู่ทางใต้ของเชิงเขาหิมาลัย 16 กิโลเมตร สวนลุมพินีวันห่างออกไป 35 กิโลเมตร ทางตะวันออก ทางตะวันตกมีลำน้ำสาขาของแม่น้ำคงคาไหลผ่าน"
    หลักฐานจากการขุดค้นทางโบราณคดียืนยันว่ามีความเป็นเมืองโบราณตั้งแต่ก่อนพุทธกาลประมาณ 100 ปี และได้ความเจริญต่อเนื่องมาจนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 7 ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างไป
    ลุมพินีวัน
    ปัจจุบันลุมพินีวันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนประเทศอินเดียทางเหนือเมืองโคราฆปุระ ห่างจากเมืองติเลาราโกต (หรือ นครกบิลพัสดุ์) ทางทิศตะวันออก 11 กิโลเมตร และห่างจากสิทธารถนคร (หรือ นครเทวทหะ) ทางทิศตะวันตก 11 กิโลเมตร ซึ่งถูกต้องตามตำราพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่าลุมพินีวันสถานที่ประสูติ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ ปัจจุบัน ลุมพินีวันมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ ทางการเรียกสถานที่นี้ว่า รุมมินเด มีสภาพเป็นชนบท มีผู้อาศัยอยู่ไม่มาก มีสิ่งปลูกสร้างเป็นพุทธสถานเพียงเล็กน้อย
    เทวทหะในปัจจุบัน
    เทวทหะปัจจุบันตั้งอยู่ห่างจากกบิลพัสดุ์ไปทางทิศตะวันออก 22 กิโลเมตร ห่างจากกับแม่น้ำโรหิณีไปทางทิศตะวันออกประมาณ 100 เมตร ปรากฏคันคูเมืองกำแพงเมืองโบราณก่อด้วยหิน ภายในซากเมืองเก่าปรากฏเนินดินโบราณที่ยังไม่ได้ขุดค้นจำนวนมาก เช่น รามคามเจดีย์ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่กรุงเทวทหะได้รับจากโฑณพราหมณ์ นักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมากในบริเวณโบราณสถานเมืองเก่าเทวทหะนี้
    ...
    ข้อมูล จาก Wikipedia อาจจะแย้งๆ กันอยู่บ้าง เรื่องที่ว่า ลุมพินีวัน อยู่ห่างจากกบิลพัสดุ์ 35 กิโลเมตรบ้าง 11 กิโลเมตรบ้าง คงต้องถามท่านที่ไปเห็นสภาพพื้นที่จริง...
    แต่ที่ขัดแย้ง กับบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน เป็นอย่างมาก ก็คือ ที่ตั้งของ เทวทหะ ที่เข้าอ้างว่า เจอทั้งรามคามเจดีย์ คูเมือง กำแพงเมืองโบราณ..แต่ อยู่ห่างจาก กบิลพัสดุ์ 22 กิโลเมตร อยู่ห่างจากลุมพินีวัน 11 กิโลเมตร..ทั้งที่หลวงจีนฟาเหียน ซึ่งได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ใช่แค่ได้ยิน..ก็บันทึกว่า เทวทหะอยู่ห่างจากลุมพินีวัน 80 กิโลเมตร
    อันนี้ คือ ตัวอย่าง ที่อยากให้คนเชื่อว่า "พระพุทธเจ้าอยู่ที่อินเดีย-เนปาล" ได้ กรุณาเปิดหู เปิดตา พิจารณาดูเอาบ้างเถอะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2016
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    แผ่นดิน พม่า มอญ ลาว ไทย นี้ เป็นที่รองรับ "พระพุทธเจ้า" มาอย่างน้อย ก็ 4 พระองค์แล้ว และ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา ตั้งแต่ยังบำเพ็ญเพียร เป็น "พระโพธิสัตวเจ้า" ก็ได้เวียนมาเกิดสร้างบารมี มีประวัติเล่าสืบต่อๆ กันมา

    แต่ คนไทย ส่วนใหญ่ ก็คงไม่เชื่อ เพราะคิดว่า เป็นเพียงตำนาน..ซึ่งมันก็แปลกตำนานอย่างนี้ ไม่มีหลงเหลือใน อินเดียและเนปาล เช่น

    ในสมัย พระพุทธเจ้ากกุสันโธ....ดังใน อรรกถา มีว่า

    พระกกุสันธพุทธเจ้าผู้รื้อเครื่องผูกภพเสียแล้ว ทรงมีสาวกสันนิบาตครั้งเดียวเท่านั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระอรหันต์สี่หมื่นซึ่งบวชกับพระองค์ ณ อิสิปตนะมิคทายวัน กรุงกัณณกุชชนคร แวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในวันมาฆบูรณมี.
    ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะ ทรงมีสันนิบาต
    ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่
    ครั้งเดียว.
    ครั้งนั้น เป็นสันนิบาตประชุมพระสาวกสี่หมื่น
    ผู้บรรลุภูมิของท่านผู้ฝึกแล้ว เพราะสิ้นหมู่กิเลส ดัง
    ข้าศึกคืออาสวะ.
    ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพระราชาพระนามว่าเขมะ ทรงถวายบาตรจีวรเป็นมหาทาน และถวายเภสัชทุกอย่างมียาหยอดตาเป็นต้นแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และถวายสมณบริขารอย่างอื่น สดับพระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว มีพระหฤทัยเลื่อมใส ก็ทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
    พระศาสดาพระองค์นั้นทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในกัปนี้นี่แหละ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
    ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
    สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า เขมะ ถวายทาน
    มิใช่น้อย ในพระตถาคตและพระสาวกชิโนรส.
    ถวายบาตรและจีวร ยาหยอดตา ไม้เท้าไม้มะซาง
    ถวายสิ่งของที่ท่านปรารถนาเหล่านี้ๆ ล้วนแต่ของดีๆ
    พระมุนีกกุสันธพุทธเจ้า ผู้นำวิเศษ แม้พระองค์นั้น
    ก็ได้ทรงพยากรณ์เราว่า ในภัทรกัปนี้แล ท่านผู้นี้จักเป็น
    พระพุทธเจ้า.
    พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์
    อันน่ารื่นรมย์ ฯลฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
    ครั้งนั้น เราชื่อว่าเขมะ นครชื่อว่าเขมวดี กำลังแสวง
    หาพระสัพพัญญุตญาณ ก็บวชแล้วในสำนักของพระองค์.
    ...

    ซึ่งในสมัยครั้งกระโน้น..ก็ มาตรงกับ ตำนาน ประวัติ "พระเจดีย์ซานดอว์เซน" บ้านกะเลงอ่อง เมืองทวาย ประเทศเมียนม่า

    ต้องกราบอนุโมทนา หลวงพี่ชัยวัฒน์ วัดท่าซุง ที่ได้นำตำนานประวัติ ที่แปลจากภาษามอญ มาเป็นไทย มาลงไว้ ไนเว๊บ ตามรอยพระพุทธบาท ดังลิงค์ ข้างล่าง

    http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=799
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2016
  3. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ตั้งชื่อกระทู้ แรงไปหน่อยน่ะครับ แต่เนื้อหาพอมีสาระบ้าง สาธุ ครับ
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ขอถามคุณ โอ..อิสสะเหรก ครับ ว่า ถ้าความจริง มันเป็นอย่างที่คุณเข้าใจ

    แล้วคนไทยในทุกวันนี้ เขาจะมาดีใจ โห่หิ้ว เลี้ยงฉลอง เจ็ดวันเจ็ดคืน หรือเปล่าครับ

    หรือ คนไทย จะหันมาเป็นคนดี..กันได้ทั้งหมดประเทศ หรือเปล่าครับ
    พระจะเลิกอยู่ตึก เลิกหลงเครื่องรางของขัง เลิกพุทธพานิช ได้ใหมครับ

    ถ้าที่ผมถามไปมัน เลิกไม่ได้ ไม่ได้มีผลดีอะไร คุณเอก จะรื้อฟื้นไปทำไมครับ มันผ่านมาแล้ว
    จะย้อนเวลา ไป แล้วได้อะไรขึ้นมาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2016
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ตามแผนที่ ถ้าสมัยก่อน..โบร้าน โบราณ.ผืนดินของไทย กับอินเดีย กับศรีลังกา ไม่ฉีกออกจากกัน ไม่แยกออกจากกัน อาจจะโดย แผ่นดินไหว เปลือกโลกเคลื่อน ทำให้ผืนแผ่นดินฉีกอ้า แยกออกจากกันมา..ก็อาจจะจริง ตามที่คุณเอก ว่ามา..แต่มันจะได้อะไรครับ..มันเป็น อะ ดีดดดดดด ไปแล้ว....
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความจริง...ก็ไม่รู้ว่า คนไทยโง่หรือฉลาดนะ

    ทีคนไทยขอพาสปอร์ตไปเที่ยว ประเทศฝรั่ง....ขอยากขอเย็น
    แต่ตามเกาะ ตามแหล่งท่องเที่ยวของไทย...ฝรั่งเข้ามายึดหัวหาดจนเหมือนจะกลายเป็นเมืองฝรั่งไปหมดแล้ว...มาเอาเมียคนไทย มาซื้อที่ดินของประเทศไทย...ทำไมมันง่ายจัง
     
  7. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    ท่านได้มีหลักฐานใดๆ ที่บอกว่าที่เหล่านั้นไม่ใช่แหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนา

    ความเห็นกับของจริง น้ำหนักมันต่างกันมากๆ

    เคยรู้ไหมครับว่าการเคลื่อนแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปในเอเชียกลาง ผ่านธิเบต เข้าไปจีนได้อย่างไร มีการแปลปริวรรตพระคัมภีร์จากบาลีเป็นภาษาจีนอย่างไร
    มีหลักฐานทางประจักษ์วัตถุพยานที่ตกค้างอยู่ในถ้ำเมืองตุนหวงมานับพันปี
    รวมถึงการพัฒนาการของนิกายต่างๆ วัชรญาณบ้าง มหายานบ้าง
    ในช่วงพันปีที่ผ่านมา

    ท่านจะโต้แย้งหรือลบ หรือปฏิเสธ สิ่งที่มีอยู่จริงๆนี้ได้อย่างไร
    หลักฐานไม่ได้มีแค่ในอินเดียแต่แผ่กระจายไปในเอเชียกลาง รวมถึงลังกา และสุวรรณภูมิ สุมาตรา และอีกมากมาย

    เราจะเสียเวลา มากเกินไปหรือเปล่า ในการโต้แย้งแสวงหา ยกเอาตำนานมาโต้แย้งวัตถุพยานที่มีอยู่จริงในโลกนี้
     
  8. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ผม แสดงถึงที่ตั้งของ "ลุมพินี" ในวันนี้ เมื่อเทียบกับ "บันทึกของหลวงจีนฟาเหียน" ที่ นักประวัติศาสตร์ ใช้ในการสืบค้น หา แว่นแคว้น สถานที่ รวมทั้งสังเวชนียสถาน ในอินเดีย ครับ

    และ ในบันทึก หลวงจีนฟาเหียน ได้ระบุทิศทาง ระยะทาง อ้างอิงไว้...แต่ฝรั่ง "สักแต่ชี้" และ สันนิษฐาน แล้ว บอกว่า สิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ ครับ

    จึงอยากให้ได้อ่านบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน แล้ว เทียบกับสถานที่จริง..เริ่มต้นจาก เมืองสาวัตถี ก็ได้ครับ..

    ถ้าได้อ่าน บทอื่นๆ อีก ก็จะทราบได้ว่า ที่ตั้งสังเวชนียสถาน อีก 3 แห่ง นั้นอยู่ถูกที่หรือไม่?

    [๑๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน พวกภิกษุผู้อยู่จำพรรษาใน
    ทิศทั้งหลายย่อมมาเพื่อเฝ้าพระตถาคต พวกข้าพระองค์ย่อมได้เห็น ได้เข้าไปนั่ง
    ใกล้ภิกษุเหล่านั้นผู้ให้เจริญใจ ก็โดยกาลล่วงไปแห่งพระผู้มีพระภาค พวกข้าพระ
    องค์จักไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ พวกภิกษุผู้ให้เจริญใจ ฯ
    ดูกรอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นที่ควรเห็นของ
    กุลบุตรผู้มีศรัทธา สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นไฉน คือ
    ๑. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้ ฯ
    ๒. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ฯ
    ๓. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ ฯ
    ๔. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที่นี้
    สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้แล เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ฯ
    ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชื่อว่า
    พระตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้
    ก็ดี พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเสด็จ
    ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ก็ดี ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยว
    จาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้า
    แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ

    ...

    ไปให้ถูกที่ครับ ไหนๆ ก็เสียเงิน เสียเวลาเดินทางไปอินเดีย-เนปาล แล้ว...อย่าให้เขาหลอก...ถ้าไปไม่ถูกที่ ไปสักการะ สังเวชนียสถานจำลอง ที่พุทธมณฑล หรือ วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (ถ้ำพวง) ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ก็ได้ครับ
     
  9. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ลองโหลด มาอ่าน ฉบับเต็มๆ ที่แปลเป็นไทย มา 70 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่า คนที่บินไปอินเดีย-เนปาล เคยได้อ่าน ทั้งเล่มก่อนไปมั๊ย? หรือแล้วแต่ไกด์ชี้ แล้วแต่พระมัคคุเทศก์บอก..

    อุตตมสงฆ์ ฟาเหียน - บันทึกการเดินทาง สืบพระศาสนาในประเทศอินเดีย พ.ศ.๙๔๒-๙๕๗

    อุตตมสงฆ์ ฟาเหียน - บันทึกการเดินทาง สืบพระศาสนาในประเทศอินเดีย พ.ศ.๙๔๒-๙๕๗
     
  10. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809

    ผม แสดงถึงที่ตั้งของ "ลุมพินี" ในวันนี้ เมื่อเทียบกับ "บันทึกของหลวงจีนฟาเหียน" ที่ นักประวัติศาสตร์ ใช้ในการสืบค้น หา แว่นแคว้น สถานที่ รวมทั้งสังเวชนียสถาน ในอินเดีย ครับ

    และ ในบันทึก หลวงจีนฟาเหียน ได้ระบุทิศทาง ระยะทาง อ้างอิงไว้...แต่ฝรั่ง "สักแต่ชี้" และ สันนิษฐาน แล้ว บอกว่า สิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ ครับ

    จึงอยากให้ได้อ่านบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน แล้ว เทียบกับสถานที่จริง..เริ่มต้นจาก เมืองสาวัตถี ก็ได้ครับ..

    ถ้าได้อ่าน บทอื่นๆ อีก ก็จะทราบได้ว่า ที่ตั้งสังเวชนียสถาน อีก 3 แห่ง นั้นอยู่ถูกที่หรือไม่?

    เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้กับพระอานนท์ ว่า...

    [๑๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน พวกภิกษุผู้อยู่จำพรรษาใน
    ทิศทั้งหลายย่อมมาเพื่อเฝ้าพระตถาคต พวกข้าพระองค์ย่อมได้เห็น ได้เข้าไปนั่ง
    ใกล้ภิกษุเหล่านั้นผู้ให้เจริญใจ ก็โดยกาลล่วงไปแห่งพระผู้มีพระภาค พวกข้าพระ
    องค์จักไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ พวกภิกษุผู้ให้เจริญใจ ฯ
    ดูกรอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นที่ควรเห็นของ
    กุลบุตรผู้มีศรัทธา สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นไฉน คือ
    ๑. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้ ฯ
    ๒. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ฯ
    ๓. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ ฯ
    ๔. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
    ระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที่นี้
    สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้แล เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ฯ
    ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชื่อว่า
    พระตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้
    ก็ดี พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเสด็จ
    ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ก็ดี ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยว
    จาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้า
    แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ

    ...

    ส่วน ขั้นต่อไป..คือการพิสูจน์ ค้นหา สถานที่ตั้งสังเวชนียสถานที่แท้จริง ในแผ่นดินพม่าและไทย ครับ.

    เมื่อนั้น ก็อาจจะ นำความปลาบปลื้มปิติ ยินดี มาสู่คนไทยครับ...
     
  11. Alexander the Great

    Alexander the Great สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8





    ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรมาอยู่กระทู้นี้นี่เอง จากที่ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรบอกมาข้างบน อยากจะมาเทียบกับตัวเอง คือท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็น มีความรู้สึกยังไงครับ

    ส่วนของผม ตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช ผมรู้สึกเคลิ้มๆแล้วก็วาบๆแถวหลัง รู้สึกฮึกเหิมอย่างมาก แต่ของผมยังไม่มีพลังพิเศษแบบท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโร

    พลังพิเศษแบบท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรนี่ไช่มั๊ยครับที่ทำให้รู้ว่าลุมพินี ที่ตรัสรู้ต่างๆอยู่ตรงไหน แล้วมันต้องทำยังไงถึงจะได้มา
     
  12. Alexander the Great

    Alexander the Great สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
    ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรครับ ผมหรือพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชได้ไปเจอมาว่า ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรได้ค้นพบสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าโดยวิธีให้อาจารย์ท่านนึงนั่งทางในให้
    ?โคกโพธิ์ชัย? สถานที่ ที่ใครๆ ควรได้ไปพิสูจน์

    ผมหรือพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชได้ปรึกษากับท่านเจงกีสข่านเหลียงว่าอยากจะให้ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรแนะนำอาจารย์ท่านนั้นให้นั่งทางในให้พวกผมบ้างครับ เพราะวันนี้ได้เกิดนิมิตบางอย่างที่ต้องการการค้นหาครับ
     
  13. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ไม่ใช่ แต่ "ลุมพินีวัน" ครับ

    ฝรั่งเอง เขาก็ค้านกัน..เพราะเขาบอกว่า ถ้า ลุมพินี อยู่ถูกที่ (ตรงที่เขาเชื่อว่าอยู่ เนปาล) แล้ว หลวงจีนฟาเหียน บันทึกทิศทาง และระยะทางได้ถูกต้อง...เขา (ฝรั่งอีกฟากหนึ่ง) บอกว่า ถ้าเช่นนั้น สถานที่ปรินิพพาน ที่ เซอร์ คันนิ่งแฮม บอกว่าอยู่ที่เมืองกาเซีย ก็ไม่ถูกต้อง

    แต่ พี่ไทยก็ไม่สน...(รวมทั้งชาวพุทธชาติอื่นด้วย)..ยังตี ตั๋วเสียเงิน พากันไป ถึงจะผิดที่...

    แล้วก็ไม่ใช่ แค่สถานที่ปรินิพพาน...เพราะทุกที่ที่เขาชี้ มัน "มั่ว" ไปหมด..เช่น "ที่ตั้งแคว้นกุรุ"


    เมื่อเช้า ผมขับรถมา...ผมนึกและพูดกับภรรยา หลังจาก ฟังหลวงพ่อที่บรรยายธรรม เรื่อง มหาสติปัฏฐานสูตร ที่บอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้ ที่ แคว้นกุรุ ปัจจุบัน คือ เมืองเดลฮี ประเทศอินเดีย...

    ผมอยากจะบอกว่า ต่อให้เป็นมหาเปรียญ 9 ที่คิดว่า ฉลาดกว่าคนทั่วไป นะ ถ้า แค่ท่องจำๆๆๆๆ ไม่โยโสมนสิการ ใคร่ครวญ เชื่อตามที่เขาว่า...ไปเอาปัญญามาพิจารณา..ก็โง่ได้เหมือนๆ กัน

    ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น..

    ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า ในแผนที่ ประเทศอินเดียสมัยพุทธกาลที่เขาจำลองขึ้น...แคว้นมคธ กับ อังคะ จะอยู่ติดกัน และอยู่ฟากตะวันออกของอินเดีย...

    แต่ แคว้นกุรุ ที่ "เขา" หลอกให้คนโง่เชื่อว่า ปัจจุบันอยู่ที่ "เดลฮี" นั้น อยู่ฟากตะวันตกของอินเดีย...แล้วมีอีกกี่แคว้น ที่คั่นกลางอยู่..ลองพิจารณาดูนะครับถ้าจักษุไม่มืดบอด

    แล้ว คราวนี้ มาเทียบ กับข้อความใน อรรถกถา ตอนนี้สิครับ ว่า..แคว้น 3 แคว้นนี้ อยู่ใกล้กันแค่ไหน..

    พระศาสดา (เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน) ประทับนั่งบนกองทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ชื่ออัคคิทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "พหุง เว สรณัง ยันติ" เป็นต้น.

    อัคคิทัตได้เป็นปุโรหิตถึง ๒ รัชกาล

    ดังได้สดับมา อัคคิทัตนั้น ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล. ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงพระนามว่า ปเสนทิโกศลทรงดำริว่า "ผู้นี้เป็นปุโรหิตแห่งพระชนกของเรา" จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งนั้นนั่นแล ด้วยความเคารพ ในเวลาเขามาสู่ที่บำรุงของพระองค์ทรงทำการเสด็จลุกรับ. รับสั่งให้พระราชทานอาสนะเสมอกัน ด้วยพระดำรัสว่า "อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้."

    อัคคิทัตออกบวชนอกพระพุทธศาสนา

    อัคคิทัตนั้น คิดว่า "พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่างเหลือเกิน, แต่เราก็ไม่อาจเอาใจของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาลเป็นนิตย์เทียว; อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย, ชื่อว่าความเป็นพระราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแล เป็นเหตุให้เกิดสุข; ส่วนเราเป็นคนแก่, เราควรบวช." เขากราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชานุญาตการบรรพชาแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์ของตนทั้งหมดในเพราะการให้ทานเป็นใหญ่ตลอด ๗ วันแล้ว บวชเป็นนักบวชภายนอก. บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัตนั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน) ให้โอวาทนี้ว่า "พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอทั้งหลาย ผู้ใดมีกามวิตกเป็นต้น เกิดขึ้น, ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่งๆ จากแม่น้ำ (มา) เกลี่ยลง ณ ที่นี้." พวกนักบวชเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" ในเวลากามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำอย่างนั้น. โดยสมัยอื่นอีก ได้มีกองทรายใหญ่แล้ว. นาคราชชื่อ อหิฉัตตะ หวงแหนกองทรายใหญ่นั้น. ชาวอังคะ มคธะ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไป ถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆ เดือน.

    จากพระอรรถกถา ดังที่ได้ยกมาแสดงข้างต้น ทำให้ทราบได้ว่าแคว้นอังคะ แคว้นมคธะ และแคว้นกุรุ ทั้ง ๓ แคว้น มีอาณาเขตติดต่อกัน ชาวเมืองไปมาหาสู่กันเป็นประจำทุกเดือน เพื่อนำเครื่องสักการะไปถวายทานแก่พวกนักบวชที่มีท่านอัคคิทัตเป็นหัวหน้า หาได้มีที่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นพันกิโลเมตรและถูกคั่นกลางอยู่ด้วยแคว้นกาสี โกสละ เจตี วังสะและปัญจาละ ดังปรากฏในแผนที่ที่นักโบราณคดีตะวันตกเขียนให้ชาวโลกเชื่อตามๆ กันมา

    ....

    ไม่ได้โกรธใครนะ..แต่อยากพูดแรงๆ เผื่อมันจะกระแทกกะลาที่ครอบอยู่ที่ศรีษะของคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด ให้หลุดออกมาได้บ้างครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. Alexander the Great

    Alexander the Great สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
    ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรครับ ผมได้อ่านหนังสือพระฟาเหียนที่ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรเอามาลง ผมหรือพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชได้อ่านแล้วพบว่า ผู้แปลหนังสือจากต้นฉบับของจีนแปลแบบลบหลู่ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรมากเลยคือ ที่ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรบอกว่าพระฟาเหียนไปเดินตรงโน้นตรงนี้เท่านั้นเท่านี้โยชน์ ผู้แปลบอกว่าไอ้โยชน์เนี่ยพระฟาเหียนจดตามคำบอกของแขก คือแขกบอกกี่โยชน์ท่านก็จดลงไป แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากำหนดยังไงไอ้โยชน์เนี่ย

    แล้วดันมีโยชน์วัดแบบไทยกับโยชน์วัดแบบแขกอีกตั้งสองแบบโผล่มาอีก ผมอ่านแล้วปวดแฮมสตริงมากเลย แต่ยังไงผมเชื่อท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรอยู่แล้วว่า พระฟาเหียนคงจดเองรู้เอง อาจจะมีไม้เมตรตอนท่านเดิน เดินไปก็วัดไปด้วยครับ ระยะทางมันต้องเป๊ะๆเลยตามที่ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรเขียนไว้

    [​IMG]




    ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรไม่ลองมาพบผมหรือพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชบ้างล่ะครับ แล้วผมจะพาไปพบท่านบุเรงนองกับจิ๋นซีและกุบไบลข่าน ด้วยบารมีของเราเหล่ามหาราช ผมเชื่อว่าจะทำให้บอลไทยไปบอลโลกได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • fx.jpg
      fx.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.6 KB
      เปิดดู:
      857
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2016
  15. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ผมหยิบ DVD สารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า มาดู โดย สุ่มหยิบ Disc4 มาเปิดดู เลือก ตอนสุดท้าย "ไขปริศนาการค้นพบอันยิ่งใหญ่"

    เปิดดูไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวช จนมาตรัสรู้ที่ พุทธคยา...ในสารคดี ทำภาพกราฟฟิก เส้นทางจากกบิลพัสดุ์ มาถึงพุทธคยา....โดยอธิบายว่า 2 จุดนี้ อยู่ห่างกัน 200 กิโลเมตร...

    ผมคิดว่า...นี่ยิ่งเป็นการตอกย้ำ ความโง่ ของคนที่เชื่อตาม โดย ละทิ้งคำของ "พระพุทธเจ้า คำของพระอรหันต์ ที่ท่าน บอกเล่าและบันทึก ทั้งในพระไตรปิฎก และอรรถกถา"

    เพราะอะไร...ลองมาอ่าน สมมติฐานของผม และ "สิ่งที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก และอรรถกถา"

    คราวนี้ มาดู ข้อสมมติฐานของผม ครับ

    สมมติฐาน เส้นทางเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์จาก กบิลพัสดุ์ ถึง อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ แล้วเสด็จสู่พระนครราชคฤห์ จาก พระไตรปิฎกและอรรถกถา
    เวลาที่พระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระมหาสัตว์ทรงทิ้งจักรวรรดิราชย์ที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ทรงเยื่อใยเหมือนก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์อันเป็นสิรินิวาสแห่งจักรพรรดิ เมื่อดาวนักษัตรอุตตราสาฬหะเพ็ญเดือนอาสาฬหะ เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะทรงแลดูพระนคร ในลำดับแห่งความตรึกนั่นเอง ภูมิประเทศนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนจักรแป้นหมุนทำภาชนะดินแก่พระองค์.
    พระมหาสัตว์ทรงยืนอยู่อย่างเดิม ทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงกระตุ้นม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปตามทางที่พึงไป แสดงเจดียสถานชื่อกัณฐกนิวัตตนะ ที่ม้ากัณฐกะหันหน้ากลับ ณ ภูมิประเทศนั้น เสด็จไปด้วยสักการะยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุให้เกิดสิริอันโอฬาร.
    ครั้งนั้น เมื่อพระมหาสัตว์กำลังเสด็จไป เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิงจำนวนหกล้านดวงข้างหน้าพระมหาสัตว์นั้น ข้างหลังก็หกล้านดวงเหมือนกัน ข้างขวาก็หกล้านดวง ข้างซ้ายก็เหมือนกัน เทวดาพวกอื่นๆ อีกก็สักการะด้วยพวงมาลัยดอกไม้หอม จุรณจันทน์ พัดจามรและธงผ้าห้อมล้อมไป สังคีตทิพย์และดนตรีเป็นอันมากก็บรรเลงได้เอง.
    พระโพธิสัตว์เสด็จไปด้วยเหตุที่ให้เกิดสิริอย่างนี้ เสด็จหนทาง ๓๐ โยชน์ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร ราตรีเดียวเท่านั้นก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา.
    ...
    พระโพธิสัตว์ครั้นบวชแล้วทรงยับยั้งอยู่ในอนุปิยอัมพวันซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้น ๗ วัน ด้วยความสุขอันเกิดจากบรรพชา แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทสิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์โดยวันเดียวเท่านั้น ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์. ก็ครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว ก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก.
    .......
    [๓๓๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่อนุปิยนิคม
    ของพวกเจ้ามัลละ ครั้งนั้น พวกศากยกุมารที่มีชื่อเสียงออกผนวชตามพระผู้มีพระภาค ผู้ทรงผนวชแล้ว ฯ
    ...
    ลำดับนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธพระนามว่าพิมพิสาร ผู้อันเหล่าพาลชนนึกถึงได้ยาก ผู้มีเขาพระเมรุและเขามันทาระเป็นสาระ ผู้ทรงเป็นแก่นสารแห่งสัตว์ ทรงมีความตื่นเต้นเพราะการเห็นที่เกิดเพราะได้สดับคุณของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพักตร์ตรงภูเขาปัณฑวะ เสด็จไปแล้วลงจากพระราชยาน เสด็จไปยังสำนักพระโพธิสัตว์ อันพระโพธิสัตว์ทรงอนุญาตแล้วประทับนั่งเหนือพื้นศิลา อันเย็นด้วยความรักของชนผู้เป็นพวกพ้องทรงเลื่อมใสในพระอิริยาบถของพระโพธิสัตว์ ทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว ทรงถามถึงนามและโคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างแด่พระโพธิสัตว์.
    พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม หม่อมฉันปรารถนาแต่พระปรมาภิสัมโพธิญาณ จึงออกบวช.
    พระราชาแม้ทรงอ้อนวอนหลายประการ ก็ไม่ได้น้ำพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จึงทูลว่า ก็พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วโปรดเสด็จมาแคว้นของหม่อมฉันก่อน แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร.
    .....
    ระยะทางระหว่าง พระนครกบิลพัสดุ์ ถึง อนุปิยอัมพวัน 30 โยชน์ 480 กิโลเมตร
    ระยะทางระหว่าง อนุปิยอัมพวัน ถึงราชคฤห์ 30 โยชน์ 480 กิโลเมตร
    ระยะทางระหว่าง พระนครกบิลพัสดุ์ ถึงราชคฤห์ 60 โยชน์ 960 กิโลเมตร
    อนุปิยอัมพวัน เป็น สวนป่าไม้มะม่วง ของ พวกเจ้ามัลละ
    ข้อสมมติฐาน..คือ
    1. พระนครกบิลพัสดุ์ อยู่ที่ เมือง Thaton ประเทศเมียนมาร์
    2. อนุปิยอัมพวัน เป็น สวนป่าไม้มะม่วง อยู่ในพื้นที่ "อำเภอ ท่าม่วง" จังหวัดกาญจนบุรี
    3. แม่น้ำอโนมานที ก็คือ แม่น้ำแม่กลอง
    4. พระนครราชคฤห์ อยู่ที่ ในหุบเขา อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ในหุบเขา ที่ล้อมรอบอยู่
    เส้นทาง จึงเป็นดังที่จำลองขึ้น โดย กูเกิล แมพ ตามที่แสดงครับ

    https://www.facebook.com/thanabodee.tace/posts/932081806909262
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2016
  16. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    หมายเหตุ วันพืชมงคล-จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

    ภูมิภาคใด ที่ ยังสืบทอด สืบต่อ "ประเพณีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ" มาแต่โบราณกาล ภูมิภาคนั้นหล่ะ ที่เป็นที่ตั้งของ กบิลพัสดุ์-ลุมพินี-เทวทหะ

    เพราะ นั่นเป็นประเพณี ที่สืบมาแต่ครั้ง ก่อนพุทธกาล...

    ประเพณีเป็นของฝ่ายพราหมณ์..เจ้าพิธีเป็นพราหมณ์ เกิดมีมาแต่ ก่อนเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ...ลองไปดู "คัมภีร์พราหมณ์ ที่อินเดีย" สิครับ มี บันทึก การทำพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือไม่???

    สมุดภาพพระพุทธประวัติ
    ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร
    ภาพที่ ๖
    ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญ

    ภาพนี้เป็นตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะโคตมะมีพระชนมายุ ๗ ปี พระราชบิดาตรัสให้ขุดสระโบก
    ขรณี ๓ สระภายในพระราชนิเวศน์ ให้เป็นที่สำราญพระทัยพระโอรส สระโบกขรณี คือ สระที่ปลูกดอก
    บัวประทับในสระ แล้วพระราชทานเครื่องทรงคือ จันทน์สำหรับทาผ้าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ผ้า
    ทรงสะพัก พระภูษาทั้งหมดเป็นของมีชื่อมาจากเมืองกาสีทั้งนั้น

    ตอนที่เห็นในภาพนี้ เป็นตอนที่เจ้าชายประทับนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ที่ภาษาปฐมสมโพธิเรียก
    ว่า 'ชมพูพฤกษ์' ซึ่งคนไทยเราเรียกต้นหว่านั่นเอง เหตุที่เจ้าชายมาประทับอยู่ใต้ต้นหว้าแห่งนี้ ก็เพราะพระ
    ราชบิดาทรงจัดให้มีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ทุ่งนานอกเมืองกบิลพัสดุ์ตามพระราชประเพณี
    พระราชบิดา ซึ่งเสด็จแรกนาด้วยพระองค์เอง หรือจะเรียกว่าทรงเป็นพระยาแรกนาเสียเองก็ได้ ได้โปรดให้
    เชิญเสด็จเจ้าชายไปด้วย

    ภาพที่เห็นนี้อีกเหมือนกัน จะเห็นเจ้าชายประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ลำพังพระองค์เดียว ไม่เห็นพระ
    สหาย พระพี่เลี้ยง และมหาดเล็กอยู่เฝ้าเลย เพราะทั้งหมดไปชมพระราชพิธีแรกนากัน เจ้าชายเสด็จอยู่ลำพัง
    พระองค์ภายใต้ต้นหว้าที่กวีท่านพรรณาไว้ว่า "กอปรด้วยสาขาแลใบ อันมีพรรณอันเขียว ประหนึ่งอินทนิล
    คีรี มีปริมณฑลร่มเย็นเป็นรมณียสถาน..." พระทัยอันบริสุทธิ์ และอย่างวิสัยผู้จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าใน
    ภายหน้า ได้รับความวิเวกก็เกิดเป็สมาธิขั้นแรกที่เรียกว่า "ปฐมฌาน"

    แรกนาเสร็จตอนบ่าย พระพี่เลี้ยงวิ่งมาหาเจ้าชาย ได้เห็นเงาไม้ยังอยู่ที่เดิมเหมือนเวลาเที่ยงวัน
    ไม่คล้อยตวงตะวันก็เกิดอัศจรรย์ใจ จึงนำความไปกราบพระเจ้าสุทโธนะให้ทรงทราบ พระราชบิดาเสด็จมา
    ทอดพระเนตรก็เกิดความอัศจรรย์ในพระทัย แล้วก็ทรงออกพระโอษฐ์อุทานว่า "กาลเมื่อวันประสูติ จะให้
    น้อมพระองค์ลงถวายนมัสการพระกาฬเทวินดาบสนั้น ก็ทำปาฎิหาริย์ขึ้นไปยืนเบื้องบนชฎาพระดาบส อาตม
    ก็ประณตเป็นปฐมวันทนาการครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้อาตมก็ถวายอัญชลีเป็นทุติยวันทนาการคำรบสอง"

    พระเจ้าสุทโธทนะทรงไหว้พระพุทธเจ้าที่สำคัญ ๓ ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกเมื่อภายหลังประสูติ
    ที่ดาบสมาเยี่ยม เห็นท่านดาบสไหว้ก็เลยไหว้ ครั้งที่สองก็คือ ครั้งทรงเห็นปาฏิหาริย์ ครั้งที่สามคือ ภาย
    หลังพระพุทธเจ้าเสด็จออกผนวช ได้สำเร็จพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จกลับไปโปรดพระพุทธบิดาครั้งแรก

    ....

    หมายเหตุ เพิ่มเติม ภูมิภาคที่เป็นที่ตั้ง ของ กบิลพัสดุ์-ลุมพินี-เทวทหะ นอกจากจะ ไถนา ปลูกข้าวแล้ว....ก็จะต้องปลูก "ข้าวเหนียว" ขึ้นได้ด้วยนะ..โปรดสังเกตจากพระนามของเจ้านายในราชวงศ์ โดยเฉพาะราชวงศ์ศากยะจะลงท้ายด้วยคำว่า “โอทนะ” เป็นส่วนใหญ่ เช่น สุทโธทนะ (ข้าวบริสุทธิ์) อมิโตทนะ (ข้าวนับไม่ถ้วน) โธโตทนะ (ข้าวขัดแล้ว) สุกโกทนะ (ข้าวขาว)

    และพึงโปรดพิจารณาว่า ข้าว ชนิดนั้น ต้อง "ปั้นเป็นก้อนได้" ดังว่า

    เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
    ๒. อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย ธมฺมํ สุจริตํ จเร
    ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ.
    ธมฺมํ จเร สุจริตํ น นํ ทุจฺจริตํ จเร
    ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ.
    บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ,
    บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต, ผู้มีปกติประพฤติธรรม
    ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า, บุคคลพึงประพฤติ
    ธรรมให้สุจริต, ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต, ผู้มีปกติ
    ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า.

    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺติฏฺเฐ ความว่า ในก้อนข้าว อันตนพึงลุกขึ้นยืนรับที่ประตูเรือนของชนเหล่าอื่น.
    บทว่า นปฺปมชฺเชยฺย ความว่า ก็ภิกษุเมื่อให้ธรรมเนียมของผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นปกติเสื่อมแล้ว แสวงหาโภชนะอันประณีต ชื่อว่าย่อมประมาท ในก้อนข้าวอันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ, แต่ว่าเมื่อเที่ยวไปตามลำดับตรอกเพื่อบิณฑบาต ชื่อว่าย่อมไม่ประมาท. ทำอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าไม่พึงประมาท ในก้อนข้าวที่ตนพึงลุกขึ้นยืนรับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...