กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    นั่งสมาธิครั้งแรกแล้วถึงเข้าถึงกิริยาในระดับปฐมญานได้ถือว่าดีมากแล้วครับ
    บางคนนั่งเป็นปีๆยังไม่เคยเจอกิริยาอย่างนี้ก็มีครับ..
    แสงสว่างจร้า เป็นกิริยาปกติครับ สามารถเกิดได้ในระดับฌาน ๑
    แต่สังเกตุดูได้ว่าแม้ว่าแสงจะจร้าแต่ว่า มันจะไม่เย็นครับ..
    คือตัวจิตมันตัดจากร่างกายชั่วคราวและจิตมันทำงานได้ใน
    ลักษณะที่เห็นแสงนำทางครับ เพราะฉนั้นถ้าก่อนหน้าเราตั้งใจ
    อะไรไว้มันก็จะส่งผลเนื่องจากจิตมันไปทำงานในส่วนที่ตั้งไว้และที่มือ
    แขนขาหายไปนั้น นี่ก็เป็นกิริยาปกติเช่นกัน บ่งบอกถึงจิต ณ เวลานั้น
    มันสามารถตัดร่างกายได้มากน้อยแค่ไหน(คือไม่ยึดติดในรูป)
    อย่างพระมีชื่อ ที่สิงห์บุรี
    ท่านมองด้วยตาเปล่าชนิดที่ว่า หายได้ทั้งตัวเลยครับ..
    ซึ่งกิริยาอย่างนี้ก็ยังอยู่ในระดับปฐมญานอีกเช่นกันครับ
    ส่วนกิริยาขนลุก นั้นก็เปนกิริยาที่จิตเรามันเริ่มสงบลง
    และจิตมันเคยมีความสามารถรับรู้ในอดีตพอได้บ้าง...
    มันก็เลยรู้สึกได้อย่างนั้น ซึ่งจะบอกว่า เป็นกิริยาที่ส่งสัญญานว่า
    ถ้าเราปฏิบัติต่อเราจะไปได้ดีเลยครับ..เพียงแต่ว่า
    เราอาจจะรู้สึกกลัวต่อ สัมผัสต่างๆเหล่านี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    กิริยาพวกนี้ หากเราฝืนต่อไปอีก ๓ ถึง ๔ ครั้งตัวจิตจะมีกำลังมากขึ้น
    ต่อไปก็จะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเปรียบเหมือนเราหายใจนี่หละครับ
    ตอนนี้แค่ไปปรับพื้นฐานการหายใจให้มันดีก่อนครับ..
    เพราะว่าตัวจิตเดิมมันพอมีอะไรดีมาบ้างครับ
    คล้ายว่าคิดจะทำไม่ดีมักทำไม่ค่อยได้ประมาณนี้ครับ
    หรือแม้ว่าจะหลงไปในทางไม่ดี มันก็จะมีอะไรๆมาจูงให้กลับ
    มาในทางทีดี พอเข้าใจไหมครับ..

    เวลาปกติ ก็มาฝึกหายใจให้ลึกถึงท้องเอาไว้..
    เวลาหายใจเข้าให้ท้องเรามันพอง
    เวลาหายใจออกให้ท้องเรามันยุบ
    และทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหยุดที่ปลายจมูก
    ไม่ว่าจะเวลาหายใจเข้าและหายใจออก..
    แต่ไม่ต้องไปตามลมนะครับ ปล่อยให้มันดันๆ
    ให้ถึงท้องของมันเอง โดยจะภาวนาหรือไม่ภาวนาก็ได้ครับ...
    ที่พูดคือเวลาที่เราอยู่นิ่งๆ ส่วนถ้าเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย
    ก็หัดนับจำนวนก้าวที่เราเดินให้เป็นนิสัย..เช่น เดินไปโน้นนี่นั้น
    เราเดินไปกี่ก้าว ประมาณนี้ หรือถ้านิ่งไม่อยากตามลม
    ก็เคาะนิ้วนับตัวเลขไป ..เท่านี้ก็เป็นการฝึกสมาธิ สร้างกำลังสมาธิสะสม
    และฝึกการสร้างสติทางธรรมไปในตัวแล้วครับ
    ของคุณถ้าทำได้ทุกวันเดือนที่ ๔ ก็จะเห็นผลได้ชัดเจนแล้วครับ
    ยิ่งทำได้นานหลายวัน ต่อๆไป
    การนั่งสมาธิจะไม่ใช่ปัญหาเลยครับ.
    ทำก่อนซักเดือนสองเดือนแล้วค่อยไปนั่งสมาธิดูก็ได้
    จะเข้าได้ด้วยตัวเองครับ....
     
  2. sathu-sathu

    sathu-sathu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +443
    อนุโมทนาค่ะ... เดี๋ยวจะไปลองอีก และลองอีกค่ะ ขอบพระคุณนะคะ.. _/\_
     
  3. เจ้าพระญา

    เจ้าพระญา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +6
    ผมว่าไฟ เพราะหาง่ายดี และเปลี่ยนไปมามีอะไรให้สนใจตอนเพ่งเยอะดี ส่วนยากที่สุดน่าจะลม
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ในระดับเริ่มต้น..ไม่เกี่ยวกับเรื่องการฝึกเพื่อให้เกิดปัญญานะครับ
    ว่าแต่อะไรก็ตามที่สร้างแสงสะท้อนหรือมีแสงในตัวเอง
    เช่น ไฟ หรือ แสงจากหลอดไฟหรืออื่นๆ
    จะทำให้เรารู้สึกง่ายถูกแล้วครับ
    เพราะว่ามันสร้าง แสงสะท้อนกลับมายังลูกตาเรา
    ให้ปรากฏเป็นภาพได้ หลังจากที่เราไปมองแล้วก็
    ละสายตาไปยังที่อื่นๆ ก็จะยังปรากฏภาพคงค้างได้
    เหมือนเราโดนไฟแฟตส่องตานั้นหละครับแม้ว่าแสงแฟลท
    จะหมดไปแต่ว่าสายตาเราก็ยังมีภาพพวกนี้ค้างอยู่อีกซักระยะหนึ่ง
    แต่ว่า การต่อยอดไปในระดับต่อไป มีข้อเสียค่อนข้างมาก..
    หากแยกความคิดกับจิตไม่ขาด
    และก็มีโอกาสสูงมากว่า
    ภาพที่สร้างจะเกิดจากตัวจิตบวกกับความคิดได้สูง
    และโอกาสที่จะส่งผลต่อร่างกาย
    และจิตใจให้ออกไปทางอกุศลค่อนข้างสูงมาก
    บ้างก็วิปลาสไปเลยก็มีครับ...
    และแม้ว่าในระดับที่พอใช้งานได้..
    ก็จะส่งผลต่อสภาพจิตใจให้ออกไปใน
    ทางอกุศลได้ครับ..


    ในระดับเริ่มต้นเช่นกัน
    ส่วนที่ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย
    ก็คืออะไรก็ตาม ที่ไม่มีสี หรือ มีแต่ความใส..
    เช่น น้ำ อากาศ ลม จะเป็นอะไรที่เริ่มต้น
    ได้ช้าหน่อย แต่ส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจน้อยกว่า
    เพราะว่า จะเป็นเสมือนการบังคับให้จิต
    ค่อยๆสร้างความสามารถในการมองเห็นขึ้นมา
    ด้วยตัวจิตเอง และก่อนจะใช้งานได้
    จะสามารถเอา น้ำมารวมกับไฟได้ก่อน
    ซึ่งจะทำให้เวลานำไปใช้งานไม่ส่งผล
    ต่อจิตใจให้ออกไปทางอกุศลครับ...

    ส่วนในระดับต่อมา ในระดับอุคนิมิต
    กองที่สังเกตุยากที่สุด คือ อากาศ กับ ลม
    เพราะว่า จะมีความคล้ายคลึงกันมาก
    ไม่ว่าจะหลับตาฝึกหรือลืมตาฝึก..
    แต่สามารถสังเกตุได้
    แต่หากต้องสังเกตุให้ดีๆครับ....


    และในระดับอุคนิมิต ของกสินทุกกอง
    ถ้าจะฝึกเพื่อให้ถึงระดับใช้พลังงานกสิณได้
    ให้จำเอาไว้ให้มั่นว่า ถือว่าเป็นตัวขวางได้หมด
    หรือยังเป็นกสิณที่ให้โทษหรือขวางให้เราเข้า
    ถึงความสำเร็จได้ช้าหมดทุกๆกองครับ..
    ถ้าจะฝึกกสิณให้ใช้งานได้จำเอาไว้ว่า
    ถ้าไม่ใช่ระดับปฏิภาคนิมิตและปั่นได้
    ให้ไม่สนใจทุกๆกิริยา ทุกๆสัมผัส ทุกๆ
    สิ่งๆทุกๆอย่างที่พิศดารที่เกิดขึ้น
    ให้เฉยๆให้ถือว่า
    สัมผัสทุกอย่างทีเกิดมาระหว่างทางทั้งหมด
    มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ


    ยกเว้นในกรณีที่เราจะโน้มเอาอุคนิมิต
    ที่เกิดมาพิจารณาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ
    เดินปัญญา เช่น มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร
    มันมีอะไรเข้ามาบ้าง เห็นอะไรบ้าง เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
    อย่างนี้ใช้เป็นแนวทางเดินให้จิตเห็นว่า
    มันไม่เที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอนได้ในอนาคตครับ...
    ซึ่งจิตมันจะเห็นได้แค่ทีละอย่างเท่านั้น
    แล้วแต่บุคคลดังต่อไปนี้
    ๑.เห็นว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง ได้ตลอดเวลา
    ๒.เห็นว่าไม่สามารถบังคับให้เป็นอย่างใจเราได้
    หรือ ๓.เห็นว่ามันไม่สามารถอุคนิมิตนั้นไม่สามารถ
    ที่จะคงอยู่ได้อย่างนั้น..
    ซึ่งต้องพิจารณาบ่อยๆๆๆๆๆๆครับ....
    บางทีพูดมา ๓ ข้อแล้วอาจจะยังไม่เข้าใจ
    ยกตัวอย่างให้ดูนะครับ...


    เช่น เรามีเพื่อน และเราไม่ชอบให้เพื่อนเรา
    มาล้อชื่อบิดาของเรา เราเคยบอกเพื่อนไปแล้ว..
    วันหนึ่ง เพื่อนคนนั้นก็มาล้อชื่อบิดาเราอีก..
    เราเลยรู้สึกโกรธ..อย่างนี้แสดงว่า ตัวจิต
    เรามันยังไม่เห็นว่า ไม่สามารถบังคับให้เป็นอย่าง
    ใจเราได้คือมันยังยอมรับตามความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ได้
    หรือพูดง่ายๆว่าปัญญาทางธรรมเรา
    จากผลการปฏิบัติยังไม่มากพอ
    ที่จะตัดเรื่องนี้เป็นเหตุให้เราสอบตกข้อ ๒ พอเข้าใจนะครับ
    แต่การสอบตกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
    สอบได้ให้มองเป็นเรื่องตลก
    เรื่องอื่นๆก็ลองเทียบวัดผลดูได้ด้วยตัวเองครับ.


     
  5. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ฝึกสมาธิ ยังไม่ไปไหน มีแต่เรื่องหลอนตาหลอนใจ เช่น นั่งๆไปเห็นคนตักน้ำจากโอ่งราดเท้า ภาพเปลี่ยนเป็นเห็นน้ำในขัน จากน้ำในขันซูมเข้าไปเป็นน้ำเปล่าๆใสๆ แล้วมันก็เหมือนมีบางสิ่งเกิดขึ้น (อะไรมันเต้น รึ หมุน รึ ดูด )จับไม่ได้ไม่รู้อะไร ก่อนหลุดลืมตา
    บางคราวก็ภาพน้ำในลำธาร ก้อนหินในลำธาร น้ำไม่ลึกใส ภาพน้ำค่อยๆไหลเคลื่อน หลุดอีก อันนี้มีเห็นบ่อย
    บางทีภาพต้นไม้กำลังถูกลมพัด ภาพไหวตามลม หลุดอีก
    บางทีก็ขุนเขาตัดท้องฟ้า เมฆงามตา เคลื่อนไหวราวมอง นกล่องบิน (อันนี้บ่อย )
    บางที ก็พื้นดิน สวนหย่อมบ้านใคร เคลื่อนไหวไปมา หลุดอีก
    บางทีก็รถมอร์ไซด์ เปิดไฟหน้าสาดเข้ามา ผ่านมาก็ผ่านไป หากเมื่อไหร่ สาดแล้วจับได้ กลายเป็นเปลวไฟ ลุกไหวๆ แล้วก็หลุด
    เบื่อลงนึกถึงลูกแก้วแถวท้อง แรกๆ ก็นึกเหมือนแสงไฟ พื้นหลังดำมืด หลังๆบ้า นึกถึงลูกแก้วขาวเหมือนแสงไฟ ดันมีพื้นหลังเป็นอวกาศ
    ที่ว่าวมา รู้สึกว่า ไม่ได้อะไรจากการนั่ง ยังหลงวน ตามความไร้สาระของจิต
    ปล.คือมันไม่มีสาระอะไร แต่แค่อยากแจมด้วยเท่านั้นค่ะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ก็ดีแล้ว ค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามวาระแห่งตนนั่นหละ
    ดีกว่ายิ่งปฏิบัติ ยิ่งถอย ยิ่งห่างไกลความดี อย่างนี้ซิที่ต้องระวัง..
    ..
     
  7. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    มาติดตามอ่านครับ
     
  8. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    อาจารย์คับ คือพวกที่ เรียกว่าไงดีผมไม่แน่ใจ แบบ ทำวิชา หรือ คาถา หรือ สาป ใส่ รูป ใส่ตัวหนังสือ ที่ตัวเองโพสต์นี่ มันยังไงคับ :boo:


    คือว่าบางทีก็เหมือนเป็นพลังงานเป็นมิตร แต่ส่วนมาก เป็นแบบแช่งอาไรประมาณนี้อ่ะคับ (มะโนเดาล้วนๆ ถถถถ) มันมีจริงๆป่าวคับ หรือผมมั่วความรู้สึกไปเอง :cool:
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อ่านเอา. โตแล้วแยกแยะดีๆ น่าจะไม่ยาก
     
  10. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    ไม่รู้จะเริ่มจากกสิณอะไรก่อนครับ พอจะมีคำแนะนำบ้างมั้ยครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สีแดงครับ
     
  12. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    รบกวนถามป๋านบ:
    1.ช่วงเฝ้าลูกๆหลับในห้องนอนปิดไฟเกือบหมดบ้านและจะนั่งขัดสมาธิบนพื้น ตามองคล้อยต่ำแต่ไม่ได้หลับตา ทำแบบนี้ทุกคืนเคยเห็นเป็นสีม่วงแวบไปว๊าบมาบนพื้น อันนี้ให้เพิกเฉยไม่ต้องสนใจหรือว่ามันพอมีประโยชน์บ่งบอกอะไรได้บ้างคะ?
    2.เพื่อนของเพื่อนบ้านอยู่กำแพงเพชรเค้าบอกว่าฝันเห็นงูตัวใหญ่สีขาว มีคนเคยทักว่าที่บ้านของเค้ามีพญานาค เค้าอยากทราบว่าที่เห็นในฝันคืออะไรหรือต้องการมาสื่ออะไรค่ะ? อันนี้ถ้าไม่มีสาระไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้นะ หนูก็ไม่ได้รู้จักเค้าเพราะเป็นเพื่อนของเพื่อฝากถามค่ะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ข้อแรกนะใช่ ให้เฉยๆไม่สนใจ..
    เพราะสีที่เห็นได้ ส่วนหนึ่งเป็นไป
    ตามลักษณะจิตของเราด้วย..
    เอาละเอียดมี ๒๒ สี แต่ปกติทั่วไป
    จะอยู่ ๗ ถึง ๙ สีประมาณนี้ครับ..

    ข้อ ๒ นาคชอบปฏิบัติธรรม ภูมิเดียวกับ
    พวกมิติทับซ้อน ที่มีชั้นความสูงระดับเดียว
    กับที่เราอยู่นี่หละ..จริงๆมิติแบบนี้มีเยอะแยะ
    เกือบทุกจังหวัด พวกนี้มี พวกของพิเศษเยอะ
    แต่เรามักจะคุ้น เมืองบังบด
    เมืองลับแล แต่เมืองที่อยู่เฉพาะที่ชอบเหมือนๆ
    กันก็ยังมีอยู่เยอะแยะอย่างที่บอก..
    แล้วแต่ว่าเค้าจะให้เราเห็นหรือไม่เห็น
    แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร..
     
  14. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายเดือน พี่ Nopphakan ก็ยังคงเมตตา สละเวลาอันมีค่ามาตอบคำถามให้สมาชิกท่านอื่นๆที่สงสัยกันอยู่เสมอ ผมขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยครับ สุดยอดจริง ๆ ครับ มีโอกาสและเวลาจะกลับมาปฏิบัติใหม่แะจะขอคำแนะนำจากท่านนพ
    ต่อไปครับ
    :cool::cool:
     
  15. เจ้าพระญา

    เจ้าพระญา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +6
    ถ้าเกิดเป็นเกย์จะมีเนื้อคู่ในชาตินี้ตามหลักพุทธศาสนาไหมครับ

    คือผมเป็นเกย์ครับ สงสัย


    ว่าเป็นเพศแบบนี้มีเนื้อคู่ กำหนดมาให้คู่กันเหมือนชายหญิงไหม


    หรือไม่มี มีโอกาสแค่ชดใช้กรรมเรื่องที่เคยผิดศีลข้อ 3 อย่างเดียวเลย


    [​IMG]
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    โอกาสมีเสมอและไม่เกี่ยวว่าเราจะเกิดเป็นอะไรหรืออย่างไรครับ
    และไม่เกี่ยวว่าจะเคยเกิดเป็นอะไรมา พุทธฯเราให้ดูแต่ปัจจุบันครับ
    ไม่มีอดีต อนาคตเราไม่ดูครับ
    บุคคลที่มีความรู้สึกว่าตัวเองเบี่ยงแบน
    ทางพลังงานก็คือบุคคลที่กะแสที่ออกจาก
    ต่อมอมิเตอร์รอยมันมีความหนาแน่นไม่เท่ากันครับ
    เราปรับตรงนี้หน่อยก็เป็นคนปกติแล้วครับ
    ปกติทำบ่อยแต่จะใช้ในกรณีสำหรับ
    บุคคลที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน
    และจะมีอายุมากหน่อย
    และจะไปพูดให้หมอฟังไม่ได้นะครับ
    นอกจากหมอที่เข้าใจเรื่องพลังงาน
    หรือผ่านประสบการณ์ด้วยตนเองครับ
    ปล.ฟังหูไว้หู. จำไว้
    ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน
    และเราจะเป็นไปตามที่จิตเราคิดครับ
    ให้พิจารณาเอาเองนะครับ (^_^)
     
  17. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    การที่ตามองคล้อยต่ำ เป็นการสำรวมจิตเพื่อให้อยู่แต่ภายใน ไม่แส่ส่ายวิ่งไปกับโลกภายนอก

    ส่วนที่เห็นแสงสีม่วงในสภาวะที่ลืมตาได้ จะมีความสัมพันธ์กับดวงตาและจุดที่อยู่บริเวณหน้าผาก


    และ หากจุดที่หน้าผากและบริเวณกระหม่อม (กระหม่อมจะเป็นพลังงานสีม่วง) มีความสัมพันธ์

    อย่างเหนียวแน่น คือผมหมายถึงจักรที่หกตรงหน้าผาก และจักรที่เจ็ดบนกระหม่อม ถ้าสองจุดนี้

    ฝึกให้ติดกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน บวกกับกำลังสมาธิที่คุณดำเนินอยู่ คือณานที่สาม ดวงตาที่สาม

    ก็จะเปิดครับ ฝึกมาจุดนี้ได้ยังไงให้ฝึกต่อไปครับ ผมต้องขออนุญาตอาจารย์นพเข้าแทรกแทง

    ความคิดเห็น คงไม่ว่ากันเนอะ ท่านอาจารย์ใหญ่ๆๆๆๆๆๆๆ
     
  18. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองมากคับ ประจวบเหมาะ จิงๆเหมือนเป๊ะไว้เลย ถถถ พอดีผมก็เริ่มเห็นจุดสีม่วงๆบ้างแล้ว ผมขอน้อมรับคำอาจารย์ทั้งสองไว้เพื่อฝึกต่อไป สาธุคับ :cool:
     
  19. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407


    เรื่องพลังงานของสีที่ผมเคยฝึกเห็น จะได้ประมาณนี้ครับ คือ

    น้ำตาล แดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ำเงิน ม่วง ทอง ขาว และแต่ละสียัง

    มีอ่อนและมีแก่ต่างกันไปครับ และอีกสีหนึ่งจะมีลักษณะเป็นสีใสใส คล้าย

    พวกแก้วน้้ำ ผมเคยเห็นในสภาวะลืมตา ว่ามีพวกลักษณะสีใสใส เคลื่อน

    ที่ กระดุกกระดิกได้ เห็นอยู่ในบ้านของผมเองครับ


    ส่วนที่เป็นลักษณะพิเศษขึ้นมาหน่อย จะเห็นอยู่ที่ลิ้นปี่เหมือนกับหลอดไฟ

    ที่มีไส้(แรงเทียน) หลอดนี้จะเปล่งพลังงานสว่างขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็สว่าง

    ขึ้นมาใหม่ แล้วก็ดับไปอีก จะดำเนินแบบนี้ไปตลอดในระหว่างที่เราเฝ้าดูครับ


    ส่วนอาการทางกายภาพ ก็คือจุดที่ลิ้นปี่ เกิดพลังงานกระจายออก แล้วพลังงาน

    ก็ดับ แล้วก็กระจายออกอีก แล้วก็ดับไปอีก ประมาณนี้ครับ


    (ผมลืมไปอีกสองสีนะครับ นั่นคือ สีเงิน และสีเทา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2016
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณ มังกร เข้ามาก็ดีซิครับ..เห็นกันคนละมุมมาช่วยเสริมช่วนหนุน
    คนอ่านก็ได้ประโยชน์มากขึ้นครับ..เพราะฉนั้นไม่ต้องขออนุญาตนะครับ
    เอาว่า ในที่นี้ไม่ว่าผมหรือใครในกระทู้ยินดีต้อนรับครับ..

    ที่นี่เกี่ยวกับสีที่ตาปกติเราเริ่มเห็นได้ในอีกมุมหนึ่งนะครับ
    และก็มันมีประโยชน์อย่างไรนอกจากในการที่เราจะดูแล้วก็
    เพื่อให้รู้ว่า ดวงจิตดวงนั้นๆ(หมายถึงวงกลมนะครับ)
    ตอนนี้สะสมทางด้านอะไรมา
    หรือสีนั้นดวงนั้นกำลังแสดงให้เราดูว่าเด่นทางด้านไหนนะครับ..
    แต่หลักที่สำคัญเลยก็คือ ไม่ว่าจะเห็นสีอะไรให้เฉยๆไว้ก่อน
    และต้องเข้าใจเอาไว้ว่า ถ้ายังเห็นว่ามีสีได้ ยังมีสัญญาปรุงร่วมอยู่
    แต่ปรุงเพื่อแสดงให้ทราบได้..
    และเพราะว่าสีพวกนี้มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้หมายถึงเราจะ
    สามารถเห็นได้ตามแต่ที่จิตเราขณะนั้นกำลังทำอะไรได้ด้วยครับ
    ไม่เกี่ยวกับสีต่างๆบริเวณจักระที่จะแสดงให้เห็นถึงการนำไปใช้
    งานในด้านนั้นๆให้เกิดประโยชน์ได้ผลดีที่สุดนะครับ
    ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวบอกก่อนเลยว่าไม่ค่อยรู้เรื่องครับ ๕๕๕...

    ส่วนสีถ้าเห็นแบบสีเดียวก็มักจะมีความใสคมในตัวเอง
    และแรกๆเป็นธรรมดา พอเห็นแล้วเราหันไปมองสีจะแว๊บหาย
    จริงๆไม่ได้หาย แต่กำลังเราตก ยกเว้นว่าเราจะรักษาอารมย์
    ไว้ได้ ถึงจะเห็นสีนั้นนานกว่าปกติได้ครับ..
    และที่สุดยอดก็คือ ดวงจิตที่ไม่มีสีอะไรเลย
    หรือสีใสนั่นเอง และที่ดียิ่งกว่า ดวงจิตที่ไร้รูปร่าง ไม่ก่อตัวเป็นวงกลม
    ส่วนมากมักจะเป็นสีขาวมากกว่า เพราะหมายถึง
    ผลการปฎบัติและปัญญาทางธรรมของดวงจิตดวงนั้นๆด้วย...
    ส่วนถ้าสีขาวด้วยไร้รูปร่างด้วย นี่เป็นระดับผู้โปรดไม่ธรรมดาแล้วครับ..

    ส่วนกรณีที่คุณ มังกร เห็นที่ลิ้นปี่ ส่วนตัวเรียกว่า
    การคลายตัวได้ของจิตครับ พอจะจำได้ไหมว่า
    ที่ส่วนตัวมักบอกว่า ไม่ว่าเราจะฝึกกรรมฐานอะไรมา
    ก็ตามเราจะมาดูว่า จิตมันคลายตัวได้เองอย่างกิริยา
    ที่คุณมังกรเห็นได้ แต่ว่า เป็นการคลายตัวได้เองโดยที่
    ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ใช้อำนาจตบะ หรือการจงใจให้มันคลายตัว
    และคลายตัวได้เองอย่างธรรมชาติ เป็นไปของมันเองได้หรือไม่
    ในระหว่างวัน หรือในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันปกตินั่นหละครับ..
    และก็บอกว่าอย่างเราๆ ให้ได้ในหลักวินาทีก่อนถือว่าดีแล้วสำหรับ
    ในระหว่างวันนั่นหละครับ เพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจกิริยาของการคลายตัว
    ได้เองโดยธรรมชาติของจิตแล้ว เกือบทุกคนจะเข้าใจว่า กิริยาที่ตัวเอง
    รู้สึกว่า สงบ นิ่ง นั่นคือการคลายตัวได้ของจิตนั่นหละครับ..
    ส่วนตัวถึงได้บอกไปอีกว่า ถ้าจิตเราคลายตัวได้เองเป็นธรรมชาติ
    มากขึ้นเท่าไรๆได้นั้น หรือ เวลามันนานขึ้น จิตก็จะกลับเข้าสู่เนื้อ
    หาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆได้ของมันเองตามลำดับ เช่น ดวงจิตที่สะสม
    ด้านปัญญามา ก็จะเริ่มมีปัญญาทางธรรมดีขึ้น ทะลุทะลวงดีขึ้น
    ถ้าจิตสะสมมาทางความสามารถพิเศษ ความสามารถพิเศษที่
    เคยทำได้ในด้านใดๆมันก็จะเริ่ม อัตโนมัติขึ้น ง่ายขึ้น ได้ผลดีขึ้น
    ตามลำดับของมันเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกนี้ล้วนขึ้นอยุ่กับว่าตัวจิต
    คลายตัวได้เองตามธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน...
    ดังนั้นเราจึงไม่แปลกใจว่า ท่านที่เราเชื่อว่า ท่านแทบไม่มีอะไรมาเกาะจิตได้
    เกือบจะทั้งวัน หรือ ท่านที่จิตปกติคลายตัวได้เกือบทั้งวัน
    ถึงมีความสามารถทะลุทะลวงในด้านต่างๆตามแต่เนื้อหาเดิมของ
    จิตท่านนั้นๆครับ...
    ส่วนบารมีนั้นเราก็ดู ความกว้างของวงที่ขยายออกนั่นหละครับ
    ที่จะดูว่า ดวงจิตใดบารมีมากหรือน้อยก็ดูตรงนี้เพราะว่ามันอยู่
    ที่การสร้างสะสมมาของแต่ละดวงจิตนั่นเองครับ

    ไม่ต้องเอาอะไรมากครับ เราเปรียบกับเราดูก็ได้ ว่าขนาดเรา
    สามารถทำให้จิตคลายตัวได้ ไม่กี่วินาที เรายังทำอะไรได้บ้าง
    เรารู้อะไรได้บ้างภายในเสี้ยววินาทีที่จิตเรามันคลายตัวนั่นหละครับ

    เอาแค่ที่คุณ มังกร ถามมาเล่าอาการมา แค่จิตคลายตัวได้ไม่กี่วินาที
    หรือที่ส่วนตัวมักเรียกว่าปิ๊งแว๊บ..เรายัง
    ต้องใช้การเขียนเป็นหน้าๆกว่าจะบรรยายกว่าจะเล่าได้หมด
    นี่ในระดับภาคสนามยังถือว่า พึ่งเริ่มคลาน เรายังพิมพ์จนมือหงิก
    กับสิ่งที่เรารู้ เรายังทำโน้นนี่นั้นได้มากมาย พอนึกออกไหมครับ
    ไม่ต้องนึกถึงระดับท่านๆต่างๆเลยว่าจะมีความสามารถขนาดไหนครับ....

    และก็มาเรื่องสีว่า มันสัมพันธ์กับจุดที่ตาอย่างไร ลองทำดูได้ครับ...
    ถ้าเราเริ่มใช้ตาเราไปซักพักและก็เดินปัญญาทางธรรมมาบ้าง
    เราจะพบว่า ในตำแหน่งตาที่สาม มันจะไม่ใช่ว่า เราจะสัมผัสแสงสว่าง
    เป็นวงกลมที่ ไม่มาทางซ้าย(เป็นญาติเรามาก่อนที่คอยดูแลเรา)
    หรือมาทางขวาเป็น(ครูบาร์อาจารย์ที่มาสอนเรา)หรือมาทางด้านหลัง
    หลังขวาแบบไร้รูปร่างที่เป็นระดับผู้โปรดนั้น..
    เราก็จะเริ่มเห็นได้ว่า จากวงกลมมันจะแยกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
    คลายไม้บรรทัดครับ..ซึ่งถ้าเห็นตรงนี้ได้เราจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร..
    จริงๆก็คือ ส่วนหนึ่งของการเดินทางของจิตในระหว่างทาง
    ที่จะไปยังสถานที่ต่างๆแบบข้ามมิติและเวลาครับ...
    เพราะปกติเราจะไปไหน เราจะรู้ตอนที่ไปถึง หรือก็เตรียมตัวได้
    ก่อนจะไป หรือบังคับจิตได้ระหว่างทางที่จะไป
    แต่เราจะมองไม่เห็นในช่วงระหว่างที่กำลังเดินทางครับ
    ยังไงนั่นหรือครับ..ให้ลองดูนะครับจะเข้าใจ..

    เพราะเข้าใจว่า คุณมังกรจะ รู้เรื่อง เส้นสายพลังงานที่เป็น
    ตารางสี่เหลื่ยมอยู่แล้วเป็นปกตินะครับ และอาจจะคุ้นเคย
    กับการจัดเรียงเส้นสายพลังงานแล้ว...

    ที่นี้เมื่อเราสามารถที่จะรวมสีต่างๆที่เราเห็นได้นั้น
    ประมาณ ๗ สีขึ้นไปตั้งไว้ก่อนซึ่งมันจะมีสีขาวปนๆอยู่ด้วยเรื่องปกติ
    ก่อนที่จะส่งตัวจิต
    เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆนั้น พอสีรวมกันแล้วมันก็จะหมุน
    รวมกันแล้วเกิดเป็นประกายแฉก คล้ายๆที่เค้าถ่ายพระอาทิตย์ก่อน
    แล้วถึงค่อยเดินทาง(คือพร้อมเดินทาง) ที่นี้เราก็จะเห็นได้ในช่วงระยะเวลาที่จิต
    กำลังเดินทาง พูดง่ายๆ เราจะเห็นได้เลยว่า ตัวจิตอยู่ระหว่าง
    ตาข่ายพลังงานหรือเส้นสายพลังงานนั้นหละครับ...
    ส่วนการเดินทางคล้ายๆกันนี้ ในลักษณะที่เป็นสามเหลี่ยม
    ปิรามิด เมื่อไปถึงอีกทางหนึ่งมันจะยังไม่จบครับ..
    ไม่เหมือนผ่านตาข่ายคือถึงแล้วถึงเลย แต่ถ้าปิรามิดแล้ว
    มันจะสามารถไปได้อีกประมาณ ๗ ถึง ๙ ช่องทาง
    นี่หละครับจำได้ประมาณนี้คือจะมีแสง
    นำทางเดินข้ามไปอีกมิติหนึ่งได้ ..
    แต่ยังไม่มีประสบการณ์ ๕๕๕
    ปล.ลองดูนะครับ..(^_^)


     

แชร์หน้านี้

Loading...