ขอค้าน หลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 27 กุมภาพันธ์ 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ทีนี้ ตัวผมเอง เวลาทำความดีอะไร ก็บอกว่า อุทิศให้กับ บิดามารดา เจ้ากรรมนายเวร เหมือนกัน เพราะเรารู้ว่า มันมีจริงและ ไปถึงกันได้

    แต่ทีนี้ ถ้าเราดูให้ดี เราจะเห็นว่า แนวความคิดที่บอกว่า อุทิศให้ กับ โอนบุญ เบิกบุญ นี้ มันคล้ายกัน แต่มันก็ต่างกันมาก ในเรื่องของ ทัสนะ เพราะว่า เท่ากับเราเปลี่ยน บุญ ให้เหมือน เงิน ทอง ทันที
    ......................................
    คุณขันธ์ครับ คุณบอกเอง ว่าต่างกันที่ ทัศนะ....ความคิดเท่านั้นเอง
    .....................................
    และเวลาสวดมนต์ทำไมสัตว์อื่นเดือดร้อนเพราะทำด้วยกุศลจิต
    ผมขอตอบว่า....เราแขวนพระ ห้อยพระ ที่มีพุทธคุณ ผีมันไม่เข้าไกล้ไช่ใหมครับ..........เราไม่เห็นผี แต่เจตนาไส่กันผี ใช่ไหมครับ.......หรือไส่เฉยๆ เพื่อหนังเหนียว แต่ผีก็เข้าไกล้ไม่ได้ใช่ไหมครับ
    เราสวดมนต์ ถ้าเสียงสวดมนต์ มีพุทธคุณ แล้วคุณขันธ์คิดว่าผีไม่กลัวหรือครับ....ผมจะยกตัวอย่างทำดี แต่ทำร้ายผี...เช่นคนถูกผีเข้า มีหมอผี มีพระต้องการช่วยคนที่ถูกผีเข้า...ฟังนะครับ.... ต้องการช่วย....คนถูกผีเข้า...เป็นเจตนาดีกับคนคนนั้นที่ถูกผีเข้า....แต่ว่าผีตัวนั้นเดือดร้อนแน่ อาจโดน คาถา อาคม น้ำมนต์ หรือหวาย หรือถูกจับขังหม้อดิน...อย่างนี้ คุณขันธ์ว่า ไม่เจตนาดีกับผีหรือครับ.............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    สมัยพุทธกาลพระต้องทำวัตสวดมนต์ไหม๊หละครับ
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    OK นะครับ ก่อนที่ผมจะไปไกลกว่านี้ผมก็ขอสรุปสิ่งที่ผมทำก่อนนะครับ

    1. ผมอุทิศบุญตามหลวงพ่อเกษมฯ ผมไม่รอไปกรวดน้ำ เพราะผมไม่เคยรู้สึกเลยว่า
    การกรวดน้ำคือทางเดียวที่จะอุทิศบุญถึงกันได้ และผมทำแล้วผมได้ผลในระดับที่ผมพอใจ

    2. ผมสวดมนต์ตามปกติของผม แต่ผมจะบอกให้ใครที่จะมีอันตรายหลีกไปก่อน แต่
    บางทีก็ไม่ได้บอก เพราะไม่ได้สวดบทอะไรที่มันมีอันตราย (บทสวดมนต์ ผมเชื่อว่า
    ไม่ทุกบทหรอกที่ทำอันตรายพวกเขาได้) และอยากให้คุณขันธ์หาข้อมูลเรื่องยันต์ และ
    เรื่องเวทมนต์ คาถา อาคมมาอ่านหน่อยนะครับ เพื่อพิจารณาว่ามันให้ผลได้อย่างไร
    ก็ในเมื่อมันก็เป็นแค่สิ่งที่เราเขียนๆ หรือพูดๆกันออกมาเท่านั้นเอง ??

    3.ผมยังห้อยพระอยู่เต็มคอ เพราะผมไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนักกับการที่พวกเขาจะร้อน
    หรือจะเย็นจากการเข้ามาใกล้ผม เพราะระดับความเมตตาของผมยังไม่
    มากเท่าหลวงพ่อเกษม

    4. ผมไม่ได้ภาวนาแบบที่หลวงพ่อเกษมสอน เพราะไม่ใช่จริตของผม

    อันนี้พอมองเจตนาของผมออกใช่ไหม๊ครับ ก็แปลว่าผมก็ไม่ได้ยึดอะไรตามท่านมากมาย
    ผมเลือกเอาที่ผมเห็นด้วยมาทำ แต่ถามหน่อยเถอะ ถามคนที่มีธรรมะสูงนั่นแหละ
    ว่าก็ไม่เห็นด้วย หรือ ไม่ตรงกับจริต แล้วทนไม่ได้เหรอครับ ถึงต้องออกมาเหย็งๆกันหนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ผมตั้งข้อสังเกตนะ

    เรื่องการแปลงบุญนั้น แล้วพวกที่เผาแบงค์กงเต็กล่ะครับอันนี้ตรงๆเลยนะ
    เผามือถือ เผาคนรับใช้ เผารถเบนซ์กระดาษส่งไปให้ อย่างนี้เรียกว่าแปลงบุญมั๊ยครับ
    เพราะผู้เผาก็เจตนาดี ขั้นตอนก็ถูกในศาสนาของเขา
     
  5. คนมีกำกึด

    คนมีกำกึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมแวะเวียนมาดูคารมคมคายของแต่ละท่านกันครับ หุหุ ของผม Nocommentนานาจิตตังครับ ถ้าผมเห็นชอบกับจขกท.ก็เท่ากับผมมองว่าจขกท.ถูกคนอื่นไม่ถูก แต่ถ้าผมแย้งจะกลายเป็น ผมดี คุณไม่ดี สู้ทำใจให้สงบก็ไม่ได้ สบ๊าย สบาย
     
  6. เบญจกูล

    เบญจกูล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +377
    ผมสวดคาถาชินบัญชรประจำเพิ่งจะรู้ว่ารังแกวิญญาน เฮ้อเอาว่าขอเชื่อสมเด็จโตฯดีกว่า อยู่กับครูบาอาจารย์สายกรรมฐานมากว่ายี่สิบปีท่านให้สวดมนต์เช้าเย็น อย่างนี้ควรเลิกหรือไง ปวดขมับน้อพี่น้อง
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    สวดมากี่ปีแล้วครับ ถึง 100 ปีหรือยังครับ นี่ยังน้อยไปนะ
    คนยุกต์ก่อนๆอยู่บนโลกนี้มาตั้งหลายหมื่นปี ก็ยังเพิ่งมารู้ว่า
    โลกมันกลม เมื่อ 100 กว่าปีมานี้เอง

    ไม่เห็นแปลกเลย..อันนี้เฉพาะกรณีสวดมานานหรือไม่นานเท่านั้นนะ

    แต่กรณีว่าคาถา หรือพุทธมนต์ต่างๆนั้นดีต่อเรา หรือแต่เทวดาหรือไม่นั้น
    ผมก็ยังเห็นว่าดีอยู่ ดีมากด้วย

    แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า..เมื่อรู้แล้วว่าภพเบื้องต่ำเขาเดือดร้อน
    ถ้าจะสวดก็ให้บอกให้เขาไปไกลๆก่อน

    มันลำบากมากไหม๊หละที่จะบอกเขาก่อน...??
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ขอโทษนะ ที่ผมต้องรับ เพราะผมมีธรรมะสูง และผมต้องตอบ

    ผมไม่ได้ทนไม่ได้อะไรเลย ผมชี้แจงไป ด้วยเหตุผล คนที่เต้นเหย็งๆ ไม่ใช่ผม แต่เป็นคนที่ทนไม่ได้ของจริง และไม่ตรงจริตของจริง ถึงเต้นเหย็งๆ
    <!-- / message --> <!-- sig -->
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณ Chayutt

    เมื่อ คุณโอนบุญ จนบารมีเต็มแล้ว จะทำอะไรต่อ

    จะมาชี้ นิพพาน อย่างผมไหม หรือ ว่าไม่สนใจ

    หรือจะติด มานะ ข้างถ่อมตน จนไม่กล้าปฏิบัติตรงต่อพระนิพพาน

    ท่านจะมาชักชวนคนไปเป็นเทวดา ก็ได้ ผมไม่ได้ต่อว่าต่อขานเลยเรื่องบุญ

    ผมมาชักชวน และ ชี้ทาง นิพพาน ให้กับสาธุชน ที่สนใจ และก็เพื่อให้ได้
    สดับเท่านั้นว่า นิพพาน มีจริง พระที่เข้าถึงได้ก็มีจริง พระที่เข้าถึงแล้วเหล่า
    นั้นก็ย่อมชี้ทางนิพพานให้ทั้งนั้น เพราะเป็นกุศลที่ท่านประจักษ์แก่ตัวแล้ว
    ว่านี้ของจริงที่สุด ส่วนพระองค์ไหนจะเห็นอะไรจริงกว่า หรือ สำคัญกว่า
    หรือ พากันเดินเล่นอยู่แค่สวรรค์ภูมิ ก็ทำกันไปสิครับ แต่ สวรรค์ นั้นพระพุทธ
    องค์ก็ชี้แล้วว่า มันมีทุกข์ เทวดาเขาก็มีทุกข์ มีชาติ ชรา มรณะ

    คุณเคยเห็นพระที่เข้าถึงนิพพานแล้ว ไม่ยอมชี้พระนิพพานให้ดูเลยบ้างหรือ
    หลวงพ่อฤาษีนี้ท่านก็ชี้เทวดาภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ชี้อยู่แค่นั้น ท่านก็
    ชี้ตรงต่อพระนิพพานด้วย

    ในบทสรรเสริญคุณของ สมมติสงฆ์ หรือ สงฆ์ก็มีแต่ ชี้ทางนฤพาน และเป็นเนื้อ
    นาบุญให้กับสาธุชน

    แต่เผอิญสงฆ์ที่คุณ Chayutt ยกขึ้นมาจนเป็นประเด็นไปทั่ว ผมก็ตามอ่านมา
    ปีกว่า ท่านชี้สมาธิหมุน และ ญาณะ ก่อนหน้านี้ แล้วก็เน้นไปเรื่องโอนบุญ

    แต่วันนี้ สิ่งเหล่านั้นหายไปจากหน้าเว็บ ซึ่งเป็นคอนเส็ปหลัก ถ้าเป็นผมก็ต้อง
    ฉุกคิดละว่าทำไมของดีถึงทนไม่ได้

    และวันนี้ พระท่านก็ออกนำหน้า เป็นทัพหน้าในการปรามาสงฆ์ด้วยกัน ทั้งๆ
    ที่เป็นเรื่องภายใน แต่ท่านแสดงออกหน้าเว็บให้เป็นเรื่องสาธารณะ ให้สาธุ
    ชนมารุมยำพระทุศีลกัน นั่นหรือ ทางที่จะพาไป


    ข้างบนคือตัวอย่างหัวข้อธรรมจาก เว็บวัดสามแยก
    ถึงแม้นว่า บทความข้างในนั้นจะยกมาจากพระไตรปิฏก
    แต่ก็ยกมาเพื่อเป้าหมายบางอย่าง และไม่ว่าธรรมะส่วน
    อื่นๆ ก็ยกมาเพื่อเป้าหมายบางอย่าง

    ยิ่งบทว่าด้วยการปฏิบัติสติปัฏฐาน ก็ยกมาเน้นว่า คนสมควรฝึกนั้น
    ต้องเป็นผู้มีวาสนาดีมาเกิด แต่แทนที่จะชี้ให้ปฏิบัติเสียก่อน เพราะ
    เป็นทางเดียวที่จะรู้ว่ามีวาสนามาเกื้อหนุนไหม ก็ยก นิพพานของปุถุชน
    เป็นเรื่องที่สนองอัตตา แล้วก็ยกนิพพานของพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้อง
    การนิพพาน เพื่อให้สอดคล้องกันว่า อย่าไปหวังใน พระนิพพาน
    แล้วก็ยกอะไรคล้ายๆกัน เพื่อให้เห็นภาพว่า นิพพานไม่ใช่ของง่าย
    นิพพานไม่ใช่ของที่จะยกมาพูดกัน เพราะเป็นเรื่องของอัตตา คือ ดู
    เหมือนชี้ว่า อย่าไปตัดตรงเข้านิพพาน มาทำ ทานบารมีให้เต็มก่อน
    นอกจากนี้ก็ชี้ไปอีกว่า ไม่ต้องไปปฏิบัติมาก จงเพียรศึกษาตำราให้
    ครบก่อนดังข้อความนี้ ซึ่งปรากฏในท้ายประโยค


    และที่น่าแปลกใจ ปัญญา ในที่นี้ กลับเป็นเรื่องต้องตรวจสอบ ซึ่ง ปัญญา
    นั้นเราก็รู้ๆกันอยู่ว่า ถ้ามี ปัญญา จริงแล้ว กิเลส จะต้องถูกประหานได้ ซึ่ง
    ไม่ต้องไปตรวจสอบอะไร ถ้ากิเลสหายไปแล้วยังไม่รู้ตัวว่าหายไป ก็น่าแปลก

    ก็ดูเอาเถิด ปัญญา ที่ท่านชี้ กลับวกไปเรื่อง ศีล และ จาคะ ว่าทำมาแค่ไหน
    ซึ่งตอนประพฤติศีล หรือ จาคะ ย่อมรู้ชัดอยู่แล้วว่าทำไปแค่ไหน ไฉนจะต้อง
    มานั่งสมาธิ ควบคุมสติ เพื่อตรวจสอบลงไปอีกทีว่า มีศีล หรือ จาคะ มาแค่ไหน

    โดยส่วนตัว ผมเห็นข้อความนี้แล้วรู้สึกมันคนละเรื่องคนละราวกับ ปัญญา ที่
    พระพุทธองค์ชี้ ว่า ปัญญา นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นไปของกิเลส
    แล อาสวะ เพื่อให้สามารถเข้าถึงนิพพาน ไม่ใช่เรื่อง บุญ มีเท่าไหร่ กองโต
    หรือยัง
     
  10. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ++

    คุณ ขันธ์ ครับ

    เมื่อคืนผมยังข้องใจกับคำว่าโอนบุญ อุทิศบุญให้คนอื่น มันจะได้หรือ ?
    และผมเช็คดูแล้ว ไม่ตรงกับที่คุณเปรียบเทียบ กับความชำนาญในการขับรถ
    ที่คนขับรถเป็นแล้ว ชำนาญแล้ว จะยกโอนให้กับคนอื่นไม่ได้

    เขาเปรียบให้ผมดูว่า มีศาสตร์หนึ่งที่คล้ายกันเรียกว่า พลังจักรวาล พลังชี่
    อะไรนี่ล่ะ มันมีอยู่รอบๆตัว ผู้เข้าถึงพลัง ที่เขารำมวยเพื่อรวบรวมพลังชี่
    นั่นล่ะ จะมีความรู้สึกและรับรู้พลัง สามารถถ่ายโอนหรืออัดพลังที่รวบรวม
    ขึ้นไส่ใว้ในตัวคนอื่น หรือผู้ป่วย พลังนี้จะถูกโอนไปและโอนมาได้

    บุญนั้นไม่มีรูปร่าง เป็นพลังงานเหมือนกัน คนที่สัมผัสบุญได้ กับคนที่สัมผัส
    พลังจักรวาลได้ก็คล้ายกันนั่นเอง เขาบอกผมอย่างงี้ครับ..

    เอ..แล้วพลังชี่ พลังจักรวาลนี่คุณขันธ์ว่ามันมีอยู่หรือเปล่า...
     
  11. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    เมื่อไรจะจบครับ.............
    ..............................
    ขอถามหน่อยครับ........เมื่อบรรลุแล้ว เมื่อเป็นแล้วนี่ เสื่อมเหมือนที่ใบไม้ พูดไหม......................
    ขอยกตัวอย่างครับ ...ทองคำก็คือทองคำ มีค่าในตัวมันเอง
    พอทองคำเปลี้อนขี้ เหม็นมาก อยากทราบว่า ค่าของทองคำ ยังเหมือนเดิมไหมครับ แล้วต่อให้มันอยู่ในกองขี้เยอะๆ คนไปเห็น จะเก็บไหมครับ
    ......................
    เถียงกันไม่รู้จบสิ้น ข้างๆ คู ....พอล่ะกระทู้นี้
     
  12. ส้มจ้า

    ส้มจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +46
    ขอค้านหลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล

    หยุดโต้แย้งกันเถอะค่ะ เอาเป็นว่าใครศรัทธาอย่างไหน ก็ปฏิบัติตามสายนั้น ละชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ หัวใจของพระพุทธศาสนา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ความคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน อาจจะยากในการตัดสินว่าใครผิด ใครถูก แต่ถ้าทางที่เราปฏิบัตินำเราให้เป็นสุข ไม่เบียดเบียนตนเอง และคนอื่นนั่นก็ถือว่าได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

    ตอนแรกก็เข้าใจและรู้สึกดีใจ ที่กระทู้นี้จะนำมาประโยชน์ซึ่งการได้แลกเปลี่ยนกันทางความคิดในเรื่องของหลักคำสอนของศาสนา แต่เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ จึงไม่เป็นการดีเลยที่พวกเราชาวพุทธด้วยกัน ต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกัน เชื่อเถอะค่ะว่าคนที่ปฏิบัติธรรมจริง ๆ เท่านั้นที่ย่อมรู้ว่าทางไหนเป็นทางที่ควรเชื่อ ควรศรัทธา ดังนั้นก็หันมาปฏิบัติธรรมกันจริง ๆ ดีกว่าค่ะ ถ้าทางที่เราปฏิบัติแล้วทำให้เราสบายใจ ก็ปฏิบัติไปตามทางนั้นแหละคะ

    หยุดกันนะคะ หยุดคิด หยุดโต้แย้ง ทำใจให้สงบ ใจเราร่มเย็นแค่นั้นพอ
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็มันน่าแปลกใจนี่ครับ

    คุณ ขจร เองก็เล่นกระทู้ไป ดูอารมณ์ไปได้ ทำสติปัฏฐาน 4 ใช่ไหม

    แต่ไปอ่าน ธรรม ที่หน้าเว็บหลักวัดสามแยก ท่านบอกสติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่
    ฐานะคนในปัจจุบันจะไปทำกัน สังคมมันวุ่น แล้วก็ยกสภาวะธรรม 6 ข้อ
    เช่น ถ้ายังเอาแต่นอน ถ้ายังไม่รู้จักประมาณการกิน ถ้าศีลยังขาดๆ ไม่
    สามารถรักษาให้บริสุทธิได้ เป็นต้น นี้แบบนี้ไม่ต้องหวังจะไปปฏิบัติสติ
    ปัฏฐาน 4 ไม่ใช่ฐานะ

    แล้วก็ชี้ว่า คนที่ทำไม่ได้นะมี คนเหล่านั้นมาฟังหลวงพ่อ อันนี้เข้าใจ

    แต่ คุณ ขจร ครับ

    คุณปฏิบัติสติปัฏบาน 4 ตอนนี้ได้บ้างไหม หรือ ไม่ปฏิบัติไม่ได้เลย

    พระที่ผมไปพบมา ท่านชี้ว่า จะกินอาหาร จะนั่งปลดทุกข์ในห้องน้ำ
    จะอาบน้ำ แปรงฟัน จะทำงานทำการ จะนั่ง นอน ยืน เดิน ล้วนทำได้
    หมด เจริญสติ และสัมปชัญญะได้หมด ไม่ต้องรอให้บารมีเต็ม ก็เติม
    วาสนาที่ต้องมีเสียวันนี้ วาสนานั้นเอาแต่ทำบุญมันไม่ใช่ คนมันมีชาติ
    ชรามรณะทั้งนั้น พระอรหันต์ก็มีเชื้อโรคได้ พระพุทธเจ้าก็ยังมีเจ้ากรรม
    นายเวรได้อยู่ ท่านไม่ได้โอนบุญไปให้ ท่านชี้ว่า ให้ยอมรับต่างหากถึง
    จะหลุดพ้น การมีเจ้ากรรมนายเวรนั้นเรื่องธรรมดาของขันท์

    ผมก็ลองทำแล้ว ก็พบว่าทำได้ ทั้งที่ทำงานคอมพิวเตอร์ เขียนโปรแกรม
    ตอบรับข้อขัดข้อง ยกคอมฯมาซ่อม ตอบสนองความต้องการให้ทัน
    ท่วงทีต่อผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ ทั้งบริษัท งานยุ่ง แต่ก็กลับ
    เจริญสติปัฏฐาน 4 ได้ อย่างน้อยคุยกับใครแล้วเห็นอารมณ์โทษะขัด
    เคืองเกิดและถูกรู้ ก็ทำได้ ไม่เห็นมันจะยากอะไร ไม่เห็นต้องไปทำ
    บุญ โอนกรรม ให้เชื้อร่งเชื่อโรคอะไร ทุกวันนี้ปวดหัวตัวร้อนก็ดูไปสิ
    เวทนาในกายในกาย มันไม่ใช่ตรงไหน ทำไมไปดูละ เจ้าประคุณ
    เชื้อโรคเจ้าขา พี่โอนกรรมให้นะ อย่ามาเบียดเบียนกันนะ แปลกคน

    นี่ถ้าท่านเชื่อหลวงพ่อเกษม คุณขจรก็ไม่ต้องทำสติปัฏฐาน 4 หลอก ต่อ
    ให้บวชเป็นภิกษุ ศีลยังพร่อง ยังนอน ยังกิน ก็ไม่ต้องทำสติปัฏฐาน 4 หลอก
    มาโอนบุญกันก่อน

    ถ้าคุณทำสติปัฏฐาน 4 อยู่ตอนนี้ คุณก็คือคนหนึ่งที่ไม่เชื่อหลวงพ่อเกษม

    คนที่ไม่เข้าใจตัวเอง ผมก็ไม่รู้จะเสียเวลาคุญทำไมเหมือนกัน

    ของง่ายๆ ชี้ให้ยาก

    วาสนาการทำสติปัฏฐาน 4 เอาไปปน บุญกริยาวัตถุ ก็พาออกนอกเขตพุทธาวาส
    ไปเสียเลย สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ผมสรุปได้แล้วนะ ใครว่าสรุปไม่ได้หละครับ
    ก็หยุดแล้ว ส่วน ท่านอื่นเขาจะสนทนาต่อ ก็เรื่องของเขา เพราะเขาก็มีความเห็น ต่อเนื่อง ก็เป็นเรื่องดี
    อย่างเช่น ท่านเอกวีร์ ยกเหตุผลมา ก็ชัดเจน
    ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหยุด เพราะว่าทะเลาะกัน ผมยังไม่ได้ทะเลาะกับใครเลย
    ก็โต้แย้งกันมันก็ธรรมดา นะครับ
     
  15. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    "ก็ดูเอาเถิด ปัญญา ที่ท่านชี้ กลับวกไปเรื่อง ศีล และ จาคะ ว่าทำมาแค่ไหน
    ซึ่งตอนประพฤติศีล หรือ จาคะ ย่อมรู้ชัดอยู่แล้วว่าทำไปแค่ไหน ไฉนจะต้อง
    มานั่งสมาธิ ควบคุมสติ เพื่อตรวจสอบลงไปอีกทีว่า มีศีล หรือ จาคะ มาแค่ไหน"

    คุณเอวีร์ กล่าวยังงั้นก็ไม่ถูก สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญในฌานแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องใช้ฌาน ขั้นสูดสุดที่เข้าได้เป็นตัววัด ศีล วัดกิเลส จาคะ ทั้งหลายพวกนี้
    ว่าเมื่อเราใช้ฌานสมาธิเข้าข่มกิเลสแล้ว อารมณ์จิตที่เกิดขึ้นมาในสมาธิกับ
    อารมณ์ที่มีตอนประพฤติศีลนั้น นับได้เป็นอริกัน หรือ ส่งเสริมกัน เป็นการกระทำที่มีกิเลสตัวใด ทำหน้าที่ร่วมด้วย ทุกๆครั้งที่เราเข้าสมาธิก็จะเช็คในสภาวะนั้น เพื่อการเป็นไปให้ถูกทาง เป็นทางสู่พระนิพพาน
    อันว่าสภาวะ ที่เข้าได้ถึง คั้งแต่ ทุติยฌานจนถึงอรูปฌาน เป็นสภาวะที่ไม่ถูกจิต
    ปรุงแต่ง ไปตามกิเลสมากน้อย ต่างกัน แต่ก็ยังดีกว่าจะใช้ตำรา มาเปรียบเทียบ
    เอาตามความเห็นที่เคยเรียนมา

    ผมถึงได้บอกว่าหลวงพ่อองค์นี้เป็นพระป่า เพราะสายพระป่าเราใช้วิธีเช็คกิเลสโดยใช้สมาธิฌาน ไม่ได้หมายความว่าท่านอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้อยู่ป่าจึงไม่เรียก
    พระป่าอย่างที่คุณ ขันธ์ เข้าใจ พฤติกรรมบางอย่างอาจขวางหูขวางตา เรายัง
    สรุปว่าพระดี-ไม่ดี นั้นไม่ได้ ต้องใช้สมาธิเช็ค

    บางคนประพฤติตัวดี มีศีล รู้ตัวขณะประพฤติ แต่ไม่นับว่าดี เพราะ กิเลสละเอียด ชั้นสูง สกทาคามีผลขึ้นมา ความดีที่ประพฤตินั่นแหละ ตัวกิเลสเบาๆ
    ที่ต้องรู้ให้ทัน มันโน้มไปทางบุญนิดหน่อย ห่างบาปมากหน่อย จะรู้โดยสมาธิเท่านั้นว่าเป็นกิเลสเบา เป็นสังโยชน์..
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

    พระวัดสามแยก ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจให้กับทุกคนได้ ผู้ใดสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่พวกเราอธิบาย ก็ไปด้วยกันกับพวกเราได้ ก็จงอยู่ศึกษาเล่าเรียนธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยกันกับพวกเรา

    ส่วนผู้ใดเมื่อฟังพวกเราอธิบายธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ควรไปหาผู้อื่นที่สามารถจะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ และควรปล่อยให้พวกเราได้ดำเนินไปตามเรื่องของพวกเราซะ


    พระเกษม อาจิณฺณสีโล และพระวัดสามแยก
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ท่านเคยเห็นใครทำแบบนี้ นอกจากอาจารย์สัญชัย
    พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้ ทำแบบนี้
    ในเมื่อหลวงพ่อ เกษม ทำอะไรที่แตกต่างจากหลักสำคัญในศาสนาแล้ว มีผู้ท้วงติง มากมาย
    ท่านน่าจะคิดได้ ข้อนี้จะไม่มีปัญหาเลย หากว่าท่าน ไม่อ้างตัวว่าเป็น พุทธศาสนา และ อ้างตัวเป็น ศิษย์พระป่า

    ตามธรรมดา เมื่อมีผู้คัดค้านมากมายขนาดนี้ ก็ต้องสำรวจแล้วว่า ข้อใดที่ ผิดพลาด แต่ท่านกลับบอกว่า อย่ามายุ่งกับเรา ให้ไปที่อื่น

    พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ลองพิจารณาดุว่า มีไหม ที่หลวงปู่มั่น ที่หลวงปู่หล้า ที่หลวงตามหาบัว ที่หลวงปู่แหวน ที่ท่านพ่อลี จะโดนคัดค้านแบบนี้ ในเรื่องของคำสอน ธรรมทุกอย่างที่ออกจากพระอริยะย่อมสละสลวย ไม่ขัดกับความดีของโลก ไม่ขัดต่อความดี โลกุตระธรรม กินความถูกต้องมาตั้งแต่ โลกียธรรมจนถึง โลกุตระธรรม
    ไม่ผิดเพี้ยนต่อคำสอนของพระพุทธองค์
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แต่คุณขุนพล คุณน่าจะปฏิบัติมาพอสมควร คุณเห็นตรงตามนั้นหรือว่า
    จะเช็คว่า กิเลส สิ้นไปหรือไม่ ต้องใช้ ฌาณ สมาธิเข้าไปดู

    ฌาณ เข้าไปเมื่อไหร่ กิเลส มันก็ถูกซ่อนเมื่อนั้น ข้อนี้ท่านไม่ทราบหรือ

    กิเลส ส่วนลึกที่เป็น อาสวะ ใช้กำลัง ฌาณ เข้าไปดูได้หรือ ก็มันปรุงแต่ง
    ให้คุณนั่งลงปฏิบัติอยู่ คอยเดินหาครูบาอาจารย์อยู่ แค่คุณต้องนั่งลงปฏิบัติ
    หรือ นึกว่าต้องไปหาอาจารย์ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า อาสวะ ยังมีอยู่ ไม่ต้องใช้
    กำลัง ฌาณ อะไรเลย

    แล้ว ฌาณ ที่ตัดสังโยชน์ทั้งหมด ก็เป็น ฌาณ ที่เกิดกับ จิต เขาเอง สัมปยุตติ
    กับดวงจิตเอง พ้นการควบคุมทั้งปวง ดังพระอานนท์ท่านสิ้นอาสวะก็เพราะ
    ไม่ได้จงใจกระทำสิ่งใดๆอยู่ จิตไปรวมกับอัปปนาสมาธิเอง โดยอัปปนาสมาธิ
    นั้นพระอานนท์กระทำอยู่ก็ไม่ใช่ เพราะกำลังเอนกายลงนอน

    มันเป็นเรื่องของ จิต ที่ไม่ใช่เราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่อง ฌาณ ที่เราจะต้องไปตรวจ
    ลงไปตรวจเมื่อไหร่ ก็อวิชชา ปกปิก นั่งทับมันเมื่อนั้น ต่อให้เจริญเข้าสู่อา
    กาสา เนวสัญญาก็หาอาสวะไม่พบหรอก มันถูกทับหนักกว่าเก่าอีก

    ที่ยกกรณีพระอานนท์ให้ดู ก็เพราะว่า ท่านเป็นคนทำงาน งานหนักกว่าเราเป็น
    พันๆเท่า งกๆเอาแต่คอยดูแลพระพุทธองค์ ดูแลคนที่มาคอยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
    ตลอดเวลา เช้า สาย เย็น ย่ำค่ำ กลางดึกสงัด วันไหนตามไปไม่ทัน ก็อราถนา
    ขอพร ขอให้ได้ธุระ สดับธรรมทั้งหมด สรุป เนี่ย ตัวอย่างคนทำงานอย่างปัจจุบัน
    และ ตัวอย่างคนที่ไม่ได้นั่งปฏิบัติธรรมเลย จนกระทั่ง 3 เดือนสุดท้านที่ต้องเร่งแล้ว
    เพราะถูกกำหนดให้เข้าสังคยานา ทั้งๆที่เป็น โสดาบัน อยู่ แต่ก็สำเร็จได้ ตัวอย่าง
    ก็มีอยู่ให้เห็นว่า ทำได้ ที่ทำได้ เพราะ ท่านเจริญสติปัฏฐาน 4 ตลอดการทำงาน
    อยู่ 40 ปีนั้นแหละ สติ สัมปชัญญะ ถึงได้อบรมไปด้วยระหว่างทำงาน จะไปนั่ง
    โอนบุญ ทำสมาธิก็ไม่ได้ทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  19. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ถุ ถุ ถุ ถูกกกกกกกต้องนะคร้าบบบบบบบบบบบบ.
    ..............................
    คุณเอกวีร์ครับ
    ผมพิจารณา ตามแบบ พระพุทธเจ้า
    ผมเบิกบุญตามแบบหลวงพ่อเกษมไปด้วย
    ผมวิปัสนาในใจตามแบบหลวงปู่มั่น
    แล้วถ้าผมฝึกพลังซี่กงไปด้วย
    และผมไปลง ธรรมกายมาด้วย
    และผมฝึกเพ่งกสินไปด้วย
    ผมฝึกมโนยิทไปด้วย

    และที่สำคัญผมฝึกตอน กำลังนั่งขี้ไปด้วย
    ................
    คุณว่าผมผิดไหมครับ
    ...............
    และตอนผมกินข้าวผมพิจารณา ว่ากำลังกินขี้อยู่
    ผมผิดไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2008
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ จร คุณไม่ผิดหรอก แต่คุณทำผิด เพราะว่า ถ้าคุณทำวิปัสสนาแบบหลวงปู่มั่นจริง คุณจะพบว่า คุณควรทำอะไร
    และคุณ ควรเลือกอะไร และคุณจะรู้ว่า ควรทำอะไรเวลาไหน และคุณจะรู้ว่า อะไรคือ โลกียธรรม และ อะไรคือโลกุตระธรรม และคุณจะไม่ฝึก มโนมยิทธิเวลาอึ เพราะว่านั่นเท่ากับ คุณ ไม่มีสติเป็นอย่างๆไป คุณทำหลายอย่างพร้อมกัน ไม่เป็นเอกคตาจิต
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...