ทำไมพระสมัยก่อนถึงได้อภิญญากันเยอะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wuttichai0329, 3 พฤศจิกายน 2016.

  1. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ทำไมพระ. ยุค พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นต้นมา. ถึงได้ อภิญญากันเยอะครับ
    มีวิชา. คาถาอาคม. กัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3146.JPG
      IMG_3146.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72.3 KB
      เปิดดู:
      1,002
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    มีมาจนถึงยุค ท่านหลวงพ่อโอภาสี
    แห่งอาศรมบางมดครับคุณ wuttichai .
    คือเริ่มจะหมด แต่ยังพอมีครับ แต่หาได้ยากครับ
    แต่ถ้าแบบเครื่องรู้ไว แบบสัมผัสภายในลึกซึ้งยังมีมากอยู่ครับ
    ณ ปัจจุบันนี้ครับ กระจายๆอยู่ทุกภาคของประเทศไทยครับ

    ที่ส่วนตัวกล่าวว่าได้อภิญญาแบบสมัยก่อนนั้น
    ที่ว่าเก่ง คำว่าเก่งในที่นี้
    หมายถึงสามารถทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรมได้นะครับ
    พอเข้าใจนะครับ เช่น ไฟเป็นไฟจริงๆ น้ำเป็นน้ำจริงๆ
    หายตัวได้เห็นๆ หยิบจับของในอากาศได้เห็นๆ
    ไม่ใช่แบบมายากลนะครับ

    เพราะว่าที่ท่านทำได้ตัวจิตท่านสามารถ
    ตัดเรื่องลาภสักการะ ตัดเรื่องการติดยศ ตัดเรื่องการติดสุข
    และตัดเรื่องสรรเสริญได้ขาดครับ ย้ำว่าขาดจริงๆนะครับ
    เรียกว่า ทั้งวันแทบจะไม่มีอะไรมาเกาะตัวจิตท่าน
    ทำให้จิตท่านเกิดได้เลยครับ(สูสีพระอรหันต์ครับ)
    แต่เกือบทุกท่านที่ได้สนทนาด้วย
    จะมีเส้นทางเหมือนกัน คือหายเข้าป่าไปคนเดียว
    หลายปีครับ
    ดูหลักๆตรงนี้ก็พอคาดคะเนได้ครับ..

    เพราะเมื่อผู้ใดก็ตามฝึกอะไรมาก็ตาม
    มาถึงระดับหนึ่ง แม้ว่าจะมีความสามารถทำได้
    แต่ว่า มันจะยังเป็นในระดับโลกียะอยู่ครับ คือมันมีเสื่อมได้
    ซึ่งถ้าพูดในเชิงการปฏิบัติก็คือ มันช้า ต้องเล่นหลายกระบวณท่า
    คือต้องฟิต ต้องซ้อมบ่อยๆ
    แต่ผลที่ได้กลับไม่มาก ตะกุกกะกัก ขาดๆเกินๆ ที่สำคัญคือเหนื่อย
    และหนัก(ในที่นี้คือตัวจิต) หนักจนกระทั่ง
    ทำให้จิตรู้สึกเกิดเวทนาได้ในเวลาต่อมาครับ

    ดังนั้นเมื่อเกิดมีมาแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะมาทิ้ง
    ทิ้งในที่นี้คือ ไม่พยายาม ไม่ฝึกไม่ฝนต่อ แล้วไปตัดที่ตัว
    โทสะ โมหะ โลภะ ที่จะไปดึงเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ที่มีอยู่แล้วภายนอกจนยึดเข้ามาเป็นตัวเองอย่างที่ไม่รู้ตัวครับ...
    ซึ่งแน่นอนว่า จะเกิดขึ้นได้พร้อมกับปัญญาทางธรรมที่เพิ่มขึ้น
    เพื่อมาหนุนการตัด ลาภยศสุขสรรเสริญตรงนี้ครับ

    และความสามารถต่างๆที่ทิ้งไปนั้น กลับพบว่า มันเบาขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น
    ให้เวลาน้อยลง ไม่เหนื่อยเพราะไม่มีตัวเองเป็นผู้ไปกระทำ
    สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตท่านนั้นๆ
    ที่ท่านได้เคยสะสมบารมีทางด้านนั้นๆมาครับ...

    ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ มาจากประสบการณ์ตรง
    ที่ส่วนตัวนั่งสนทนากับท่านที่ทำนามธรรม
    ให้เป็นรูปธรรมได้ที่ยังมีชีวิตอยู่(พระสงฆ์นะครับท่านนี้หายไป
    ในป่า ๗ ปีถึงค่อยออกมาครับ)
    และท่านทำได้แบบตาเห็นๆมาครับ และพระสงฆ์อีก ๓ ท่าน
    ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก ท่านก็กล่าวในทำนอง
    เดียวกันกับท่านที่พลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้เช่นกันครับ
    ปล.ยังไงนะครับ ให้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองก็ได้ครับ
    ขอให้ฝึกกรรมฐานอะไรก็ได้ครับ ให้สำเร็จถึงขั้นในระดับใช้งาน
    ได้จริงๆซักกรรมฐานหนึ่งลองดูครับ แล้วลองใช้กำลังตัวเอง
    ในการใช้งานไปซักระยะหนึ่งดูนะครับ พอจิตเริ่มเกิดเวทนา
    เด่วมันจะมาเริ่มทิ้งได้เองของมัน แล้วก็มาตัดลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ดู ความสามารถต่างๆจะเกิดขึ้นมีมาได้เอง
    ตามแต่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตเรา ที่เราเคยสะสมมาในอดีตครับ
    ซึ่งแตกต่างและมีความชำนาญในแต่ละะด้านไม่เหมือนกัน
    และมันจะเป็นแบบไม่มีเสื่อมหรือถอยลงครับ
    แล้วจะเข้าใจที่ผู้เขียนๆให้อ่านในวันนี้ได้เลยแบบอ่อๆเลยครับ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นระดับความสามารถที่ทำได้จะขึ้นอยู่กับ
    ความสามารถของจิตที่สามารถตัด ลาภ ยศ
    สุข สรรเสริญ จากปัญญาทางธรรมที่มีร่วมด้วยนั่นเองครับ
    ประมาณนี้ครับ (^_^)
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อ้อ ที่แท้ก็เป็นจังซี่นี่เอง ก็ว่ากันไป ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าไม่เยอะ แต่จริงๆ กลับเยอะ เยอะเพราะ ต้องมาสร้างให้เกิดและเป็นไปเองที่ตัวจิตจริง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลา เรียนรู้ ผ่านประสบการณ์ดีร้ายต่างๆนานา ค่อยๆ เห็นตัวเองไปเรื่อย ๆ เร่งก็ไม่ได้อีก วิบากกรรมนำเรียนรู้

    เมื่อจิตเค้ายอมรับความจริง มันจะละมุนละไมกว่าการใช้เพียงหลักเหตุผลนัก หลักเหตุผลทำให้คนมีทิฏฐิ แล้วก็ทุ่มเถียงทะเลาะกัน ขาดความอ่อนโยน ขาดเมตตาธรรม ทั้งๆที่ว่าเมตตา ๆ แต่จริงๆ ก็แพ้ทิฏฐิตัวเองอยู่นั่นเอง ปล่อยให้ทิฏฐิมันวิ่งออกหน้ามากกว่าสติสัมปชัญญะเสียอยู่ร่ำไป การนับถือเคารพยกย่องปัญญา ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ใช้ไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ปัญญาล้ำหน้าสมาธิก็ฟุ้งซ่าน ก่อร่างสร้างทิฏฐิมหาศาล

    เรื่องนี้ผมไม่ได้ว่าใคร เป็นประสบการณ์ของตัวเองทั้งนั้น การเรียนรู้ต้องให้จิตสัมผัสจริงๆ คือใช้ใจเรียน ถ้าใจได้เรียนรู้ มันจะสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาเอง เหมือนเจ็บแล้วจำ แต่จะต้องประกอบด้วยการเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิมาก่อนแล้ว มิฉะนั้นจะกลายเป็นการสะสมความมีอัตตา ก่อภพก่อชาติไปเรื่อยๆ การเห็นที่ถูกตรง แม้จิตจะได้เรียนรู้ และมีกำลัง แต่กลับไม่ใช่ตัวกูของกู จิตก็สักแต่ว่าจิต แต่ถ้ามันเรียนรู้ผิดมันจะนำทุกข์มาให้ไม่เลิก ดังนั้นจะต้องวางเขาให้อยู่ในที่อันควรด้วย นั่นคือความไม่ประมาทนั่นเอง
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ที่คุณ Tboon พูดไม่ทราบว่ามันเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้
    ทำไมพระสมัยก่อนถึงได้อภิญญากันเยอะ
    ตามที่เจ้าของกระทู้ถามมา ตรงส่วนไหน
    ประเด็นไหน ของเนื้อหาที่ คุณ Tboon เขียนครับ
    ส่วนตัวถามเฉยๆนะครับ ไม่ได้กวน
    คือคุณอ่านหัวข้อกระทู้แล้วตอบ
    หรือว่าคุณมาอ่านข้อความของผม
    แล้วคุณตอบ เพราะผมไม่ใช่คนตั้งกระทู้นะครับ
    เพราะนี่มันพึ่งแค่คำตอบแรก เองครับ
    หรือว่าเข้ามาบ่นๆให้ฟังเฉยๆครับ
    จะได้รู้ไว้ คือส่วนตัวจะรู้ไว้ว่าคุณ
    จะตอบเจ้าของกระทู้หรือว่า
    ที่คุณเขียนมันเกี่ยวกับที่ผมตอบเจ้าของกระทู้
    จะได้คุยกับคุณอีกแบบครับ
    เอาแบบตรงๆ
    ขอคำตอบที่ชัดเจนด้วยครับ(^_^)
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คุยกับคุณนพน่านแหละครับ ถ้างั้นก็ขออนุญาตและขออภัยท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ที่บ้านตั้งแต่เล็ก ยายจะสอนให้สวดบท "อิติสุคโตฯ" ของหลวงพ่อโอภาสีก่อนนอนทุกวันครับ
     
  7. Rama bodhisattva

    Rama bodhisattva Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +63
    พระภิกษุสมัยนี้ยิ่งกว่าได้อภิญญาอีกครับ ไม่ต้องมีฤทธิ์ทางใจ ครับ มีแต่ฤทธิ์ทางนิ้วครับ ชี้นิ้วสั่งเอาได้ทุกอย่างครับ โดยเฉพาะพระที่ตำแหน่งสูง ๆ ใหญ่ ๆ โต ๆ นะครับ รับรอง สั่งได้หมดครับ ชี้นก เป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ครับ เสียอย่างเดียวครับที่สั่งไม่ได้ คือ สั่งไม่ให้ตัวเองเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่ได้ ครับ
     
  8. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    คิดว่า

    ท่านสมัยนั้น ท่านเอาจริงเอาจัง
    ไม่มีทำเล่นๆหยุดๆทำๆ หรือโชว์พาวเว่อ

    อย่างเบสิก วัตรเช้าเย็น ไม่ต้องมาเรียก แต่เป็นปกติ

    พื้นฐานเลยแน่น พอครูอาจารย์จะต่อยอดให้ มันเลยง่าย
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    องค์ไหนกันหรือครับ ที่ได้อภิญญา ??
    โดยมาก จากประวัติพระเกจิอจารย์ต่างๆที่ผมพอจะเคยอ่านมาบ้าง
    มักจะเป็นเรื่องเล่า ที่เขียนโดยนักเขียน ที่เอาข้อมูลจากคำเล่าลือ
    พระเกจิอจารย์องค์นี้ มีอภินิหารอย่างนี้ๆ ซึ่งก็อ้างว่า เป็นคำบอกเล่า
    จากญาติโยมหรือสานุศิษย์ นั่นเอง เช่นบอกว่า หลวงองค์นี้ล่องหนได้
    หลวงพ่อองค์นี้ ย่นระยะทางได้
    แต่ผมไม่เคยเห็นหลวงพ่อองค์ไหนท่านออกมาพูดว่า อาตมาล่องหนได้ เดี๋ยวจะหายตัวให้ดู หรืออาตมาย่นระยะทางได้ เดี๋ยวย่นระยะทางให้ดู โยมคอยดูให้ดี หรือมีผู้ถามและขอร้องให้ท่านแสดงให้ดูตรง แล้วท่านก็
    แสดงให้ดูเลย ส่วนมากที่อ้างกันว่า มีอภินิหาร ก็เป็นเพียงคำบอกเล่าของ
    ญาติโยม หรือสานุศิษย์ ซึ่งก็ไม่ได้ขอให้ท่านแสดงให้ดูแบบจะจะ
    มีแต่เล่าตามอาการที่น่ากังขา แล้วมาสรูปเอาว่า น่าจะเป็นอย่่างนั้นๆ
    แล้วก็เข้าใจกันไปเองว่าท่านมีอภิญญา ทั้งๆที่ท่านไม่ได้พูด
    ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ที่ว่าท่านมีอภิญญานั้น
    ท่านมีอภิญญาจริง โดยท่านพูดออกมาเองหรือยอมแสดงให้ดู ไม่ใช่แค่
    การสรูปเอาเองของญาติโยมหรือสานุศิษย์
    (ที่ตอบแบบนี้ เพราะผมมีประสบการณ์น้อย ยังไม่เคยเห็นมีใครมาแสดงอภินิหารแบบให้เห็นจะจะ
    ก็เลยรับรองไม่ได้ว่า เรื่องที่เขาเล่าๆกันมามันจะเป็นความจริง เพราะไม่เคยเห็นมากับ
    เพียงแต่ได้อ่านหรือได้ฟังเท่านั้น ซึ่งก็ต้องถือเป็นเรื่องเล่า จึงต้องฟังหูไว้หู
    )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2016
  10. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    น่าจะมีมาก่อนหน้านี้แล้ว(พ.ศ.2400) เพราะพระพุทธศาสนาดำรงคงอยู่ในประเทศไทยมานาน แต่เหตุที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบก็เพราะการจดบันทึก การบอกเล่าและการสืบทอดของลูกศิษย์ ส่วนปัจจุบันเชื่อว่ามีพระที่ท่านทำได้ แต่ท่านจะแสดงให้เราเห็นหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคนนะ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    ขออนุญาติเจ้าของกระทู้พูดแบบทั่วๆไปนะครับ
    การที่เราฟังหูไว้หูนะดีแล้วครับ..และไม่ควรไปยึดอะไรมากมาย
    ว่าจะต้องจริงหรือไม่จริง จริงก็ช่างไม่จริงก็ช่างครับ
    คำว่ามีมาจนถึงยุคท่านหลวงพ่อโอภาสี
    หมายถึงว่า สมัยก่อนนั้นเคยมีอยู่แล้วเป็นปกติ
    เริ่มจะมาหมด ยุคท่านสามารถพบเห็นได้ไม่ยากครับ

    ยกเว้นว่าจะมีความสามารถในการรับรู้ได้ด้วยตัวเอง
    ได้สัมผัสรับรู้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะการปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยตนเอง
    หรือการได้มีประสบการณ์พบเห็นด้วยตนเองครับ
    แม้กระนั้นก็ไม่ควรที่จะยึด หรือ มีความพยายามที่จะต้อง
    ยัดเหยียดความเชื่อ หรือสิ่งที่สัมผัสมา แม้จะสัมผัสได้จริง
    รับรู้ได้จริง ก็ไม่ควรที่จะต้องไปยัดเหยียดว่ามันจริง
    มันจะจริงหรือไม่จริงก็ช่างมันเอาไว้ก่อนครับ..

    ยกตัวอย่าง สมมติกระผมบอกว่า เคยเห็นท่านนี้ทำโน้นนี่นั้น
    กับตาตัวเอง แล้วกระผมมาบอกต่อ การบอกต่อแต่ว่า
    คนอื่นๆเค้าไม่ได้เห็นกับเรานี่ครับ
    ซึ่งเค้าก็จะรับรู้จากการได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านมา
    และการทำโน้นนี่นั้น มันไม่ได้เป็นสากล
    ดังนั้นแม้พูดได้ก็ยึดไม่ได้
    ระบุชัดๆไม่ได้อยู่แล้วจึงถือว่าไม่แปลกอะไรครับ
    ถ้าใครจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไปครับ

    คล้ายๆคนเคยเห็นผีกับไม่เคยเห็นผีนั่นหละครับ
    พอนึกภาพออกนะครับ ก็ขนาดเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ
    ยังยึดไม่ได้กับสิ่งที่เห็น เพราะมันไม่มั่นคงและถาวร
    แล้วจะไปพยายามยัดเยียด อะไรให้คน
    ที่เค้าไม่เคยเห็นผีว่าผีมันมีจริงหละครับ เสียเวลา
    เด่วถ้าเค้าเห็นได้เองเค้าก็รู้เองนั้นหละครับ
    ส่วนเราเห็นได้เราก็เฉยๆไปไม่ต้องไปยึด
    ก็แค่นั้นแล้วก็กลับสู่โลกความจริงกันต่อไป
    คือโลกที่ตาเห็นได้เท่าที่ตามองเห็น
    ไม่ใช่โลกนามธรรมที่ ตาเห็นได้เท่าที่ใจเห็นครับ
    แม้ว่าจะอยู่คู่กันมานานแล้วก็ตาม พอนึกภาพออกนะครับ

    และตั้งแต่ที่มีประสบการณ์มา
    ทุกท่านที่เคยสัมผัสมา ล้วนเป็นพระสงฆ์
    และไม่มีท่านใดๆจะมาแสดงอะไรให้ดูอย่างเปิด
    เผยอยู่แล้วครับ บางท่านส่วนตัวเคยถามว่า
    อาจารย์ไม่ทำอย่างโน้นนี่นั่นหละครับ
    ทั้งๆที่ท่านรู้ลึกละเอียดมากๆ
    ท่านก็บอกว่าเราเป็นพระสงฆ์(เข้าใจคำนี้นะครับ)
    แต่พระพุทธท่านไม่ได้ห้าม
    ท่านสอนฆารวาสนิครับ(เข้าใจนะครับ)..
    ปัญหาคือเราจะไปถึงยังจุดที่ท่านจะสอน
    จะแนะให้เราได้หรือยังเท่านั้นเองครับ
    และจะทำได้อย่างที่ท่านแนะ อย่างที่ท่านทำได้
    หรือเปล่านั่นหละครับปัญหาหลัก...


    และที่หลายคนเห็นได้เพราะเห็นโดยบังเอิญ
    ที่หลายคนสัมผัสได้ว่าทำท่านโน้นนี่นั้นได้ เพราะว่า
    เราปฏิบัติด้วยตัวเราเอง สิ่งที่ถ่ายทอดออกมามันฟ้องว่า
    ท่านทำได้หรือไม่ได้ ฟ้องว่าท่านรู้หรือไม่รู้
    และบางท่านก็ทำเฉพาะกับลูกศิษย์ใกล้ชิด
    แต่ทุกท่านนั้น ล้วนเน้นเรื่องเดียวกันคือ
    เรื่องปัญญาเพื่อการหลุดพ้นหรือมีปลายทาง
    เดียวกันทั้งนั้นหละครับ​​​​​​​

    ปล อย่าไปรวมกับกลุ่มที่อาศัยผ้าเหลือง
    เพื่อลาภ ยศ สุข สรรเสริญอย่างใด
    อย่างหนึ่งนะครับ (^_^)
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    จะลองศึกษาดูครับ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453

แชร์หน้านี้

Loading...