ความเชื่อหลังความตาย !

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ยายทองประสา, 29 กุมภาพันธ์ 2008.

?
  1. เชื่อว่าตายแล้วสูญ (คนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ (ยังมีภพชาติหน้ารออยู่ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส)

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ยังไม่ปักใจเชื่อ, ไม่แน่ใจ, ไม่รู้สิ, ไม่ทราบเหมือนกัน และอื่นๆ

    0 vote(s)
    0.0%
  1. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ป๋มเชื่อว่าตายแล้วเสียวกั๊บ [​IMG]
     
  2. บุตรแก้ว

    บุตรแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +520
    ผมโหวตให้กับข้อ 2. เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ (ยังมีภพหน้ารออยู่ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) ผมว่าข้อนี้เป็นสัจธรรม (ธรรมชาติที่เป็นความจริง)คือหนึ่งไม่มีสอง จะอีกกี่ชาติ กี่ภพ ก็เป็น สัจธรรม
     
  3. ธนาวุฒิ

    ธนาวุฒิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +47
    ตายแล้วไม่สูญนะ ร่ายกายเป็นเพียงวัตถุ วัตถุย่อมเสื่อมสลายไปตามกาล เหลือไว้แต่จิตวิณญาณ ซึ่งไปทางไหนแล้วแต่กรรมดีกรรมชั่ว มีการเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าพระผู้เป็นใหญ่ในพระนิพพาน มาแสดงธรรมให้บรรลุพระนิพพานกันหมด ก็จะหมดยุดของมนุษย์ในโลกนี แต่จะไปเกิดอีกในจักรวาลใดไม่มีคำตอบ
     
  4. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    เชื่อตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เชื่อว่าทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    เชื่อว่ามีนรก สวรรค์
    เชื่อบุญกรรม
     
  5. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    จะขอเล่าบางอย่างที่ได้พบเจอในหนทางการปฏิบัติของผม
    หวังว่าท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย จะได้พิจารณาเอาตามเห็นชอบเถิดดังนี้

    มีกาลสมัยหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินปัญหามาว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไร"
    เมื่อได้ยินดังนั้นก็มีจิตคิดสงสัยเป็นกำลัง อยากจะหาคำตอบให้ได้
    "เราเกิดมา แค่กิน หาเลี้ยงชีพ มีครอบครัว เจ็บ แล้วตายไป แค่นั้นหนะหรือ"
    ชีวิตแบบนี้ช่างไม่มีค่า ไม่มีความหมายเอาเสียเลย น่าจะมีอย่างอื่นอีก
    จึงได้นึกถึงพระธรรมเจ้า มีว่า "เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา"
    "คนเราล้วนเวียนว่ายตายเกิด มาหลายชาติแล้ว เพื่อทำให้ถึงที่สุดคือ พระนิพพาน"
    "พระนิพพานนั้น ถึงแล้วไม่มีทุกข์ มีแต่สุขนิรันดร์ ไม่มีการเกิดอีก"
    ก็ดีใจว่า นั่นแหละ คือ สิ่งที่เราต้องการ
    จึงได้ตั้งใจละความชั่วช้าต่างๆ ที่เคยทำมา ค่อยๆละ ค่อยๆเลิก ไม่หยุด
    ปฏิบัติตามธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มา ตลอดเวลา 2-3 ปีมานี่เอง
    มีขึ้น มีลง มีตก มีหล่น มีได้ มีเสีย ดีบ้าง เลวบ้าง ปนกันไป
    ในที่สุด แต่ยังไม่สุดซะทีเดียว ก็พบความจริงจากการปฏิบัติจริงว่า

    "จิตวิญญาณ มีจริง สิ่งนี้สัมผัสสัมพันธ์ กับกายนี้จนแยกไม่ออก"
    "ต่อเมื่อได้ทำความเพียรมาถึงจุดหนึ่ง จิตนี้ก็เริ่มแยกออกจากกายให้ได้เห็น"
    "สมกับธรรมแท้ที่พระไตรรัตน์ได้สั่งสอนมา นี่เรียกว่า เห็นจริง ประจักษ์จริง"
    "นี่ไม่ใช่ความรู้ ความจำ หรือความคิด แต่เป็นจริงแท้ มีสติ สมบูรณ์"

    "วันนั้นผมนั่งอยู่ในรถ เบาะเอนกำลังสบาย ฟังเทศน์หลวงพ่อพระมหาวีระของเราท่านทั้งหลาย ใจสบายดีแล้วจึงปิดเทป แล้วตั้งกำลังสมาธิเบาๆ ก็เข้าสูปอุปาจาร และอัปปนาไปโดยลำดับ กำลังใจช่วงหนึ่งถอนออกมาจึงรู้ว่านี่จิต นี่กายแยกกันอยู่เหมือน เปลือกห่อหุ้มจิต (เหมือนในใส่ชุดเกราะ) จากนั้นความรู้สึกทางกายก็มากเข้า คงเป็นเพราะจิตเราเริ่มถอยเริ่มมัว จึงตั้งใจใหม่ วืดดดดดดดด กิ๊งเหมือนขึ้นลิฟต์ แล้วไปติดเพดานชั้นบนสุด ออกไปต่อไม่ได้ จึงถอนจิตคิดตัดกาย ว่าโลกนี้ กายนี้ ไม่มีอะไรน่าดูน่ายึดติด มันสลายไปเป็นธรรมดา แล้ววืดดดดดกิ๊งๆ อยู่อีก 1-2 ครั้ง ในที่สุดก็ฟิ้วววววววววววววว แต่ดั้นไปหล่นที่กลางลานสนามหญ้า ห่างจากที่จอดรถประมาณ 100 เมตร เห็นชัดว่าอ้าวนี่กาย(ทิพย์) นี่หญ้า นั่นรถยนต์เราจอดอยู่โน่น นั่นตึกอาคาร ตอนลอยตัวมาก็เห็นท้องฟ้า ตอนนั้นเย็นแล้ว ก็เห็นเป็นตอนเย็น มีพระจันทร์ พอเห็นแสงได้ จากนั้นต้องการไปเที่ยว จึงอาราธนาพระให้ท่านมาพาไปเที่ยวหน่อย เอาแล้วไงพระไม่มาหรือไม่เห็นก็ไม่ทราบ ก็เลยไม่กล้าไปไหนลำพัง ก็เลยคิดว่าถ้างั้นก็เอาล่ะกลับดีกว่า ใกล้เวลานัดแล้ว คิดถึงกายเท่านั้นก็วืดดดดดดดกลับมาที่กาย แล้วค่อยๆ ออกจากสมาธิมาหยุดที่อุปาจารเสวยปีติอยู่พักนึง ก็ถอดจากการภาวนา"

    บางคนอาจบอกว่า "ขี้โม้ อุปาทาน"
    แต่ขอถามกลับว่า...
    "คำถามที่ 1 ปฏิบัติจริงเห็นจริงแล้วนำมาบอกเล่า หาว่าเราขี้โม้ แต่เรื่องโกหกพกลมทั้งหลาย กลับเห็นเป็นจริงเป็นจัง พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ท่านปฏิบัติจริง เห็นจริงมาแล้ว ท่านจึงมาสอนให้ปฏิบัติตาม ในฐานะที่ผมปฏิบัติตามได้นิดๆ หน่อยๆ ยังเห็นผลจริงดังกล่าว แล้วความจริงเรื่องอื่นๆ ที่ท่านเมตตาสั่งสอนมาล่ะ ที่ยังไม่เห็นอีกเยอะ จะปรามาทท่านได้เหรอ อย่างท่านจะ...โม้ได้เหรอ (กราบขอขมาพระศรีรัตนไตรไว้ ณ ที่นี้ด้วย)"

    "คำถามที่ 2 ฌานขั้นที่ 4 มีอุปาทานได้หรือ ความจริงไม่ต้องถึงฌาน 4 หรือครับ แค่ฌาน 3 จิตไม่วิตก วิจารณ์ ไม่ปีติ(ฟู) มีแต่สุขกับเอกคตาจิต ก็สามารถรู้ได้เลยว่า สุขไม่ได้เกิดที่กาย แต่เกิดที่ใจ กายใจคนละส่วน ท่านจะเริ่มเห็นกายว่านี่กาย เห็นจิตว่านี่จิต เมื่อถึงฌาน 4 ท่านจะวางความสนใจในกายไปเลย สำคัญอยู่แค่อุเบกขาจิตและเอกคตาจิต เป็นอิสระจากพันธะทั้งปวง ชั่วคราว (แหมความจริงก็อยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป) จึงเข้าใจว่าอ้อ จิตที่ไกลจากกิเลสเป็นอย่างนี้นี่เอง คือ สมาธินั้นข่มกิเลสไว้มิให้กำเริบ ใจก็สงบ สว่าง สะอาด แต่ถ้าเมื่อไหร่ใครก็ตามละกิเลสได้เด็ดขาด จะมีความสุขแค่ไหน ถึงตอนนี้ อุปาทาน หายไปไหนไม่ทราบ ไม่รู้ไปมุดอยู่ไหน"


    ดังนั้นผมจึงเชื่อสนิทใจ เพราะได้พิสูจน์เห็นจริงกับตัวมาแล้ว
    มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง หวังว่าจะเป็นประโยชน์แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
    ไม่ได้ตั้งใจมาโม้ อวดโอ่ ทับถม อะไร แต่อยากให้ทุกท่านปฏิบัติกันให้จริง
    แล้วท่านจะพบของจริง มีในพระพุทธศาสนาของเราเท่านั้น คือ พระนิพพาน
    ด้วยกันทั้งหมด ทุกท่านเทอญ สาธุ
     
  6. RuneChaos

    RuneChaos สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +12
    สั้นๆครับ ตอบได้สะใจมากกกกกกกกกกกกกกกก
     

แชร์หน้านี้

Loading...