ทำไมพระป่า ท่านไม่เรียนพระไตรปิฏก..ครับ

ผมว่า พุทธะวจนะ แท้จริง มีไม่มากหรอกครับ
อย่างพระธรรมจริงๆ ที่แท้จริง ก็มีไม่มากหรอกครับ
ไม่น่าจะมี เกินห้าหน้า ด้วยซ้ำ ไป..ที่มันเยอะๆ ล้วน.ขยายความ ทั้งนั้นครับ
เอาแต่ภาคขยาย มา รวมเล่ม....ขยายจากคนนั้นที คนนี้ที ขยายจากสำนักนั้นที สำนักนี้ที ขยายจากอาจารย์นั้นที อาจารย์นี้ที...

ผมเชื่อว่า พุทธะวจนะที่แท้จริง...มีไม่กี่ประโยคหรอกครับ

อิอิ...

 

ผมว่า...ต้องไปถามพระอานนท์ ดูแล้วล่ะครับ....พุทธะวจนะที่แท้จริง...มีแค่ไหนกัน
หรือไม่ก็ไปถามพระพุทธเจ้า เลยครับ....โน่น...ใช้ มโนมานึกยึด เข้าไปถามพระพุทธเจ้าในแดนพระนิพพาน เลยครับ คนแถวนี้เก่งๆ เยอะแยะ บางคนไปเที่ยวแดนนิพพานเป็นว่าเล่น..ให้ไปถามกับพระพุทธเจ้าเลยครับ..อย่าเถึยงกันเลยครับ

อิอิ ผู้วิเศษในเวปนี้ มีเยอะครับ

ทีเจเอส ในห้องกฏแห่งกรรมก็ได้ รายนี้ไปเที่ยวแดนนิพพานมาแล้ว
เหล่าที่ฝึกมโนมายิกๆ ก็ไปเที่ยวแดนนิพพานเป็นว่าเล่น
เหล่าที่ฝึกธรรมกลาย ก็ มีกาย ไปเที่ยวแดนนิพพานเป็นว่าเล่น
พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นว่าเล่น เยอะแยะ

แล้วนี่ จะเอามาเถียงกันทำไมครับ....จะมีพระไตรปิฏกไปทำไมกันครับ ในเมื่อมีคนมโนมายิกๆเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้อยู่แล้ว

เอ..เราพากันโง่หรือเปล่าครับที่ เถียงกันอยู่ได้ อิอิ

 

คนที่เขา มีตาทิพย์ ถอดจิตได้มีเยอะแยะไป อิอิ
ไปเที่ยว นรก สวรรค์ แดนนิพพาน ...จะไปเมื่อไหน่ตอนไหน เขาไปกันให้ รึ่ม...
เขาไม่มาเถียงกันอีกแล้วครับ...

พวกเรา มันล้าหลัง กันมั้ยเนี่ย...อิอิ

 

ใบไม้ในกำมือ
ใบไม้นอกกำมือ

 

ยกตัวอย่าง...หนังสือเรี่ยง..ฉามซกมก...สามก๊ก

มีเสียงร่ำลือ เสียงเห่อกันว่า ใครอยากเป็นใหญ่..ต้องอ่านสามซกมก....หรือ ใครอ่านสามซกมกจบสามรอบ คบไม่ได้..เพราะมันอันตราย..มันจะเอาชนะอย่างเดียว

เนี่ย...เรื่องแบบนี้ มันคือ..เลห์กลของการทำ สงคราม เพื่อเอาชนะ อีกฝ่าย แบบ..ไม่เน้นวิธี ว่าถูกหรือผิด...แค่ตนเองชนะ จะต้องเดินเหยียบ.ซากศพเป็นร้อยเป็นพัน ก็ำม่สน...ทำนองว่า ผู้ชนะได้ต้องไร้ความปราณี ไร้ศีลธรรม ไม่ใจอ่อน เหมือนเล่าปี่..ว่างั้น

นี่มันตำรา..สอนคนให้ไร้ศีลธรรม..ชัดๆ

เลยมีช่วงที่เห่อกัน ทั้งประเทศ สมัยก่อนนั้น มาถึงวมัยนี้ มันเลย ไร้ศีลธรรมกันว่าเล่นไง โทษใคร..ตำรา หรือ คนเห่อตำรา

อิอิ

 

แต่ที่พูดถึงสามซกมก..ไม่ได้ว่าพระไตรปิฏกนะ...แต่พระไตรน่ะ ตำราชองพระสงฆ์ท่าน ถ้าบวชพระเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ แล้วสะสม สุตตะ ก็ว่าไป...แต่อ่านพระไตรเพื่อสอบเอาเปรียญ (จำแข่งกัน ไปทำไม)...ทำไปทำไมแค่นี้

ว่ามั้ย นิวรณ์

 

เป็นโจทย์การบ้านใหม่ของคุณเราโตฯ จริงๆ ความหมายคือ โจทย์ย่อมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่เหตุปัจจัยครับ แก้ที่โจทย์หรือแก้ที่จำเลยดี..

 

พระไตรปิฎก ก็คือคัมภีร์ที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ไปเทศนา ไปสอนธรรมต่างๆ ทุกๆวัน
ตลอด ๔๕ ปี
คิดว่าที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น น่าจะยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะการสูญหายจากการสืบทอดตามกาลเวลา
เนื่องด้วยในสมัยโบราณ ยังไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร

ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เราเห็นในพระไตรปิฎกนั้น
แต่ละเรื่อง แต่ละสูตร ก็สอนเฉพาะบางคน หรือบางกลุ่ม ที่เหมาะกับจริตและอัธาศัยของคนๆนั้น
ไม่ใช่ว่า เอาทั้งหมดสามปิฎกมาสอนแค่คนๆเดียว

ดังนั้น คนๆหนึ่ง ที่คิดปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุด อาจศึกษาธรรมบางส่วน
จากพระไตรปิฏก หรือศึกษาจากหนังสือธรรมอื่นๆที่คัดลอกธรรมะไปจากพระไตรปิฎกอีกที
ส่วนจะศึกษาได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนๆนั้น

ถามว่า ทุกวันนี้ มีใครบ้าง ที่อ่านพระไตรปิฎกแล้วจำได้หมดทุกเล่ม ???
มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่คนทุกคน จะสามารถอ่านพระไตรปิฎก จนจดจำได้หมดทุกเล่ม
แต่จะมีบางคนที่พิศษจริงๆเท่านั้น ที่สามารถศึกษาได้ทั้งหมด

 

คนที่เรียนธรรมะ ส่วนมากจะเรียนจากหนังสือที่เขียนโดยพระอาจารย์ในชั้นหลังๆ
แต่เป็นการคัดลอกธรรมะบางส่วนมาจากพระไตรปิฎก ไม่ได้เรียนจากพระไตรปิฎกโดยตรง

ถึงต่อให้คิดอ่านจากพระไตรปิฎกโดยตรง ถ้าปัญญาไม่ถึง ก็ไม่สามารถเข้าใจได้
ต้องอาศัยเรียนกับผู้รู้ ให้ท่านอธิบายให้ฟังอีกที
ไม่งั้นคุณจะเคว้งคว้าง เหมือนคนที่อยู่กลางทะเล หาทางเข้าหาฝั่งไม่เจอ

 

เป็นไปไม่ได้ครับ........เอาอย่างนี่ดีกว่า ครับ.....การอ่านตำราศึกษาตำราไม่ใฃ่เรื่องยากครับ...พระสงฆ์ทุกรูป .พระท่าน จำได้กระทั่งภาษาบาลี....เวลาหลวงตาเทศน์ สังเกตุนะครับ ท่านจะพูดบาลี ก่อนอธิบายเป็นภาาาไทยให้เข้าใจ...............มุตโตทัย ก็ มาจาก วิสุทธิมรรค ซึ่งอธิบายเรื่อง รูป นาม จิต เจตสิก กายคตาสติ ปฎิจสมุปบาท และ อื่นอื่น ลองศึกษาดูก่อนนะ

 

ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นนะครับ
ส่วนตัวมองอย่างนี้นะครับ เจตนาของพระอาจารย์คฤกฤทธิ ส่วนตัวมองว่าท่านเจตนาดีนะครับส่งเสริมสัมมาทิฐิให้พุทธบริษัทละทิ้งเดรรัจฉานวิชา ตัวผมเองก็ยังศึกษาธรรมมะจากคลิปของท่านบ่อยๆครับ

แต่ประเด็นมันน่าจะอยู่ตรงที่ว่า (ผมคิดเองนะครับ) เป็นความผิดพลาดของท่านเองที่สื่อสารออกมาได้ค่อนข้างจะแรงหรือเรียกได้ว่าทำร้ายจิตใจชาวพุทธได้อย่างมากครับ เช่นประเด็นที่ว่า "พุทธวจนจะมาแทนปิฏกพวกนี้ได้ทั้งหมด" ส่วนตัวมองว่าท่านน่าจะพูดได้ soft กว่านี้นะครับ เช่นว่า "ตัวเราจะสอนธรรมที่เป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่งให้ชาวพุทธเปรียบเทียบโดยจะยกมาแต่พุทธวจน อย่างนี้เป็นต้น" ส่วนตัวมองว่าถ้าท่านใช้คำแบบนี้จะไม่เป็นประเด็นที่จะทำให้ท่านถูกโจมตีได้เลยครับ

ต้องไม่ลืมนะครับ ว่าการที่ท่านออกมาเผยแพร่ธรรมในลักษณะตรงข้ามกับเดรัจฉานวิชา ท่านจะเป็นเป้านิ่งถูกโจมตีแน่นอน ทั้งจากคนที่ศรัทธา และแหล่งที่ผลิตสิ่งของพวกนี้ออกมา เรียกได้ว่าท่านต้องรู้และเตรียมตัวรับมือให้ดี เพราะผู้ที่เสียผลประโยชน์จะต้องเล่นงานท่านแน่ๆ

เรื่องที่ท่านตัดอรรถคถาพระอริยะสาวกซ้ายขวา ออกโดยไม่จำเป็นนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ อรรถคถาของพระสารีบุตร สูตรของท่านผมอ่านก็มองว่าท่านอธิบายได้เข้าใจง่ายดีนะครับ แต่พระอาจารย์ท่านอยากจะตัดเพราะว่าอยากจะฟังแต่คำพระพุทธวจน ก็เข้าใจได้นะครับในประเด็นนี้ แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าจะเอาแต่คำของพระพุทธเจ้ามาเพียวๆโดยไม่มีอรรถกถาของพระเถระชั้นต่างๆมาคอยอธิบายสนับสนุน น้อยคนจริงๆครับที่จะเข้าใจธรรมมะของพระพุทธองค์ แม้แต่การที่ท่านอาจารย์ออกมาอธิบายในลักษณะของเป็นผู้สาธยายพุทธวจน เป็นอรรถกถาจารย์เสียเอง ประเด็นนี้จึงทำให้ตัวพระอาจารย์ตกเป็นเป้าที่ถูกโจมตีเสียเองในครั้งนี้

ดังนั้นจึงมองว่า ท่านสือสารออกมาได้แรงไปนิดนึงครับ จึงทำให้ท่านตกเป็นเป้าได้ง่าย แม้แต่ตัวท่านเองยังมีบ้างในบางประเด็นนะครับ ที่ท่านบรรยายได้ผิดไปจากเดิม ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ สาวกระดับล่าง บารมีไม่ได้เทียบชั้นพระพุทธเจ้า เรื่องผิดเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งนี่ไงครับเป็นจุดที่บ่งบอกว่าเราจำเป็นต้องมีอรรถคถา หลายๆชั้นมากำกับไว้ คนศึกษาธรรมมะในรุ่นถัดๆไปจะได้สามารถเข้าใจความหมายได้ตรงทางที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการจะสอนออกมาได้มากที่สุด ถ้าตัดหมดเลยและฟังความคิดเห็นแค่ชั้นเดียว แน่นอนครับว่าอนาคตคนรุ่นถัดไปถ้ามาศึกษาคำสอนได้ปวดหัวกับการตีความแน่นอนครับ
(คลิปที่ผมพบว่าท่านสือออกมาได้ผิดในเรื่องๆนึง ผมไม่ขอเอ่ยถึงแล้วกันครับ ผู้ไม่หวังดีจะไปค้นหาและนำไปโจมตีท่านเอาได้ เป็นเรื่องเล็กๆครับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่หัวใจของคำสอน แต่สื่อออกมาเพื่อที่จะบอกว่าคนเรามันผิดพลาดกันได้)

แต่ถึงแม้ว่าผมจะพูดเช่นนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าปรามาสท่านแต่อย่างใดนะครับ การแสดงความคิดเห็นด้วยเจตนาที่บริสุทธิคือสิ่งที่ปัญญาชนพึงกระทำ เพื่อให้มีการปรับปรุงที่ดีขึ้น หรือแลกเปลี่ยนความเห็นของเหล่าปัญญาชน ก็ยังคงศึกษาธรรมมะจากคลิปของท่านเช่นเดิมในโอกาสต่อไป รวมถึงพระอาจารย์ท่านอื่นๆก็ด้วยเช่นกัน

พระอาจารย์ที่ดีๆเราพึงรับฟังไว้ครับ แต่อย่ายึดมั่นถือมั่นกับท่าน น้อมรับมาแต่คำสอนของท่าน และเปิดใจกับคำสอนจากที่อื่นๆ

ท่านชวนสนทนา ผมก็แสดงความคิดเห็นตามสมควรแล้วครับ ขอบคุณที่ได้ร่วมสนทนาธรรมครับ

 

ถ้าพูดตามความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า ไม่มีความเป็นพระอรหันต์ในตัวพระคึกฤทธิ์ครับ
เพราะพระอรหันต์ ย่อมไม่ปฏิเสธธรรม ไม่ว่าธรรมนั้น จะมาจากพระพุทธองค์ หรือพระสาวกก็ตามที
ผู้ที่ออกมาปฏิเสธธรรม ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ โดยอ้างว่า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่อรหันต์

ในยุคแรกๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม โดยไม่บัญญัติวินัย
เนื่องด้วย พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกเหล่านั้น ทรงมีทิิฏฐิเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีความบริสุทธ์เสมอ ความประพฤติไม่แตกแยก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบัญญัติวินัย
ต่อมา มีผู้บวชที่จิตใจเป็นปุถุชนมากขึ้น ทิฏฐิไม่เสมอกัน
ศีลไม่เสมอกัน ความบริสุทธิ์ไม่เสมอกัน ทำให้เกิดความประพฤติที่แตกแยก พระพุทธองค์จึงต้องบัญญัติวินัย

 

ห้องนี้มีสายกรรมฐาน เกือบทุกสายครับ
คุณศึกษา พจ กับวัดนาป่าพง ก็ดีแล้ว จะได้มาแลกเปลี่ยนกัน
ห้องนีจะได้ครบทุกรูปแบบ..มีสเนห์มาก..

 

พระคึกฤทธิ์ ดูจากศพแล้วพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้ได้บรรลุอนาคามีผล
ทำเอาญาติผู้ตายหัวใจพองโต ภูมิใจว่า อาก๋ง อาม่า อาแปะ ของตนได้บรรลุอนาคามี
โดยอาศัยการดูว่า ศพมีสภาพผิวขาวซีด เหมือนคนนอนหลับ ก็ว่าได้บรรลุอนาคามี
กล่าวหาว่า พระเกจิอาจารย์บางรูป ตายแล้วศพดำ หน้าตาหมองคล้ำ

พุทโธ่เอ๋ย ก็คนจีน เขาเป็นคนผิวขาวเหลือง ตายแล้วพอฉีดยา ผิวก็ต้องออกขาว
แต่คนไทยส่วนมาก ผิวสีดำแดง ตายไป ผิวก็ออกดำคล้ำก็ถูกต้องแล้ว
เหตุใดพระคึกฤทธิ์จึงมาพยากรณ์ว่าใครบรรลุอนาคามี หรือไม่ได้บรรลุ เพียงเพราะอาศัย
ดูจากซากศพ

 

แล้วพวกพุทธวจนะนั้น จะอารมณ์รุนแรงทุกคน เวลาที่พูดถึงพระสงฆ์ทั่วๆไปที่อยู่ในเมืองไทยเวลานี้
ไม่ต่างกับพวกม็อบที่ถูกล้างสมองแล้ว เวลาที่พูดถึงนักการเมืองที่ตนไม่ชอบ(แสดงอารมณ์คล้ายๆกัน)

 

อ้าวววว นี่คุณดูถูกพระพุทธเจ้าเกินไปหรือเปล่า

ก่อนพูด ก่อนคิด ก่อนแสดงความเห็นอะไร เคยย้อนมองตัวเองบ้างไหม
คุณอยู่เว็บพลังจิตนี้มากี่ปี่ ข้อคิดข้อเขียนที่เป็นความคิเห็นของตัวคุณเอง
รวมแล้วมีจำนวนกี่หน้า ???
ถ้าคุณบอกว่า พุทธวจนะแท้ๆ มีไม่เกินห้าหน้า งั้นผมก็ขอบอกว่า
คำพูด การแสดงความคิดเห็นของคุณ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้
มีทั้งหมด อย่างมากคงไม่เกิน สามสี่บรรทัดเท่านั้น ผมเข้าใจแบบนี้ถูกต้องไหม..

 

ถะ ถะ.....ถะถะถะถะ...ถูก.....ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบบ..ผวม

ก็พุทธวจนะ...ก็ต้องเป็นชื่อหัวข้อ สิครับ...ภาคขยาย ภาคแจกแจง ภาคสนทนา...ก็อย่าเอามารวมกับ หัวข้อสิครับ

อะไรเช่น...สติปัฏฐานสี่ พระไตรลักษณ์ อริยะสัจสี่...เหล่านี้...

หรือ โอวาทปาฏิโมกข์ แค่นี้ ..ชื่อพระสูตร แค่นี้

มันไม่มากหรอกครับ...มันรวมลง ที่ รูปนาม อวิชชา แค่นี้
ที่เหลือ ที่มี ที่พูด ที่แสดง ก็ ล้วนอ้างถึง สมมุติในจิตคนที่เขาติด เขายึดมา เขาหลงมา...จากลัทธิต่างๆ ศาสนาต่างๆ ความเชื่อต่างๆ ที่ เคยมีอยู่แล้ว..ก่อนที่ พระพุทธเจ้าจะประสูติ...ด้วยซ้ำ..ไงครับ

 

ในพลังงานแฝง ที่เป็นพลังปัญญาของพระพุทธเจ้า..นั้น จะมีพลังงานพระสัทธรรม..อยู่ในนั้น แรง กว้าง เทียบเท่า วัฏะสงสารทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้.นั่นเอง..ดังนั้นคนที่เข้าไปสัมผัส..ก็ย่อมได้รับ พลังงานเหล่านี้ ตามไปด้วย เลยทำให้ อาจหลงตนเอง ว่า ตนเองเข้าถึงไงครับ ..แต่พลังงานแห่งพุทธะของพระพุทธเจ้า มันย่อมต้องแรงเป็นธรรมดา..อาจมีผลข้างเคียง ไปบ้าง ครับ....ใครที่ควบคุมจิตใจตนเองได้ไม่ดี ก็อาจมี หลง โชว์พาว...ไปโดยปกติครับ อิอิ

ผมก็เคยเป็นมา

 

อย่างปฐมเทศนา...ก็เอาแต่ชื่อหัวข้อมาสิครับ
ธรรมทั้งหมด ก็รวมลงที่ อริยสัจสี่...รวมลงที่ รูปนาม....
กรรมฐานทั้งหมด ก็รวมลง ที่ศีลสมาธิปัญญา...ศีลสมาธิปัญญา ก็รวมลงที่สติปัฏฐานสี่

สติปัฏฐานสี่ ก็รวมลงที่รูปนาม...เช่นกันทั้งหมด


อย่าขยายสิครับ...ทำความเข้าใจ แล้ว รวมลง..สรุปลง แปลว่า ชำระสิ่งลวงออกให้หมด เหลืออะไร....ก็เหลือแค่รูปนาม..

วิชาพุทธะ มันมีแค่...รูปนามและอวิชชา....เมื่อชำระอวิชชาได้..ก็เหลือแค่รูปนาม


รูปนามไง.....รูปนาม....พุทธะวจนะ

 

ผมขอปิดกะทู้ดีกว่k..ผมไม่ใช่ศิษย์ อจ.คึกฤทธิ์ ผมแค่อยากรู้ลึกๆเท่านั้น พระป่าเช่น หลวงพ่อชา-หลวงปู่ดุลย์-หลวงปู่ลี-หลวงปู่บุญมี-หลวงปู่หล้า-*..ฯลฯ ท่านไม่ได้เรียน พระไตรปฺกกทั้งนั้น ปิดกะทู้ครับเดี๋ยวโดนใบแดงทำยังไงครับนี่ ปิดกะทู้ครับ