ใครอยากเห็นด้วยตาธรรม เชิญมาทดลองกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 4 มีนาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะเห็นรูปนามชัด และ เป็นปัจจุบันธรรม ทันที คือ เห็นเกิดเดี๋ยวนั้น ดับเดี๋ยวนั้น
    ต้อง ทำจิตให้เป็นสมาธิ รวบรวมพละ ให้มี สติกล้า จ่อลงไปที่ตัวเราเท่านั้น
    ให้เปรียบเสมือน ดูความรู้สึก สังเกตุความรู้สึกที่ตัวเรา โดยเริ่มต้น

    ให้เราตั้งฐานที่กาย ยังไม่ต้องไปดูเรื่องอื่น บางท่าน จ่อดูที่ลมหายใจเกิด ลมหายใจดับ หรือ เข้าออก แต่กรณีนี้ ช้าไป จิตท่านที่ไม่แนบ ก็ผลุบหายไปกับ นิวรณ์ ได้

    บางท่านใช้ บริกรรม พุทโธ แต่ให้เร็วๆ จนจิตไม่ได้ไปสนอย่างอื่น วิ่งมาดูแต่พุทโธ เมื่อนิ่งแล้ว ให้ขยับดูเวทนา ว่า รู้สึกอะไร ชอบหรือไม่ชอบ
    แล้วค่อยขยับมาดูจิตว่า นี่จิตเราขุ่นมัวหรือไม่ หรือ เบิกบานหรือไม่ หรือ มีโทสะ ราคะ หรือไม่ ครุ่นคิดติดอยุ่หรือไม่


    บางท่าน ดูการเคลื่อนไหวของกาย ว่า ไหวไปในทางไหน

    ฝึกจนจิตมีสติมากขึ้น จะค่อยๆ เห็นเอง

    สรุป คือ ทำจิตให้มีสมาธิ ให้ดีก่อน แล้วเจริญสติ ทำอะไรให้หมั่นจ่อลงไปอย่างเดียว ที่เดียว ด้วยการรวบรวม กำลัง จ่อลงไป ที่เดียว และ ให้หมั่นทำอะไร อย่าไปมองภายนอก แต่มองที่ตัวเองเท่านั้น
    หมั่นทำเรื่อยๆ จะเห็นละเอียดเอง
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การปฏิบัติ ขั้นต่อไป

    1 ให้เราทุกคนลองสำรวจ ที่ตัวเราว่า เรากระพริบตา เรากลืนน้ำลาย เราขยับกาย เรายืน เรานั่ง เราเดิน
    เราหายใจ อันนี้ เราทดลองสังเกตุให้ทัน เอาใจมารู้แค่ที่เราสังเกตุ ตรงนี้ สติจะมาอยู่ที่ฐานกาย ลองดูไปเรื่อยๆ นะครับ ลองทำสักระยะหนึ่ง กระพริบตารู้ ถอนหายใจรู้ กลืนน้ำลายรู้ อะไรเกิดขึ้นกับกาย ให้รู้ทันที อย่านึกนะครับ

    พอทำเสร็จแล้วกลับนึกดูว่า เราไม่ไ้ด้ส่งใจไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ระหว่างเรา เอาใจมาที่ฐานกาย

    จริงไหม ข้อนั้นแสดงว่า จิตเราเริ่มเป็น สมาธิ คือ วิตก วิจารณ์กับ กาย
    และมีสติตามอยุ่กับกาย ทีนี้ พอจิตมาวิตกวิจารณ์ แนบไปกว่านี้ จะปรากฎเอกคตาจิต คือ เป็นหนึ่งได้ เอง

    วันนี้เอาให้เข้าใจ สติที่ฐานกาย แต่ จริงๆ ยังมีมากกว่านี้มาก พระพุทธองค์ ย่อมาเหลือแค่คำว่ากาย คำถามมีอยู่ว่า เราต้องตามทันขนาดนี้เลยหรือ หรือ เราจะมองมันไปถึงเมื่อไร

    ตอบว่า ลองทำไปเรื่อยๆ ก่อน
     
  3. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ขอบพระคุณที่แนะนำครับคุณขันธ์จะลองใช้วิธีบริกรรมพุทโธแบบเร็วๆดูครับเพราะแบบอื่นดูแล้วยากครับสำหรับผม จิตมันคบกับนิวรณ์สนิทจนแยกกันแทบไม่ออก คิดว่าตั้งสติมั่นคงดีแล้วเผลอแผลบเดียวไปซะเกือบทั่วประเทศ รู้ตัวอีกทีเอนี่เราเผลอไปตอนไหนเนี่ย เป็นแบบนี้ประจำเลยครับ
     
  4. จรรยา

    จรรยา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +33
    (f)

    ปกติก็เห็นว่ารูปดับอยู่หมือนกัน แต่ช้าไม่ทันที เช่นเห็น จากเด็ก เป็น โต แก่ และตาย

    ถ้าเห็นทันเลยแบบตามทันทันที ก็ต้องเจริญสติต่อเนื่อง จนมีอินทรีย์ห้า หรือพละห้าแก่กล้า เรียกว่ารวดเร็วจนเห็นไตรลักษณ์ของรูปขณะดับ (คงเห็นแต่ความดับไป คงเห็นไม่ทันเกิด แค่ตามดับไปได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว มันเร็วมาก) รูปดับหนึ่ง จิตดับ 17 เรียกว่า ถ้าตามนามดับทันก็ข้ามไปเป็นอริยะแล้ว
    <O:p
    ลองหลับตา แล้วค่อยๆ กำมือเข้ามาหากันให้ช้าที่สุด เท่าที่จะทำได้ จะเห็นรูปดับได้ชัด เพราะ ขณะนั้น มี สติ สมาธิ ปัญญา (อริยมรรคแปดครบถ้วน)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่ว่านามเป็นเหตุให้เกิดรูป เพราะนามนั้นสร้างเหตุปัจจัยสืบต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เกิดปฏิจจสมุปบาทชั่วสายฟ้าแล็บตลอดเวลา <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เลยพูดว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากนามก่อน รูปเป็นเหตุ ในกรณีที่ร่างกายต้องทำงานเองนั้นจึงยกเว้น เช่น ต้องเข้าห้องน้ำ หิว (จริง) ง่วง (จริง ) เจ็บป่วย ฯลฯ<O:p</O:p
    เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรก่อน ก็ต้องผ่านกระบวนการคิดมาก่อนจึงลงมือทำ คือความคิดนี่มันรวดเร็วมากๆ ขนาดมือสะบัดแบบไม่รู้ตัว นี่ก็ผ่านกระบวนการจากจิตสั่งแบบรวดเร็วมาก แทบสังเกตไม่ทัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่ส่วนที่บอกว่านามเป็นเหตุ รูปเป็นผล / รูปเป็นเหตุ นามเป็นผล
    ประเด็นนี้ คงหมายถึง นามเป็นเหตุรูปเป็นผล คือ เกิดความคิดและมีการกระทำตามมา<O:p</O:p
    ส่วน รูปเป็นเหตุ นามเป็นผล คือ รูปกระทบสิ่งเร้า แล้วเกิดความคิด ซึ่งไม่เกิดความคิดก็ได้ เพราะจิตไปเพ่งอยู่กับเรื่องอื่น แต่ถ้าเกิดความคิด ก็คือจะเกิดผลของนามขึ้นมา


     
  5. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    การเอาสติตามรู้อริยาบทของกายจิตจะสามารถเป็นฌานได้หรือเปล่าครับหากเป็นฌานได้จะเข้าถึงฌานที่เท่าไรครับ
     
  6. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ขอบพระคุณในคำตอบของคุณจรรยาครับ พอจะเข้าใจเรื่องการเกิดดับของรูปแล้วครับ การสืบเนื่องของมันเหมือนเล็บ และผมของคนเราเฝ้าดูอยู่ตลอดยังไม่เห็นว่ายาวออกมาตอนไหน
     
  7. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    คุณขันธ์ ตอนกลางวันนี่ยังพอรักษาจิตให้อยู่ที่ฐานได้บ้าง แว่บออกไปบ้างเป็นครั้งคราว

    แต่ตอนเข้านอนกำลังเคลิ้มจะหลับนี่จิตมันวิ่งออกนอกเหมือนน้ำรั่วจากรูผ้าใบเลยครับ อันนี้ปล่อยมันไปใช่มั๊ย?
     
  8. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    โมทนาสาธุ...อย่างนี้ค่อยประเทืองปัญญาหน่อย
    ต่อครับต่อ...ตามอ่านอยู่ครับ
     
  9. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    การเห็นไตรลักษณ์นั้นเป็นอย่างไรครับ สมมุติว่ามีคนเรียกชื่อผมดังๆว่า "นิพพิทา" ขณะนั้นเสียงเกิดขึ้นแล้วก็เงียบไปโดยที่ไม่สามารถจะบังคับให้คงดังอยู่อย่างนั้นได้ แถมเกิดดับตั้งหลายครั้ง แค่คำว่า นิพ คำเดียวก็มีการเกิดดับอยู่ในทุกตัวอักษรที่ออกเสียง อย่างนี้เรียกว่าเห็นไตรลักษ์หรือเปล่าครับใครก็ได้ช่วยทีครับ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออนุญาติถาม

    ถ้าผมจะให้คุณลองระลึก เหมือนมองอยู่ตัว ประมาณตั้งจิตไว้ที่กลางอก

    แล้วลองถาม ชื่อตัวเอง แล้วพอบอกผมได้ไหมครับ ส่วนที่มีชื่อคุณนั้น

    อยู่ตรงไหน มีอะไรยกมือขึ้นรับการขานชื่อไหม
     
  11. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ผมทดลองตามที่คุณเอกวีร์บอกได้ผลแบบนี้ครับ ในขณะที่เรียกชื่อตัวเองอยู่นั้นมันเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าใครกัน กำลังเรียกชื่อนั้นอยู่ แล้วตัวผมคือใครกันแน่ระหว่างผู้ที่กำลังเรียกชื่อ กับผู้ที่เฝ้าดูการเรียกนั้น แต่ส่วนที่มีชื่อผมอยู่ตรงไหนนั้นมันบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ เหมือนเราไม่ได้ไช้หูในการได้ยินแต่มันก็ได้ยินเสียงนั้นในใจ หูใจมีไหมครับ ยิ่งพูดผมก็จะพาท่านอื่นงงไปด้วย กรุณาบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก่อนได้ไหมครับว่าคืออะไร ถ้าคุณเอกวีร์งงกับสิ่งที่ผมอธิบายก็เป็นเพราะความด้อยปัญญาของผมในการสื่อสาร จะให้ลองทำอย่างอื่นอีกก็ได้นะครับขอบคุณครับ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เรียกแบบในใจดูอีกทีครับ ไม่ต้องใช้เสียงจริงๆ
     
  13. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ที่ผมเล่าให้ฟังไปนั้นเกิดในใจทั้งหมดครับ ไม่ได้ใช้เสียงจริงเลยครับ
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าอย่างนั้น ก็ค่อยๆดูต่อไปครับ คุณคงมาทางดูจิตแล้ว เห็นโพสธรรมของ
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แต่ต้องพยายามให้ความคิดมันทำงานน้อยลงนะครับ
    ใช้ความรู้สึกให้มากๆ
     
  15. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    ลองทำดูบ้างไม่รู้สึกว่าส่วนไหนเป็นเรา แต่แอบรู้สึกแน่นๆจุกๆอยู่ที่ลำคอ
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ นั้น ผมถามว่า ทำไมทุกท่านที่ได้ทดลองตามข้อหนึ่ง จึงเห็นมันหลังจากมันเกิดและดับลงไปแล้ว ในกรณีที่ตามมันไม่ทัน
    และผู้ที่ตามทัน ก็เห็นมันเกิดมันดับลงในทันที

    การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และ ดับไป ของสรรพสิ่ง รวมถึงนามรูป นั้น ไวจี๋เลยหละครับ
    ไวนขนาดที่เราตามไม่ทัน แต่สิ่งที่ค้างอยู่นั้นเป็นเพราะเรามองไม่เห็น จึงอาศัยอุปาทานเป็นที่ตั้ง ให้มัน

    ก็สรรพกิเลสนั้นแหละ มันตั้งอยู่ แต่หากว่าเราลองแค่มองเห็นมัน มันจะต้องดับลงตามกฎแห่งไตรลักษณ์ทันที

    เป็นเหตุให้ทุกข์ดับลงทันที นี่แหละ เรียกว่า ไตรลักษณ์
     
  17. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    วิปัสสนา มีญาณอยู่ตัวนึง เป็นสภาวะกรรม คือระหว่างเราปฏิบัติ กรรมอะไรที่ไม่ดีจะมาให้เห็น
    ศัพท์ชาววิปัสสนาเขาเรียกว่า เช็คกรรม จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ
    แต่จะขอเล่าประสพการณ์ กรรมออกให้สดับกัน พอเป็นกระสัย ครับ

    ที่จริง กรรมจะออกมาเป็นนิมิตให้เราเห็นว่าเคยไปสร้างกรรมอะไรไว้ หรือ ออกมาทางร่ากาย คือ เป็นไข้ เป็นผืนตามตัว ในขณะปฏิบัติ

    แต่ในกรณีนี้ หลังจากผมคลายสมาธิแล้ว เกิดโดนตะขาบกัดที่ต้นขา
    ตอนโดนกัดรู้ขึ้นมาทันทีเลยว่าเป็นตะขาบ มันเห็นภาพในตาใน
    คือก่อนหน้านั้นซัก 1 ปี เคยโดนตะขาบกัดที่ต้นขามาก่อน
    แล้วด้วยความโมโหกับความปวด จึงคว้ามีดฟันตะขาบเป็น2ท่อน...

    พอรู้สึกตัว ก็หันไปดู ปรากฏว่าใช่จริงๆ เป็นตะขาบตัวไม่เล็กไม่ใหญ่
    จิตตอนนั้นเป็นพึ่งคลายสมาธิ คล้ายๆว่ามีเมตตา
    มันเข้าใจเรื่องกรรมยังไงมิทราบ จึงค่อยไล่ออกไป
    แล้วแผ่เมตตาให้ไป อาการตอนนั้นปวดมาก ถึงมากที่สุด แต่ทนเอา
    ใช้วิธีนั่งสมาธิดูเวทนา เอาจิตไปจ่อตรงที่โดนกัดเลย
    ดูจนอาการปวดหายไป แปลกมากครับ หลังจากออกสมาธิก็เป็นปกติไม่มีอาการใดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2008
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    555 ซาบซ่านอีกต่างหาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...