เสียงธรรม เสียงสวดสาธยายพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรพระอวโลกิเตศวรส มัตมุขปริวรรค(ผู่เหมินพิน)

ในห้อง 'บทสวดมนต์' ตั้งกระทู้โดย janepat2549, 31 ธันวาคม 2008.

  1. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เสียงสวดสาธยายพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรพระอวโลกิเตศวรส มัตมุขปริวรรค(ผู่เหมินพิน)

    [​IMG]

    สัทธรรมปุณฑริกสูตร สมันตมุขปริวรรต

    ขณะนั้น พระอักษยมติโพธิสัตว์ได้ลุกขึ้นจากอาสนะห่มจีวรเฉวียงบ่า แล้วประนมมือ เฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์กราบทูลถามปัญหาว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การที่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ได้รับสมญานามว่าอวโลกิเตศวรด้วยเหตุอันใด พระพุทธเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์จึงมีพระสุรเสียงตรัสตอบพระอักษยมติโพธิสัตว์ว่า “ดูก่อนท่านอักษยมติโพธิสัตว์ ก็สัตว์โลกอันมีจำนวนนับด้วยร้อย พัน หมื่น แสน หรือแม้ที่นับจำนวนประมาณมิได้ก็ดี หากว่า กำลังเสวยทุกข์ทรมานอยู่แล้วไซร้ ครั้นได้ยินชื่อ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์องค์นั้น

    ตั้งจิต สวดนามท่าน พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ก็จะเพ่งไปยังเสียงนั้น สัตว์โลกผู้นั้น ก็จะได้รับการปลดเปลื้องจากความทุกข์และทรมานทั้งสิ้นในทันที”

    ผู้ที่ได้สวดพระนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้แล้วแม้จะเข้าไปอยู่ในกองเพลิงก็ดีเพลิง ก็ไม่อาจเผาพลาญตนได้ ทั้งนี้เนื่องด้วยอำนาจแห่งเดชของพระโพธิสัตว์เจ้านั้น

    บุคคลใดถูกกระแสน้ำใหญ่พัดพาไป เมื่อได้สวดพระนามของท่าน บุคคลนั้น ก็จะได้พบที่ตื้นเขิน (ไม่จมน้ำตาย)

    ก็แลหากจะมีสัตว์โลกมีจำนวนนับด้วยร้อย พัน หมื่น แสน ก็ดี ต้องการแสวงหาทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกต บุศราคุม อันเป็นของมีค่า หากันแต่งเรือไปยังทะเลใหญ่ สมมติว่าในระหว่างนั้น เรือได้ถูกพายุพัดพาไปยังแว่นแคว้นอันเป็นที่อยู่ของรากษส

    หากจะมีแม่แต่คนหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น สวดพระนามพระอวโลกิเตศวร แล้วไซร์ สัตว์โลกเหล่านั้นทุกคนจะได้รับความรอดพ้นจากอันตรายของรากษส ด้วยเหตุนี้แลพระโพธิสัตว์เจ้าองค์นั้น จึงได้รับสมญานามว่า “อวโลกิเตศวร”

    อนึ่ง หากว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งกำลังจะถูกทำร้าย เมื่อเขาสวดพระนาม พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ศาสตราวุธของมีคมที่ผู้เป็นศัตรูถืออยู่ จะถึงแก่ชำรุด หักสะบั้นไปทันทีบุคคลผู้นั้นจะได้รับความปลอดภัยไม่ต้องถูกทำร้าย

    ก็แลหากว่า มหาตรีสหัสสโลกธาตุนี้จะพึงเต็มไปด้วยยักษ์และรากษส คอยยังทุกข์ให้เกิดแก่มวลมนุษย์แล้วไซร้หากได้ยินผู้ใดผู้หนึ่งสวดพระนามอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พวกผีร้ายหล่านี้อย่าว่า แต่จะกล้าทำร้ายเลย แม้จะมองดูด้วยนัยน์ตาอันดุร้ายยังไม่อาจกระทำได้

    อนึ่งเล่า หากจะมีบุคคลหนึ่งบุคคลใด มีความผิดก็ตาม ไม่มีความผิดก็ตาม ถูกจองจำพันธนาการด้วยขื่อ คา โซ่ ตรวน ที่มือเท้า หรือที่คอ เมื่อได้สวดพระนามอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เครื่องจองจำต่างๆ เหล่านั้นจะหลุดขาดสลายไปทันที เป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากเครื่องจองจำทั้งหลาย

    ก็แลหากว่า มหาตรีสหัสสโลกธาตุจะพึงเต็มไปด้วยโจรผู้มีเวร และมีหัวหน้าพ่อค้าคนหนึ่ง นำพวกพ่อค้าทั้งหลายบรรทุกสินค้ามีค่า ผ่านทางอันตรายกันดารเข้าไป ในระหว่างโจรนั้น คนหนึ่งใน จำนวนพ่อค้าเหล่านั้นได้เกล่าขึ้นว่า

    “ดูก่อนท่านสาธุชนทั้งหลาย ขอท่านจงอย่าได้หวาดกลัว จงตั้งใจสวดพระนามอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เจ้านั้นสามารถประทานอภัยทาน (ความไม่หวาดกลัว) แก่ท่านได้ เมื่อท่านทั้งหลาย พากันสวดพระนามนี้ ท่านจะหลุดพ้นด้วยดีจากโจรผู้มีเวรเหล่านี้ พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้น ต่างพร้อมกันเปล่งเสียงสวดพระนามว่า “นโม อวโลกิเตศวรพิสัตว์” ด้วยเหตุที่ได้สวดพระนามของท่านนี้ พ่อค้าทั้งหลายต่างได้รอดพ้นจากภัยอันตราย จากโจรทันทีทันใด

    ดูก่อนท่านอักษยมติโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอำนาจแห่งกำลังเป็นที่ยิ่ง

    ถ้ามีสัตว์โลกมักมากในโลภ ความอยากได้ แต่ได้ระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เนืองๆ เขาผู้นั้นก็จะเป็นผู้ไม่โลภอยากได้

    หากเขาเป็นผู้มีความโกรธ แต่ได้ระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้าเสมอ ๆก็จะเป็นผู้ไม่มีความโกรธ และหากเขาผู้นั้นเป็นผู้มีโมหะ ความหลง เมื่อได้ระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้านั้นบ่อยๆ ก็จะเป็นผู้ไม่มีความหลง

    ดูก่อนท่านอักษยมติโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เจ้านั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอำนาจ แห่งกำลังเช่นนี้ เป็นผู้มีคุณอเนกอนันต์ เพราะฉะนั้น สัตว์โลกจึงต้องละลึกถึงเสมอๆ

    ก็หญิงใด ต้องการบุตรชาย ได้บูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หญิงนั้นย่อม จะได้บุตรชาย สมปรารถนา เป็นบุตรผู้มีบุญญาธิการ มีคุณธรรม ประกอบด้วยสติปัญญาดี หากต้องการบุตรีก็จะได้บุตรีที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เพียบพร้อมด้วยความงาม มีคุณธรรม เป็นที่รักใคร่แก่ผู้พบเห็น

    ดุก่อนท่านอักษยมโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มีกำลังเห็นปานนี้ สัตว์โลกผู้ใดทำการกราบไหว้ด้วยความเคารพสัตว์โลก ผู้นั้นจะเป็นผู้ไม่เสื่อมจากบุญวาสนา เพราะฉะนั้นสัตว์โลก จึงต้องสวดพระนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

    ดูก่อนท่านอักษยมโพธิสัตว์ ก็สาธุชนใดได้สวดพระนามพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๒ ล้านสายรวมกัน

    ทั้งได้ถวายอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอน ยารักษาโรค เป็นต้น แก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ตลอดชีวิตของตน ท่านสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน สาธุชนนั้นจะเป็นผู้รับผลแห่งบุญ มากมายเพียงไร

    พระอักษยมโพธิสัตว์ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า บุญนั้นมีประมาณมากมายเหลือเกิน พระพุธเจ้าข้า”

    ทั้งบุญนั้นจะส่งผลต่อไปในเวลาร้อยพัน หมื่น แสนกัลป์ ไม่มีที่สิ้นสุด ดูก่อนท่านอักษยมโพธิสัตว์ การสวดพระนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้าองค์นั้น ได้บุญญานิสงส์นับเวลาเป็นอสงไขยไม่มีที่สิ้นสุด เห็นปานฉะนี้”

    พระพุธองค์จึงได้ตรัสต่อไปว่า “สาธุชนใด สวดพระนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์และสาธุชน นั้นเคยถวายอุปัฏฐากพระโพธิสัตว์เจ้านั้นแม้เพียงครั้งเดียว บุคคลทั้งสองนั้นย่อมได้รับอานิสงส์ เป็นบุญกุศลเท่าเทียมกัน

    พระอักษยมติโพธิสัตว์กราบทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ผู้เป็นที่ผึ้งแห่งโลกก็แลพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้าท่องเที่ยวอยู่ในสหโลกธาตุนี้ประการไร แสดงธรรมโปรดสัตว์โลก ประการไร และด้วยอำนาจแห่งอุบาย มีกิจเป็นประการไร พระพุธเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนท่านอักษยมติโพธิสัตว์ บรรดาสาธุชนทั้งหลายหากมีสัตว์โลกใด ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยพะกาย พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ก็แสดงธรรมโปรดผู้นั้นด้วย พุทธกาย



    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยพุทธกาย พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ก็แสดงธรรมโปรดผู้นั้นด้วย พุทธกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยปัจเจกพุธกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย ปัจเจกพุทธกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยสาวกกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย สาวกกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยพรหมราชกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย พรหมราชกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยอินทรกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย อินทรกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยอิศวรเทพกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย อิศวรเทพกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยมหาอิศวรเทพกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย มหาอิศวรเทพกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยเสนาบดีกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย เสนาบดีกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยวิษณุเทพกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย วิษณุเทพกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยจุลจักรพรรดิกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย จุลจักรพรรดิกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยเศรษฐีกาย ก็นจะแสดงธรรมโปรดด้วย เศรษฐีกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยคฤหบดีกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย คฤหบดีกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยราชอำมาตยกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย ราชอำมาตยกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยพราหมณกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย พราหมณกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยภิกษุกาย ภิกษุณีกาย อุบาสกกาย อุบาสิกากาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย ภิกษุกาย ภิกษุณีกาย อุบาสกกาย อุบาสิกากาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยกายของเศรษฐี คฤหบดี ราชอำมาตย์ และพราหมณ์ ในเพศของสตรี ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วยกายของท่านเหล่านั้น ในเพศของสตรี
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยกุมารกาย กุมารีกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย กุมารกาย กุมารีกาย
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยกายของเทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร กินนร มโหรคมนุษย์ และอมนุษย์ ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วยกายของสัตว์เหล่านั้น
    ผู้สมควรได้รับการโปรดด้วยวัชรปาณีกาย ก็จะแสดงธรรมโปรดด้วย วัชรปาณีกาย









    ดูก่อนท่านอักษยมติโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยบุญญาธิการฉะนี้ ได้ท่องเที่ยวไปในโลกธาตุต่าง ๆ ด้วยร่ายกายต่าง ๆ กัน โปรดบรรดาสัตว์โลกให้หลุดพ้น


    เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย จงตั้งจิกสักการบูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้าก็พระอวโลกิเตศวร โพธิสัตว์เจ้านี้สามารถประทานอภัย คือความไม่หวั่นกลัวภยันตรายต่อผู้ตกอยู่ในความหวั่นกลัวอันตราย ได้เหตุนั้น สหโลกธาตุนี้ จึงสมญานามของท่านว่า “พระผู้ประทานอภัย” (พระอภยันทะ)

    ต่อแต่นั้น พระอักษยมติโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธองค์อีกว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้าผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก บัดนี้ ข้าพระองค์ขอบูชาสักการะพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้านั้น” ดังนี้แล้วได้ถอดเกยูร อันประดับด้วยพลอยมีค่าต่าง ๆ อันมีราคาเสมอด้วยร้อยพันตำลึงทองคำ น้อมถวายแด่พระโลกิเตศวร โพธิสัตว์ โดยกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตา ขอท่านจงรับเอาเกยูรอันมีค่าด้วยนี้เถิด” กระนั้น พระอโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้า ก็ไม่ยอมรับของนั้น

    พระอักษยมติโพธิสัตว์ จึงกล่าวกับพระอวโลกิเตศวรอีกว่า “ข้าแต่ท่านผู้มีจิตอันประกอบ ด้วยเมตตา ขอท่านจงเอ็นดูแก่ข้าพเจ้า ขอท่านจงรับเอาเกยูรอันมีค่านี้เถิด” ลำดับนั้น พระพุทธองค์จึงเผยพุทธดำรัสตรัสกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เจ้าว่า “ขอท่านจงเอ็นดูแก่อักษยมติโพธิสัตว์ และทั้งพุทธบริษัทสี่ ตลอดถึงเทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรค มนุษย์ และอมนุษย์ ได้รับเกยูรนี้ไปเถิด”

    ลำดับนั้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อาศัยความเอ็นดูในหมู่พุทธบริษัทสี่ตลอดถึงทวยเทพ นาค มนุษย์ และอมนุษย์ เป็นต้น จึงรับเอาเกยูรนั้น แล้วแบ่งเป็นสองส่วนส่วนหนึ่งน้อมถวาย แด่พระพุทธองค์ อีกส่วนน้อมถวาย ณ เจดีย์พระประภูตรัตนะพุทธเจ้า

    ดูก่อนท่านอักษยมติ ก็พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้น เป็นผู้มีกำลังแห่งฤทธิ์ (อิทธิพละ) เป็นอิสระ ดั่งนี้ ท่องเที่ยวอยู่ในสหโลกธาตุนี้นั่นแล ต่อแต่นั้น พระอักษยมโพธิสัตว์ ได้กราบทูลด้วยคาถาว่า

    “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก ถึงพร้อมด้วยพระวรลักณ์ ข้าพระองค์ขอทูลถามเรื่องของท่านผู้นั้นอีกว่า ก็พระศากยบุตรท่านนี้ อาศัยเหตุปัจจัยใด จึงได้ชื่อว่าอวโลกิเตศวร”

    พระโลกนาถเจ้า ผู้เพียบพร้อมด้วยพระวรลักษณ์ ได้ตรัสตอบพระอักษยมติโพธิสัตว์ว่า




    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center><TBODY><TR><TD width="50%">“ขอเธอจงฟัง ก็จริยาของอวโลกิเตศวรนั้น</TD><TD width="50%">สามารถตอบสนองในที่ทุกแห่ง,</TD></TR><TR><TD>มีคำประณิธานลึกยิ่งกว่าทะเล</TD><TD>ได้ผ่านกาลนับเป็นกัลป์ไม่ถ้วน</TD></TR><TR><TD>เฝ้าพระพุทธเจ้ามานับพันแสนพระองค์</TD><TD>ตั้งมหาประณิธานอันบริสุทธิ์</TD></TR><TR><TD>เราจะกล่าวแก่เธอโดยย่อ</TD><TD>ได้ยินชื่อและเห็นกายของท่าน</TD></TR><TR><TD>ตั้งใจระลึกถึงโดยไม่ว่างเว้น </TD><TD>สามารถดับทุกข์ทั้งหลายได้</TD></TR><TR><TD>หากผู้มีจิตคิดมุ่งร้าย </TD><TD>หวังผลักให้ตกไปในกองเพลิงใหญ่</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจสวดพระนามอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>กองเพลิงย่อมกลับกลายเป็นบ่อน้ำ</TD></TR><TR><TD>หรือหากพลัดพเนจรไปในทะเลใหญ่</TD><TD>มีภัยจากนาค ปลา ผี เป็นต้น</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจแห่งการระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>คลื่นไม่สามารถซัดสาดให้จมน้ำได้</TD></TR><TR><TD>หรืออยู่บนยอดเขาพระสุเมธุ</TD><TD>มีคนผลักให้ตกลง</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>จะลอยอยู่ในอากาศเหมือนดวงอาทิตย์</TD></TR><TR><TD>หรือถูกคนร้ายไล่</TD><TD>ตกจาเขาวชิระ</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>ไม่ต้องบาดเจ็บแม้แต่น้อยแม้เพียงขนเส้นเดียว</TD></TR><TR><TD>หรือถูกคนโจรผู้มีเวรล้อมอยู่</TD><TD>ต่างถือศาสตราวุธเข้ามาทำร้าย</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ </TD><TD>ต่างเกิดเมตตาจิตทันที </TD></TR><TR><TD>หรือต้องรับทุกข์เพราะอาญาราชย์</TD><TD>จวนถูกประหาร ชีวิตจะจบสิ้น</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>มีดก็จะหักชำรุดไปเป็นท่อน ๆ</TD></TR><TR><TD>หรือถูกขัง ต้องขื่อคอ</TD><TD>เท้าและมือถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เครื่องพันธนาการ)</TD><TD>ได้หลุดไปทันที</TD></TR><TR><TD>คำสาปแช่งและยาพิษ</TD><TD>ที่จะเป็นผลร้ายแก่ร่างกาย</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>กลับไปถูกตัวสาปแช่ง</TD></TR><TR><TD>หรือไปพบพานรากกษสบาป</TD><TD>นาคมีพิษและเหล่าผีเป็นต้น</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>ก็ไม่กล้าทำร้ายได้เลย</TD></TR><TR></TR><TR><TD>หากสัตว์ร้ายรายล้อมตัวอยู่</TD><TD>มีเขี้ยวเล็บคมเป็นที่น่ากลัวเกรง</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>ต่างรีบหนีไปไกลแสนไกล</TD></TR><TR><TD>งูพิษและแมลงมีพิษร้าย</TD><TD>มีไอพิษเหมือนควันไฟ</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>ต่างหนีกลับไปหมด</TD></TR><TR><TD>เมฆทะมึน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า </TD><TD>ลูกเห็บตก ลมฝนพายุใหญ่</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>เมฆกระจาย ฝนหยุด ฟ้าสงบทันที</TD></TR><TR><TD>สัตว์โลกต้องทุกข์ทรมาน </TD><TD>ทุกข์เบียดเบียนชั่วอสงไชย</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>สามารถบำบัดทุกข์ในโลกธาตุนี้ได้</TD></TR><TR><TD>มีอำนาจอิทธิฤทธิ์พร้อมสรรพ </TD><TD>โปรดด้วยสติ อุบายอันกว้างขวาง</TD></TR><TR><TD>ในทุคติวิสัยต่าง ๆ </TD><TD>นรก เปรต สัตว์ (อสุรกาย)</TD></TR><TR><TD>ความทุกข์จากเกิด แก่ ตาย เจ็บ </TD><TD>จะค่อย ๆ ดับไป</TD></TR><TR><TD>การเพ่งด้วยสัจจะ การเพ่งด้วยบริสุทธิ์</TD><TD>การเพ่งด้วยสติปัญยาอันไพศาล</TD></TR><TR><TD>การเพ่งด้วยความเมตตา การเพ่งด้วยความกรุณา</TD><TD>ย่อมเป็นที่ตั้งใจจะบูชาเป็นนิตย์</TD></TR><TR><TD>แสงอันปราศจากมลทิน และบริสุทธิ์สดใส</TD><TD>ปัญญาเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ทำลายความมืดทั้งหลาย</TD></TR><TR><TD>สามารถปราบอันตราย ลม ไฟ </TD><TD>ส่องแสงสว่างไปทั่วโลกธาตุ</TD></TR><TR><TD>การประกอบด้วยศิลและความกรุณา</TD><TD>เสมือนฟ้าร้องสะเทือน เมตตา สติ เหมือนเมฆใหญ่</TD></TR><TR><TD>โปรยฝนคืออมฤตธรรม</TD><TD>กำจัดไฟแห่งกิเลส</TD></TR><TR><TD>ในขณะเป็นความต่อหน้าราชการ</TD><TD>ในกองทัพอันน่าเกรงขาม</TD></TR><TR><TD>ด้วยอำนาจระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์</TD><TD>ศัตรูต่าง ๆ จะแตกพ่ายไป</TD></TR><TR><TD>เสียงอันเป็นสัทธ์ เสียงอันเพ่งต่อโลก</TD><TD>เสียงอันเป็นพรหม เสียงอันเป็นกระแสน้ำทะเล</TD></TR><TR><TD>ย่อมเหนือกว่าเสียงในโลก </TD><TD>ฉะนั้น จึงต้องระลึกถึงเสมอ</TD></TR><TR><TD>ระลึกไปทุกขณะจิต โดยไม่ต้องสงสัย</TD><TD>พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระอริยะผู้บริสุทธิ์</TD></TR><TR><TD>ต้องเป็นที่พึ่งได้ในเมื่อต้องทุกข์ยากเข็ญ</TD><TD>เป็นผู้ประกอบด้วยบุญญาธิการทั้งมวลมองดูสัตว์โลกด้วยนัยน์ตาอันเมตตา</TD></TR><TR><TD>เป็นกองบุญเสมอด้วยทะเลไม่มีที่สิ้นสุด</TD><TD>ฉะนั้น จึงเคารพบูชา”</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในขณะนั้น พระธรณีโพธิสัตว์ ได้ลุกขึ้นจากอาสนะกราบทูลพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระพุทธองค์ หากมีสัตว์โลกใดได้สดับตรับฟัง ตอนว่าด้วยพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้มีกรรมเป็นอิสระ คือเป็นใหญ่ในการบำเพ็ญกิจของพระโพธิสัตว์ เป็นอิทธิพละ ปรากฏเป็นสมันตะ (ทั่วไป) แล้วสัตว์โบกเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีบุญญาธิการเป็นที่ยิ่ง พระพุทธเจ้าข้า"



    เมื่อพระพุทธองค์ตรัส สมันตมุขปริวรรต นี้จบลง สัตว์โลกจำนวน ๘๔,๐๐๐ ต่างเกิดอนุตรสัมโพธิจิตหาที่เปรียบมิได้แล ฯ

    "南無觀世音菩薩"
    (นำมอกวนซืออิมผู่สัก)
    นโมโพธิสัตว์กวนอิม
    หมั่นภาวนาเป็นนิจ ดุจชุบชีวิตสู่แดนพุทธภูมิ

    *ถ้าโหลดฟังไม่ได้ ลงไปดูกระทู้ล่างๆนะครับ จะเป็นสกุลไฟล์ mp3จะโหลดได้ง่ายกว่า*
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  2. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    妙法蓮華經觀世音菩薩普門品 สัทธรรมปุณฑริกสูตรพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์สมันตมุขปริวรรต

    [​IMG]


    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นพระสูตรที่สำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน (หนึ่งในสามพระสูตรที่สำคัญที่สุดของมหายาน)

    สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นพระสูตรสุดท้ายก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เป็นการประมวลธรรมทั้งหมดเอาไว้ในพระสูตรนี้ แต่เนื่องจากพระสูตรนี้เป็นของนิกายมหายาน เราชาวพุทธเถรวาทเลยไม่ค่อยรู้ สาระสำคัญมี


    1 ทรงตรัสสอนพระสารีบุตร และสาวกอื่นๆ เรื่องทางดับทุกข์มีเป้าหมายหนึ่งเดียวกัน ทรงยกตัวอย่างเรื่องบิดามีบุตร 3 คน แนะนำให้หนีไฟ คนหนึ่งหนีโดยเอาโคเทียมเกวียหนี อีกคนเอาแกะเทียมเกวียนหนี คนสุดท้ายเอากวางเทียมเกวียนหนี วิธีการต่างกัน แต่ทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกันคือดับทุกข์

    2 ทรงตรัสสอนว่า พระธรรมเปรียบเหมือนพระวรกายของพระองค์ ถึงปรินิพพานไปแล้วก็ตาม พระธรรมของพระองค์ยังอยู่ช่วยขนสรรพสัตว์ให้บรรลุพุทธภาวะชั่วนิรันดร

    3 พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนและยกย่องพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง คือ พระอวโลกิเตศวร(กวนอิม) ผู้ใดนึกถึงเมตตาและคุณความดีของพระองค์ พระองค์จะเสด็จมาช่วยเหลือผู้นั้น (หลวงปู่โต๊ะและพระอริยะสงฆ์ของไทยมากมายก็เคยพบพระองค์มาแล้วในสมาธิจิต)
    ฯลฯ


    คำว่า "สัทธรรมปุณฑรีกสูตร" นั้นเป็นภาษาสันสกฤต 妙法蓮華経 เมี่ยวฝ่า เหลียนฟาเกง ในภาษาจีนเรียกสั้น ๆ ว่า "โผวมึงพิ้ง" (普門品 )หมายถึง ประตูสู่ดอกบัวขาว หรือเรียกพระสูตรนี้ว่า "พระสูตรบัวขาว" ในส่วนของปริวรรตที่นิยมสวดกันมากในปัจจุบันคือ สมันตมุขปริวรรต
     
  3. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ความหมายของพระนามแห่งองค์อวโลกิเตศวร

    [​IMG]

    ความหมายของพระนาม

    คำว่า อวโลกิเตศวร ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยด้วยกัน แต่โดยรูปศัพท์แล้ว คำว่าอวโลกิเตศวรมาจากคำสันสกฤตสองคำคือ อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึงเฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง

    ซิมเมอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันอธิบายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ทรงเป็นสมันตมุข คือ ปรากฏพระพักตร์อยู่ทุกทิศอาจแลเห็นทั้งหมด ทรงเป็นผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงยับยั้งไว้เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์ นอกจากนี้นักปราชญ์พุทธศาสนาบางท่านยังได้เสนอความเห็นว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นเสมือนตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ จึงถือได้ว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นหามีไม่ อันแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญยิ่งของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้


    พุทธศาสนิกชนชาวจีนจะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในพระนามว่า กวนซี่ออิม หรือ กวนอิม ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าอวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต คือผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมักให้อรรถาธิบายเป็นใจความว่าหมายถึง พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์) คำว่ากวนซีอิมนี้พระกุมารชีวะชาวเอเชียกลางผู้ไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนเป็นผู้แปลขึ้น ต่อมาตัดออกเหลือเพียงกวนอิมเท่านั้น เนื่องจากคำว่าซีไปพ้องกับพระนามของ จักรพรรดิถังไท่จง หรือ หลีซีหมิง นั่นเอง...


    "หน่าน"
    "หวู่" หน่านหวู่ หรือ นำมอ ในภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลได้ว่า ขอนอบน้อมกราบไหว้
    "กวาน" กวาน แปลว่า มองดู,พินิจ,พิจารณา
    "ซือ" ซือ แปลว่า โลก,สังคม 3คำนี้รวมกันเป็น ผู้มองดูเสียงสัตว์โลก
    "อิน" อิน แปลว่า เสียง,คลืนเสียง,กระแสเสียง
    "ผู่"
    "ซ่า" ผู่ซ่า,ผู่ทีซ่า เป็นคำวลี ที่มาจากคำว่า โพธิสัตว์...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    บทสุคนธ์บูชา

    [​IMG]
    爐香讚
    โหลว เฮียง จั่ง
    (บทสุคนธาสรรเสริญ)

    爐 香 乍 爇
    โหล่ว เซียง จัง อี
    เครื่องสุคนธาในกระถางเผาร้อน

    法 界 蒙 薰
    ฝับ ไก มง เฮิน
    กำจายกลิ่นหอมหวนไปทั่วทั้งธรรมธาตุ

    諸 佛 海 會 悉 遙 聞
    จู ฟู ไฮ ฮุย เสิด เยา บุน
    ยังให้ธรรมสันนิบาตของพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้สดับรับรู้

    隨 處 結 祥 雲
    ซุย ชี กิด เซียง ยง
    ให้ทุกสถานบังเกิดเป็นเมฆมงคล

    誠 意 方 殷
    เซง อี ฟัง เฮิน
    ยังให้จิตที่สัตย์ซื่อได้วัฒนารุ่งเรืองยิ่งขึ้น

    諸 佛 現 全 身
    จู ฟู เฮียน ชวน เซง
    ขอพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทั้งปวงโปรดทรงสำแดงพระวรกายเทอญ

    南 無 香 雲 蓋 菩 薩 摩 訶 薩
    นำ มอ เซียง ยง ไก ผู่ สัก มอ ฮอ สัก
    ขอนอบน้อมต่อพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ (ผู้อยู่ใต้) ควันแห่งเครื่องหอมอันประดุจร่มฉัตรนี้
     
  5. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์

    [​IMG]
    พระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์
    พุทธศาสนามหายานได้จำแนกพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท อันได้แก่
    พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์

    พระมนุษิโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ในสภาวะมนุษย์หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วยกัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้

    พระธยานิโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มิใช่พระโพธิสัตว์ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อแสวงหาดวงปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเหมือนประเภทแรก แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิโดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดและทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่นคง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนานนับแต่สมัยพระอดีตพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น

    พระธยานิโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระผู้ทรงเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ มิยอมเข้าสู่แดนพระนิพพาน แต่กลับรอฉุดช่วยเวไนยสัตว์....เพราะอะไรหล่ะ... ถ้ามิใช่พระเมตตาธิคุณ พระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน...
    南無觀世音菩薩
    "จ.เจนพัฒน์"
    อนุโมทนา...สาธุ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระมหากรุณาธารณีสูตร

    [​IMG]


    พระมหากรุณาธารณีสูตร


    นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย . นำ มอ ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี ชอ ปอ ลา เย . ผู่ ที สัก ตอ พอ เย . มอ ฮอ สัก ตอ พอ เย . มอ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย . งัน . สัก พัน ลา ฟา อี . ซู ตัน นอ ตัน แซ . นำ มอ เสิด กิด สี ตอ อี มง ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี สิด ฟู ลา เลง ทอ พอ . นำ มอ นอ ลา กิน ชี . ซี ลี มอ ฮอ พัน ตอ ซา เม . สัก พอ ออ ทา เตา ซี พง . ออ ซี ยิน . สัก พอ สัก ตอ นอ มอ พอ สัก ตอ . นอ มอ พอ เค . มอ ฟา ทา เตา . ตัน จี ทอ . งัน ออ พอ ลู ซี . ลู เกีย ตี . เกีย ลอ ตี . อี ซี ลี . มอ ฮอ ผู่ ที สัก ตอ . สัก พอ สัก พอ . มอ ลา มอ ลา . มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน . กี ลู กี ลู กิด มง . ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี . มอ ฮอ ฟา เซ เย ตี . ทอ ลา ทอ ลา . ตี ลี นี . สิก ฟู ลา เย . เจ ลา เจ ลา . มอ มอ ฟา มอ ลา . มก ตี ลี . อี ซี อี ซี . สิด นอ สิด นอ . ออ ลา เซียง ฟู ลา เซ ลี . ฟา ซอ ฟา เซียง . ฟู ลา เซ เย . ฟู ลู ฟู ลู มอ ลา . ฟู ลู ฟู ลู ซี ลี . ซอ ลา ซอ ลา . เสิด ลี เสิด ลี . ซู ลู ซู ลู . ผู่ ที เย ผู่ ที เย . ผู่ ทอ เย ผู่ ทอ เย . มี ตี ลี เย . นอ ลา กิน ชี . ตี ลี สิด นี นอ . พอ เย มอ นอ . ซอ พอ ฮอ . เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . มอ ฮอ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . เสิด ทอ ยี อี . สิด พัน ลา เย . ซอ พอ ฮอ . นอ ลา กิน ชี . ซอ พอ ฮอ . มอ ลา นอ ลา . ซอ พอ ฮอ . เสิด ลา เจง ออ หมก เค เย . ซอ พอ ฮอ . ซอ พอ มอ ฮอ ออ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . เจ กิด ลา ออ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . ปอ ทอ มอ กิด เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . นอ ลา กิน ชี พัน เค ลา เย . ซอ พอ ฮอ . มอ พอ ลี เซง กิด ลา เย . ซอ พอ ฮอ . นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย . นำ มอ ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี . ชอ พัน ลา เย . ซอ พอ ฮอ . งัน . เสิด ติน ตู . มัน ตอ ลา . ปัด ทอ เย . ซอ พ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

    [​IMG]

    ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร (ซิมเก็ง)
    กวน จื่อ ไจ๋ ผ่อ สัก * เห่ง ชิม ปัวะ เยียก ปอ หล่อ มิก ตอ ซี้ * เจี่ย กี่ โหงว อุ่ง ไก่ คง * โต่ว เจ็ก เฉียก โค่ว แอะ * เส หลี่ จื้อ * เส็ก ปุก อี่ คง * คง ปุก อี่ เส็ก * เส็ก เจียก สี่ คง * คง เจียก สี่ เส็ก * สิ่ว เสีย เห่ง เส็ก * เอี่ย หก อยู่ สี * เส หลี่ จื้อ * สี่ จู หวบ คง เสี่ยง * ปุก แซ ปุก มิก * ปุก โกว ปุก เจ็ง * ปุก เจ็ง ปุก เกี้ยม * สี่ กู คง ตัง บ่อ เส็ก * บ่อ สิ่ว เสีย เห่ง เสก * บ่อ งั่ง ยื่อ ผี จิ๊ ซิง อี่ * บ่อ เส็ก เซีย เฮียง บี่ ฉก หวบ * บ่อ งั่ง ไก่ * ไหน จี่ บ่อ อี่ เส็ก ไก่ * บ่อ บ่อ เม้ง * เอีย บ่อ บ่อ เม้ง จิ่ง * ไหน จี่ บ่อ เหลา ซี่ * เอี่ย บ่อ เหลา ซี่ จิ่ง * บ่อ โค่ว จิบ มิก เต๋า * บ่อ ตี่ เอี่ย บ่อ ติก * อี บ่อ สอ เต็ก กู * ผู้ ที สัก ตอ * อี ปัวะ เยียก ปอ หล่อ มิก ตอ กู * ซิม บ่อ คั่ว ไหง * บ่อ คั่ว ไหง กู * บ่อ อู่ คง ปู่ * เอี๋ยง ลี่ เตียง เต้า หมั่ง เสีย * กิว เก้ง นิบ พ้วง * ซำ สี่ จู ฮุก * อี ปัวะ เยียก ปอ ลอ มิก ตอ กู * เต็ก ออ เน่า ตอ ลอ ซำ เมี่ยว ซำ ผู่ ที * กู ไจ ปัว เยียก ปอ ลอ มิก ตอ * สี่ ไต่ สิ่ง จิ่ว * สี่ ไต่ เม้งจิ่ว * สี่ บ่อ เสียง จิ่ว * สี่ บ่อ เต๋ง เต๋ง จิ่ว * เหล็ง ตื๊อ เจ็ก เฉียก โค่ว * จิง สิก ปุก ฮือ * กู ส่วย ปัว เยียก ปอ ลอ มิก ต่อ จิ่ว * เจียก ส่วย จิ่ว เยียก * กิด ตี กิด ตี * ปอ ลอ กิด ตี * ปอ ลอ เจ็ง กิต ตี * ผู่ ที สัก ผ่อ ฮอ *


    ใจความสำคัญปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร<O[​IMG]</O[​IMG]

    พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์ เมื่อทรงได้บำเพ็ญปัญญาบารมีจนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ก็พิจารณาเล็งเห็นว่าที่แท้จริงแล้วขันธ์ ๕นั้นเป็นสูญ(สูญญตาหรืออนัตตาหรือความว่าง) และเมื่อสามารถมองเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นสูญแล้ว จักช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง “ท่านสารีบุตร รุปไม่ต่างจากความสูญ ความสูญไม่ต่างไปจากรูป รูปก็คือความสูญ ความสูญก็คือรูปนั้นเอง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นความสูญเช่นเดียวกัน ท่านสารีบุตร ธรรมทั้งปวงมีความสูญเป็นลักษณะไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หย่อน ไม่เต็มอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแหละ ในความสูญจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน ๖อย่าง) ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก ๖อย่าง) ไม่มีวิญญาณ(ความรู้สึกรับรู้ได้) ในอายตนะภายในทั้ง ๖ด้วย (จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ) ไม่มีวิชา ไม่มีอวิชา ไม่มีความสิ้นไปแห่งวิชชาและอวิชชา จนถึงไม่มีความแก่ความตาย และไม่มีสิ้นไปแห่งความแก่ความตาย ไม่มีทุกข์ สมัทัย นิโรธ มรรค ไม่มีญาณ(ปัญญา) ไม่มีการบรรลุถึงซึ่งปัญญา และไม่มีอะไรที่ต้องบรรลุอยู่ต่อไป พระโพธิสัตต์ เมื่อได้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีจิตที่เหลืออยู่ต่อไปแล้ว จึงเป็นผู้มีความเห็นถูกต้องชอบธรรม (สัมมาทิฐิ) และกระทำกิจทั้งปวงอย่างถูกต้องโดยเสมอ ในที่สุดก็บรรลุถึงพระนิพพาน บรรดาปวงพระพุทธเจ้าทุกๆองค์มีทั้งอดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาล ล้วนต่างได้เคยบำเพ็ญปัญญาบารมีมาด้วยกันแล้วทุกๆพระองค์ และเมื่อได้บำเพ็ญคุณธรรมนี้แล้วจึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้นควรได้ทราบว่าปัญญาบารมีนี้เป็นมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์ที่ไม่อาจมีมนต์บทใดมาเทียบเคียงได้ เป็นมนต์ที่สามารถขจัดทุกข์ภัยทั้งปวง และนำพาไปสู่แดนนิพพานได้แน่นอน จึงไม่ควรจะมีความกงขาใดๆต่อไปเลย ดังนั้นควรหมั่นสวดภาวนามนต์บทนี้ ด้วยเหตุนี้แล...จงไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิงไปสู่ความเป็นผู้รู้ไปสู่ความสงบสันติเบิกบานเกษมศานต์เถิด”<O[​IMG]</O[​IMG]
    หมายเหตุ คำว่า “กวนจือไจผู่สัก” คือพระนามอีกพระนามหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์หรือพระแม่กวนอิม เป็นชื่อที่ท่านสมณะถังซำจั๋ง ตั้งและเขียนขึ้นไว้เป็นครั้งแรกในคำแปลภาคภาษาจีนของปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร มีความหมายว่า “ผู้มีกายและใจเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงทั้งสิ้น”
    <!-- / message -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ไตรรัตน์มหายาน

    ไตรรัตน์ของมหายาน<O[​IMG]</O[​IMG]

    (ข้อมูลจากหนังสือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์และสิ่งศักดิ์ของมหายาน/ภาพประกอบฝีมือผม(คุณพงษ์ศักดิ์)เองครับ)
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ในจำนวนพระพุทธเจ้าที่มีมากมายเหลือคณา ที่มหายานนับถือที่สุดมี 3 พระองค์ ดังจะเห็นได้จากในโบสถ์วัดจีนหรือศาลเจ้าและโรงเจบางแห่งจะมีพระประธาน 3องค์ ตั้งเรียงเดียงกัน แต่พระประธาน 3องค์นี้มี 2 ความนัย<O[​IMG]</O[​IMG]
    นัยหนึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ คือพระพุทธเจ้าองค์กลาง-พระศากยมุนีพุทธองค์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวกับที่หินยานนับถืออยู่ คือ พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้โดยเจ้าชายสิตธัตถะแห่งศากยวงศ์ คนจีนเยนว่า “สิกแกเหม่านี้ฮุดโจ๊ว”<O[​IMG]</O[​IMG]
    สิกแก ก็คือ คำที่ออกเสียงอย่างจีนของศากยะ<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหม่านี้ คือ มุนี<O[​IMG]</O[​IMG]
    ฮุดโจ๊ว แปลว่า พระพุทธเจ้า

    <O[​IMG][​IMG]</O[​IMG]


    <V[​IMG]</V[​IMG]<O[​IMG]</O[​IMG]

    พระพุทธเจ้าองค์ทางซ้าย(ของเรา) คือพระอมิตาภพระพุทธเจ้าคนจีนเรียกว่า “อามิท้อฮุดโจ๊ว” หรือที่บางคนเรียกสั้นๆ ว่า “มีท้อ”<O[​IMG]</O[​IMG]


    <O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]
    อมิตาภะ คำนี้แปลว่า แสงสว่าง เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์นี้มีพระรัศมีกายเรืองรองเป็นแสงสว่างรุ่งโรจน์หาที่สิ้นสุดไม่ได้

    ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ทางขวา คือพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า คนเรียนเรียกว่า “เอี๊ยะซือฮุดโจ๊ว” หรือ “ยกซือฮุดโจ๊ว”<O[​IMG]</O[​IMG]
    ไภษัชย แปลว่า ยา ภาษาจีนว่ เอี๊ยะ หรือ ยก<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุรุ แปลว่า ครู ตรงกับคำจีนว่า “ซือหรือเหล่าซือ”<O[​IMG]</O[​IMG]


    <O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]
    พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า จึงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณวิเศษในเรื่องยา แต่ยานี้ไม่ใช้ยารักษาโรคธรรมดา แต่เป็นยารักษาโรคกิเลสตัณหาให้หายจากใจคน อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์นี้จะถูกปั้นให้มีลักษณ์เหมือนกัน เพื่อย้ำจุดยืนหรือปณิธานที่ทรงมีเหมือนกันว่า “เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์” นี้คือความหมายหนึ่งของพระประธาน 3 องค์ที่ตั้งเรียงเคียงกัน แต่อีกนัยหนึ่งของพระประธาน3องค์นี้ หมายถึง พระพุทธเจ้าองค์เดียว แต่มี 3พระกาย เพราะมหายานจะมีความเชื่อเรื่องตรีกาย ว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนมีตรีกาย เช่นเดียวกับคนเรา ที่เมื่อตายแล้ววิญญาณจะแบ่งออกเป็นสาม เรียกว่า .ซาฮุ้งชิกเพก” 3 พระกายของพระองค์จะประกอบด้วย<O[​IMG]</O[​IMG]
    นิรมาณกาย คือ กายอันเป็นขันธ์ 5 หรือเนื้อหนังมังสา นั่นเอง<O[​IMG]</O[​IMG]
    ธรรมกาย คือ รูปปรากฏของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า<O[​IMG]</O[​IMG]
    สัมโภคกาย คือ พระกายของพระพุทธเจ้าอันเป็นทิพยภาวะ มีรัศมีรุ่งเรือง<O[​IMG]</O[​IMG]
    คำจีนจะเป็น “เอ้งฮวยซิง-ฮวบฮวยซิง” และ “ป้ออึ้งซิง” มีคำเรียกพระประธานในโบสถ์ 3 องค์นั้ว่า “ไตรรัตน์ของมหายาน” และขอแถมเพิ่มเกร็ดความรู้ว่า ที่สองข้างองค์พระประธาน จะเป็น พระมหากัสสปเถระ และพระอานนท์ ซึ่งถ้าเป็นหินยาน(เถรวาท)ของไทย ที่เบื้องหน้าองค์พระประธานจะเป็นพระโมคคัลลานะ และ พระสารีบุตรประทับอยู่<O[​IMG]</O[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ...ดีแล้วชอบแล้ว



    .
     
  10. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    อนุโมทนาด้วยนะครับ มีความตั้งใจดีมากเลย ขอให้สำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจหวังไว้ทุกประการนะครับ
     
  11. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ช่วยกันเผยแผ่เพื่อญาติธรรมรุ่นใหม่....
     
  12. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เสียงสวดมนต์ที่แปลงไฟล์เป็นmp3 เพื่อง่ายกับการดาวโหลดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    [​IMG]

    โอม มานี ปะ มี ฮง หรือ โอม มณี ปัท เม หุม

    ความหมายในพระคาถาหัวใจ


    โอม สีขาว คือองค์ปัญญาของท่าน ฌานบารมีของท่านได้ขจัดความเฉื่อยชา หลงในความสุขสบายของอัตตา ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิเทวดา ดุจดังพระรัตนสัมภวะพุทธเจ้าทางทิศใต้
    มา สีเขียว คือเมตตาจิตของท่าน ขันติบารมีของท่านได้ขจัดความริษยา การแสวงหาชัยชนะด้วยเล่ห์กลต่างๆ ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิอสูร ดุจดังพระอโมฆสิทธิพุทธเจ้าทางทิศเหนือ
    นี สีเหลือง คือกาย วาจา ใจ การกระทำ และบุญบารมีของท่าน ศีลบารมีของท่านได้ขจัดความยึดติดในตน ความปารถนาไม่สิ้นสุด ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิมนุษย์ ดุจดังพระวัชรปาณิโพธิสัตว์
    ปะ สีฟ้า คือเสมอภาพ ปัญญาบารมีของท่านได้ขจัดความโง่เขลา ชาด้าน เก็บกด ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิเดรัจฉาน ดุจดังพระไวโรจนพุทธเจ้าอยู่ตรงศูนย์กลาง
    มี สีแดง คือความอิสระ ความมั่งคั่ง ทานบารมีของท่านได้ขจัดความโลภ ความหิวกระหาย ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิเปรต ดุจดังพระอมิตภพุทธเจ้าทางทิศตะวันตก
    ฮง สีดำ คือมหาเมตตากรุณา วิริยะบารมีของท่านได้ขจัดความโกรธแค้น การต้องการทำลาย ไม่ต้องเข้าสู่นรกภูมิ ดุจดังพระอักโษภยพุทธเจ้าทางทิศตะวันออก

    อานิสงฆ์ในการปฏิบัติธรรมในองค์พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ดุจดังแก้วสารพัดนึก

    โอมฺ หมายถึง ไวปุลมุนีศาสนติพุทธะ
    ม หมายถึง อมฤตราชาโพธิสัตว์
    ณี หมายถึง สมาธิประภาราชาโพธิสัตว์
    ปทฺ หมายถึง อิศวรราชาโพธิสัตว์
    เม หมายถึง อมิตายุสโพธิสัตว์
    หุมฺ หมายถึง พระมหาพละโพธิสัตว์

    ทางอำนาจความขลังของบทสวด มีความหมายดังนี้

    โอมฺ หมายถึง พ้นจากสิ่งขัดข้องทั้งปวง
    มณี หมายถึง พ้นจากสิ่งเศร้าหมอง และทวีบุญกุศลทั้งหลาย
    ปทฺ หมายถึง ทำให้สมปรารถนาทุกสิ่ง
    เม หมายถึง ขจัดภยันตรายต่างๆ
    หุมฺ หมายถึง ทำให้จิตสำเร็จความตรัสรู้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    สาธุ ถูกใจจังเลยค่ะ น้องเจน
    อนุโมทามิ ทุก ๆ ประการนะคะ
     
  15. จิตสะอาดใจสงบ

    จิตสะอาดใจสงบ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +17
    เพราะมากๆครับ
    น้ำเสียงน้องเจนเย็นมากๆๆ
     
  16. gan1859

    gan1859 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +4
    อนุโมทนาในความตั้งใจที่มอบสิ่งดีๆให้กับทุกคน ขอให้บุญกุศลที่ทำจงตอบกลับไปเป็นล้านๆ เท่า
     
  17. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    สาธุ.. _/|\_
     
  18. jantra2008

    jantra2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +185
    ขออนุโมทนาสาธุกับน้องชายที่น่ารัก และมากด้วยเมตตาจิตขอให้พลังแห่งเมตตาและพลังแห่งบุญกุศล จงกลับไปสู่น้องและครอบครัวเป็นร้อยเท่าทวีคูณ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
  20. janepat2549

    janepat2549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,963
    ค่าพลัง:
    +1,284
    สาธุ...ขอบคุณทุกๆท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...