ชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับบทสวดจักรพรรดิและบทสัพเพ ของวัดสะแก

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 19 กันยายน 2013.

  1. sio191

    sio191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +601
    เรื่องนี้จริงครับ เคยเจอคนที่นับถือเขาไปกราบหลวงปู่ที่วัดสะแกบ่อยๆตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่
    พอถามถึงคาถาจักรพรรดิ์ ท่านก็บอกว่า ....เอ้า! นี่มันบทบูชาพระของวัดนี่!
    (ท่านบอกว่าที่วัดเค้าก็เขียนไว้ชัดเจนว่า บทบูชาพระ ไม่ใช่คาถาพระมหาจักรพรรดิ์)

    แต่ผมก็คิดว่าถึงแม้หลวงปู่จะไม่เคยสาธยาย คุณอานุภาำพบทจักรพรรดิ์แบบละเอียดถี่ยิบเหมือนสมัยปัจจุบัน การสวดมนต์บูชาพระนั้นก็เป็นเรื่องสมควรดีครับ สมควรอย่างยิ่ง แค่ใจจดจ่อการสวดบูชาพระรัตนตรัย มีสมาธิก็เป็นกุศลยิ่งแล้ว สวดมากๆได้ก็ดี ขอบคุณครับ
     
  2. toyhonda

    toyhonda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +1,782
    แต่ที่แน่ๆ สวดทุกวันนี้มีความสุข จะเรียกอะไรก็ตามแต่ จะเป็นเรียกอะไรก็ช่าง รู้แต่ว่าทุกวันนี้บทสวดของหลวงปู่ดู่อยู่ในสติเราตลอดเวลา ถือว่าเป็นบทสวดที่สวดแล้วดี...เราสวดทุกวัน 20.30 น. สวดพร้อมกันทั่วโลก คิดดูสิว่าพลังการสวดจะมากขนาดไหน จะสวดในใจ เสียงดัง หรืออะไรตามที่ว่ามา ถ้าเรามีสมาธิ ใครจะเสียงดังหรือเสียงพูดคุยอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะบทสวดสามารถทำให้เรามีสมาธิในการสวด และไม่โกรธใครที่ส่งเสียงดังเลย เพราะจิตเรากำลังเป็นกุศล แต่ทุกความคิดเห็นก็แล้วแต่มุมมองกันไป!
     
  3. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,332
    เห็นด้วยค่ะ


    และดิฉันคิดว่าบทบูชาพระในศาสนาพุทธเราอาจจะมีอยู่หลายบทหลายอาจารย์ตามแต่ละแนวทางด้วยกัน จึงยากต่อการจำเพาะเจาะจงด้วยคำว่า "บทบูชาพระ"
    ดังนั้น คิดว่าผู้เผยแพร่คงอยากให้ให้ผู้คนจดจำชื่อเรียกพระคาถานี้ได้ง่าย จึงเกิดการเรียกบทนี้ว่า "บทพระคาถามหาจักรพรรดิ" มากกว่าค่ะ
     
  4. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ช่วยกันแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ครับ จขกท.ก็นำมาเผยแผ่เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปละครับ ทำให้รู้ที่มาที่ไป จากการไปดูเว็บฯ ครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน ย่อมนำสิ่งดีๆมาเผยแผ่ ส่วนเราชาวพุทธฯ ก็ใช้ดุลย์พินิจฯเอาครับ สามัคคีสร้างสรรค์ครับๆๆ
     
  5. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    สวัสดีครับ สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวผมว่า ชื่อคาถามหาจักรพรรดิ์นั้น จะมีการใช้เรียกกันก่อนหรือหลังหลวงปู่มรณภาพนั้น ถ้าต้องการหาข้อมูลกันจริงๆแล้วก็ควรจะสอบถามจากกลุ่มลูกศิษย์หลายๆกลุ่ม หรือหลายๆคนที่ใกล้ชิดกับหลวงปู่โดยตรง แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร ว่าจะเรียกชื่อไหน แต่ที่จะเรียกว่าบทบูชาพระนั้น ดูจะเหมือนเป็นการเรียกทั่วๆไป เหมือนของวัดต่างๆก็จะมีเรียกกันว่า เป็นบทบูชาพระของวัดนั้นวัดนี้ แต่ถึงมีลูกศิษย์มาเรียกชื่อว่าคาถามหาจักรพรรดิ์ในภายหลัง ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร กลับเป็นการยกย่องเทิดทูนครูบาอาจารย์ที่ชัดเจนขึ้นไปอีก และชื่อนี้ก็ไม่ได้ห่างไกลไปจากเนื้อหาของพระคาถา ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด กลับเน้นย้ำความชัดเจนขึ้นด้วยซ้ำ ผมคิดว่าไม่น่าจะนำมาเป็นประเด็นขัดแย้ง เพราะไม่เห็นเสียหายตรงไหน กลับเป็นผลดีอีกต่างหากเพราะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ให้ระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้ง่ายขึ้น บทสวดหรือคาถาอื่นบางบทก็ยังมีเรียกกันหลายชื่อ ตามจริตของบุคคล อย่างบทพุทธคุณทั้งสามห้อง ก็มีเรียกกันหลายอย่าง เช่น อิติปิโส ถวายพรพระ พุทธคุณ หรือบทเมตตาใหญ่ที่มีชื่อเดิมที่เรียกยากและยาวกว่านั้นมาก อย่างคาถาหลวงพ่อโอภาสีที่ขึ้นว่า อิติสุคโต เห็นบางแห่งเรียก คาถาอยู่เย็น หรืออยู่เย็นเป็นสุข หรือคาถาบูชาดวงชะตา บางแห่งก็เรียกว่า คาถาบูชาเทพยดานพเคราะห์ หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์ในอดีตบางพระองค์ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พสกนิกรระลึกถึงความดีงามของพระองค์ ต้องการยกย่องเชิดชูพระเกียรติ ก็พร้อมใจกันถวายพระนามพระองค์ขึ้นใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่อพระคาถานี้ว่าอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า วันนี้คุณเริ่มสวดพระคาถานี้ด้วยความศรัทธาอย่างจริงจังแล้วหรือยัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2017
  6. king938

    king938 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +1,103
    ถูกต้องครับ ใจกว้างกันหน่อย รับรู้รับฟังและปล่อยวางครับ
     
  7. tleelapo

    tleelapo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,160
    ค่าพลัง:
    +2,521
    ผมขออนุญาตินำความเห็นของท่านmanitgr ในเวป luangdu.com มาpost ต่อเพราะว่ามันตรงกับความเห็นของผม100 เปอรเซ็นต์ เพราะผมพยายามทั้งสวดคาถาจักรพรรดิ คาถาเงินล้าน และ ทำอานาปนุสติ และพุทธานุสติด้วย

    ผมได้อ่านบทความเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ จากเว็บต่างๆหลายเว็บ ประเด็นหนึ่ง ที่พอจับความได้ก็คือ

    หลวงปู่ดู่ท่านจะให้คำสอนกับศิษย์บางท่าน เป็นคำสอนเฉพาะนิสัยและจริตของศิษย์ท่านนั้นก็มี ซึ่งไม่ใช่คำสอนที่เหมาะสมกับศิษย์ทั่วไป เช่น เรื่องการสวดบทจักรพรรดิ์ และการสวดบทสัพเพ กล่าวคือ บทแรกเป็นการสวดบูชาพระ บทหลังเป็นการขอบารมีพระ ให้ส่งพลังกระแสบุญจากหลวงปู่ดู่อุทิศผ่านร่างผู้สวด ไปยังผู้ที่ผู้สวดต้องการอุทิศบุญให้ ทั้งผู้ที่ตายไปแล้ว และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

    ส่วนศิษย์บางท่าน ที่ไม่มีทักษะด้านการอุทิศบุญด้วยวิธีดังกล่าว ก็อาจจะไดรับคำสอนที่ต่างไปจากคำสอนด้านบนนี้

    กล่าวโดยสรุปก็คือ หลวงปู่สอนธรรม ที่เหมาะกับจริตนิสัยของศิษย์ แต่ละท่าน ดังนั้นจึงไม่อาจจะกล่าวว่า คำสอนแบบใดจะดีกว่ากัน เพราะศิษย์มีจริตนิสัยต่างกัน คำสอนของหลวงปู่ในบางเรื่อง จึงเหมาะกับศิษย์เฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น

    แต่คำสอนโดยทั่วไป ก็อยู่ในหลักศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในกรอบเดียวกันนั่นเอง
     
  8. อัครไมตรี

    อัครไมตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +8,583
    พลาดครับ เอามาลงแบบไม่ได้กรอง
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
    ในสมัยพุทธกาล แม้ขณะพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมข้อเดียวกัน แต่กลับมีผู้บรรลุธรรมที่ไม่เท่ากัน หรือ มีผลพลอยได้เป็นอภิญญาต่างๆหลังการบรรลุธรรมข้อนั้น ต่างกัน


    ทุกสำนัก ทุกสายวิชา แม้เรียนตำราเดียวกัน คำสอนเดียวกัน แต่การแตกฉานในเรื่องที่เดียวกันกลับไม่เท่ากัน


    หลวงปู่ดู่ และ ครูอาจารย์ทั้งหลาย ท่านย่อมให้ความสำคัญอันดับแรกกับผู้เข้ามาปฏิบัติ ไม่ว่าระดับไหน ก็เพื่อ...

    1.ละอกุศล
    2.บำเพ็ญกุศล
    3. ...และ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์


    เป็นการดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์


    สมกับที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวและย้อนถามหมู่ศิษย์ว่า
    "....ปฏิบัติแล้ว โลภ โกรธ หลง ของเอ็งลดลงไหม?...ฯลฯ "
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
    จากประสพการณ์ของคนนอกสาย ที่ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เมื่อได้สวดบทนี้ ก็สามารถทำให้เข้าถึงดวงธรรมและกายในกายเบื้องต้น18กาย และเข้าถีงกายละเอียดภายใน ที่เป็นพระปฏิมากรทรงเครื่องคล้ายกษัตริย์ ที่เรียกว่า กายพระจักรพรรดิได้ โดยมีกำลังเสริมจากพระมหาโพธิสัตว์ใหญ่คือหลวงปู่ดู่ และ ฯลฯ ช่วยน้อมให้จิตใจตั้งมั่นและเข้าถึงได้

    เมื่อกาย วาจา ใจ เข้าถึงพระ คือละอกุศล เป็นกุศล จิตใจบริสุทธิ์จากกิเลสได้แม้เพียงชั่วคราว
    ขึ้นชื่อว่า เข้าถึงพระ หรือ เข้าถึงไตรสรณคมน์ เช่นนี้


    ....." ชื่อคาถา ไม่สำคัญ เท่า กิริยาจิตที่เข้าถึงเนื้อในของพระคาถา"....
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
    เป็นที่ทราบกันดีของผู้ปฏิบัติในสายวิชาต่างๆ(ใครก็ได้ที่ถึง ) ว่า กายภายในที่ซ่อนอยู่ฉากหลังความเป็นอยู่ของสัตว์โลก ที่มีหน้าที่รวบรวมผลการกระทำด้วยกาย วาจา ใจแล้วส่งผลนั้นกลับมายังสัตว์โลก ก็คือ จักรพรรดิ

    จักรพรรดิของธรรมภาคกุศล ที่มีประจำอยู่ทุกตัวตนของสัตว์โลกและมีอยู่ในทุกภพ จะคอยส่งวิบากกรรมดี ผลกรรมดี ความสุข และสิ่งดีๆมายังสัตว์โลกตลอดเวลา ผ่านทางใจเข้าสู่กายของสัตว์โลกทุกตัวตน

    แต่ถ้าใจของสัตว์โลกปัจจุบัน ไม่จ่อจรดในกุศลซะแล้ว การได้รับวิบากกุศลในทุกระดับก็ยาก

    การที่ผู้สำเร็จทั้งหลายพยายามคิดค้นอุบายอันเป็นกุศล ให้สัตว์โลกมีกาย วาจา ใจที่โอนอ่อน น้อม เอน และเข้าถึงธรรมกุศล ก็เพื่อให้สัตว์โลกได้มีสุขปัจจุบัน และให้มีโอกาสทำความดีอันเป็นเหตุให้เสวยสุขระดับต่างๆในอนาคตได้

    ถ้ารู้ชัดอย่างนี้ จะใช้ช้อนซ่อมจานชามยี่ห้อใด ที่สามารถเป็นภาชนะรองรับอาหารไว้ทานได้แล้ว
    ก็เลือกใช้ยี่ห้อทีตนเลือกตามอัธยาศัย
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
    ใหม่ๆ การสวดบทสัพเพฯ ก็เป็นเพียงการน้อมเอากำลังพระ ฯ เข้ามาและแผ่เมตตาหลังจากกรรมฐาน หรือสวดมนต์

    ...แต่บางท่านที่มีอัธยาศัยเฉพาะบางประการ ก็สามารถพัฒนานำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งผ่านการทดสอบของหมู่กลุ่มและกราบเรียนหลวงปู่ให้ทราบ สมัยที่ท่านยังครองขันธ์อยู่
    เมื่อจิตใจมีกำลัง และเชื่อมต่อกับกระแสพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นต้นเหตุของพระคาถาได้ การจะรวบรวมกำลังของความดีในระดับต่างๆเช่น เทวธรรม พรหมธรรม จักรพรรดิ และละเอียดสุดคือกำลังจากพระรัตนตรัยจากแดนเหนือภพสาม ก็สามารถกระทำได้.....ไม่ใช่การอ้อนวอนขอโดยไม่สร้างเหตุ.........แต่เป็นการได้ทำเหตุแล้ว คือ ประกอบกายใจให้เดินไปในศีลสมาธิปัญญา จนขจัดนิวรณ์ธรรมและกิเลสออกได้ แม้เพียงชั่วขณะ

    เมื่อเชื่อมต่อกระแสฯได้แล้ว ก็จะสามารถขยายเมตตาจิต ที่ต้องการให้สัตว์โลกมีสุข ไปสู่ความปรารถนาให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ ( กรุณา ) และ เกิดมุฑิตาจิต พลอยยินดีในสุขที่พวกเค้าได้เสวยแล้วด้วยเหตุต่างๆ รวมทั้งเหตุที่เค้าด้พ้นทุกข์จากการน้อมนำบารมีพระ และบารมีฯทั้งหลายช่วยพวกเค้าได้ และ เจริญเป็นอุเบกขาธรรม เมื่อยังไม่สามารถช่วยเหลือได้ เพราะยอมรับในกฏแห่งกรรม


    การน้อมกำลังพระ และกำลังทั้งหลาย ไปปรับภพภูมิ ไม่ได้เป็นการฝืนกฏแห่งกรรม เราน้อมไปเพื่อขอให้เจ้าของกำลังเรานั้น ข่วยสรรพภพภูมิที่ตายก่อนกำหนด ไม่สามารถไปไหนได้ ให้ไปเกิดตามกรรมของเค้าตามปกติ หรือ ให้พวกเค้าได้มีโอกาสอนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลาย เป็นการเปลียนพลังงาน ณ ที่ต่างๆให้เป็นพลังงานที่ดี

    เป็นการดำเนินไปของธรรมที่เป็นพรหมวิหาร เป็นคุณธรรมที่ควรมีควรเจริญของผู้ปฏิบัติ



    การเดินทางของผู้มีนิสัยสาวกภูมิ และ ผู้มีอัธยาศัยด้านโพธิสัตว์ ก็อาจมีความต่างกันตรงนี้ที่เห็นได้ คือ กำลังใจทีจะบำเพ็ญความดีต่อตนและชีวิตอื่น ให้เข้มข้นหนาแน่นยิ่งๆขึ้นไป มากกว่าที่จะเอาตนเองรอด
     
  13. อัครไมตรี

    อัครไมตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +8,583
    อันที่จริงผมเปิดมาเพื่อจะมาเอาตัวคาถาสัพเพฯเฉยๆครับเพราะผมยังท่องไม่ได้เพิ่งสวดได้ไม่กี่ครั้งเองครับ แต่อ่านเจอแล้วก็ขอโพสท์หน่อยผมเองสมัยเด็กๆก็อ่านแต่เรื่องราวของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษี โตมาหน่อยก็ไปทำบุญและบวชสายวัดป่าฯ แต่ที่พอปฏิบัติได้ดีหน่อยคือสายวิปัสสนากรรมฐานพองหนอยุบหนอ

    แต่พอดีมีเพื่อนที่ปฏิบัติสายหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าซึ่งผมได้ร่วมเงินทำบุญไปส่งพระลูกแก้วและแนะนำการขอน้อมพลังหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่มา

    เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมาหลังจากที่ดาวพฤหัสย้ายคืน 4 ทุ่มวันที่ 6 เด็กพนักงานในสำนักงานที่เสียชีวิตลง ผมจึงไปที่โรงพยาบาลผมเป็นคนกลัวสิ่งที่ไม่เห็นตัวในกระเป๋าผมมีมีดหมออยู่ 2 เล่มปรอทกรออายุ 2 - 300 ปี ปลัดขิกหลวงปู่ทิม ขวานฟ้าสายหลวงปู่เจี๊ยะ ท้าวเวสสุวรรณหลวงปู่หมุน พระปิดตาของหลวงปู่โต๊ะที่มีเนื้อผงผสมของหลวงปู่โต๊ะ, หลวงพ่อสด,หลวงพ่อผึ่ง ผงเดียวกับที่ทำสร้างพระวัดปากน้ำรุ่น 1 และรุ่นเคลือบแชลค ที่เรียกกันว่ารุ่น 3 ทั้งที่ควรเรียกว่ารุ่น 1 เหมือนกันหมดครับ(ท่านเป็นสหธรรมมิกและเป็นลูกศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันครับ)
    อธิบายไว้เผื่อผู้ที่ไม่ได้ชอบด้านพระเครื่องครับแต่ของพวกนี้มีแค่ชิ้นเดียววิญญาณก็ไม่อยากอยู่ใกล้แล้วครับ

    แต่ที่พูดมาก็เพราะว่าพอไปที่โรงพยาบาลผมสัพเพให้ทั้งโรงพยาบาลเลยไม่ใช่ให้ผู้เสียชีวิตแค่คนเดียว
    พอเดินออกนอกชายคาโรงพยาบาล ปรากฏว่าขนลุกทั้งตัวสอบถามไปที่เพื่อนบอกว่าเขามาขอบคุณถ้าเป็นแบบนี้จริงพวกที่รอบุญอยู่นี้น่าสงสารมากครับ

    วันนี้ได้มีโอกาสไปสุสานแต่ไปไม่ทันเพราะเขาเผาศพเร็วมากจึงขอน้อมพลังหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เพื่อปรับภพภูมิให้พวกเขาไปสู่สุขคติภูมิโดยที่ทำประมาณห้านาทีโดยไม่ลงจากรถเพราะเกรงว่าจะขนลุกทั้งตัวอีก

    ผมคิดว่าคงพอแล้วมั้งก็ขับรถออกจากสุสานพอกำลังจะออกไปประตูเท่านั้นมีรถขนของมาจอดขวางหน้าประตูสุสานแล้วค่อยๆขยับพ้นประตูไปผมรู้เลยทันทีว่าเขายังได้รับบุญจากหลวงปู่ไม่พอจึงถอยรถมาพร้อมน้อมพลังมาให้พวกเขาอีกครูใหญ่ครั้งนี้จึงออกไปได้อย่างไม่มีอะไรมากีดขวาง

    ที่ผมเป็นห่วงจากการโพสต์ในครั้งนี้ก็คือลูกศิษย์หรือผู้ศรัทธาหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าที่สวดคาถาแล้วมาอ่านจะขาดศรัทธาแทนที่เขาจะช่วยแผ่บุญไปได้
    สามารถปฏิบัติได้มีเมตตากรุณาต่อทั้งคนและจิตวิญญาณจะทำให้เขาขาดศรัทธางานที่จะช่วยเหลือผู้อื่นแม้แต่โลกวิญญาณนั้นก็จะไม่ได้ช่วยผมเองคิดว่าน่าสงสารมากมันไม่ได้เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมอะไรเลยเพราะเป็นการช่วยด้วยความเมตตาด้วยพรหมวิหาร 4 ถ้าท่านเห็นคนจะจมน้ำมีทางเลือก สามทาง คือยืนดูเฉยๆ โยนห่วงยางให้ หรือ โยนก้อนหินให้ เป็นการุณยฆาตก็ว่ากันไปตามจริตครับ

    ส่วนเรื่องคาถาจะมีผลอย่างไรมีที่มาที่ไปจากไหนอันนี้ผมขอ เปรียบเทียบให้ฟังแบบนี้ครับถ้าผมสามารถขับรถยนต์เดินทางไปไหนมาไหนถึงที่หมายได้ผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าการทำงานของรถยนต์เบนซินใช้หัวเทียนหรือรถยนต์ดีเซลใช้หัวฉีดไม่ต้องรู้ว่าระบบเครื่องยนต์ ดูดอัดระเบิดคายทำงานอย่างไรถ้าผมช่างยนต์จะอธิบายได้ดีกว่านี้ครับแต่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่าถ้าผมมีกุญแจสตาร์ทรถผมรู้จักเบรคครัชคันเร่งเกียร์ ก็สามารถขับรถได้โดยไม่ต้องไปรู้ว่าเครื่องทำงานอย่างไรล่ะครับ

    เอาเป็นว่าที่ผมเขียนโพสท์มาเป็นกำลังใจและยืนยันผลการปฏิบัติจริงก็แล้วกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2017
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
    ?temp_hash=5c8f09ba12a8442f0425761af9015e17.jpg

    บางคน ใหม่ๆก็สวดบทต่างๆ หรือบทจักรพรรดิ ใหจิตชินที่จะจับภาพหรือกระแสพระ กระแสท่าน
    ให้มั่นคงระดับหนึ่งก่อน

    บางคน ชินแล้ว ชำนาญแล้ว หรือ มีศรัทธาตั้งมั่น เพียงแค่นึกถึงหลวงปู่
    กระแสท่านก็เชื่อมปั๊บ ที่เหลือท่านทำอัตโนมัติเลย แค่เรารู้สึกว่า มีเมตตากรุณาจะช่วย
    ภพภูมิหรือใคร ณ ที่ใดๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    "หลวงปู่เคยเล่าว่าท่านมิได้เป็นผู้ผูกคาถาขึ้นเอง หากแต่จดจำมาเมื่อครั้งเล่าเรียนอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม" ผมไม่ทราบว่า ข้อความนี้เท็จจริงประการใด แต่อ่านแล้วรู้สึกว่าหมิ่นเหม่ต่อการปรามาทหลวงปู่ เหมือนเป็นการลดความน่าเชื่อถือของหลวงปู่โดยไม่เจตนา เพื่อจุดประสงค์บางประการ ซึ่งไม่มีผลในทางสร้างสรรค์ อันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
     
  16. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    คาถามหาจักรพรรดิ
    ............................

    เฉพาะท่านที่ต้องการเพิ่มเติมพลัง กำลังใจ ๆ และ.........(ดูความหมายในคำแปลเอาเองนะครับหรือไปฟังจากคลิปหลวงตาม้าเพิ่มเติมนะครับ)
    ท่านที่ต้องการสวด บางท่านทำกันอยู่แล้ว จงอย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่จงทำด้วยความเชื่อมั่นตั้งใจหลอมรวมพลังงานจิตวิญญาณผ่านปากลิ้นกาย ใจ กลั่นออกมาเป็นวาจาประกาศเป็นความรู้สึกรวมเป็นพลังงานธาตุหนึ่งเดียวกับพลังงานจักรพรรดิ

    พระพิฆเนศ มาบอกท่าน ช สวด เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2560
    ให้สวดวันละมาก ๆ ร้อย พัน หมื่นจบได้ยิ่งดี
    ท่าน ช ถามว่า สวดอย่างไรจึงได้ผล เทียบกับคาถาเงินล้านแล้ว ผลเป็นอย่างไร...?
    ท่านตอบว่า ตอบให้ไม่ได้ดอก มนุษย์ต้องไปคิดกันเอาเองบ้างนะ แต่...การที่จะได้ผลหรือว่าไม่ได้ผล เร็วหรือช้า สำหรับผู้สวดทุกวันนั้น ต้องเชื่อมั่นในพลังของคาถา เชื่อมั่นศรัทธาในหลวงปู่ทุก ๆ พระองค์ ที่เกี่ยวเนื่องกับคาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า รูปเปรียบรูปสร้างเป็นองค์ปฐมบรมบิดา บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จนถึงพระพุทธโคดมเป็นที่สุด พระโพธิสัตว์ พระศรีอริยเมตไตรย พระปัจเจก พระอริยเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิ์ เป็นต้น ส่วนคาถาเงินล้านก็เช่นกันนะ ต้องเคารพหลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี พระพุทธเจ้าองค์ปฐมตราบถึงองค์ปัจจุบัน พระปัจเจก พระอริย โพธิสัตว์ พระศรีอริยเมตไตรย พรหม เทวดา บิดา มารดา ครู อาจารย์ และสวดให้จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคาถา เนื้อหาสาระพลังงานคาถาจักรพรรดิ คาถาเงินล้าน คือเรา เราคือพลังงานที่กำลังท่องบริกรรมคาถานั้น ๆ ทำไปด้วยจิตตั้งมั่นคง ไม่ใช่สวดเพราะอยากรวย อยากมีเงิน อยากมีพลัง อยากได้โน่น นี่ นั่น จึงสวดเพราะแลกเปลี่ยน ใจมันไม่บริสุทธิ์มีกิเลสมาก ฟุ้งซ่านมาก แล้วก็นับเวลานับวันนับคืนคาดหวังจะสำเร็จ พอไม่ได้อย่างที่ตั้งใจก็เลิกล้มความเพียรพยายาม บางคนก็สวดบ้างไม่สวดบ้างมีข้ออ้างสารพัด แล้วจะเรียกร้องเอาอะไรมนุษย์เอ๋ย...
    พงศ์พัฒน์ สุริยจันทร 10 กค.2560
    โปรดใช้วิจารณญาณ เห็นว่าอาจจะดีต่อใจของผู้ศรัทธาพระคาถามหาจักรพรรดิ์ และองค์หลวงปู่ดู่
     
  17. wiraphat1

    wiraphat1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +3,348
    -บทบูชาพระ...น่ามาจากหลวงปู่บอกเนื้อคาถา ให้ศิษย์ไปสวดบูชาไหว้พระ แต่ไม่ได้บอกชื่อบทสวดนั้น จึงเรียกกลางๆ เป็นบทบูชาพระ ส่วนที่เรียกคาถาจักรพรรดิ์มันเป็นชื่อคาถาบทสวดนั้นจริงๆ ลองศึกษาตำราสำนักต่างๆดู

    -ส่วนอานิสงในการสวด..ต้องปฏิบัติดูและพิสูจน์เอาเองถึงจะรู้..ส่วนตัวผมว่าดีน่ะ

    -การสวดมนต์ วางจิตเป็นก็เข้าถึงสมาธิได้ และเดินสู่วิปัสสนาได้ ถ้าเข้าใจ
     
  18. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    ย้อนรอย คาถามหาจักรพรรดิ . . . และ อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ
    « เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2013, 11:16:43 AM »

    [​IMG]

    “นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”


    “พระคาถามหาจักรพรรดิ” เป็นพระคาถาที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก“ชมพูปติสูตร” ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบทิฐิพญา ชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ โดยผู้ที่รจนาพระคาถาบทนี้ขึ้นมาก็คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา พระผู้เป็นดั่งร่มโพธิ์แก้วที่แผ่กิ่งก้านใบบุญบารมีมอบความร่มเย็นเป็นสุข ให้แก่ลูกศิษย์ทั่วทุกชนชั้นอย่างไม่มีประมาณตามแนวทางแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย์โพธิสัตว์และหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งพระคาถานี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ใช้ในการรวมบารมีแผ่เมตตาช่วย เหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ และใช้ในการอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน โดยท่านได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหลาย รวมทั้งพระคาถามหาจักรพรรดินี้ ไว้ให้แก่ลูกศิษย์ผู้เป็นหน่อโพธิ์แก้วต้นใหม่ที่จะทำหน้าที่สร้างความร่ม เย็นเป็นสุขให้แก่ลูกศิษย์ในรุ่นหลังต่อไปก็คือ พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร หรือ หลวงตาม้า แห่งวัดถ้ำเมืองนะ นั่นเอง

    เคยมีลูกศิษย์ที่ทันสังขารหลวงปู่ดู่ท่านหนึงสนทนากับหลวงปู่ถึงเรื่อง 'คาถามหาจักรพรรดิ'

    ลูกศิษย์ "หลวงพ่อเป็นผู้แต่งคาถาบูชาพระ คาถามหาจักรพรรดิ ใช่มั้ยครับ"

    หลวงปู่ "สำเภาเขาสร้างพระพุทธรูป อยากได้คาถาบูชาพระ
    ก็เลยมานึกเอาเอง มันจะผิดอยู่หน่อยหนึ่งตรงคำบูชาที่มี นะโมพุทธายะ
    แล้วก็ ยะธาพุทโมนะ หรือแกว่าไง" หลวงปู่ท่านถามเป็นนัยๆ

    ลูกศิษย์ "ปกติ การตั้งองค์พระ การอธิษฐานให้เป็นพระ โบราณเขาใช้กันว่า
    นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ดังการที่หลวงพ่อกล่าวเช่นนี้
    ต้องการให้บูชาคาถาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ดู่ท่านพยักหน้ารับ ทั้งหลวงปู่ดู่ยังกล่าวต่อไป
    เกี่ยวกับบทบูชาพระที่นิยมนำมาเรียกกันว่าคาถาจักรพรรดิในปัจจุบันนี้อีกว่า

    "คาถา บทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอกเพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะอีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสิวลีผู้เป็นเลิศทางลาภไว้ด้วย อาบไปเสกไปก็ได้ กินข้าวก็ได้ ดีทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆจะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติเสียก่อน ดูอย่างข้าเมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขามาซื้อธูปเทียนใบชามาเลี้ยงแขก เดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีใช้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหมของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ ฟันไม่มี" หลวงพ่อหัวเราะ และยังเสริมอีกว่า

    "คนเราต้องทำให้ดีเมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวย พระจะดีต้องหมดอยาก
    ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี"


    คาถาบูชาพระที่หลวงปู่ดู่ท่านย้ำเอาไว้ให้หมั่นท่องไว้ทุกวันนั้น ต่อมาภายหลังมีลูกศิษย์นำไปสวด
    แล้วเห็นว่ากายทิพย์ทรงเครื่องเป็นมหาจักรพรรดิ และมีพลังงานขับเคลื่อนเป็นพิเศษทำนองนั้น
    จึงได้นำมากราบเรียนถามหลวงตาม้าในโอกาสที่หลวงตาลงมา กทม. วันหนึ่ง
    หลวงตาจึงไขความลับให้ฟังทั่วกันว่า ขณะที่สวดคาถามหาจักรพรรดินั้น
    ถ้าเทวดาผ่านมาก็จะเห็น แม้แต่ หนู หมา แมว บางครั้งก็สามารถเห็นมิตินี้ได้เช่นกัน

    ทุกอย่างที่หลวงปู่ตั้งใจรวบรวมเอาไว้ในพระคาถา ดังที่หลวงตาได้อธิบายเอาไว้
    จะมาปรากฏที่กายพลังงานของผู้สวดตลอดเวลาที่กำลังสวด ที่หลวงตาเรียกว่าจิตทำการบันทึกบุญเอาไว้ตลอดเวลา
    หรือหลังจากสวดแล้ว เจ้าตัวสามารถทรงอารมณ์นั้นเอาไว้ได้ กายพลังงานก็จะมีพลังงานต่างๆในพระคาถาปรากฏอยู่
    พลังงานในพระคาถาเป็นอย่างนี้เอง หลวงปู่ดู่จึงได้เน้นย้ำเอาไว้ ให้ลูกหลานหมั่นสวดเป็นประจำ
    จะกินจะดื่ม จะอาบน้ำก็ดี หรือนึกขึ้นได้เมื่อใดสวดเมื่อนั้น ด้วยเกิดพลังงานบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

    ที่หลวงปู่ไม่ได้แจงรายละเอียด รอเวลาเมื่อสิ่งเหล่านี้ได้มาปรากฏในผู้สวดแล้ว
    จึงนำมาถามถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนว่าเป็นสิ่งไรกันแน่....เป็นการพิสูจน์คุณวิเศษของพระคาถา
    ที่มีคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ผู้ที่สวดช่วยทำให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ในที่สุด
    หลวงปู่ท่านพูดน้อยแต่แฝงเอาไว้ด้วยนัยแห่งคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ . . .

    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวถึงการใช้บทบูชาพระหรือคาถาพระมหาจักรพรรดิของท่านว่า
    "ข้าเป็นคนโลภมากทำอะไรก็อยากทำให้มากที่สุด ดีที่สุด เดี๋ยวนี้ใช้แค่บทนี้ทั้งนั้น
    ใครมานั่งคุมเล่าข้าเสกเขาก็รู้เองแหละว่าทำจริงหรือไม่จริง"

    หลวงปู่ดู่ท่านเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นพระ ต่อมาท่านไม่มาหาหลวงพ่ออีกเนื่องจากหลวงพ่อพูดว่า
    "ยังไม่ไปนิพพานเพราะต้องโปรดคน" แต่พระองค์นี้ไปตีความไปว่าหลวงพ่อยังติดอยู่กับ
    ลาภยศ ชื่อเสียง ซึ่งความจริงแล้วหลวงพ่อมีเมตตาและบอกความปราถนาของท่านให้ทราบว่าท่านเป็น พระโพธิสัตว์

    สาเหตุอันเนื่องจากการที่บทความนี้กล่าวท้าวความเกี่ยวกับบท ชมพูบดีสูตร หรือบทมหาจักรพรรดิ์ไว้เนื่องจากปัจจุบันขาดผู้สนใจ
    เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล แม้แต่พระบางองค์ท่านยังกล่าวว่าเกินความจริง โดยท่านลืมนึกถึงคำว่า "อจินไตย"
    คือสิ่งไม่ควรคิดเพราะไม่สามารถนำเหตุผลทางโลกหรือทางทฤษฎีมาทำให้เกิดความ กระจ่างได้
    เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้เอง ถ้าคิดมากอาจเป็นบ้า สิ่งเหล่านี้ได้แก่

    1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า เช่น ทำไมท่านถึงตรัสรู้ได้ ท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์จริงหรือ
    2.วิสัยของกรรม เช่น ทำไมคนนั้นคนนี้รวย จน สมบูรณ์ กำพร้า
    3.วิสัยของพระอรหันต์ เช่น ท่านหมดโลภ โกรธ หลงหรือ
    4.วิสัยของโลก เช่น โลกเกิดมาได้อย่างไร
    5.วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น ลักษณะที่สงบเป็นอย่างไร สงบจริงหรือไม่

    หลวงปู่สร้างพระตลอดมาตั้งแต่สมัยบวชใหม่ ท่านบอกว่า ใจเราจะได้อยู่กับพระ เป็นบุญเป็นกุศลดีกว่าไปทำอย่างอื่น จนมาถึงครั้งสำคัญ ที่ท่านได้วิชามหาจักรพรรดิ คือ ท่านเจ้าคุณใหญ่ มีหนังสือขอมโบราณ หลวงปู่เอามาอ่านตอนที่พระพุทธองค์ปราบท้าวมหาชมพู ซึ่งถือตัวว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมีอำนาจมาก ท่านเล่าให้ฟังว่า "อ่านไปก็ยิ่งมีความปิติ อ่านจนถึงเกือบเที่ยงคืน จนเจ้าคุณใหญ่กลับมาจากงานสวด ตั้งแต่นั้นก็ทำเรื่อยมา ของอะไรก็ตามไม่ใช่ทำวันเดียว ต้องทำหลายครั้งจึงจะได้ ข้าเคยไปสักกับหลวงพ่อแสงที่บางบาล สักแล้วก็เข้าไปขอคาถาท่านว่า "ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องทำ" พูดแล้วปิดกุฏิเข้าไปเลยไม่ออกมา เราก็มานั่งตรองดูก็จริงตามที่ท่านว่า คือ คนที่ไม่กินก็ต้องตาย อยู่ในโลกก็ต้องทำงาน พวกแกตอนนี้ต้องอยู่ในโลก เหยียบเรือ ๒ แคมไปก่อน โลกบ้างธรรมบ้าง โลกอย่างเดียวก็ไม่ดี ธรรมอย่างเดียวก็ต้องบวช ค่อยๆ ทำไปเถิด นักศึกษาที่เรียนหนังสือ ถ้าลองทำให้ดี เราเรียนเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อแม่ เพื่อประเทศชาติ เราคิดอย่างนี้ก็ได้บุญแล้ว" ท่านพูดถึงที่มาของคาถามหาจักรพรรดิ และยังแถมท้ายเรื่องที่ชวนคิดเป็นธรรมะอีกด้วย

    บทความข้างต้นบางส่วนเรียบเรียงมาจากบันทึกของลูกศิษย์
    ที่ทันสังขารหลวงปู่ดู่ท่านหนึง ขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ . . .

    ย้อนรอย ครั้งหลวงตาม้าพบหลวงปู่ดู่ . . .

    ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น ท่านทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ (บริเวณซอยอารีย์) และเพื่อนคนหนึ่งได้ไปบวชที่วัดสะแก ท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o โดยหลวงปู่ดู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิ และสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์ “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า “หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”

    หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้”

    ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและ นำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้ อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบ ถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง

    อ่านบทความประวัติหลวงตาม้าฉบับเต็มได้ที่ http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,2368.0.html

    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 08, 2013, 12:19:56 PM โดย Webmaster »


    Share

    ip.gif บันทึกการเข้า
    www.buddhapoom.com
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,451
     

แชร์หน้านี้

Loading...