เรื่องเด่น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย สะกดจิตหนึ่งต่อสอง

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 6 มกราคม 2018.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    .jpg
    สะกดจิตหนึ่งต่อสอง

    พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี ภายหลังจากลาสิกขาออกมาแล้วก็ได้รับใช้ประเทศชาติด้วยความสามารถพิเศษประจำตัวที่มีอยู่ กล่าวคือ ๑. มีความสามารถยิงธนู ได้แม่นยำ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการยิงธนูจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปนายกสมาคมยิงธนูแห่งประเทศไทย ๒. มีความสามารถยิงปืนได้แม่นยำทั้งปืนสั้น และปืนยาว เคยเปิดสถานฝึกสอนการยิงปืนเอกชน ที่พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อเกษียณอายุราชการและหยุดกิจการส่วนตัวจึงพักผ่อนอยู่กับบ้าน และมาช่วยหลวงปู่พัฒนาวัดเป็นครั้งคราว

    ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เข้ามาช่วยหลวงปู่ ควบคุมการขุดสระน้ำหน้าวัดเขาสุกิม วางแบบแปลนและควบคุมคนงานก่อสร้างเกาะกลางสระน้ำ เป็นต้น ตกตอนเย็นหลังจากเลิกงานอาจารย์ณรงค์ ก็จะขึ้นสวดมนต์ทำวัตรร่วมกับพระภิกษุ สามเณร เมื่อมีเวลาว่าง ก็มักจะเล่าเรื่องอดีตสมัยที่บวชพระอยู่กับหลวงปู่ที่วัดเขาไทรสายัณห์ให้พระหนุ่มเณรน้อยรุ่นหลังๆ ได้รับฟังอยู่เสมอๆ วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเสร็จ อาจารย์ณรงค์ เล่าว่า...

    ผม (ณรงค์ แสงมณี) และท่านพระอาจารย์ทิวา บวชคู่นาคกัน เป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณพระราชมุนี (โฮม) วัดปทุมวนาราม ท่านเป็นผู้สร้างวัดเขาไทรสายัณห์ อีกอย่างหนึ่งท่านก็รู้จักกับท่านอาจารย์ใหญ่ (หลวงปู่สมชาย) ของเรามาก่อนแล้ว ท่านบอกพวกผมว่า บวชแล้วจะเอาไปฝากปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านอาจารย์สมชาย ที่วัดเขาไทรสายัณห์

    พวกผมยังไม่รู้จักว่าอาจารย์สมชาย เป็นใคร มีอะไรดีหรือ ถึงขนาดระดับท่านเจ้าคุณราชมุนี ผู้มีชื่อเสียงในเมืองกรุงยังจะต้องเอาพวกผมมาฝากให้ท่านอาจารย์สมชายฝึกฝนอบรม ? ทั้งผมและท่านพระอาจารย์ทิวาเมื่อมาแล้วก็เฝ้าสังเกตดูว่าอาจารย์สมชาย ที่ท่านเจ้าคุณราชมุนียกย่องนั้นท่านมีดีอะไร ?..

    ดูภายนอกท่านก็ไม่แปลกอะไรไปจากพระทั่วๆ ไป ยอมรับตรงที่ท่านสำรวม เรียบร้อย ทำความเพียรทั้งวันทั้งคืน ไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอน อาหารก็ไม่ค่อยฉัน ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ท่านจึงจะฉันสักครั้งหนึ่ง แต่ท่านทำงานขนหินขนปูนช่วยก่อสร้างวัดได้อย่างคนปกติทั่วไป นานๆ ท่านก็อบรมพวกผมครั้งหนึ่ง

    วันหนึ่งท่านอบรมเสร็จแล้ว ท่านก็พูดมาถึงเรื่องการทำสมาธิว่า

    "..มีอำนาจ มีพลัง ถ้าทำได้ดีแล้วสามารถนำเอาพลังของอำนาจสมาธิจิตนั้นมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง บุคคลที่มีความสามารถด้านต่างๆ เช่น ยิงปืน ยิงธนูได้แม่นยำ ก็อาศัยสมาธิหรืออำนาจจิตเข้าช่วย..."

    ผมเถียงขึ้นมาทันทีว่า ..อำนาจสมาธิหรืออำนาจจิตนั้นผมไม่รู้จัก แต่ที่ผมยิงปืนหรือยิงธนูได้แม่นนี้ผมใช้ความสามารถส่วนตัวของผมเอง ..ผมเถียงด้วยทิฐิและความโง่ของผมนั่นเอง

    ท่านอาจารย์จึงกล่าวต่อว่า "คุณมีสมาธิอยู่ตลอดเวลาแต่คุณไม่รู้มากกว่า ถ้าคุณไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ คุณจะมานั่งฟังอยู่อย่างนี้ไม่ได้ คุณจะต้องทำอะไรอย่างสัตว์ทั่วๆ ไปอำนาจสมาธินำมาใช้บังคับกิริยาอาการให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อย หรือนำมาใช้ในอาชีพการงานได้เป็นอย่างดี..รวมทั้ง สามารถนำมาสะกดจิตคนก็ได้อย่างนักจิตวิทยา เป็นต้น นำมาสะกดหรือบังคับสัตว์ต่างๆ ก็ได้ สัตว์ตัวเล็กเราไม่ต้องใช้พลังจิตมากก็สามารถบังคับได้ ผมเคยเอาอำนาจจิตของผมทดลองบังคับให้สุนัขเดินหน้า ถอยหลัง และทำอย่างอื่นตามที่ผมสั่งได้..."

    ในขณะที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่นั้น ได้มีฝูงมดดำตัวโตๆ ชักแถวเดินออกจากรูมาเป็นร้อย ๆ ตัวซึ่งอยู่บริเวณที่นั่งคุยกันอยู่นั้น ด้วยความอยากเห็นกับตาของผมว่า..ที่ท่านอาจารย์พูดนั้นจะเป็นจริงอย่างไร หรือบอกตรงๆ ว่าอยากทดสอบท่านนั่นเองว่า ท่านจะทำได้จริงอย่างที่ท่านพูดหรือไม่ เพราะส่วนมากเห็นมีแต่ประเภทพูดได้ทำไม่ได้เสียมากกว่า ผมจึงพูดไปอย่างนั้นๆ เอง ไม่ได้นึกหวังผลอะไรหรอกครับ! ผมกราบเรียนท่านอาจารย์ต่อไปว่า..ที่ท่านอาจารย์พูดมาทั้งหมดนั้นผมก็เคยศึกษามา แต่ไม่เคยเห็นใครทำได้..ส่วนมากก็เป็นลูกคุยกันเสียมากกว่า

    ท่านอาจารย์พูดสวนผมขึ้นมาทันทีว่า...คุณดูมดฝูงนี้ก็แล้วกัน !..

    ผมและท่านอาจารย์ทิวาหันไปมองดูมดฝูงที่กำลังชักแถวเดินอยู่นั้นอย่างพร้อมกัน มดทั้งฝูงนับจำนวนเป็นร้อยๆ ที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้า ต้องหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เหมือนไม่มีชีวิตทุกตัวหยุดนิ่งไปเลย..

    ครู่ต่อมาท่านอาจารย์ท่านบอกว่า "ถอยหลัง"..

    เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อจริงๆ ที่ฝูงมดเดินถอยหลังกลับเข้ารูโดยไม่ได้กลับตัว นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ครั้งแรกที่ผมพบเห็นจากท่านอาจารย์ใหญ่ของเรา...

    ท่านอาจารย์ทิวานั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันฟังจบแล้ว ไม่ทราบท่านคิดอย่างไร ท่านจึงพูดขึ้นว่า..

    "ขอโอกาสครับท่านอาจารย์ ผมมีความมั่นใจว่าจิตของผมแข็งไม่มีใครสามารถสะกดจิตผมได้ ผมเคยทดลองให้นักสะกดจิตชาวฝรั่งระดับด๊อกเตอร์สะกดผมมาแล้ว ไม่สามารถทำอะไรผมได้เลยแม้แต่คนเดียว.."

    ท่านอาจารย์สมชายกล่าวว่า.. นั่นมันด๊อกเตอร์ แต่ถ้าผมสะกดท่านได้ จะว่าอย่างไร?

    พระอาจารย์ทิวาตอบด้วยอารมณ์ทิฐิว่า..ผมจะยอมเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ตลอดชีวิต จะไม่ยอมสึกเลย

    ท่านอาจารย์สมชาย กล่าวต่อว่า..ท่านรูปเดียวไม่พอมือผมหรอก ผมต่อให้ท่านหาผู้ช่วยได้อีก ๑ รูป รวมเป็น ๒ รูป ..

    ผม (อ.ณรงค์) กล่าวขึ้นทันทีเลยว่า..ผมขออาสาเป็นผู้ช่วยเองครับ แต่มีข้อแม้ว่า ท่านอาจารย์ต้องสะกดผมคราวเดียวสองรูปก่อน เสร็จแล้วถ้าท่านอาจารย์สะกดผมทั้งสองรูปไม่ได้ในคราวเดียว ผมทั้งสองจะช่วยกันสะกดท่านอาจารย์ เรียกว่า สองต่อหนึ่งนั่นเอง อย่างนี้ได้ไหมครับ?..

    ผมพูดออกไปด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็อยากลอง อยากรู้จึงเสนอตัวไป

    ท่านอาจารย์ถามอีกว่า.. แล้วพวกคุณจะพร้อมให้เริ่มเมื่อไร ?

    พระอาจารย์ทิวากล่าว..คืนนี้สี่ทุ่ม ท่านกล่าวออกไปด้วยความมั่นใจของท่าน

    ท่านอาจารย์กล่าวต่อว่า..โดยมีกติกาอย่างนี้..เราจะสะกดกันโดยไม่ต้องเห็นหน้ากัน ให้ท่านทั้งสองรูปกลับไปเตรียมตัวที่กุฏิอย่างเต็มที่ จะนั่งสมาธิเตรียมตัวก็ได้ จะเดินจงกรม หรือจะทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าพลังจิตของผมจะไปสะกดท่านไม่ได้ และ เมื่อเข็มนาฬิกาตรงสี่ทุ่มปุ๊บ ผมจะสะกดให้ท่านล้มลงทันที จะไม่ให้อวัยวะร่างกายของท่านเคลื่อนไหวได้เลย ผมจะสะกดจนกว่าท่านจะยอมแพ้จึงจะคลายพลังจิตออกจากการสะกดให้นั่นถือว่า..ท่านแพ้ผม... ถ้าถึงเวลาแล้วผมทำอะไรท่านไม่ได้เป็นอันว่า ...ผมแพ้ท่าน... และก็เป็นโอกาสที่ท่านทั้งสององค์จะต้องสะกดผมจนกว่าผมจะยอมแพ้...

    คืนนั้น หลังจากตกลงกันเสร็จแล้วผมกับท่านอาจารย์ทิวาก็นัดกันว่าก่อนสี่ทุ่มคืนนี้เราทั้งสองรูปจะต้องนั่งสมาธิให้จิตสงบแข็งแกร่งที่สุดเพื่อเตรียมตัวรับมืออย่างเต็มที่ คงไม่มีใครที่ไหนสามารถมาทำอะไรได้ ต่างคนต่างเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่

    "...สี่ทุ่มตรง ผมหงายหลังทั้งๆ ที่ขายังขัดสมาธิอยู่นั่นเอง ผมรู้ตัวว่าผมถูกสะกดแล้ว ผมก็ดิ้นๆ พยายามดิ้นเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหว พยายามที่จะลุกขึ้นนั่ง พยายามที่จะร้องเรียกท่านอาจารย์ทิวา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ผมพยามยามดิ้นอยู่พักใหญ่ ชักเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว เหงื่อเม็ดโตๆ เริ่มออกมาท่วมตัวผมแล้ว จิตใจผมรู้หมดทุกอย่าง แต่ร่างกายอึดอัดเหมือนถูกจับมัด จะขยับส่วนไหนก็ไม่ได้ทั้งสิ้น ผมเห็นท่าจะไม่ไหวแน่แล้ว ขืนทนต่อไปต้องขาดใจตายแน่ จิตตัวผู้รู้ของผมจึงบอกว่า ยอมแพ้แล้วครับท่านอาจารย์.! "

    เท่านั้นเอง อาการอึดอัดของผมเริ่มหายใจปกติขึ้น ค่อยๆ คืนสู่สภาพปกติ ผมจึงนึกถึงท่านอาจารย์ทิวา ว่าอาการจะเหมือนอย่างผมไหม?... จึงรีบเดินไปที่กุฏิท่านอาจารย์ทิวา อาการคงไม่ต่างกัน แต่จิตท่านแข็งกว่าผม ท่านยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ "...เสียงดิ้น ตึงตังๆ อยู่ในกุฏิ เสียงลมหายใจดัง ฟืดฟาดๆ จิตท่านแข็งจริงๆ ท่านต่อสู่ทางพลังจิตกับท่านอาจารย์อยู่ได้ถึง ๔๐ นาที ผลสุดท้ายเห็นท่าจะไม่ไหวจริงๆ แล้ว ก็ต้องยอมแพ้โดยดุษฎี เหมือนอย่างผม..."

    หลังจากที่ท่านอาจารย์คลายพลังจิตออกจากการสะกดท่านอาจารย์ทิวาแล้ว พวกผมก็เอาผ้าชุบน้ำเข้าไปเช็ดตัวให้ เห็นเหงื่อท่านอาจารย์ทิวาเปียกไปทั้งตัวเหมือนกับเพิ่งสรงน้ำเสร็จใหม่ๆ หลังจากนั้น ผมและท่านอาจารย์ทิวาก็นำดอกไม้ธูปเทียนเดินไปที่กุฏิท่านอาจารย์กราบขอขมาลาโทษที่ล่วงเกินท่าน ยอมรับท่านเป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้แหละครับ พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี เล่าจบลงด้วยความสนอกสนใจของพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างมากทีเดียวสำหรับเรื่องนี้

    ภายหลังจากเหตุการณ์ทดลองพลังจิตระหว่างศิษย์กับอาจารย์ในครั้งนั้นผ่านไปแล้ว ทั้งผม และท่านอาจารย์ทิวา ไม่ว่าท่านอาจารย์จะบอกอะไร สอนอะไร ให้ทำอะไร เป็นอันว่ายอมทำตามทุกอย่างโดยที่ไม่มีทิฐิมานะภายในจิตใจใดๆ ทั้งสิ้น
    ขอบพระคุณที่มา :- http://dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-somchai/lp-somchai-hist-02-05.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อภิญญาสมาบัติ

    หลายวันต่อมา พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี ได้เล่าถวายพระภิกษุสามเณรอีกว่า เรื่องพลังจิตของท่านอาจารย์ใหญ่ของเรา (หลวงปู่สมชาย) นั้นไวมาก อยู่คนละจังหวัด ห่างไกลเป็นร้อยกิโลเมตร ท่านยังสามารถจับจิตของเราได้ ผมได้ประสบกับตัวผมเองมาแล้วเช่นกัน

    ในระหว่างที่อยู่วัดเขาไทรสายันห์ สมัยนั้นเป็นสมัยก่อสร้างโบสถ์ พระเณรต้องทำงานขนหินขนทรายกันเอง แม้แต่ท่านอาจารย์ใหญ่ของเราก็ต้องทำงาน ผมเป็นฝ่ายติดต่อประสานงานภายนอกกับผู้มีศรัทธาทำบุญ วันหนึ่งผมได้ติดต่อกับโรงปูนที่สระบุรีเพื่อขอรับบริจาคปูนมาก่อสร้างโบสถ์ เขายินดีบริจาค แต่ให้เราเอารถไปขนเอง ผมก็นั่งไปกับรถบรรทุกและได้ปูนมาเต็มคันรถ ขากลับรถบรรทุกปูนคันที่ผมนั่งมานั้นเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบขส. ที่มีผู้โดยสารมาเต็มคันรถ ในระหว่างนั้นเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวมาก รถบรรทุกปูนทั้งคันก็หนักเกือบ ๒๐ ตัน รถ บขส. ก็วิ่งลงเขามาด้วยความเร็วสูง โชเฟอร์ประมาทมากเพราะต้องการทำเวลาแย่งผู้โดยสารกันนั่นเอง ผมนั่งข้างคนขับหน้ารถมองเห็นเหตุการณ์แล้วว่ารถต้องชนกันแน่นอนอย่างไรก็หลบไม่พ้น

    เปรี้ยง ! โครม ! รถทั้งสองคันเข้าประสานงานกันเต็มที่ ในพริบตานั่นเองผมนึกถึงบารมีท่านอาจารย์ (หลวงปู่สมชาย) ในใจทันที ขออย่าให้ใครถึงแก่ชีวิตเลย รถยนต์ยับเยินทั้งสองฝ่าย ผมคิดแต่ว่าทำอย่างไรดี ปูนไปไม่ทันวันนี้แน่ พลางล้วงนาฬิกาที่ติดย่ามมา ๑๘.๔๕น.(โดยประมาณ ผมค่อนข้างจะลืมไปแล้ว) มีโยมใจดีคนหนึ่งขับรถผ่านมาประสบเหตุการณ์ สอบถามรู้เรื่องแล้ว ก็อาสาพาผมมาส่งกลับวัดเขาไทรสายันห์ ส่วนโชเฟอร์รถปูนก็เฝ้ารถรอรถคันใหม่มาถ่ายปูนนำมาส่งเราที่วัดในวันพรุ่งนี้...ผมกลับถึงวัดมืดแล้ว ทั้งพระเณรในวัดยืนรอผมอยู่เต็มไปหมดด้วยอาการตื่นตระหนก..เข้ามาถามผมว่ารถชนกันใช่ไหม? ๆ.. ผมเอะใจ!.. จึงถามว่า ใครบอกทำไมรู้กันเร็วนัก..

    พระรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า "พวกผมทุกรูปกำลังช่วยท่านอาจารย์ทุบหินที่ข้างโบสถ์ จู่ ๆ ท่านอาจารย์ก็วางค้อนลงแล้วอุทานขึ้นว่า 'โอ๊ะ !..รถขนปูนของอาจารย์ณรงค์ ชนกับรถ บขส. รถเสียหายมากเสียด้วย แต่คนไม่เป็นไรทั้งสองฝ่าย คงมาไม่ได้แน่..วันนี้คงใช้ปูนไม่ทัน' " พระเล่าต่อไปอีกว่า "พวกผมจึงเฝ้ารออาจารย์ณรงค์กลับมาด้วยความเป็นห่วงนี่แหละครับ.."

    ผมอัศจรรย์ตรงที่ว่าท่านอาจารย์ท่านไม่ได้เข้าสมาธิ ทั้งที่ท่านกำลังทุบปูนทุบหินกำลังทำงานอยู่แท้ๆ แต่อำนาจสมาธิของท่านนั้นแรงมาก รถผมชนกันอยู่ที่สระบุรี แต่มากระทบจิตท่านที่ปากช่องได้อย่างไร แถมท่านยังบอกหมายเลขทะเบียนรถ เมื่อผมไปกราบรายงานท่านว่าเกิดเหตุดังกล่าว ท่านถามผมว่า "รถชนกันเวลาหกโมงสี่สิบห้าใช่ไหม เลขทะเบียนนี้ใช่ไหม" ..ตรงเป๊ะเลยครับ แล้วใครมาบอกท่าน?.. ก็ญาณที่แก่กล้าของท่านนั่นเอง ทั้งผมและท่านอาจารย์ทิวา จึงเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของท่านหลายๆ อย่าง...เรื่องวินัยนี่ไม่ได้เลยนิดๆ หน่อยๆ ท่านต้องแสดงอาบัติทันที ท่านสอนว่าอาบัติเล็กน้อยก็เป็นมลทิน ทำให้การบำเพ็ญติดขัด บำเพ็ญไม่ลง จิตใจเศร้าหมอง ถ้าศีลบริสุทธิ์ จิตใจก็ผ่องใส การบำเพ็ญก็เจริญก้าวหน้า ต้องการอะไรอยากรู้อะไร ทำได้หมด โดยเฉพาะเรื่องอภิญญาสมาบัติ สามารถนำมาเล่นได้ทุกวัน ท่านกล่าวว่าอย่างนี้..."

    เมื่อผมลาสิกขามาแล้ว ผมก็นำอำนาจจิตที่ได้รับการฝึกอบรมจากท่านอาจารย์มาใช้ในหน้าที่การงานของผม ซึ่งได้ผลดีมากเลยครับ เรื่องยิงปืน ยิงธนู ไม่มีพลาด หลับตายิงยังถูกเลยครับ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกวันนี้ผมสอนวิชาให้ใครก็ตาม ผมจะบอกเสมอว่าต้องมีสติให้มั่นคง มีสมาธิให้แน่วแน่ อย่าวอกแวกไปทางอื่นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่ส่วนมากฆราวาสก็จะทำกันไม่ค่อยได้อย่างพระ โดยเฉพาะอาจารย์ใหญ่ของเรา ผมคิดว่าครูบาอาจารย์ทุกวันนี้ไม่มีรูปใดมีพลังจิตที่ฉับไวอย่างอาจารย์เราเลย ผมจึงคิดได้ว่าที่ท่านเจ้าคุณราชมุนีส่งผมมาให้ท่านอาจารย์อบรมก็คงเห็นว่าพวกผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้นั่นเอง ท่านจึงส่งมาให้รู้เห็นกับตาจะได้หายสงสัย

    ท่านอาจารย์ทิวาหลังจากท่านบวชได้ ๑ พรรษา ท่านก็ได้ลาออกจากราชการทหารเรือเลยทีเดียว เพราะท่านต้องการพ้นทุกข์ ท่านเป็นลูกผู้ดีมีสกุล ทั้งรวยทั้งหล่อ เป็นนักเรียนเมืองนอก ผ่านมาหมดทุกอย่าง ท่านจึงมุ่งทางธรรมอย่างเดียว ผมก็อนุโมทนากับท่านด้วย แต่ผมเองก็อยากอยู่ในทางธรรมเหมือนกัน เคยถามท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านบอกว่า "คุณอยากอยู่ ก็อยู่ไม่ได้หรอก เพราะยังไม่หมดกรรม ต้องออกไปรับใช้ประเทศชาติ " ก็จริงอย่างท่านว่า ผมก็ต้องออกมารับใช้ประเทศชาติจนเกษียณอายุนี่แหละครับ....

    (ฐานข้อมูล โดย พันเอกพิเศษ อาจารย์ ณรงค์ แสงมณี
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    พาศิษย์ธุดงค์ภูวัว

    ออกพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชายได้นำพาพระเณรไปบำเพ็ญภาวนาที่ภูวัว ในครั้งนี้ท่านพระอาจารย์ทิวา อาภากโร ก็ได้ขอติดตามเดินธุดงค์หาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรด้วยอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน หลวงปู่ได้พาหมู่คณะพระเณรเดินผ่านไปทางปากกระดิ่ง บุ่งคล้า และได้พักอยู่ที่ปากกระดิ่ง ๑ คืน พอรุ่งเช้าก็ข้ามมาทางบุ่งคล้าแล้วออกเดินทางต่อไปภูวัว กะว่าจะไปขึ้นทางด้านทิศเหนือ แต่วันนี้ขึ้นยังไม่ถึงภูวัวก็มืดอยู่ตรงเนินเขาพอดี แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้หยุดการเดินทางแต่อย่างไร ได้เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ไกลพอสมควร เห็นว่าดึกมากแล้วท่านจึงได้สั่งให้หยุดการเดินทางในกลางป่านั้น และได้จัดการกางกลดเข้าพักผ่อนเอาแรง เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดวัน ข้าพเจ้าได้ดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี

    รุ่งเช้าวันใหม่หลวงปู่ได้พาออกเดินทางต่อ เวลาประมาณ ๘ โมงเช้าก็เดินทางมาถึงถ้ำแกลบ ถ้ำแกว ถ้ำฝุ่น และได้ออกบิณฑบาตที่หมู่บ้านทุ่งทรายจก ได้ข้าวเหนียวองค์ละปั้น กับข้าวได้งากับปลาร้าอย่างละ ๑ ห่อ ได้กลับมาฉันจังหันที่ถ้ำฝุ่น หลวงปู่เห็นว่าข้าวและกับที่บิณฑบาตในวันนี้ได้น้อย เนื่องจากญาติโยมเขาไม่รู้ว่าจะมีพระมาจึงไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ท่านเกรงว่าพระเณรจะฉันไม่อิ่ม จึงได้เอาข้าวในบาตรของท่านออกมาแบ่งเฉลี่ยถวายพระเณรเพิ่มเติมจนหมด เมื่อแบ่งข้าวถวายพระเณรเสร็จแล้ว ท่านก็ได้ให้พระเณรฉันกันไปเรื่อยๆ สำหรับหลวงปู่ไม่ได้ฉันจังหันในเช้าวันนั้นเลย ท่านไปนั่งภาวนารอเวลาพระเณรฉันจนเสร็จจึงได้ออกหาสถานที่บำเพ็ญกันต่อไป..นิสัยเอื้อเฟื้อ เสียสละ แบ่งปันกับหมู่คณะนั้น ท่านมักแสดงให้เห็นอยู่เสมอๆ จนบางครั้งพระเณรเกรงใจ ละอายใจต่อครูบาอาจารย์จนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

    ในครั้งนี้พากันบำเพ็ญทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำแกลบ ถ้ำฝุ่นได้นานพอสมควร จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญไปที่ถ้ำพระ เพราะเห็นว่าสถานที่สงบวิเวกดี อากาศดี น้ำก็สะดวกอุดมสมบูรณ์ สถานที่หลบภาวนาก็มีมาก การมาอยู่บำเพ็ญในครั้งนี้ก็เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนๆ คือ พระเณรไม่ต้องออกบิณฑบาต เป็นเพราะหมู่บ้านอยู่ห่างไกลมาก ที่ใกล้ที่สุดคือบ้านต้อง และบ้านดอนเสียด ก็ต้องเดินถึง ๗-๘ กิโลเมตรทีเดียว ญาติโยมชาวบ้านจึงทำบุญโดยการเอาข้าวสารบ้าง ปลาร้า ถั่วงา ของแห้งต่างๆ มาฝากไว้ให้สามเณรเป็นผู้หุงหาจัดเตรียมอาหารถวายพระ เหมือนกับสมัยที่ขึ้นมาครั้งแรกๆ นั้น วิธีหุงข้าวถวายพระของเหล่าสามเณรก็คือใช้ปี๊บต้มข้าวแล้วใส่ผักหนาม หรือข่าป่า หรือหวายอ่อนจำนวนมาก เพราะผักป่าเหล่านี้จะหาได้ง่ายตามลำธารบนภูวัว แต่ข้าวสารนั้นต้องประหยัดเนื่องจากต้องคอยชาวบ้านนำมาส่งให้เท่านั้น

    "...แต่ละมื้อจึงใช้ข้าวสารเพียง ๑ แก้ว ต่อพระเณร ๑๐ กว่ารูป พอได้ฉันให้มีชีวิตอยู่เพื่อการบำเพ็ญภาวนาไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น เมื่อจัดเตรียมหุงหาอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วสามเณรก็จะให้สัญญาณเคาะเหล็กหรือจอบเก่าๆ ซึ่งมีไว้ใช้แทนระฆัง เคาะเรียกพระที่ท่านทำความเพียรอยู่ตามโขดหิน เงื้อมถ้ำ หรือที่ต่างๆ นั้นให้มารวมกันฉันภัตตาหาร เมื่อท่านมาพร้อมกันแล้วก็ตักข้าวที่คล้ายๆ ข้าวเลี้ยงหมูนั้นใส่บาตรกันแค่เพียงพอฉัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันหาที่ทำความเพียรต่อไป ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างนี้ตลอดมา..."

    ทุกท่านทุกรูปต่างมุ่งมั่นจริงจังต่อการฝึกจิตใจอย่างยิ่ง เทพเจ้าสิ่งเร้นลับที่ไม่สามารถทราบได้ว่าท่านอยู่ชั้นใด ก็มักจะมาอนุโมทนาในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ โดยเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งพระและเณรทุกรูปมักจะได้กลิ่นหอมชนิดที่ไม่เคยมีที่ใด สังเกตได้ว่าจะแสดงปรากฏด้วยกลิ่นในเวลาเดียวกันทุกคืน กลิ่นละมุนละไมไม่ทราบจะเอากลิ่นอะไรในเมืองมนุษย์เราเปรียบได้ หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ แต่พอเลยสองยามไปแล้วก็กลับปกติไม่มีกลิ่นอะไรหลงเหลืออีกเลย ตอนกลางวันก็พยายามเดินสังเกตดูว่าบริเวณนี้มีต้นไม้ดอกชนิดใดบ้างก็ไม่ปรากฏว่ามี สรุปว่าไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ในเมืองมนุษย์เรา ด้วยกลิ่นร่ำ กลิ่นพิเศษที่ไม่มีในเมืองมนุษย์เราที่ได้รับกันอยู่เสมอเป็นประจำทุกคืนนี้จึงเกิดความอยากรู้ เพื่อจะได้หายสงสัยจึงได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า กลิ่นพิเศษเหล่านี้ คือกลิ่นอะไร และทำไมจึงมีเฉพาะบางเวลา โดยในวันศีลจะได้รับกลิ่นนี้ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง

    หลวงปู่ตอบว่า

    "เทพเจ้าเหล่าเทพา ท่านจะไปที่ไหนมาที่ไหน หรืออยู่ที่ไหน ก็มักปรากฏให้ทราบได้โดยทางกลิ่น ท่านมาอนุโมทนากับการทำความเพียรของพวกเรา โดยเฉพาะพวกเราเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ และทำความเพียรทางจิตนั่นเอง สมัยที่ผมอยู่กับหลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน เวลาเที่ยงคืน เทวดาจะลงมาฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น บริเวณวัดทั้งวัดจะหอมตลบอบอวลทั่วไปหมด แต่ถ้านอกเขตวัดไปแล้วจะไม่มีใครได้กลิ่นใดๆ เลย บางครั้งนอกจากกลิ่นละมุนละไมแล้วก็ยังมีเป็นแสงขาวนวลส่องแสงสว่างไสวก็เคยปรากฏมาแล้ว ในสมัยพุทธกาลก็อย่างนี้ มีอยู่กิจหนึ่งที่พระบรมศาสดาทรงเปิดโอกาสให้แก่เทวดาได้ลงมาฟังธรรม อันเป็นหนึ่งในห้าของพุทธกิจ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า องค์พระมุนีผู้ประเสริฐทรงยังกิจ ๕ ประการดังนี้...

    ๑. ปุพฺพญฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาเช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์โลก

    ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม (อบรมพุทธบริษัท)

    ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำ ประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ


    ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺ หนํ
    เวลาเที่ยงคืน ทรงตอบปัญหาแก่เหล่าเทวดา

    ๕. ปจฺจุสฺเสว คเตกาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ เวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกที่สามารถและยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรที่จะเสด็จไปโปรดหรือไม่ ด้วยข่ายพระญาณ

    วันนี้หลวงปู่ได้เทศนาเรื่องเทวดาให้พวกเราได้ฟังหลายอย่าง แต่หลวงปู่ไม่ได้ชี้ชัดว่าหลวงปู่ได้เทศนาให้เทวดาฟังเป็นประจำทุกคืนแต่อย่างไร แต่พวกเราก็สามารถรู้ได้ว่ากลิ่นหอมละมุนละไมที่มีมาทุกๆ คืนนั้น ก็คือเทวดาท่านลงมาฟังเทศน์จากหลวงปู่นั่นเอง การมาทำความเพียรที่ภูวัวแต่ละครั้งก็จะได้กลิ่นหอมพิเศษค่อนข้างบ่อยมากเป็นประจำจนพวกเราเกิดปีติ จนขนลุก ซึ่งเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด ๔-๕ เดือน

    เมื่อการบำเพ็ญภาวนาอยู่บนภูวัวครั้งนี้เป็นเวลานานเหมาะแก่กาลแล้ว ก่อนใกล้ถึงฤดูกาลพรรษาหลวงปู่จึงได้นำหมู่คณะพระเณรลงจากภูวัว เดินวิเวกไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน โดยตั้งใจว่าจะเดินทางไปจำพรรษาที่ ถ้ำเป็ด อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
    ....................... RoseUnderline.gif
    ขอบพระคุณที่มา :- http://dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-somchai/lp-somchai-hist-02-05.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...