สถานการณ์พระสงฆ์ไทยน่าเป็นห่วง ผลวิจัยชี้นิยมบวชน้อยลง

http://matichon.co.th/khaosod/view_...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09DMHdNeTB5TlE9PQ==


สถานการณ์พระสงฆ์ไทยน่าเป็นห่วง ผลวิจัยชี้นิยมบวชน้อยลง

​

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดการประชุมพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ คณะสงฆ์หนตะวันออก ณ วัดมัชฌิมาวาส อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีพระพรหมเวที กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะเจ้าคณะภาค 8 เป็นประธานการประชุม

นายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้บรรยายพิเศษสถานการณ์พระภิกษุสามเณรในประเทศไทย ว่า ในการดำเนินงานของพระวินยาธิการเมื่อพบพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นด้วย โดยตนหารือกับทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) หลายแห่งแล้วว่าจะมีการบันทึกข้อตกลงกับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ทุกแห่ง

และสถานีตำรวจภูธรในแต่ละจังหวัด เพื่อที่จะดำเนินงานเป็นเครือข่ายในการช่วยดูแล และสนับสนุนการทำงานของพระวินยาธิการด้วย เพราะยังพบพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมากในทุกปี ทั้งนี้จากข้อมูลของส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่สำรวจพระสงฆ์ที่มีอาจารไม่สมควรแก่สมณวิสัยในปี 2550 พบมีพระที่มีอาจารไม่สมควรแก่สมณวิสัย 290 ราย ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นจากปี 2549 ซึ่งมีจำนวน 265 ราย โดยแบ่งเป็นกรณีการปลอมบวช 2 ราย พระสงฆ์บิณฑบาตขาดสำรวม 263 ราย ปักกลดในย่านชุมชน ค้างคืนตามอาคารบ้านเรือน 15 ราย พักอาศัยในวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต 7 ราย พระสงฆ์เล่นการพนัน เสพยาเสพติด และดื่มสุรา เพียง 1 ราย พระสงฆ์เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 ราย

นายอำนาจกล่าวต่อว่านอกจากนี้ เมื่อมองถึงสถานการณ์จำนวนพระภิกษุสามเณรในประเทศในภาพรวมมีความน่าเป็นห่วงมาก เพราะจากผลการวิจัยของนายชาญณรงค์ บุญหนุน จากภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง "แนวโน้มจำนวนและคุณภาพของพระสงฆ์ในชนบทของประเทศไทย"

​

เมื่อปลายปี 2550 ซึ่งผลการวิจัยระบุว่า
มีจำนวนพระสงฆ์ทั่วประเทศเพียง 125,000 รูป และมีสามเณรเพียงประมาณ 60,000 รูปเท่านั้น

ซึ่งผิดจากข้อมูลที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ สำรวจไว้ว่ามีจำนวนพระภิกษุสามเณร รวม 313,267 รูป ค่อนข้างมาก

และแม้ว่าจะนำข้อมูลจำนวนพระภิกษุสามเณร ของสำนักพุทธฯ ไปเทียบ กับจำนวนประชากร ในปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 63 ล้านคน ยังถือว่ามีจำนวนที่น้อยมาก ขณะเดียวกัน ผลวิจัยระบุด้วยว่าสาเหตุที่มีจำนวนพระภิกษุสามเณรน้อยลงนั้นเพราะเกิดมาจากประชาชนนิยมศึกษาทางโลก ชุมชน เศรษฐกิจดี จึงทำให้คนนิยมบวชในระยะสั้น ผู้เข้ามาบวชมองว่าเมื่อเป็นพระสามารถเข้าถึงการศึกษาทางโลกได้น้อย รัฐให้การสนับสนุนงบประมาณเรื่องการศึกษาของคณะสงฆ์ไม่เพียงพอ

"ผลวิจัยเรื่องดังกล่าวน่าเชื่อถือได้ เพราะผู้วิจัยลงพื้นที่สำรวจวัดจากทุกภูมิภาค โดยยังพบว่าบางวัดมีพระสงฆ์อยู่ 20 รูป แต่มีพระที่เป็นพระจริงๆ ไม่ใช่พระที่บวชระยะสั้น เพียง 4 รูปเท่านั้น และผลวิจัยนี้ยังเป็นคำตอบว่าตามที่หน่วยงานภาครัฐเชื่อกันว่าประเทศไทยมีพระภิกษุสามเณรกว่า 300,000 รูปนั้น

ไม่เป็นความจริง โดยสาเหตุหลักของการที่มีคนบวชน้อยลงมาจากคนนิยมเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มากกว่าโรงเรียนพระปริยัติธรรม อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ยังทำให้คนนิยมบวชแบบ 3 วัน 7 วัน มากกว่าการบวชเป็นพรรษา มากขึ้นด้วย" ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรฯ กล่าว

 

อันที่จริงแล้ว สมัยนี้ไม่ต้องบวชก็ศึกษาธรรมได้ง่ายแล้วครับ การบวชเป็นพระมีวัตรปฏิบัติมากมาย อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่จำนวนผู้บวชลดลงก็ได้ครับ

 

อนุโมทนาสาธุ...

การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้
ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษา
มีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญา
ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี

 

ตราบใดผู้คนยังเสพกิเลสตามใจตัวเอง บวชไปศาสนาก็เสื่อม คนบวชก็ลงนรก

 

มารเค้าดึงไว้ไม่ให้บวช

(smile)

ขออนุโมทนาสาระข่าวจากท่านเจ้าของข่าว และท่านเจ้าของกระทู้ครับ
สาธุ<O</O

 

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยครับ การบวชถ้าปฏิบัติไม่ได้บาปก็ติดตัว เป็นการทำลายศรัทธา ทำพระศาสนาให้มัวหมองได้ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า ศาสนาของตถาคตจะไม่ถูกทำลายจากคนนอกศาสนา แต่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่แหละเป็นผุ้ทำลายศาสนาของพระองค์ให้เสื่อมและสลายไป ด้วยการไม่สนใจในการปฏิบัติตามคำสอน เหมือนสนิมย่อมเกิดในเนื้อเหล็กและก็สนิมก็ทำลายเหล็กนั้นให้ผุพังสลายไป
ในฐานะพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง เราควรปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดีที่สุดที่เราจะพึงกระทำได้ตามสภาวะของแต่ละบุคคล เป็นชาวพุทธที่เคร่งครัดในข้อปฏิบัติทางศาสนากันเยอะๆก็จะดีกว่าบวชกันเยอะๆแต่ไม่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติเสียอีกนะผมว่า เราจะกลายเป็นสนิมที่เกิดในเนื้อเหล็กเปล่าๆ

 

สาเหตุที่บวชน้อยลงเพราะ การปลูกฝังของวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงและเบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่ดี นักบวชจึงมีน้อย บวชได้ อย่างน้อย เเค่ ๑-๑๕ วัน หรือ ๑ พรรษาก็ต้องไปทำงานทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่นักบวชที่บวชอยู่ ก็ได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่เฉพาะเพียงพระธรรมวินัยเท่านั้น แต่ยังรู้เท่าทันโลกตลอด ดังนั้นคนที่เข้ามาศึกษาพระธรรม หรือสมณะ ในปัจจุบัน ถือว่า มีศักยภาพ มากกว่าคนที่ไม่ได้บวชซะอีกนะครับ ไม่เชื่อลองทำวิจัยขึ้นมาสักเรื่องดุก็ได้ นะครับ ขออนุโมทนาสาธุกับพระ เณรที่ยังคงอุดมการณ์และอนุรักษ์ ความดีมีประเพณีให้สังคมเยาวชนได้ ช่วยกันสืบต่อตลอดไป สาธุ

 

ขออนุโมทนากับนักปราชญ์น้อยครับ
เป็นความเห็นที่น่าประทับใจครับ และขอออกความเห็นด้วย เราต้องถือบรรพบุรุษไทยเป็นโจทย์ และปัจจุบัน เป็นตัวคำนวน จะมีผลออกมาคือทางเดินที่ดีที่สุดของคนในยุคนี้ครับ คนทุกวันนี้นึกว่าตัวเองเก่ง เลย แหกวัฒนธรรมของพ่อแม่ ไม่ยอมเข้ามาศึกษาวัฒนธรรมตนเอง ตามใจตน (มั่ว(good) )

ได้แต่ตำหนิว่า โบราณ คร่ำครึ เลยเอาตามใจตนเป็นใหญ่ แม้แต่นักบริหารระดับประเทศ จึงได้เกิด กระแสนิยมทางวัตถุกันทั่วหล้า วัดเลยไร้คนเหลียวแล และประยุกต์ให้เด่นชัดขึ้น เหมือนอย่างบรรพบุรุษไทย ที่รักษาประเทศชาติ

กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เพราะเรามีพระพุทธศาสนาเป็นที่บ่ม สติปัญญาจึงรักษาชาติมาได้ ตราบเท่าทุกวันนี้
ถ้ามองแบบบรรพบุรุษไทยจึงจะเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาและจะเกิดสันติสุข อย่างแท้จริง

สาธุๆ เป็นบุญของไทยจริงๆที่มีพระพุทธศาสนา

 

เคยอ่านพุทธทำนายค่ะ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายไว้น่ะคะ หลังกึ่งพุทธกาลเป็นต้นไป คนจะสนใจศีลธรรมน้อยลงไปเรื่อย ๆ นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ปีเอง นะคะ น่าเป็นห่วงจังเลยค่ะ

 

น่าอายจริง ๆ คนสมัยนี้ ไม่กลัวนรกกันเลย

 

การบวชนั้นเป็นประเพณีของเพศชายต้องบวชทดแทนคุณพ่อแม่ หรือบวชเพื่อการศึกษา มีมาแต่สมัยโบราณ ถ้าบวชแล้วประพฤติดีพร้อม จะบวชน้อยหรือมากก็สมควรบวชอย่างยิ่ง ทุกคนต่างมีหน้าที่ต่างกัน ตามทางที่ถูกกำหนด ชะนั้นพึงกระทำทุกอย่างให้ดีพร้อมในแต่ละบุคคลควรจะกระทำครับ
แต่ถ้าสมัยนี้จิตใจคนหยาบกร้าน ห่างศาสนากันมากเหลือเกินครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกคนได้บวชหรือได้เรียนรู้ทางธรรมก่อนทุกคน เป็นการคืนจริยธรรมสู่คนไทย ก่อนที่จะมาใช้ชีวิตในทางโลกครับ ใช่ว่าทุกคนจะเห็นธรรมได้ แต่ถ้านำธรรมยื่นให้เขาเหล่านั้นบ้างก็เป็นการดีกว่าเราไม่ยื่นสิ่งดีให้เลยใช่ไหมครับ คนที่อยู่ในตมอาจคิดดีได้บ้างหรือไม่ได้ก็อยู่ที่ตัวเขา ส่วนคนที่เหนือน้ำแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วง แต่การยื่นธรรมนี้จะเป็นการดึงกลุ่มคนระหว่างที่อยู่กลางๆ ระหว่างใต้น้ำกับเหนือน้ำ ให้เขาเหล่านั้นได้ขึ้นเหนือน้ำโดยไม่มีข้อกังขาของการทำดี และก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาเหล่านั้นจะดำดิ่งลงสู่ตมครับ
อนุโมทนาบุญกุศลครับ