ทำยังไงถึงจะทำให้เราจิตแข็งคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เด็กน้อยรักธรรม, 27 มีนาคม 2008.

  1. เด็กน้อยรักธรรม

    เด็กน้อยรักธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +81
    คือว่า หนูเป็นคนที่ค่อนข้างจะขวัญอ่อน จึงอยากจะฝึกให้ตัวเองมีจิตที่แข็งขึ้น จะทำยังไงดีคะ ใครตอบได้ช่วยตอบด้วยค่ะ
     
  2. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815

    หมายถึงกลัวผีเหรอจ๊ะ ?
    ก็หัดทำสมาธิดูซิจ๊ะ เมื่อจิตเป็นสมาธิ และ สติมีกำลังแล้วจะหายกลัวไปเองจ๊ะ
    ที่ว่าหายกลัวเพราะ "สติ" มีกำลังแล้วมันไวมากจ๊ะ ก่อนที่จะกลัวมันรู้ก่อนแล้วว่าเสียงนี้เกิดจากอะไร เป็นต้น
     
  3. shesun

    shesun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +1,327
    หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆให้รอบคอบ พิจารณาเหตุ พิจารณาผล วิเคราะห์เหตุและผลว่าสอดคล้องกันหรือไม่...ฯลฯ ใช้ปัญญานั่นแหละ!!!
     
  4. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ฝึกสมาธิทำฌานให้ได้ก็จะดีนะครับ จิตจะมีกำลังมาก ระลึก ตอบสนองต่อสิ่งกระทบได้ดีมาก
     
  5. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    มีสติอยู่กับความรู้สึกตัวบ่อยๆเนืองๆ ถ้าสติสัมปชัญญะเราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น จิตเราก็จะแข็งไปด้วยครับ(จิตแข็งน่าจะหมายถึง จิตที่มีสมาธิมีตบะมีเดชมากใช่มั๊ยครับ)
     
  6. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    888
    ค่าพลัง:
    +1,937
    แนะนำ ให้ฝึกสติเหมือนคุณ wit บอกไว้ครับ

    แต่ไม่ควรฝึกจิตแข็งครับ เพราะจิตแข็งมันหมายถึงจิตแข็งทื่อ จะให้ดีทำตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ดีกว่า คือควรทำให้มี"จิตคู่ควรกับการงาน" หมายถึงจิตที่มีลักษณะของความเบาสบาย อ่อนละมุน ปราดเปรียว ว่องไว สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของจิตที่คู่ควรการงาน ไม่ใช่จิตที่อ่อนแอ ขวัญอ่อน หรือแข็งกระด้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง

    การที่จะมีจิตที่คู่ควรการงานได้นั้น อันดับแรกต้อง"รู้สึกตัวให้เป็น" จะรู้สึกตัวเป็นได้นั้น ต้องมีการฝึกสติให้เกิดขึ้นครับ สตินี่ไมได้หมายถึงสติแบบโลกๆที่เราเข้าใจน่ะครับ เพราะสติแบบนั้นเอาไว้ทำการงานทางโลก ส่วนสติที่นักภาวนาจำเป็นต้องมีคือสติในการระลึกรู้กาย ใจ ตนเอง

    เพราะสติเปรียบเสมือนกำแพงที่กลางกั้นอกุศลในใจเรา ความหวาดระแวง ความตกอกตกใจ ความกลัว อกุศลต่างๆนาๆเหล่านี้ จะดับไปถ้าหัดมาเจอสติครับ

    ถ้าสนใจรายละเอียดเรื่องการเจริญสติ ลองไปโหลดได้ฟรีตาม link ที่ให้มาครับ
    http://wimutti.net/pramote/#preach
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2008
  7. ผู้หญิงธรรมดา

    ผู้หญิงธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +535
    ฝึกมีสติ ปัญญา ก็เกิด ควบคุมตัวเองให้มีสติก่อน จิตก็จะแข็งแรง
     
  8. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    เป็นปัญหาประเด็นที่ต้องประสพ พบเจอกันแทบทุกผู้......ทุกคน...กับ
    ผี....หรือ อมนุษย์ (เข้าใจว่าคงเป็นประเด็นหลัก "ทำยังไงถึงจะทำให้เราจิตแข็งคะ")
    การหวาดหวั่นในภัย...กับสิ่งที่ไม่เข้าใจ หรือสัมผัส รับรู้
    หรือแตะต้องไม่ได้ (บางทีแตะต้องได้ สัมผัส รับรู้ รู้สึกถึงได้ก็มี......แต่....
    ไม่รู้จะพูดกับใครหรือหาทางออกอย่างไร.....!!!!.) การศึกษาเพื่อรู้ความจริง
    เหตุผล ความเป็น ไป มา ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน...กฏแห่งกรรม
    กฏแห่งการกระทำ ....ความดี ความชั่วก็เป็นเครื่องชี้วัด....ทำให้มั่นใจในความดี
    ผลบุญกุศลที่ได้ทำมา พอนึก ตรึก ระลึกถึง ความกล้าหาญ..ชาญชัย ก็เกิดขึ้นมา
    ทันทีเหมือนกัน ก็ต้องหมั่นทำความดีสร้างบุญกุศล ทั้งทาน ศีล ภาวนา ให้มากๆเข้าไว้

    บางทีคำว่า " ตาย...."
    ทุกคนก็อาจมีความเห็นที่แตกต่าง ความกลัวตาย หรือจะต้องตายเดี๋ยวนี้
    ถ้าเรายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ หรือฝึกฝนบ่อยๆ กับ มรณานุสติกรรมฐาน
    การพิจารณาถึงความตายเป็นอารมณ์ จิตแลใจของเราก็จะปลดปลง....มีความ
    แข็งแกร่ง เข้มแข็งของจิต....เพิ่มขึ้น (ถ้าพิจารณาควบคู่กับอสุภะก็จะ...ดีเยี่ยม)
    ก็จะยอมรับกับสภาพความเป็นจริงหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า ได้อย่างมีสติ
    สง่างาม (บางทีอาจจะมี วิ่ง...หรือใจระทึก มีลุ้น..ขนลุก ขนพอง สยองเกล้าเอาได้...
    เมื่อเจอเข้าจริงๆ กับอมนุษย์หรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์....ต้องพยามยามควบคุมสติ
    สัมปชัญญะให้ดี "สติมาปัญญาเกิด" ต้องท่องไว้...จำไว้ให้ดี) จะว่าไปแล้ว.....ถ้าเราเจริญ
    แผ่เมตตา มีความรักในสรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย เราไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรัก
    ความปราถนาดี ในทุกสรรพสิ่ง (เจริญพรหมวิหาร ๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
    แผ่ออกไปจากตัวเราโดยไม่มีประมาณ อุทิศผลบุญ กุศล ทั้งความรัก ความปราถนาดี
    ให้ทุกสรรพสัตว์มีความสุข จิตใจเราก็จะเยือกเย็น มีความสงบ ชุ่มชื่น.......ไม่วิตก
    หรือกังวลว่าใครจะมาทำร้ายเรา ความหวาดหวั่นหวาดกลัวในภัยต่างๆ ก็จะหมดไป
    ภัยอันตรายต่างๆก็จะไม่มากล้ำกลายเรา...(ถ้ายังมาอยู่โดยมากก็จะเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม)
    พอจิต..ปลดปลง ปล่อยวางลงไป จิตใจก็จะนิ่งเฉย สงบเยือกเย็น มองเห็นไปตามสภาพของ
    ความเป็นจริงและทำให้สภาวะธรรมเราก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย


    อันที่จริง ความจริงหรือเหตุการณ์ ที่เกิด หรือวิตก กังวล คิดไปต่างๆ นาๆ...นั้น
    ถ้าเราศึกษาให้เข้าใจในธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี จนกระจ่างรู้แก่ใจแล้ว
    ความกลัวผมว่ามันเป็นกิเลส ที่ น่ารัก น่าชัง...เอา...เหมือนกัน ถ้าเราใช้มันหรือ
    ควบคุมมันให้ถูกต้อง ใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น สติ..จิต ไม่กล้าแข็งพอหรือไม่ค่อย
    ยอมเชื่อฟัง ความกลัวผีกลัวสาง ถ้าเราไปนั่งเจริญสมาธิ ภาวนา ในป่าช้าหรือที่เขา
    เล่าลือไปต่างๆ ทั้งเฮี้ยน หรือชอบมารบกวน ก็จะเป็นครูสอนเราได้อย่างดี ทั้ง ศีล สติ
    สัมปชัญญะ สมาธิ..ความมั่นคงในพระรัตนตรัย....ทำให้จิต มันเชื่อฟังเรา บอกให้มัน
    ภาวนามันก็ภาวนา เจริญสติมันก็เจริญสติ บางทีไม่ต้องบอก มันรู้ตัวของมันเอง......
    (เพราะความกลัว) ศีลก็รักษาของมันเอง ...............สับปะเหร่ออยู่กับศพ อยู่กับการเฝ้า
    เผาผีในป่าช้า....พอนานวันเข้าก็เกิดความเคยชินเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาความกลัว
    ต่างๆ ก็ลดน้อย หดหายลงไป(ก็ต้องค่อยๆฝึกไปไม่ต้องรีบร้อน หมั่นพิจารณาไป
    เรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเหมือนกันหรือหัดอยู่คนเดียว...หรืออยู่ในที่มืด
    เช่นเวลากลางคืน..ดึกๆ เพราะเวลาตายเราก็ไปคนเดียวเหมือนกัน) ซึ่งถ้าผ่านหรือฝึกฝน
    จนผ่านตรงนี้ได้......เรื่องอื่นๆ (ความกลัว....) ก็ไม่ค่อยจะเป็นปัญหา.....อะไรมากแล้ว

    การที่จะฝึกจิตฝึกใจเราให้มีความเข้มแข็งนั้น การศึกษาหาความรู้ ความเป็นจริงของชีวิต ในเรื่องต่างๆ
    (เรื่องที่ทำให้เรากลัวหรือมากระทบกระทั่งจิตใจเรา) ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญ
    เราก็ต้องหากุศโลบายในการฝึกจิตฝึกใจของตนเอง.......ค้นคว้า ปฏิบัติ.....ปฏิเวธ พิสูตร หมั่น
    ประกอบเหตุ (ฝึกฝน) สังเกตุผล...อย่างไหนปฏิบัติแล้วเกิดมีผลดีเกิดขึ้นแก่ตน.....ตรงสภาวะ
    สภาพของความเป็นจริง กฏของธรรมชาติ....ของความเป็นจริงนั้น เราต้องยอมรับ ไม่ฝืนกฏนั้น
    (ตัวปัญญา) มิเช่นนั้นแล้วความทุกข์หรือความไม่เข้าใจ.....ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นแก่เรา (ความฟุ้งซ่าน
    ความคิด ปรุงแต่ง...) และอาจจะไม่ จางหาย มลายไปจากตัวเราหรือตราบกระทั่ง สิ้นลมหายใจ....
    ถ้าเราไม่ศึกษา ฝึกฝน เจริญสมาธิ.....ภาวนา วิปัสสนา ...ตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    บางที...ความไม่รู้อันนั้น (อวิชชา..มิจฉาทิฐิ) ก็จะติดตัวข้ามภพข้ามชาติ ติดตามไปภพชาติอื่นด้วยเหมือนกัน


    เหตุการณ์ต่างๆ ก็เป็นบททดสอบที่ดี......ว่าจิตแลใจของเรานั้นเข้มแข็ง แข็งแกร่ง จริงหรือไม่..?
    เมื่อเหตุการณ์นั้นมากระทบหรือประสพพบเจอเข้า......เราก็จะรู้ตัวของเราเอง เพราะบางที
    เราคิด (บางอย่างมันไม่เป็นอย่างที่คิด...!!!!!) ว่าเราเข็มแข็งหรืออยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้แล้ว พอประสพ
    พบเจอเข้าจริงๆ .............(ไม่อธิบายแล้ว...ต้องคิดเอาเอง) เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกฝนตัวเองบ่อยๆ
    หรือตลอดเวลา หรือสร้างเหตุการณ์นั้นๆ เช่น ไปนั่งเจริญสมาธิอยู่ในป่าช้าหรือสถานที่คิดว่าเหมาะสม...
    เราก็จะรู้จะเห็นจิตแลใจเราได้ เป็นอย่างดี.......ดั่งที่ว่า มีดก็ต้องหมั่นลับหมั่นฝนถึงจะคม ดินสอก็ต้องหมั่น
    เหลาถึงจะแหลม จิตแลใจเราก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องหมั่นฝึกหมั่นฝน....เพราะก็มีทู่มีแหลม เช่นเดียวกัน
    ไม่มันเที่ยง.......เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ดังพุทธพจน์ สุภาษิตที่ว่า

    อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    โก หิ นาโถ ปโร สิยา
    บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    อัตตา หิ สุทันเตนะ
    เมื่อเราฝึกฝนตนดีแล้วไซร้
    นาถัง ละภะติ ทุลละภัง
    เราย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  9. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    หนูหัดสวดมนต์ทุกวัน การสวดมนต์ทำให้จิตใจมีสมาธิดี ใจจะติดตามคำสวดไปทุกคำ สวดช้า ๆ ระลึกรู้ทุกคำที่สวดไปเรื่อย ๆ สวดมาก ๆ หลาย ๆ จบ จะดีเอง

    การที่จะรู้ว่าเรามีจิตแข้มแข็งหรือไม่ สังเกตดูเองระหว่างสวดมนต์ ใจของเราไม่ร้อนรนที่จะสวดให้ผ่าน ๆ ไป หรือ อยากให้มันจบเร็ว ๆ แต่กลับมีความสบายใจที่จะสวดไปนาน ๆ นั่นแสดงว่าเราใจเย็นขึ้น สมาธิทำให้ใจสบาย สวดได้นานแสนนาน สติดีขึ้น

    การใช้ชีวิตในวันหนึ่ง ๆ เราจะมีสติดี ทำงานไม่ผิดพลาดและเกิดความมั่นใจมาก ใจเรามีความเข้มแข็งแล้ว ต่อไปก็ไม่หวั่นว่าจะพบเจออะไร สบายมาก ใจดีซะอย่าง.
     
  10. sio191

    sio191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +601
    ถูกต้องครับ มีประโยชน์มากมายเลย
    ขออนุโมทนาครับ
     
  11. สุมหัว

    สุมหัว สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +3
    รักษาศีล ทำสมาธิ ทำความดี ละความชั่ว ฝึกสติ ฝึกปัญญาให้เห็นตามเป็นจริง

    แล้วจะทำให้จิตแข็ง
     
  12. granddonut

    granddonut สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    สำหรับผมใส่พระครับ เพราะจิตเราจะตั้งหมั่นอยู่ที่พระ แล้วเราจะมีสติ ^^~
     
  13. obby108

    obby108 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +33
    บางครั้งเวลานั้งสมาธิ จะมีเสียงแปลกๆหรือตัวโยกตัวสั้นแรงมากครับ ทำให้บางทีไม่กล้านั้งต่อเลย ทำยังไงดีครับ
     
  14. den_siam2523

    den_siam2523 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +2,267
    ความกลัว เกิดจากการรับสัมผัสที่ไวมาก ขวัญอ่อน ทำนองนั้น จนสติตามไม่ทันนะครับ ถึงขั้นสติแตกกริ๊ดกร๊าด ไปเรยก็มีครับ

    การฝึกสมาธิ เป็นการทำให้สติเกิดขึ้น แล้วแต่ความหยาบละเอียดแห่งสมาธินะครับ เท่าที่ทดสอบกับความตกใจปรากฏได้ว่า

    เสียงตู้มๆ คนที่กำลังสมาธิอ่อน หรือขวัญอ่อน จะกริ๊ดเป็นบ้าไป
    แต่ถ้าคนที่ฝึกจิต จะค่อยๆสัมผัสเสียง นั้น คล้ายๆกับว่า เสียงมันค่อยยๆดัง ดังช้าๆ สติรู้ทัน และไม่ลุ่มหลง ทำให้ไม่ตกใจเรย บางทีก็ยืนงง เฉยๆบ้าง

    ลองไปนั่งสมาธิดูนะครับ ผมพิสูจน์มาแล้ว
     
  15. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ยายผีป่าเมื่อก่อนเป็นคนขี้กลัวเอามากๆ ค่ะ บ้านก็เอาไม้เก่าที่เคยเป็นโลงเก็บศพมาทำเสาและผนัง ยายจะกลัวมากเวลาเสาตกมันเยิ้ม ที่บ้านมีถุงมือโรงพยาบาลสีส้ม มันฝังใจเพราะพ่อเอาไว้สวมเวลาฉีดยาศพกันเน่า แม้มันจะใหม่ยังไม่เคยเอาไปใช้ แต่ก็กลัว พ่อมีหัวกระโหลกปลอมเอามาวางไว้ที่ห้องนอน (อาจารย์หมอเจ้านายพ่อให้เอาไปทิ้ง แต่พ่อบอกว่าจะเอามาให้ลูกศึกษา อยากให้ลูกเป็นหมอ) เราก็กลัว คือจิตเรามันถูกปลูกฝังให้กลัว มีวันหนึ่ง ยายอยู่บ้านคนเดียว (อายุประมาณ ๘ ขวบ) มืดแล้วประมาณสองทุ่ม ข้างบ้านนอนกันหมดแล้ว ลมฝนพัดมาตีหน้าต่างตึงตัง ฟ้าแล่บฟ้าร้อง น่าตกใจ ไฟฟ้าดับ มันน่ากลัวมกสำหรับเด็กขี้กลัวอย่างยายผีป่า

    สุดท้าย มองไปที่มุมหิ้งพระ เอาพระมาเป็นที่ยึดเกาะ เพราะพ่อสอนว่า ผีกลัวพระ ยายก็พยายามกระดึ๊บๆ หลับตาบ้าง หรี่ตาบ้างไปนั่งขัดสมาธิหน้าหิ้งพระ หลับตา เพราะพ่อเคยบอกว่า เวลากลัวผี ให้หลับตา เพราะผีมันกลัวคนหลับตา เราไม่เห็นมัน มันก็ไม่เห็นเรา ยายก็อาศัยสวดมนต์เท่าที่จำได้ (แปลกมากสมัยนั้นสวดมนต์คล่องกว่าตอนนี้ เพราะตามยายกับแม่ไปวัดเรื่อยๆ เวลาพระสวดเราสวดตาม แต่คนสมัยนั้นห้ามสวดพร้อมพระ ยายผีป่าโดนตบปากบ่อย แต่ก็ชอบสวดตาม มันเหมือนเรานี่แกล้งคนได้ ทำให้คนรำคาญได้ แหะๆ) ก็สวดไปเรื่อยๆ พอสวดๆ ไปจิตมันลืมนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เรากลัว ลืมว่าเราอยู่คนเดียว ลืมว่าฝนตกฟ้าโครมๆ อยู่ พอทีนี้เราก็หลับไปหน้าหิ้งพระ เช้ามาเราก็ไม่เป็นอะไร เลยไปนั่งมองหัวกะโหลกเทียมนั่น ไปจับถุงมือนั่น ไปยืนดูเสาตกมัน มันเป็นเพียงสิ่งของ มันไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้ ทุกอย่างมันน่ากลัวเพราะเราถูกหลอกให้กลัวมาตั้งแต่เด็กๆ เช่นอย่าร้องนะ เดี๋ญวผีจับ อย่าออกไปข้างนอกนะ เดี๋ยวผีจับไป หากเรากลัวอะไร เราลองไปสัมผัสสิ่งนั้นๆ

    มีครั้งหนึ่งไปเข้าค่ายเนตรนารี วิ่งกันป่าเปิด เพื่อนบอกผีหัวขาด! ที่ไหนได้ ไก่มันไปซุกตัวใต้เปลือกมะพร้าว มันมืดเลยมองเหมือนศีรษะคนกระดุกกระดิกได้ เงาจันทร์ทอดผ่านสลัวๆ เราไม่พิจารณา ตื่นตูม ยายผีป่าลองนอนในป่าช้า พ่อไปทำกระท่อมให้ นอนทุกคืน ไม่เจอผีหลอก มีแต่เราหลอกตัวเราเอง ว่าต้นไม้นี่มีผีไหมนี่ จะห้อยหัวมาหลอกเราไหมนี่ พอเราคิดจิตเราก็เริ่มสร้างภาพไปตามที่คิด คือคิดเห็นภาพผีห้อยหัวมาหลอกจากกิ่งไม้ แต่พอเราตั้งสติจ้องไปที่กิ่งไม้ที่เราคิดนั่น มันไม่เห็นอะไร เลยคิดว่า เราเลิกคิดไปก่อนดีกว่า

    อะไรจะเกิด ให้เราตั้งสติไว้

    ขนาดฝึกจิตให้ระมัดระวัง แต่คนมันก็ยังมียีนส์แห่งความกลัวแฝงอยู่ แต่มันยังตกใจ ยังกลัวน้อยกว่าที่มันควรกลัว

    คนที่ไม่กลัวอะไรเลยนั้น จะเป็นพวกได้รับอันตรายง่ายที่สุด คือมันประมาท เมื่อเรารู้สึกกลัว เราตั้งตัวระแวดระวัง แล้วตั้งสติ พิจารณามันว่าสิ่งที่เรากลัวนั้นมันควรกลัวไหม มันน่ากลัวจริงไหม เราเลิกกลัวมันได้ไหม

    ขำมากๆ เมื่อสองวันก่อน ยายผีป่าขับรถจะเข้าที่จอดรถหน้าบ้าน เห็นวัวตัวเมียมันมายืนข้างๆ กระถางต้นไม้ ข้างป่าช้า (บ้านติดป่าช้า) วัวมันยืนหันก้นมาทางเรา ยายผีป่าสายตาไม่ค่อยดี มองระยะหนึ่งเมตรก็พร่าแล้ว เห็นบั้นท้ายวัวมีสายยาวๆ เหลือบๆ สีออกเทาปนเหลืองปนเลือด ยาวระพื้นประมาณ ๒ เมตร ในใจคิดถึงงูจงอางข้างป่าช้า คนเจอบ่อย ตัวยาวกว่าสี่เมตร เมื่อวันก่อนคนก็เจอกำลังข้ามถนน เลยคิดว่า แหม...งูจ๋า หิวมากเชียวหรือ มากินวัวเรา ในใจคิดห่วงวัว เอาละ เราต้องช่วยวัวก่อน ไม่ดับเครื่องรถหรอก คิดว่างูมันกำลังงับวัวอยู่ ปากมันไม่ว่างที่จะมาฉกเรา เลยค้ามีดสนามที่พกติดรถประจำมา ก้าวลงจากรถ เตรียมฟันฉับที่งู แต่ยังไม่ทันฟัน พอย่องไปใกล้ งูพันธุ์อะไรนี่ ไม่เคยเห็น

    อ้าว....วัวมันตกรกนี่เอง

    มันไม่ได้ตามฝูงไปเพราะมันเจ็บท้อง มันย่องมาเบ่งลูกลำพัง มันแสนรู้นะเนี่ย มันไม่ไปคลอดไกลบ้าน

    ยายผีป่าเลยช่วยดึงรกที่คาออกมา เพราะรู้เคยคลอดลูก รู้ว่ามันปวดมากเวลารกยังไม่ออก

    พอผัวรู้ว่าดึงรกออกจากแม่วัวสดๆ ก็ถามว่า

    เธอไม่กลัวว่าแม่วัวมันจะดีดเอาเหรอ

    ยายบอกว่า

    ตอนนั้นไม่กลัว เพราะอยากช่วยวัว

    และรู้ว่าวัวมันคงไม่ทำอะไร เพราะบอกแม่วัวว่า เดี๋ยวช่วยนะ อย่ากลัวนะ ฉันมาดี มาช่วย

    หลวงปู่รูปหนึ่งเคยสอนว่า

    ใจเรานี่น่ากลัวที่สุด จิตที่ขาดการอบรมก็ยิ่งน่ากลัว
     
  16. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    ฝึกสมาธิคับ
    แล้วก็ฝึกทรงสติด้วย
     
  17. เด็กน้อยรักธรรม

    เด็กน้อยรักธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +81
    ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับความรู้ดีๆ
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ถามคุณยายผีป่าครับ รูปที่นั่งขัดสมาธิยิ้มอยู่นั่น รูปยายผีป่าหรือรูปใครครับ
     
  19. เด็กน้อยรักธรรม

    เด็กน้อยรักธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +81
    ขอบคุณมากๆเลยค่ะ แต่หนูมีเรื่องจะถามต่อค่ะ คือหนูเห็นผีบ่อยมาก แต่เมื่อก่อนไม่ได้คิดอะไร คิดว่าตาฝาดเพราะเด็กอยู่ แต่พอมาเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่เลยบอกว่าเป็นผีจริงๆมีประวัติมา หนูเลยกลัวมาก หนูไม่อยากเจอแต่ก็เจออ่ะค่ะ แต่แม่อยากเจอกลับไม่เจอ เป็นเพราะอะไรคะ บอกได้ก็บอกด้วยนะคะ จากเด็กอายุ 14 ปี
     
  20. อัตตา

    อัตตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +10
    ให้มองย้อนเข้ามาดูกาย-ใจของเราว่าเกิดสภาวะธรรมอะไรบ้างเช่น หวาดๆ ตื่นเต้น กลัว ใจเต้นแรง มันเป็นสภาวะที่แทรกเข้ามา เราเป็นคนดู สภาวะที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ดูอะไรก็ดูความไม่เที่ยง เดี๋ยวกลัวมากบ้างน้อยบ้าง ดูซิว่ามันจะกลัวไปตลอดไหม ดูอนัตตา อยากให้หายก็ไม่ยอมหาย ควบคุมไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวเรา เมื่อมองย้อนมาดูสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับจิต ถ้าเป็นภาพนิมิต ภาพนั้นจะหายไป ถ้าเป็นผีจริงเมื่อเราส่งจิตออกนอกกลับไปดูมันอีกทีมันจะยังอยู่เหมือนเดิม เอาไว้ใช้ตอนนั่งสมาธิแล้วไปเห็นนรก สวรรค์ เทวดานางฟ้า พระพุทธเจ้า ฯลฯ ว่าของจริงหรือเป็นแค่ภาพนิมิตที่จิตเราสร้างขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...