ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ......... PraYansangvornKarma.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    LpKritPatibutPucha.jpg
    พอดีช่วงนี้ กระแสคำทำนายค่อนข้างฮิต พออ่านหลายๆบทความ มองเห็นแต่เรื่องของเหตุและผล เพราะเมื่อยังไม่มีที่พึ่งเป็นของตนเอง ย่อมหวังผู้พึ่งผู้ที่คิดว่าจะช่วยตนเองได้ แล้วการช่วยแบบนั้น ต้องช่วยกันไปอีกนานเท่าไหร่ เหมือนการเลี้ยงลูกที่ไม่รู้จักโต ต้องคอยหุงหาอาหารให้กินตลอดชีวิต

    เราไม่ได้คัดค้านเรื่องคำทำนาย เพราะตลอดชั่วชีวิตของเรา ตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ สิ่งที่เรียกว่าคำทำนาย เรามักจะเรียกว่านิมิตหรือความฝัน นี่คือเหตุที่ทำให้มายืนอยู่ที่ปัจจุบันนี้ได้ เพราะเพียงแค่รู้ ไม่ได้ไปยึดติดในสิ่งที่รู้หรือเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีคำทำนายหรือไม่มีคำทำนายก็ตาม

    เหมือนชีวิต หากเอาชีวิตไปผูกติดกับคำทำนาย ชีวิตที่เกิดมา คงไร้รสชาติพิลึก คงเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกบังคับให้เดินด้วยมือที่มองไม่เห็น ชีวิตที่เกิดมา ล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งในอดีตที่ทำไว้และปัจจุบันที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากอวิชชาที่ยังมีอยู่

    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค – ๘. สักกปัญหสูตร ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้สดับมาอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละ ณ เวทิยกบรรพต ด้านทิศอุดร แห่งพราหมณคามชื่ออัมพสัณฑ์ อันตั้งอยู่ด้านทิศปราจีน แห่งพระ นครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ ฯ

    ก็สมัยนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพ (เทพเจ้าแห่งสามโลก) ได้บังเกิดความขวนขวาย เพื่อจะเฝ้า พระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงพระดำริว่า บัดนี้ พระผู้มีพระ ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ

    ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรง เห็นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละ ณ เวทิยกบรรพต ด้านทิศอุดร แห่งพราหมณคามชื่ออัมพสัณฑ์ อันตั้งอยู่ด้านทิศปราจีนแห่งพระนครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ

    ครั้นแล้ว จึงตรัสเรียกพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มาตรัสว่า …. ….

    ท้าวสักกะจอมเทพ อันพระผู้มีพระภาคทรงให้โอกาสแล้ว ได้ทูลถามปัญหาข้อแรกกะพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวก เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ มีอะไรเป็นเครื่องผูกพันใจไว้

    อนึ่ง ชน เป็นอันมากเหล่าอื่นนั้น เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความ พยาบาท ย่อมปรารถนาว่า ขอพวกเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่เถิด ก็และพวกเขามี ความปรารถนาอยู่ดังนี้ ก็ไฉน เขายังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีศัตรู มีความพยาบาท ยังจองเวรกันอยู่ ท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคด้วยประการ ฉะนี้ ฯ

    พระผู้มีพระภาค อันท้าวสักกะจอมเทพทูลถามปัญหาแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ดูกรจอมเทพ พวกเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ มีความริษยาและ ความตระหนี่เป็นเครื่องผูกพันใจไว้
    อนึ่ง ชนเป็นอันมากเหล่าอื่นนั้น เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท ย่อมปรารถนาว่า ขอพวกเราจงเป็น ผู้ไม่มีเวรอยู่เถิด ก็และพวกเขามีความปรารถนาอยู่ดังนี้ ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเป็น ผู้มีเวร มีอาชญา มีศัตรู มีความพยาบาท ยังจองเวรกันอยู่ พระผู้มีพระภาค อันท้าวสักกะจอมเทพทูลถามปัญหาแล้ว ทรงพยากรณ์ด้วยประการฉะนี้ ฯ ….

    ท้าวสักกะจอมเทพทรงชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาค ในปัญหาพยากรณ์ข้อแรกดังนี้แล้ว จึงได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคยิ่งขึ้นไป ว่า …. ….

    ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่สี่อย่างนี้ว่า ถ้าความตรัสรู้จักมีแก่เราในภายหน้า โดยธรรมไซร้ เราจักเป็นผู้รู้ทั่วถึงอยู่ นั่นแหละจักเป็นที่สุดของเรา ดังนี้ จึงประกาศการได้รับความยินดี การได้รับความโสมนัส เห็นปานนี้ ฯ

    ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ห้าอย่างนี้ว่า หากเราจุติจากกายมนุษย์แล้ว ละอายุอันเป็นของ มนุษย์แล้ว จักกลับเป็นเทวดาอีกจักเป็นผู้สูงสุดในเทวโลก ดังนี้ จึงประกาศการได้รับความยินดี การได้รับความโสมนัสเห็นปานนี้ ฯ ….
    ท้าวสักกะเปล่งอุทาน ได้ธรรมจักษุ ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพเอาพระหัตถ์ตบปฐพี แล้วทรงเปล่งอุทาน ๓ ครั้งว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน บังเกิดขึ้นแก่ท้าวสักกะจอมเทพว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา และบังเกิด ขึ้นแก่เทวดาแปดหมื่นพวกอื่น
    เวลาอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า จะเห็นว่า พระองค์จะทรงสอนเรื่องของเหตุและผล ไม่ใช่เรื่องการเชื่อแบบเลื่อนลอย ไม่มีที่มาที่ไป ตราบใดที่ยังมีเหตุ ผลย่อมมีอย่างแน่นอ
    เฉกเช่นเดียวกับคำทำนาย ถึงแม้ไม่มีคำทำนาย ทุกสรรพสิ่งย่อมเสื่อมสิ้นไปตามเหตุปัจจัย จงอยู่อย่างผู้มีสติ จงรู้ชัดในผัสสะ จงรู้เหตุของการเกิดผัสสะ ว่าแท้จริงแล้วอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น
    ว่าแล้ว ก็ดู Step up 2 ช่อง ๗ เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรด ตามดูทุกภาค ชีวิตคนเราก็ไม่แตกต่างจากการเต้น ต่างคนต่างเต้นไปตามจังหวะชีวิตของตนเอง ดีกว่าไปนั่งหมกมุ่นกับคำทำนาย กะว่าจะเขียนเรื่องคำทำนาย คิดว่า ไม่มีอะไรประเสริฐที่สุดไปมากกว่าการให้ธรรมะเป็นธรรมทาน ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมะ ถ้าไม่ไปยึดติดแล้วสบาย
    ไม่ว่าจะพูด จะคิด หรือรู้สึกใดๆ ดูที่จิต จงดูให้ทัน ยังมีไหมเรื่องการเพ่งโทษนอกตัว หรือมีการเปรียบเทียบ จิตเป็นเรื่องละเอียด ต้องมีสมาธิที่ตั้งมั่น จึงจะรู้ชัดเช่นนั้นได้ พูดมาก ขาดทุน พูดน้อยได้กำไร พูดพอประมาณ มนสิการไว้ในใจให้มากๆ เพราะมีแต่เรื่องเหตุและผล นอกนั้นไม่ได้มีอะไรเลย
    :- https://walailoo2010.wordpress.com/category/ผลของการเจริญสติ/
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    350.jpg

    "เรื่องกรรมเป็นกฎอนิจจัง" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
    " .. "เรื่องกรรมเป็นกฎอนิจจัง" เป็นของไม่เที่ยง ถึงจะเสวยกรรม เช่น "เป็นบาปกรรมนี้นานเท่าไร มันก็มีการเปลี่ยนแปลงของมัน" ด้วยความเชื่องช้าตามอำนาจแห่งกรรมหนักเบาต่างกัน
    "ถ้าเป็นกรรมเบาก็เปลี่ยนแปลงเร็ว สิ้นกรรมไปเร็ว" เหมือนคนติดคุกติดตะราง ติดสองเดือนก็มี สามเดือนก็มี ติดสี่ปีห้าปีก็มี ติดตลอดชีวิตก็มี ประหารชีวิตก็มี มันก็มีอย่างนั้น
    อันนี้สัตวโลกก็เหมือนกัน "พวกไปตกนรกก็เหมือนกัน พวกสองเดือนสามเดือนก็มี" พวกสี่ปีห้าปีก็มี แบบเดียวกันนั่นแหละ พวกฟาดสักกี่กัปกี่กัลป์ก็มี "อันนี้ผู้ไปสวรรค์ก็อีกแบบเดียวกันไม่ผิดกันแหละ" มีแง่หนักเบาเสมอกันหมด .. "
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    :- http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=518&CatID=2
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    buddha-1033604_1280.jpg

    ทุกอย่างต้องปล่อยไปตามกรรมจริงหรือ และบางคนก็ยังอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วแต่เวรกรรม
    พระพุทธเจ้าทรงปล่อยให้เป็นไปตามเวรกรรมทั้งหมดจริงหรือ
    -ถ้าพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีความขวนขวายในการสั่งสอนเวไนยสัตว์ ทรงปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมของสัตว์ พระพุทธศาสนาก็คงไม่มาถึงเราแน่

    -ถ้าพระพุทธองค์ไม่เสด็จไปโปรดองคุลิมาลและมารดา เพราะทรงดำริว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จะเป็นตายร้ายดีก็ช่างมัน องคุลิมาลก็คงจะทำอนันตริยกรรมฆ่ามารดาของตนเสีย

    อย่าลืมว่าเราเกิดมาบนโลกนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในวังวนของวัฏฏะกรรมนั้น ฉะนั้น เราจึงมีส่วนในการหมุนกรรมว่าจะไปในทางดีหรือทางไม่ดี
    :- http://buddhismarticles.com/?p=1033
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    LPRuesri4.jpg
    เรื่องกฎของกรรม
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    เรื่องตัดกรรม


    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อ ตัดกรรมได้ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ตัดกรรมนี่มันตัดไม่ได้หรอก กรรมที่เป็นกุศลก็ตัดไม่ได้ กรรมที่เป็นอกุศลก็ตัดไม่ได้ นี่พูดตามพระพุทธเจ้านะ

    แต่ว่าที่เราทำดีนี่ คือ สร้างกรรมดีที่เป็นกุศลมากขึ้น หนีกรรมที่เป็นอกุศล คือ กรรมที่เป็นอกุศลมันมีอยู่ แต่เราสร้างกรรมดีที่เป็นกุศล กรรมที่เป็นอกุศลก็ตามช้าลง เราฝึกวิ่งหนีให้มันเร็วเข้า ใช่ไหม…”

    ผู้ถาม :- “อย่างนี้ก็ไม่มีทางหมดบาปน่ะซิคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “การจะทำให้หมดบาปน่ะไม่มีทางหรอก ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่ทางเดียวคือ ทำบุญหนีบาป ใช้กำลังบุญให้สูงขึ้น ความชั่วที่มันเป็นบาปกรรมอยู่มันก็ตามทันยากหน่อย ใช่ไหม…”


    แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันก็สบาย ตัดกรรมจริงๆ แต่ว่าเศษของกรรมยังมีอยู่บ้าง แต่กรรมก็ไม่สามารถจะดึงให้เราลงนรก เป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานได้

    แต่ถ้ามาเป็นมนุษย์ ถ้าเรามีโทษปาณาติบาต มันก็ทำให้เราป่วยบ้าง
    ถ้ามีโทษอทินนาทานอยู่ ก็ทำให้ของหาย ไฟไหม้ ขโมยลัก น้ำท่วม ลมพัด
    ถ้าเราเคยมีโทษกาเมสุมิจฉาจาร คนใต้บังคับบัญชาเราก็หัวดื้อ ไม่เชื่อฟัง
    ถ้าเราเคยมีโทษมุสาวาท พูดโกหกเขา เราพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ
    ถ้ากินเหล้าเมายามาก่อน ก็เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นคนบ้าบ้าง มันก็แค่นี้

    แต่ว่าถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว มันไม่ถึงบ้าแค่มึนๆ ไปหน่อย นี่เป็นโทษจากเศษของกรรม”

    ผู้ถาม :- “ถ้าสร้างพระพุทธรูปปางนิพพาน จะหนีกรรมได้ไหมคะ”

    หลวงพ่อ :- “หนีกรรมได้ เป็นการสร้างกำลังความดีให้สูงเข้าไว้”

    ผู้ถาม :- “ยังงั้นเราก็สร้างพระมาก ๆ ซิคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ประเดี๋ยววัดไม่มีที่เก็บอีก มีกรรมอีก ต้องไปสร้างตึกให้พระอยู่อีก เอาไหม…?”

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ :- “สร้างพระมาก ๆ เป็นพุทธบูชา เป็นพุทธานุสติไม่ดีเรอะ…ในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่า กำลังพุทธานุสตินี่เป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุดง่ายกว่ากองอื่นที่สุด และรวดเร็วกว่าอย่างอื่น”

    บุคคล ๔ ประเภทในโลก

    ผู้ถาม :- “เคยได้ยินหลวงพ่อบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้แบ่งเป็น ๔ ประเภท แล้วพวกที่มีปฏิภาณดี จัดอยู่ในประเภทไหนคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “พวกที่มีปฏิภาณดีอยู่ในพวก อุคฆฏิตัญญู พูดแต่เพียงหัวข้อก็เข้าใจเลย ส่วนอีก ๓ พวกคือ


    วิปจิตัญญู พวกนี้พูดย่อ ๆ ยังไม่เข้าใจ ต้องขยายต้องอธิบายหน่อยจึงจะเข้าใจ

    เนยยะ พวกนี้หน้าหนานิด ๆ ต้องตีแรง ๆ หน่อยจึงเจ็บ สอนได้แค่กามาวจรสวรรค์

    ปทปรมะ พวกนี้พูดยังไง ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง แต่ประเภทพูดครั้งแรกแล้วไม่รู้เรื่อง จะถือว่าเป็นพวกปทปรมะไม่ได้นะ คือว่าต้องขึ้นอยู่กับวาระจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าตกอยู่ในวาระของอกุศลพระพุทธเจ้าท่านไม่สอน เมื่อเวลาที่กุศลให้ผลพระพุทธเจ้าจึงจะสอน ถ้าเชื้อเป็นปทปรมะจริง ๆ ไม่มีทางไปนิพพาน พอพูดมาก็กลัว เพราะไม่เข้าใจ”

    ผู้ถาม :- “พวกที่มีปฏิภาณดีนี่ต้องเป็นคนฉลาดใช่ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ไอ้ตัวปฏิภาณนี่คือความฉลาด พวกปฏิภาณนี่มีปัญญาพิเศษเกินกว่าปัญญาธรรมดา มันมีความว่องไวมากกว่า ปัญญาธรรมดาต้องใช้อารมณ์ใคร่ครวญ ส่วนปฏิภาณนี่ไม่ต้องใช้ปั๊บเดียวได้เลย เขาพูดมาสามารถแก้ปัญหาได้ทันที จึงเรียกว่าปฏิภาณ”

    กรรมดีหรือกรรมชั่วให้ผล

    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ คนเราเกิดมานี่นะครับ ต้องสร้างทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว อันนี้เป็นเพราะว่าเนื่องจากผลของกรรมเก่า หรือว่าเราสร้างขึ้นใหม่ครับ…?”

    หลวงพ่อ :- “ทั้งใหม่ทั้งเก่า คือกรรมเก่าบางอย่างมันให้ผลในชาติปัจจุบัน บางอย่างให้ผลในชาติต่อไป บางอย่างอีกหลายชาติจึงจะให้ผล เราเกิดมานี่เราทำแต่กรรมดีอย่างเดียวหรือเปล่าล่ะ เคยทำความชั่วบ้างไหม…?”

    ผู้ถาม :- “เคยครับ”

    หลวงพ่อ :- “ทีนี้ผลที่รับนี่ไม่แน่ ฉันตอบไม่ได้ว่าผลที่ได้รับเป็นกรรมใหม่หรือกรรมเก่า”

    ผู้ถาม :- “สิ่งที่เรากระทำลงไปเป็นสิ่งไม่ดี เป็นกรรมเก่าที่เราทำไม่ดี หรือว่าเราสร้างของเราใหม่ครับ…?”

    หลวงพ่อ :- บางทีเราก็สร้างใหม่ เพราะเราขยันสร้าง อย่าไปโทษเก่าเสมอไปเลย โทษปัจจุบันดีกว่า คือทุกสิ่งทุกอย่างโทษปัจจุบันไว้ดีกว่า ป้องกันตัวไว้ บางอย่างก็อาศัยกรรมเก่าที่เราทำมา มันให้ผลจึงมีความเห็นผิด บางอย่างสิ่งแวดล้อมมันเกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้เราเห็นผิด ก็คิดว่าไอ้กรรมเก่ามันแค่ไหนก็ช่างมัน ไม่สนใจ ทำกรรมใหม่ให้ดีไว้เสมอ ๆ ดีกว่าอย่าไปคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว กรรมเก่ามันจะเลวมันจะชั่วก็ช่างมัน


    อย่าลืมว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้เพราะอาศัยความดีหลายอย่าง

    ๑.เราเคยมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ เราจึงเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ได้

    ๒.เรามีทรัพย์สินเพราะเราเคยให้ทาน

    ๓.เรามีปัญญาคิดอะไรได้บ้าง เพราะเราเคยอบรมในด้านความดี ในด้านธรรมมาก่อน

    เราต้องคำนึงของ ๓ อย่างนี้ เพราะมันเป็นความดีเดิม

    ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ได้แล้ว เราจะกลับไปเป็นสัตว์นรกอีกไหม…

    ถ้าเราทำลายศีลข้อใดข้อหนึ่ง นั่นแสดงว่ามันจะกลับไปนรกอีก

    ประการที่ ๒ เราเกิดมาเป็นคนตระหนี่ เป็นคนดีพอกลับไปเราก็ต้องกลับไปแก้ผ้าใหม่

    และประการที่ ๓ เราทำลายสติสัมปชัญญะของเราให้มันเสื่อมทรามลง เป็นการทำลายของเดิมที่เราก่อมาแล้วให้สลายตัวไป ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วจะดีขึ้น

    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสั่งสอน อย่าตามนึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และจงอย่าคำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง พยายามรักษาความดีปัจจุบัน

    ถ้าปัจจุบันของเราดี เพราะอารมณ์ของเราจริง ๆ ไม่มีอดีตไม่มีอนาคตหรอก มันมีแต่ปัจจุบัน คือให้มีความรู้สึกว่าเดี่ยวนี้อยู่เสมอ คืออารมณ์ทำเป็นอาจิณกรรม ถึงแม้ว่าครั้งละเล็กละน้อยมันก็ชิน อาจิณกรรมถ้าเป็นฝ่ายอกุศล มันมีโทษถึงอนันตริยกรรมได้ แต่ถ้าอาจิณกรรมฝ่ายกุศลมันก็มีผลมหันต์เหมือนกัน

    ถ้าเราไม่ตามนึกถึงมัน เรามุ่งหน้าทำแต่ความดี อันดับเลวที่สุดถ้าเราเป็นพระโสดาบัน กรรมที่ไม่ดีนั้นจะให้ผลลงอบายภูมิไม่ได้ มันจะให้ผลแต่เพียงว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไหม่เท่านั้น มันตัดอบายภูมิ ใช่ไหม…ได้กำไรตั้งเยอะ ดีไม่ดีเป็นอรหันต์เสียชาตินี้หมดเรื่องหมดราวไปเลย เพราะมันเหลือแค่เศษกรรม ใช่ไหม…ดอกเบี้ยมันนิดหน่อย เอาอย่างนั้นนะ

    จำไว้แค่นี้ก็แล้วกันนะ เอาเวลานี้ให้มันดีอยู่เสมอ อย่าไปเอาเวลาอื่นนะ เวลาปัจจุบันนี้เมื่อความรู้สึกยังมีอยู่ ให้จิตมันว่างจากอารมณ์ที่เป็นอกุศล ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้ทรง อนุสสติ

    อนุสสติ แปลว่า การตามนึกถึง คือให้นึกถึงความดีอยู่เสมอ

    อนุสสติ ก็มี พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ กายคตานุสสติ อุปสมานุสสติ และ อานาปานุสสติ

    ถ้าเราตามนึกถึงอนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องของความดี ทีนี้ความดีที่เราจะไปชำระหนี้ความชั่วเดิมให้หมดไป ถ้าจะไปนิพพานรับรองไม่ได้ไปแน่ เพราะอะไร เกิดทุกชาติก็สร้างเรื่อย เสริมความชั่วอยู่เสมอ ทีนี้ทางพระพุทธศาสนาเราไม่มีการล้างบาป แต่ว่าในทางพุทธศาสนาให้สร้างกำลังจิตในด้านความดีให้มีกำลังสูงเพื่อหนีบาปให้พ้นไป ถ้าจิตติดด้านความดีฝ่ายสูงมันก็มี ๔ ขั้น คือ

    ๑.พระโสดาบัน
    ๒.พระสกิทาคามี
    ๓.พระอนาคามี
    ๔.พระอรหันต์

    กรรมของพระอรหันต์

    ผู้ถาม :- “พระอรหันต์ที่ไปนิพพานท่านหมดกรรมที่เป็นอกุศลไหมครับ…?”

    หลวงพ่อ :- “ไม่มีพระองค์ไหนหมดกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่เป็นอกุศลกรรมของท่าน ถ้าจะเขียนชื่อใส่ปี๊บก็ไม่หมด ที่ท่านไปนิพพานได้ ไม่ใช่หมดกรรมที่เป็นอกุศลนะ แต่ทว่าสร้างอารมณ์ที่เป็นกุศลละเอียด จนกระทั่งอกุศลมันตามไม่ทัน

    ถ้ารอใช้กรรมที่เป็นอกุศลน่ะไม่มีทาง เราลงนรกเกือบทุกชาติ ตายแล้วลงนรกขึ้นมาเป็นมนุษย์ บี้มดบ้างบี้อะไรต่ออะไรบ้างลงไปใหม่ ใช้หนี้หมดก็ขึ้นมาบี้อีกก็ลงใหม่ ไม่ต้องไปใหนล่ะ ใช่ไหม…สร้างใหม่ตลอดไอ้เก่าก็ใช้หนี้ไม่หมด ไปไหม…จะไปฝากพระยายมให้ เวลานี้ท่านเปิดบัญชีรับสมัครไม่จำกัดนะ”

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “ไม่ละครับ”

    กฎของกรรมของนายแดง

    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ หนูเคยอ่านเรื่องกฏของกรรมเรื่องหนึ่ง คือนายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่ และเคยทุบตีพ่อแม่ พอแกมีลูกออกมาลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ คงจะเป็นกฏของกรรมของนายแดง แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดงจะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ?”

    หลวงพ่อ :- “ก็ไม่ใช่บาป”

    ผู้ถาม :- “แล้วกฏของกรรมจะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ?”

    หลวงพ่อ :- “นายแดงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่ ตีพ่อตีแม่นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว ฉะนั้นเด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลว ๆ มาเกิด คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เสมอกับพ่อแม่ จึงจะสู่ครรภ์เข้าในตระกูลนั้นได้

    แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ บางทีตอนเป็นเด็ก ๆ แกดี ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้ หมายความว่ากรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ และในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้ เพราะว่าตอนต้น ๆ พ่อเลวแม่เลว แต่เขาอาจมีดีอยู่เป็นเพราะช่วงของกรรมเขา เกิดมาในช่วงนั้น กรรมที่เป็นอกุศล มันให้ผลไปก่อน แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศลคือความดีมันอาจจะมาทีหลัง”

    กฎของกรรมของพระองคุลีมาร

    ผู้ถาม :- “อย่างนั้นพระองคุลีมารที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ ก็คงเป็นกฏของกรรมใช่ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “อันนี้เป็นกฏของกรรม คือถอยหลังจากชาตินี้ไป ๑ ชาติ ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่า ภายหลังถูกฆ่า คนทั้งหมดมีพันคนเศษที่ร่วมกันตีให้ตาย พอดีลงไปแล้วก่อนจะสิ้นใจตายแกก็ลืมตาดู “ไอ้พวกนี้มันมาก กูคนเดียวมึงรุมฆ่ากู ถ้าชาติหน้ามีจริงกูขอฆ่ามึงบ้าง” นี่เป็นเวรที่จองกันไว้


    พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง พ่อตั้งชื่อให้ว่า “อหิงสกกุมาร” แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน พอเกิดมาแล้วสติปัญญาดี ท่านเป็นคนดีมาก ต่อมาพ่อส่งไปเรียนศิลปวิทยา ภายหลังเพราะความดีของท่าน ถูกลูกศิษย์ด้วยกันกลั่นแกล้ง ยุยงให้อาจารย์ออกอุบายให้ไปเรียน “วิษณุมนต์” แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยกครูก่อน โดยจะต้องฆ่าคนให้ได้ถึงพันคนจึงจะเรียนได้

    ท่านก็เลยตกลงยกครูโดยการไล่ฆ่าคน ฆ่าได้ ๑ คน ก็เอานิ้ว ๑ นิ้ว แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดีและคู่ปรับที่จะต้องฆ่าก็คือแม่

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่จัดเป็นอนันตริยกรรม มรรคผลจะไม่ได้เลย ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต้องการว่าคนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม จึงเสด็จไปโปรด

    เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผล ท่านจึงรู้สึกตัววิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ภายหลังท่านก็ขอบวชแล้วก็ได้เป็นอรหันต์”

    กฎของกรรมของภรรยานายเรือ

    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ บัณฑิตผู้นี้เป็นผู้พิพากษาค่ะ ก็ตัดสินคดีเกี่ยวกับศีลข้อ ๓ นี่ค่ะ ก็ปล่อยคนที่เป็นชู้ไป ภรรยาก็เลยโกรธ บอกว่าตัดสินไม่ยุติธรรม ด่าว่าใหญ่เลย ตัวสามีก็เลยโมโห พูดถึงความหลังขึ้นมาว่า แล้วแกล่ะคนดีเรอะ เขาพูดถึงคืนวันนั้น ภรรยาเสียใจก็เลยผูกคอตายอยากจะถามหลวงพ่อว่า บัณฑิตผู้นี้จะต้องไปใช้เวรภรรยาในสภาพอย่างไรคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ก็ภรรยาเขาผูกคอตายเอง นั่นก็เป็นกฏของกรรมของเขา”

    ผู้ถาม :- “แต่มันเป็นคำพูดที่รุนแรงนี่คะ ที่ทำให้ภรรยาเขาฆ่าตัวตาย”

    หลวงพ่อ :- “ความจริงไม่แรงหรอกถ้าคนธรรมดา นี่กฏของกรรมมันบังคับ ก็มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง มีหญิงคนหนึ่งไปในเรือสำเภา เกิดอับปาง เขาก็หาคนที่เป็นกาลกิณี ก็ได้หญิงคนที่เป็นเมียของเจ้าของเรือเขาก็จับโยนลงน้ำไป


    เรื่องนี้มีพระไปพบเข้าก็มาถามพระพุทธเจ้าว่า เป็นเพราะกรรมอะไร พระพุทธเจ้าก็ทรงเล่าประวัติเดิมว่า หญิงคนนี้เดิมมีสามี ต่อมาสามีก็ตาย ตัวก็ตายก็มาเกิดใหม่ ตัวผู้หญิงคนนี้เขาสร้างความดีไว้มากกว่าสามี ก็มาเกิดเป็นลูกคหบดี แล้วสามีก็ไปเกิดเป็นสุนัข ไอ้อารมณ์เดิมที่มีความผูกพันก็เกิดมีความรักหวงแหน จะไปไหนก็ไปด้วย จนกระทั่งชาวบ้านเห็นผู้หญิงขึ้นมา มีหมาตามมาด้วย เขาก็ล้อ “เฮ้ย…พวกเรา…พรานสุนัขมาแล้ว” เธอก็อาย

    วันหนึ่งเธอไม่รู้จะทำไง เลยคิดจะฆ่าหมาตัวนี้โดยเอาห่วงคล้องคอ เอาไปถ่วงจับโยนน้ำ ไอ้กรรมตัวนี้นี่เอง มาเกิดชาติหลังหมาตัวนั้นมาเป็นนายสำเภา แกก็มาเป็นภรรยา พอเรือมันอับปางก็จับสลากกันว่าใครเป็นกาลกิณี จับกี่ครั้ง ๆ ก็ได้แก่เมีย จึงจำเป็นต้องจับโยนน้ำไป นี่กรรมมันสนองแบบนี้ เขาถือว่ากรรมสนองกรรม

    ฉะนั้นกฏของกรรมเดิมต้องทวน ก็ใช้อตีตังสญาณซิ นี่อ่านหนังสือแล้วก็ใช้อตีตังสญาณถอยหลังไป แต่ว่าอย่าไปถอยเองเหนื่อย ถามพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกองค์ท่านไม่ใช้กำลังของตัวเอง แต่พวกที่ใช้กำลังของตัวเองก็คือพวกฌานโลกีย์ ถ้าหากเป็นพระอริยะชั้นสูงเขาไม่ใช้เขารู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู แปลว่า รู้ทุกอย่างถามท่านตรง ๆ แล้วขอดูภาพ อันนี้แม่นยำตรงตามเป็นจริง และการถามพระพุทธเจ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ทั้งหมดนี้ถามซ้ำไม่ได้ ถ้าหากท่านบอกมายังไงก็ต้องเชื่อตามนั้น ไอ้โลกที่จะพูดกันไม่ค่อยรู้ประสา มีโลกเดียวเท่านั้น โลกมนุษย์ ใช่ไหม…”

    กฎของกรรมของพระโมคคัลลาน์

    ผู้ถาม :- “ค่ะ เรื่องกฏของกรรมดิฉันเชื่อ และก็ได้นิทานเรื่องนี้แหละ เอาไปเล่าให้กับคนที่มีปัญหาอย่างนี้ฟัง รู้สึกว่าพอเขาฟังแล้ว ทำให้ใจดีขึ้นมากมาย แต่ตัวเองกลับมากลัวเรื่องกรรมพัวพัน”

    หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไรหรอก มันขึ้นอยู่ที่กฏของกรรม อย่างพระโมคคัลลาน์ ท่านเป็นคนดีจะตาย เกิดจากความเป็นเด็กก็เป็นคนดี จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ แต่พอมาเป็นพระอรหันต์บั้นปลายของชีวิตต้องถูกทุบ นี่ท่านก็ไม่พ้นกฏของกรรม กรรมอะไร…

    เมื่อเกิดชาติที่แล้วนั้นท่านทุบพ่อแม่ แต่ไม่ถึงตาย ตายแล้วท่านไปเสวยผลในอเวจี เมื่อท่านใกล้จะนิพพานเศษกรรมตัวนี้ก็มาสนอง โจรมาล้อม ๒ ครั้ง ท่านหนีไป พอมาล้อมครั้งที่สาม ท่านก็ทราบกฏของกรรมเดิมว่า เมื่อเกิดชาติที่แล้ว เราทุบพ่อแม่แต่ไม่ถึงตาย ฉะนั้นไอ้กรรมตัวนี้มันจะมาสนองก็ยอมรับมัน ดูซิว่าท่านเป็นอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากพระพุทธเจ้าท่านยกย่อง ก็ยังไม่พ้น”

    ผู้ถาม :- “ต่อไปนี้ไม่กล้วแล้วค่ะ เพราะถ้ากลัวแล้วเราคงไม่ยอมช่วยเหลือใครเลย ดิฉันขอกราบเรียนถามหลวงพ่อเท่านี้แหละค่ะ”

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๔๘-๕๘
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    LpJarunTeaching.jpg
    บาปบันดาล บุญบันดาล (พระราชสุทธิญาณมงคล)
    บาปบันดาล

    ให้เกิดเป็นผู้หญิง เพราะผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร
    ให้เกิดเป็นกะเทยบัณเฑาะก์ เพราะผิดศีลข้อกาเมฯ
    ให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะความหลง
    ให้เกิดเป็นเปรต อสูรกาย เพราะความโลภ
    ให้เกิดเป็นสัตว์นรก เพราะความโกรธ
    ให้เกิดเป็นมนุษย์ ง่อย-บ้าใบ้-หูหนวก-ตาบอด-พิการต่างๆ เพราะผิดศีลข้อปาณาติบาต
    ให้โง่เขลา เพราะดูถูกสติปัญญาผู้อื่น
    ให้เกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ เพราะดูถูกพระธรรม
    ให้มีบุตรธิดาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะกรรมที่ทำลายพระศาสนา
    ให้มีโรคมากรักษาไม่หาย กรรมที่ฆ่าสัตว์ที่มีศีล
    ให้ยากจนค้นแค้นแสนเข็ญ เพราะตระหนี่
    ให้ไร้บริวาร เพราะไม่เคยช่วยเหลือสงเคราะห์ใคร
    ให้เกิดในตระกูลต่ำ เพราะอิจฉาดูถูกผู้อื่น
    บุญบันดาล
    ให้มีเพศบริสุทธิ์ คือเป็นบุรุษ เพราะไม่ล่วงศีล
    ให้เกิดในโลกมนุษย์ ในตระกูลสัมมาทิฏฐิ
    บุตร ธิดา คู่ครอง เป็นสัมมาทิฏฐิ
    ได้พบพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย
    มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัย ในพระพุทธศาสนา
    ได้ฟังธรรม ได้ออกบวช ได้บรรลุธรรม
    ได้พบคบบัณฑิต เป็นมิตรสหาย
    มีบริวารที่ซื่อสัตย์ ปราศจากโรค ฐานะร่ำรวย
    ได้เกิดในตระกูลสูง ได้เกิดในปฏิรูปเทศ
    ตายเมื่อสิ้นอายุขัย ไม่ประสบอุปทวเหตุ

    ที่มา : โดย พระเทพสิงห์บุราจารย์
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    560524_555.jpg
    กรรมทีปนี เล่ม ๑ พระพรหมโมลี

    ..ตามเค้าโครงแห่งเรื่องกรรมอันปรากฏมีในพระคัมภีร์ต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา มีพระคัมภีร์มโนรถปูรณี ( อังคุตตรนิกายัฏฐกถา ทุติยภาค หน้า ๑๓๒) เป็นต้น เพื่อชี้แจงให้ท่านสาธุชนผู้มีปัญญาทั้งหลายที่น่ารู้ เช่น ปัญหาที่ว่า กรรมมีอยู่กี่ประเภท และกรรมแต่ละประเภทนั้นมีลักษณาการแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราผู้เป็นพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระบวรพุทธศาสนา ควรจักสนใจและศึกษาให้รู้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ในการศึกษาเรื่องประเภทแห่งกรรมนี้เพื่อความเข้าใจง่าย ๆ เราควรจะได้ศึกษากันถึงกรรมประเภทที่ ๑ เสียก่อน จึงจะเป็นการดี

    กรรมประเภทที่ ๑
    กรรมที่ว่าโดยหน้าที่


    .....ใน กิจจจตุกกะ คือกรรมประเภทที่ว่าโดยหน้าที่นี้ มีอยู่ ๔ หมวดด้วยกัน คือ ชนกรรม ๑ อุปถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม ๑ อุปฆาตกกรรม ๑ ซึ่งมีอรรถาธิบายตามลำดับก่อนหลัง ดังต่อไปนี้


    ชนกกรรมชเนตีติ ชนกํ

    “ กรรมใด ย่อมทำวิบากนามขันธ์ และกัมมชรูปให้เกิดขึ้น กรรมนั้น ชื่อว่า ชนกกรรม”


    .....ชนกกรรม นี้ ย่อมเป็นกรรมที่ทำให้วิบากและกัมมชรูปเกิดขึ้น ทั้งในปฏิสนธิกาลและประวัติกาล หมายความว่า ครั้นสัตว์ทั้งหลายตายลงแล้ว เมื่อจะไปเกิดในภูมิต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในสงสารวัฏนี้ เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานในติรัจฉานภูมิก็ดี ไปเกิดเป็นเทวดาในเทวภูมิก็ดี หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์ภูมิก็ดี เหล่านี้ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งชนกกรรม ซึ่งทำหน้าที่ให้วิบากและกัมมชรูปเกิดขึ้นในปฏิสนธิกาลทั้งสิ้น และเมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องมีอวัยวะน้อยใหญ่เกิดขึ้นตามสมควรแก่สัตว์นั้น ๆ พร้อมทั้งมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัส และการรักษาภพ ( ภวังค์) เกิดขึ้นตามสมควร เหล่านี้ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งชนกกรรม ซึ่งทำหน้าที่ให้วิบากและกัมมชรูปเกิดขึ้นในประวัติกาล.....ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ความหมายแห่งชนกกรรม ตามที่กล่าวมานี้เป็นอย่างไรบ้างเล่า รู้สึกว่าจะเข้าใจยากไปหรือเปล่า ถ้ารู้สึกว่าจะเข้าใจยากไปสักหน่อยก็ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งท้อใจ ขอให้จำไว้ง่าย ๆ แต่เพียงว่าชนกกรรมนี้ ทำหน้าที่ยังปฏิสนธิให้บังเกิดขึ้น คือเป็นพนักงานตกแต่งปฏิสนธิให้เกิดขึ้นเท่านั้น มิได้ทำหน้าที่อย่างอื่น


    .....ถ้าจะเปรียบชนกกรรมนี้ ย่อมเปรียบเสมือนมารดาเป็นที่เกิดแห่งบุตร ธรรมดาว่ามารดาย่อมมีหน้าที่ยังบุตรให้เกิดขึ้น คือเป็นผู้ให้กำเนิดแก่บุตร โดยเฉพาะอย่างเดียวเท่านั้น ครั้นบุตรเกิดขึ้นมาแล้วย่อมเป็นหน้าที่ของนางนมเอาไปเลี้ยง นางนมก็ใส่ใจบำรุงรักษา พูดง่าย ๆ ว่ากิจที่จะต้องเลี้ยงดูและคอยพิทักษ์รักษาในเมี่อทารกคลอดออกมาแล้วนั้น เป็นพนักงานของนางนม มิใช่เป็นพนักงานของมารดา อุปมานี้ฉันใด ชนกกรรมซึ่งเปรียบเสมือนมารดา ก็มีหน้าที่เป็นพนักงานเพียงนำปฏิสนธิ คือยังสัตว์ทั้งหลายให้เกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ทำหน้าที่อย่างอื่น พอทำหน้าที่ยังสัตว์ให้เกิดแล้ว ก็หมดหน้าที่ของชนกกรรม เหมือนมารดาพอยังทารกให้เกิดแล้วก็หมดหน้าที่ของตน ส่วนการที่จะคอยอุปถัมภ์ค้ำชูหรือคอยเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดมาแล้วนั้น เป็นพนักงานของกรรมอื่น เหมือนการเลี้ยงดูและคอยพิทักษ์รักษาในเมื่อทารกนั้นเกิดมาแล้ว เป็นหน้าที่ของนางนมซึ่งเป็นคนอื่น หาใช่เป็นหน้าที่ของมารดาที่ยังทารกให้เกิดไม่ ฉะนั้น


    .....จึงเป็นอันว่า บัดนี้เราทั้งหลายก็ได้ทราบกันแล้วว่า การที่สัตว์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นมาในวัฏภูมิ ไม่ว่าจะเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นอะไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ แล้ว เอะอะก็เกิดขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรทั้งสิ้น หรือว่านึกจะเกิดเป็นอะไรก็วิ่งพรวดไปเกิดเอาตามใจชอบอย่างนั้นเอง โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริงการที่สัตว์ทั้งหลายจักเกิดเป็นอะไรนั้นย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งชนกกรรมชักนำ ชนกกรรมนี้แลเป็นพนักงานตกแต่งชักนำให้เกิด ชนกกรรมนี้แลเป็นใหญ่ในการนำปฏิสนธิ และในขณะที่เขาทำหน้าที่นำปฏิสนธิคือยังสัตว์ให้เกิดนั้น เขาเป็นใหญ่จริง ๆ กรรมอื่นจะมาแทรกแซงแย่งทำหน้าที่ของเขาไม่ได้เลยเป็นอันขาด เขาทำหน้าที่ตามลำพังตนในขณะนั้นเท่านั้น เปรียบเสมือนมารดากำลังคลอดทารกซึ่งเป็นบุตรของตน ย่อมทำหน้าที่คลอดแต่เพียงคนเดียว คนอื่นจะมาแย่งหน้าที่เป็นผู้คลอดร่วมด้วยในขณะนั้นจะได้ที่ไหนเล่า ชนกกรรมก็เหมือนกัน ย่อมเป็นใหญ่ในขณะนำปฏิสนธิคือยังสัตว์ทั้งหลายให้เกิดเป็นตัวบันดาลให้สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้น

    .....ชนกกรรมนี้มีอยู่ ๒ ฝ่าย คือ ชนกกรรมฝ่ายที่เป็นอกุศล ๑ ชนกกรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ๑ ชนกกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล เมื่อทำหน้าที่นำปฏิสนธิยังสัตว์ให้เกิดนั้น ย่อมผลักดันสัตว์ให้ไปเกิดในทุคติภูมิอันเป็นภูมิชั่วช้า ซึ่งได้แก่อบายภูมิทั้ง ๔ คือ นิรยภูมิ ๑ เปตติวิสัยภูมิ ๑ อสุรกายภูมิ ๑ ติรัจฉานภูมิ ๑ ชักนำสัตว์ทั้งหลายให้ไปเกิดในอบายภูมิเหล่านี้ภูมิใดภูมิหนึ่ง ตามสมควรแก่กรรมที่สัตว์เหล่านั้นได้กระทำไว้ ในกรณีที่ชนกกรรมฝ่ายอกุศล ทำหน้าที่ชักนำสัตว์ทั้งหลายให้ไปเกิดในอบายภูมินั้น พึงเห็นตัวอย่างตามเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้

    พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
    :- http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=204
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    นิยตมิจฉาทิฐิกบุคคล
    ในกรณีนี้ หากจะมีปัญหาว่า เพราะอะไร ท่านศาสดาจารย์ทั้ง ๓ พร้อมกับเหล่าสาวกของตน จึงกลายเป็นนิยตมิจฉาทิฐิกบุคคล แล้วถูกมิจฉาทิฐิอกุศลกรรมชักนำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเช่นนั้นเล่า วิสัชนาว่า กรรม เพราะท่านศาสดาจารย์ทั้ง ๓นั้นเป็นพาลชนคนโง่เขลา ไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ไม่รู้เรื่องของกรรม จึงเป็นเหตุให้เขาพากันคิดดูหมิ่นกรรม เพราะความเข้าใจผิดในเรื่องกรรมจึงทำให้เกิดความเห็นผิด เมื่อความเห็นผิดมีมาก ๆ เข้าจนกลายเป็นนิยตมิจฉาทิฐิแล้ว ก็มีใจแกล้วกล้าโอหังปฏิเสธเรื่องกรรมและผลแห่งกรรมเสียโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น จึงถูกกรรมที่ตนคิดดูหมิ่นว่าไม่มีนั่นแล ฉุดกระชากลากพาให้ไปได้รับทุกข์โทษอยู่ในโลกกันตนรก ฝ่ายสาวกทั้งหลายผู้มีความเข้าใจผิดในเรื่องกรรม เพราะความโง่เขลาไม่รู้เรื่องของกรรม คิดดูหมิ่นดูเบาในกรรมตามคำสอนของอาจารย์ จนกลายเป็นนิยตมิจฉาทิฐิกบุคคล ก็ย่อมไม่พ้นที่จะถูกรรมชักนำให้ไปเกิดในมหานรกโลกันต์ เช่นเดียวกับศาสดาจารย์ของตนอีกเหมือนกัน

    ตามที่พรรณนาเป็นอารัมภกถามาอย่างยืดยาวนี้ ต้องการที่จะชี้ให้ท่านผู้มีปัญญาได้ทราบว่า เรื่องกรรมนี้เป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เป็นเรื่องครอบโลกครอบจักรวาล ปัญหาเรื่องกรรม เป็นปัญหาที่ไม่มีใครสามารถขบคิดให้รู้แจ้งแทงตลอดได้ หากว่าจะใช้แต่เพียงปัญญาของปุถุชนคนธรรมดา พึงทราบไว้โดยตระหนักว่า ในโลกนี้ ผู้ที่สามารถจักทราบเรื่องกรรมได้อย่างถูกต้องและแจ่มแจ้งที่สุด ก็มีอยู่แต่เพียงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ผู้ทรงพระคุณอันประเสริ ฐ ทรงเป็นพระสัมพัญญูตรัสรู้ทุกสิ่งทุกประการในไตรโลก พระองค์ย่อมทรงมีพระญาณวิเศษหยั่งรู้เรื่องกรรมนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง แล้วจึงทรงนำเอามาแสดงแก่ชาวโลกได้ ฉะนั้น ความรู้แจ้งเห็นจริงในปัญหาเรื่องกรรมนี้ จึงเป็นวิสัยแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้าโดยเฉพาะ หาใช่เป็นวิสัยปุถุชนคนธรรมดาไม่

    หากว่าปุถุชนคนสามัญผู้ใด มีใจบังอาจดูหมิ่นกรรม เกิดความดูเบาในเรื่องของกรรม โดยคิดเห็นว่าเรื่องกรรมเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีความสำคัญอย่างใด แล้วก็ใช้ปัญญาพิพากษาเรื่องกรรมไปตามอำนาจแห่งความคิดเห็นของตน เขาผู้นั้น ย่อมไม่มีโอกาสเลยที่จักสามารถรู้เห็นเรื่องกรรมอย่างแจ้งชัดได้ นอกจากจะไม่สามารถทราบชัดในเรื่องของกรรมแล้ว อาจจะเกิดความเข้าใจผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฐิกบุคคล ซึ่งเป็นเหตุนำตนไปสู่อบายภูมิก็ได้ ดูแต่ท่านศาสดาจารย์ทั้ง ๓ พร้อมกับสาวกนั่นเถิดเป็นไร การที่พวกเขาต้องพากันไปสู่อบายตกนรกก็เพราะเขาเป็นคนโชคร้ายเกิดมาเป็นคนภายนอกพระพุทธศาสนา และยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ไม่สามารถที่จะรู้ชัดในเรื่องกรรมได้ จึงวินิจฉัยเรื่องกรรมไปตามความคิดเห็นอันโง่ ๆ แห่งตน จนกลายเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องกรรมและผลของกรรมไปในที่สุด

    ในกรณีนี้ อย่าว่าแต่ศาสดาจารย์ทั้ง ๓ พร้อมกับสาวกของเขา ซึ่งเป็นคนภายนอกพระพุทธศาสนาเป็นเดียรถีย์ จะมีความเข้าใจผิดในเรื่องของกรรมอันเป็นเรื่องใหญ่ดังกล่าวมาแล้วนั้นเลย แม้แต่พุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนา ปฏิญญาตนเป็นสาวกแห่งองค์สมเด็จพระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริงโดยวิเศษในเรื่องกรรมนี่แล บางคนก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ตามที่กล่าวมานี้พึงเห็นตัวอย่าง เช่น คราวใดที่เกิดมีปัญหาเรื่องกรรมขึ้นมาแล้ว คราวนั้นย่อมจะเกิดความรู้สึกว่าเรื่องกรรมที่ท่านกล่าวเอาไว้ในพระพุทธศาสนานี้ มันช่างเป็นเรื่องเวรกรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งยุ่งยากสลับซับซ้อน ยากแก่การที่จะทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นได้ แม้จักพยายามขบคิดอยู่เป็นหนักหนาอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นอย่างแจ่มแจ้งได้ ครั้นนำเอาเรื่องกรรมที่ตนสงสัยนี้ไปไต่ถามผู้รู้ ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งเป็นเวรกรรมหนักเข้าไปอีก เพราะเห็นท่านผู้รู้บางท่านอธิบายฟุ้งซ่านออกคารมโวหารไปต่าง ๆ นานา ในที่สุดก็ได้ปัญญาเท่าเดิม คือไม่ได้ความรู้ความเข้าใจอะไรในเรื่องกรรมเพิ่มเติมขึ้นมาเลย นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจในเรื่องกรรมอย่างธรรมดา แต่ที่น่าสังเวชใจหนักยิ่งขึ้นไปก็คือว่า บางคนนอกจากจะไม่เข้าใจเรื่องกรรมแล้ว ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องกรรมที่ทางพระพุทธศาสนาสอนไว้ไปต่าง ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น

    “กรรมดีกรรมชั่ว มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เห็นปู่ย่าตายายท่านว่า ก็เลยว่าตามไปอย่างนั้นเอง” พุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในเรื่องกรรมพูดขึ้นมาดังนี้***


    “ กรรมดีกรรมชั่วไม่มีหรอกเว้ย ! ดูแต่ตัวข้านี้เถิดเป็นไร อุตส่าห์ประกอบกรรมดีมาเกือบเป็นเกือบตาย ก็ไม่เห็นจะได้ดีอะไรขึ้นมาเลย สู้คนทำกรรมชั่วไม่ได้ คนทำชั่วได้ดีมีอยู่มากมาย ทำไมทางพระพุทธศาสนาจึงสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ไม่รู้” อีกคนหนึ่งซึ่งประสบกับความคับแค้นในชีวิตเพราะไม่ได้ดี พูดขึ้นมาอย่างน้อยใจว่าดังนี้

    พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มิจฉาทิฐิกบุคคล
    13_501.jpg



    .....ในกรณีจึงเป็นที่น่าเศร้าสลดและน่าสังเวชใจ ในหลักคำสอนแห่งท่านศาสดาจารย์ทั้ง ๓ เป็นยิ่งนัก เพราะว่าหลักคำสอนเหล่านั้น เมื่อว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เป็นคำสอนที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ซึ่งออกมาจากดวงใจอันประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า บรรดาท่านศาสดาจารย์ผู้เป็นพระอรหันต์เถื่อนทั้ง ๓ คนนั้น ท่านปูรณกัสสปศาสดาจารย์ ซึ่งประกาศลัทธิแห่งตนออกมาโดยนัยเป็นต้นว่า

    “ เมื่อกระทำบาปเอง ผู้ทำจะได้ชื่อว่ากระทำบาปก็หาไม่
    เมื่อใช้ให้ผู้อื่นกระทำบาป ผู้ใช้จะได้ชื่อว่ากระทำบาปก็หาไม่”


    .....ลัทธิชนิดนี้เป็น อกิริยวาที คือ ปฏิเสธกรรม ไม่ว่าจะกระทำอะไรทั้งสิ้นก็ไม่เป็นกรรมทั้งนั้น ซึ่งนับว่าเป็นคำสอนที่ผิดจากความเป็นจริงอย่างมหันต์ประการหนึ่ง ท่านอชิตเกสกัมพลศาสดาจารย์ ผู้ซึ่งประกอบลัทธิแห่งตนออกมาโดยนัยเป็นต้นว่า

    “ ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล
    สัตว์ตายแล้วก็ขาดสูญ


    ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า”

    .....ลัทธิชนิดนี้เป็น นัตถิกวาที คือ ปฏิเสธผลวิบากแห่งกรรม เพราะปฏิเสธผลแห่งการกระทำทั้งสิ้นว่าไม่มี จะกระทำความดีความชั่วอ่างใด ก็ไม่มีผลทั้งนั้น ซึ่งนับว่าเป็นคำสอนที่ผิดพลาดอย่างมหันต์อีกประการหนึ่ง

    ท่านมักขลิโคศาลศาสดาจารย์ ซึ่งประกาศลัทธิแห่งตนออกมาโดยนัย เป็นต้นว่า

    .....“ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ เมื่อจะเศร้าหมองก็ย่อมเศร้าหมองเอง เมื่อจะบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์เอง”

    .....ลัทธิชนิดนี้เป็น อเหตุกวาที คือ ปฏิเสธกรรมและผลวิบากแห่งกรรม หมายความว่าการที่สัตว์บุคคลทั้งหลายจะเป็นอย่างไร จะดีหรือชั่วอย่างไรนั้น ก็เป็นขึ้นมาเอง ไม่ใช่เพราะกรรมคือการกระทำหรือเพราะผลวิบากแห่งกรรมแต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลย คำสอนเช่นนี้ เป็นคำสอนที่ผิดจากความเป็นจริงอย่างมหันต์ประการหนึ่ง

    .....จึงเป็นอันว่า ท่านศาสดาจารย์ทั้ง ๓ ได้พากันบัญญัติลัทธิที่ปฏิเสธกรรมและผลแห่งกรรมโดยประการทั้งปวง ซึ่งเป็นลัทธิที่มีหลักการผิดจากความเป็นจริงอย่างร้ายกาจ ด้วยอำนาจแห่งมิจฉาทิฐิความเห็นผิดของตน เขาทั้งหลายจึงกลายเป็นมิจฉาทิฐิบุคคล เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวดับขันธ์สูญสิ้นชนม์แล้ว มิจฉาทิฐิอกุศลกรรมจึงชักนำท่านศาสดาจารย์ ทั้ง ๓ นั้นไปสู่นิรยภูมิให้บังเกิดเป็นสัตว์นรก ได้รับทุกขโทษอย่างแสนสาหัสในโลกันตนรก จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังหาพ้นจากนรกไม่

    .....ฝ่ายสาวกของศาสดาจารย์เจ้าลัทธิทั้ง ๓ ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่เป็นจำนวนมากนั้น บางพวกก็มีความเลื่อมใสในลัทธิคำสอนเป็นอย่างมาก บางพวกก็มีความเลื่อมใสแต่พอประมาณ บางพวกก็มีความเลื่อมใสน้อย คือมิค่อยจะเชื่อถือเท่าใด ในบรรดาสาวกเหล่านี้ สาวกพวกที่มีความเชื่อถือเลื่อมใส ในลัทธิอันโง่เขลานั้นอย่างฝังจิตฝังใจ พวกเขาถึงกับจดเอาเนื้อ ความคำสอนไปยังบ้านเรือนของตน แล้วก็อุตส่าห์นั่งท่องนั่งสวด ทุกคืนทุกวันจนเจนใจ เมื่อพิจารณาไปด้วยปัญญาอันเฉาโฉด ก็ยิ่งเห็นจริงไปตามคำสอนนั้นหนักยิ่งขึ้น ครั้นพวกเขาพากันคร่ำเคร่งภาวนาอยู่อย่างขึ้นใจโดยนัยเป็นต้นว่า

    .....“เมื่อบุคคลทำบาปเอง ผู้ทำจะได้ชื่อว่าทำบาปก็หาไม่ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองและผ่องแผ้วแห่งสัตว์ทั้งหลาย ผลทานไม่มี ผลการบูชาไม่มี สัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญหมด”

    .....ภาวนาอยู่อย่างนี้หนัก ๆ เข้า พวกเขาก็ย่อมเกิดมิจฉาสติ คือการตั้งสติไว้ผิด ๆ จิตยึดหน่วงเอาความคิดเห็นผิดนั้นเป็นอารมณ์แน่วแน่ ในที่สุดผู้โง่เขลาทั้งหลายเหล่านั้น ก็พลันเข้าถึงภาวะเป็นนิตยมิจฉาทิฐิกบุคคล คือบุคคลผู้มีความเห็นผิดอันดิ่งลงไป

    .....เมื่อพวกเขากลายเป็นนิตยมิจฉาทิฐิกบุคคลไปอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าจักต้องประสบกับความวิบัติอย่างใหญ่หลวง นั่นคือ เมื่อสิ้นชีวิตตายจากมนุษยโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเป็นผู้แคล้วคลาดจากสุคติภูมิ ไม่อาจจะไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สรวงสวรรค์ หรือว่าไม่อาจจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ณ มนุษยโลกเรานี้ในชาติต่อไปได้เลย สถานที่ซึ่งเขาจักต้องไปเกิดก็คืออบายภูมิ ๔ มีนิรยภูมิ เป็นต้น ต้องทนทุกข์ เวียนเกิดเวียนตายได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสในจตุราบายภูมิ ไม่มีกำหนดเวลาที่จะพ้นทุกข์ได้ ไม่มีโอกาสที่จะได้บรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นแดนพ้นทุกข์ได้เลยเป็นอันขาด เพราะว่าแม้แต่เพียงสุคติภูมิ นิตยมิจฉาทิฐิกบุคคลก็ยังแคล้วคลาด ไม่อาจจะไปได้แล้ว จะป่วยกล่าวไปใย ถึงการที่เขาจะได้มรรผลนิพพานอันเป็นภูมิสถานที่พ้นทุกข์ทั้งมวลได้เล่า ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นผู้ปิดประตูสุคติภูมิและเป็นผู้เปิดประตูอบายภูมิให้กับตนเองด้วยอำนาจแห่งมิจฉาทิฐิอันดิ่งลงไปดังกล่าวมา ฉะนั้น เมื่อถึงคราวดับขันธ์ทำกาลกิริยาจากมนุษยโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาเหล่านิยตมิจฉาทิฐิกบุคคลผู้น่าสงสารเหล่านั้น จึงพากันไปเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ร่วมกันกับท่านศาสดาจารย์อรหันต์เถื่อนทั้ง ๓ ของพวกเขาในขุมนรกโลกันต์นั่นแล

    พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กรรมทีปนี เล่ม ๑ พระพรหมโมลี(ต่อ)
    อเหตุกทิฐิ ๑
    13_301.jpg



    .....มูลนายนั้นก็ใช่ชั่ว เมื่อเห็นเจ้าทาสของตัวมันมาวิ่งหนีไปซึ่งหน้าเช่นนั้น จึงพลันวิ่งแล่นกวดตามไปติด ๆ พอหวิดจะถึงตัวก็เอื้อมมือไปฉวยชายผ้านุ่งได้แล้วฉุดเอาไว้ นายโคศาลทาสผู้มีผิด ซึ่งหมดสติไม่มีความยั้งคิดอะไรอีกแล้วในบัดนี้ ก็แก้ผ้าออกด้วยฉับไว วิ่งแล่นไปแต่ตัวเปล่าโดยหาผ้านุ่งผ้าห่มมิได้


    .....ครั้นวิ่งหนีมูลนายตนไปสู่ประเทศที่ไกลพอประมาณ หมายใจว่ามูลนายตามมามิทันแล้ว ก็หยุดลงนั่งอยู่ภายใต้ร่มไม้ ก็หยุดลงนั่งอยู่ภายใต้ร่มไม้แห่งหนึ่งด้วยความเหนื่อยหอบ ก็ความเป็นทาสปัญญาของนายโคศาลนั้น ย่อมมีปริมาณไม่ผิดกันเลยกับปูรณกัสสป หรือนายเต็มผู้มงคลทาส ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีปัญญาที่จะหาวัตถุเครื่องปกปิดกายมีใบไม้เป็นต้นมาพันกายตน คงปล่อยให้ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่อย่างนั้น ครั้นบังเกิดความละอายเกรงว่าใครจะเห็นตน จึงดั้นด้นเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในป่า ต่อมาไม่ช้าความหิวโหยก็เข้าครอบงำ เมื่อเกิดมีอาการหน้ามืดทำท่าจะเป็นลมเพราะความหิวแสบท้อง ก็ต้องพาสังขารของตนออกมาจากป่า สิ้นความละอายเปลือยกายเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อจะขอทาน

    “ อโห ! พระอรหันต์.. อโห ! พระอรหันต์…”

    .....บุรุษชาวบ้านป่าคนหนึ่ง ซึ่งเห็นเขาเป็นคนแรกอุทานออกมาด้วยความสำคัญผิด แล้วก็รีบบอกล่าวป่าวร้องชาวบ้านทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกัน เหล่าชาวบ้านผู้โฉดเขลาก็เข้าใจว่านายโคศาล นั้นเป็นพระอรหันต์จริง เพราะดูกิริยาท่าทางและสารรูปผิดคนธรรมดาสามัญแม้ผ้าพันกายก็ไม่มี ดูมักน้อยสันโดษนักหนา จึงพากันนำเอาข้าวปลาอาหารแต่ล้วนประณีตมาถวายแก่นายโคศาลเป็นอันมาก เมื่อได้บริโภคอาหารสมอยากหายหิวแล้ว และแลเห็นฝูงชนชาวบ้านพากันกราบกราน ตนด้วยความเลื่อมใสหนักหนา ปากก็พร่ำพรรณนายกย่องว่าเป็นพระอรหันต์อยู่เช่นนั้น นายโคศาลก็เคลิบเคลิ้มสำคัญว่าตนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จึงเกิดอโยนิโสมนสิการถือมั่นเห็นเป็นอเหตุกทิฐิว่า

    .....“ อหา ! ง่ายแท้ ๆ คือว่าการได้บรรลุคุณวิเศษสำเร็จเป็นพระอรหันต์ช่างเป็นการง่ายดายเป็นการบังเอิญโดยแท้ หาเหตุหาปัจจัยอะไรมิได้ ดูแต่อาตมานี้เถิดเป็นไร ความบากบั่น ความเพียรอันเป็นเหตุเป็นปัจจัย อาตมานี้ได้เคยกระทำเสียสักทีเมื่อไร เป็นทาสวิ่งหนีอาญาแห่งมูลนายมาแท้ ๆ แต่เมื่อถึงคราวจะได้เป็นพระอรหันต์ก็เป็นขึ้นมาเอง การที่อาตมาได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในครั้งนี้ มิใช่ว่าอานุภาพแห่งปัจจัยอะไรที่เคยมีมา เมื่อจะว่ากันโดยที่ถูกที่ควรแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็เพราะกิริยาที่อาตมาไม่นุ่งผ้า ฉะนั้น ภาวะที่ไม่นุ่งผ้านี้จึงเป็นบรรพชาเพศที่ประเสริฐก่อให้เกิดความเคารพนับถือมากมาย ต่อจากนี้ไป อาตมาจะอธิษฐานบรรพชาจักไม่นุ่งผ้าห่มผ้าเลยเป็นอันขาด”

    .....นายโคศาลผู้เป็นพระอรหันต์โดยบังเอิญ ดำริจิตคิดฉะนี้แล้ว ก็สำแดงกิริยาขรึม ส่อเจตนาว่าตนเป็นผู้สันโดษมักน้อยนักหนา แม้ว่าจะมีผู้นำเอาผ้านุ่งห่มมาให้ ก็ปฏิเสธเสีย ประพฤติตนเป็นคนไม่นุ่งห่มเลย ถือเพศเป็นอเจลกไม่มีผ้าพันกายอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ภายหลังต่อมาก็ปรากำว่าได้มีคนโฉดเขลาไร้ปัญญาพากันมาเคารพนับถือมากยิ่งขึ้น ๆ เขาจึงตั้งตนเป็นคณาจารย์ ขนานนามตนเองเสียอย่างไพเราะว่า มักขลิโคศาลศาสดาจารย์ โดยถือเอาคำมูลนายเดิมกำชับสั่ง ในขณะที่ตนจะหกล้มทำไหน้ำมันแตกว่า มา ขลิ ผสมเข้ากับชื่อเดิมซึ่งเป็นกิริยาที่ตนคลอดจากครรภ์มารดาในโรงโคว่า โคศาล สำเร็จเป็นนามบัญญัติว่า มักขลิโคศาลศาสดาจารย์ ก็แนวคำสั่งสอนเหล่าสาวกแห่งตนอยู่เนือง ๆ นั้น มีข้อความสำคัญดังต่อไปนี้
    อเหตุกทิฐิ
    ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย
    สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ เมื่อจะเศร้าหมองก็ย่อมเศร้าหมองเอง
    ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
    สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ เมื่อจะบริสุทธ์ก็ย่อมบริสุทธิ์เอง
    ไม่มีการกระทำของตนเอง
    ไม่มีการกระทำของผู้อื่น
    ไม่มีการกระทำของบุรุษ
    ไม่มีกำลังแห่งความเพียร
    ไม่มีเรี่ยวแรงของบุรุษ
    ไม่มีความบากบั่นของบุรุษ

    .....สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูติทั้งปวง ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย แปรไปตามความประจวบเหมาะ แปรไปตามความเป็นเอง ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ในชาติต่าง ๆ

    .....สภาวะมีกำเนิดเป็นอาทิ ที่ชนพาลและบัณฑิตเร่ร่อนท่องเที่ยวไปด้วยความหวังว่า “เราจักอบรมกรรมที่ยังไม่อำนวยผลให้อำนวยผล หรือเราจักสัมผัสถูกต้องกรรมที่อำนวยผลแล้ว จักทำกองทุกข์ให้สิ้นสุดไปด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยตบะหรือด้วยพรหมจรรย์” ดังนี้ ความสมหวังจักไม่มีในสภาวะมีกำเนิดเป็นอาทินั้นแลเป็นอันขาด

    .....สุขทุกข์ที่สัตว์ทั้งหลายสามารถทำให้สิ้นสุดลงได้ เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนาน ย่อมไม่มีในสังสารวัฏนี้เลย
    ไม่มีความเสื่อมความเจริญ
    ไม่มีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลง
    .....คนพาลและบัณฑิตทั้งหลายเร่ร่อนท่องเที่ยวไป จักทำกองทุกข์ให้สิ้นสุดได้เอง เปรียบเหมือนกลุ่มด้ายที่บุคคลขว้างไปย่อมคลี่หมดไปเอง ฉะนั้น

    พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    วิธีทำบุญให้ได้บุญ [สมเด็จพระญาณสังวร] เสียงอ่านโดยโจโฉ

    ชีวิตนี้น้อยนัก
    Published on Nov 26, 2015

    พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" ฉบับนี้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษาเพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์ ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุและผลอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขและความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ผลกรรมของผู้ที่ประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์
    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่มีความผิด ด้วยการลงโทษโดยมิชอบธรรม ผู้นั้นย่อมได้รับความพินาศฉิบหายในปัจจุบัน คือประสบเหตุแห่งทุกข์ ๑๐ อย่าง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งในชาตินี้อย่างแน่นอน เมื่อตายไปแล้ว ก็จะต้องตกนรกหมกไหม้อยู่ในกะทะทองแดงอันแสนร้อนเป็นเวลานานด้วย เหตุแห่งทุกข์ ๑๐ อย่างนั้น คือ :-

    ๑. เวทะนัง ผะรุสัง = จะต้องได้รับทุกขเวทนาอย่างร้ายแรง เช่น โรคปวดหัวอย่างแรง จนเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นต้น
    ๒. ชานิง = จะต้องได้รับความเสื่อมทรัพย์สิน คือ ทรัพย์ที่หามาได้เท่าไรก็เก็บไว้ไม่อยู่
    ๓. สะรีรัสสะ ปะเภทะนัง = สรีระร่างกายจะต้องถูกทำลาย เช่น ถูกตัดมือตัดเท้า ต้องประสบอุบัติเหตุ แขนหัก ขาหัก ซี่โครงหัก สมองแตก คอหัก เป็นต้น
    ๔. คะรุกัง วาปิ อาพาธัง = จะต้องเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างหนัก อย่างทรมาน เช่น เป็นอัมพาต ตาบอด ง่อยเปลี้ย โรคเรื้อน โรคมะเร็ง เป็นต้น
    ๕. จิตตักเขปัง = จะต้องวิกลจริต ฟุ้งซ่าน หลงหน้า ลืมหลัง
    ๖. อุปะสัคคัง = จะต้องพบอุปสรรค จะต้องถูกถอดยศ ลดตำแหน่ง โยกย้าย ถูกตัดอำนาจ ถูกจำกัดอิทธิพล เป็นต้น
    ๗. อัพภักขานัง = จะต้องถูกกล่าวตู่ ถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรง
    ๘. ปะริกขะยังวะ ญาตีนัง = จะต้องเป็นคนอับจน ไร้ญาติขาดมิตร หาใครช่วยเหลือไม่ได้
    ๙. โภคานังวะ ปะภังคุณัง = โภคทรัพย์ที่มีอยู่ก็จะต้องเสื่อมสลาย เช่น ที่ดิน บ้านช่อง เงินทอง ที่มีอยู่ก็จะต้องถูกยึด ถูกริบ เป็นต้น
    ๑๐. อัคคิ ทะหะติ ปาวะโก = จะต้องถูกไฟไหม้บ้านเรือน หรือถูกฟ้าผ่าให้ถึงความพินาศ เป็นต้น

    ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ เป็นทุกข์โทษในปัจจุบัน ส่วนในสัมปรายภพ คือ ชาติหน้านั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "กายัสสะ เภทา ทุปปัญโญ นิระยัง โส อุปปัชชะติ" เมื่อตายไปแล้ว คนมีปัญญาทรามที่ชอบประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์นั้น จะต้องไปตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานาน นี้คือผลแห่งบาปกรรม


    พระพุทธพจน์นี้ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา ชาวพุทธเราควรเคารพคารวะ ควรระลึกถึงอยู่เสมอ เพื่อจะได้เป็นบทเตือนใจให้เกิดหิริ โอตัปปะ และมีสังวรในบาปกรรม
    :- http://www.geocities.ws/gogfox/tosa1.html


     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เพื่อท่านพุทธทาส
    โดย น.พ.สันต์ หัตถีรัตน์
    ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖

    ท่านพุทธทาสภิกขุ อาพาธด้วยโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ หลังจากที่ท่านเคยอาพาธมาหลายครั้งด้วยโรคต่าง ๆ ตามวัยและสังขารตามธรรมชาติ
    ในการอาพาธครั้งนี้ ท่านหมดสติ (ไม่รู้สึกตัว) แพทย์บอกว่า ถ้าเป็นในคนหนุ่มสาวคงตายแล้ว เพราะในคนหนุ่มสาว เนื้อสมองจะแน่นเต็มกระโหลกศีรษะ เลือดออกไม่มากนักก็กดเนื้อสมองได้มาก ทำให้ตายได้อย่างรวดเร็ว แต่ในคนสูงอายุ เนื้อสมองหดเล็กลง (สมองฝ่อ) จึงมีช่องว่างให้เลือดออกมาแทรกอยู่ได้โดยไม่กดเนื้อสมองมากนัก
    อย่างไรก็ตาม ในกรณีของท่านพุทธทาส เลือดที่ออกได้กดเนื้อสมองมากจนทำให้หายใจเองไม่ได้ และระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และต้องใช้ยาช่วยหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด และอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ท่านมรณภาพ
    เมื่อครั้งที่ท่านพุทธทาสอาพาธด้วยภาวะหัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในเดือนตุลาคม ๒๕๓๔ คณะแพทย์ต้องการนิมนต์ท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯ ท่านตอบว่า "สำหรับกรุงเทพฯ ไม่ถูกกับอาตมา โดยรูป โดยกลิ่น โดยเสียง โดยรส โดยโผฏฐัพพะ มันไม่ถูกกับอาตมา" ท่านยืนยันที่จะรักษาตนอยู่ที่วัด และท่านก็หายจากการอาพาธได้อย่างเรียบร้อย เช่นเดียวกับการอาพาธจากหลอดเลือดในสมองแตกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ หลังจากนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุได้ปรารภเกี่ยวกับสังขารของท่านเรื่อยมา แม้ในเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนการอาพาธหนักครั้งนี้ ท่านก็ยังปรารภว่า
    "เราจะตาย แต่เขาไม่ยอมให้ตาย" (น.พ.บัญชา/กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖)
    "เราเบื่อชีวิต เราเบื่อที่จะฉันอาหาร เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง รักนิพพานมากขึ้นเรื่อย ๆ " (น.พ.ดวงศักดิ์/พฤษภาคม ๒๕๓๖)
    "น่ากลัวอาการเดิมจะมา อาการเดิมที่เป็นคราวก่อน... พรเทพเอาย่ามของเราไปเก็บ แล้วก็เอากุญแจในกระเป๋านี่ไปด้วย เราไม่อยากตายคากุญแจตู้เอกสาร...." (ท่านพรเทพ/เช้าวันที่ ๒๕ พฤภาคม ๒๕๓๖)
    การยืดการตายในผู้ป่วยที่สูงอายุและป่วยหนักหลายครั้งแล้ว และยังได้แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "จะขอตายตามธรรมชาติ อย่าใช้เครื่องช่วยหายใจ อย่าใส่ท่อใส่สายยาง เจาะนั่นเจาะนี่และขอตายที่วัด" นั้น เป็นการถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือ?
    ถ้าท่านพุทธทาสเป็นเพียงพระเงื่อม หรือหลวงตาแก่ ๆ ที่ไม่มีชื่อเสียง ท่านคงจะได้จากไปด้วยความสุขสงบตามควรแก่อัตตภาพมาหลายวันแล้ว แต่ทำไมคนที่ทำดีปฏิบัติดี กลับต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในวาระสุดท้ายเช่นนี้เล่า ?
    ท่านพุทธทาสได้วิริยะอุตสาหะปฏิบัติธรรมและเผยแพร่ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ไม่แปรเปื้อนด้วยพิธีกรรมและเดียรัจฉานวิชาที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ท่านจึงเป็นที่ชื่นชม บูชา และเลื่องลือไปทุกสารทิศ รวมทั้งนานาอารยประเทศ
    แต่กรรมดีที่ท่านได้พากเพียรปฏิบัติและสั่งสมมาตลอดชีวิต กลับตามสนองให้วาระสุดท้ายของท่านตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน ในสภาพ "จะตายก็ตายไม่ได้ จะเป็นก็เป็นไม่ได้" ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ใน ไอซียู หรือ อาร์ซียู ของโรงพยาบาลอย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวเหลือเกินในวาระสุดท้าย เพราะคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดไม่สามารถเข้าไปอยู่เคียงกายคอยปรนนิบัติท่านได้
    เราที่เป็นพุทธศาสนิกชน ควรตอบแทนคุณงามความดีของท่าน ด้วยการกระทำที่ขัดกับเจตนารมณ์ของท่านอย่างนั้นหรือ ?
    การอ้างว่า การรักษาพยาบาลเหล่านั้นเป็นการช่วยชีวิต และจะทำให้ท่านพุทธทาสหายเป็นปกติได้ เป็นการสร้างความหวังที่มิอาจเป็นจริงได้ เพราะการกระทำเหล่านั้นมิได้เป็นการช่วยชีวิต มันเพียงแต่ช่วยเพิ่มตัวเลขอายุ (เป็นวันหรือเป็นเดือน) ตัวเลขชีพจร ตัวเลขความดันและอื่น ๆ โดยผู้ที่ถูกยืดการตายนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส บางคนอาจจะแย้งว่า ผู้ป่วยหมดสติแล้วไม่ทรมานหรอก หรือถ้ามีสติ แพทย์ก็ให้ยานอนหลับและยาแก้ปวดให้ไม่ต้องทรมานได้
    คนที่ชอบแย้งเช่นนั้น น่าจะลองให้แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ ใส่ท่อให้อาหารทางจมูก ใส่ท่อสวนปัสสาวะ และมัดมือมัดเท้ากันดิ้นจนไม่สามารถช่วยตนเองได้เลย แล้วจะได้รู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น
    การทรมานตนเอง ย่อมเป็นบาป
    การทรมานผู้อื่น ยิ่งเป็นปาปหนัก

    แต่เราก็ยังยอมให้คนที่เรารักและบูชาต้องถูกทรมานโดยความประสงค์ของเรา หรือโดยการกระทำของเรา เรายอมให้คนที่เรารักและบูชา ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงเพื่อเราจะได้รู้สึกว่าท่านยังอยู่กับเรา
    ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด เราไม่สนใจ ขอเพียงแต่ให้ท่านอยู่กับเราต่อไป แม้จะอยู่ในสภาพ
    "จะตายก็ตายไม่ได้ จะเป็นก็เป็นไม่ได้" ก็ตาม นับว่าความต้องการเช่นนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเราเองโดยแท้ โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ที่เรารักและบูชาแต่อย่างใด
    จึงนับว่าเป็นความเห็นแก่ตัว
    หากความเห็นแก่ตัวเช่นนี้ยังคงดำรงอยู่ ท่านพุทธทาสที่เรารักและบูชาจะต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
    เจตนารมณ์ที่จะปลงสังขารตามธรรมชาติในวัดที่ท่านสร้างและได้พำนักมาตลอด ได้ถูกทำลายลงโดยไม่ได้สำเหนียกถึงพุทธธรรมและธรรมชาติที่ท่านพุทธทาสได้พร่ำสอนอบรมให้
    ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการยืดการตายท่านพุทธทาสจึงไม่ใช่ท่านพุทธทาส แต่กลับเป็นบุคคลต่าง ๆ เช่น
    ๑.) ผู้ที่ต้องการทำตามความปราถนาของตนมากกว่าความปราถนาของท่านพุทธทาส เพราะต้องการลดความห่วงหาอาลัยของตนลงเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึง ท่านพุทธทาส ของ ท่านพุทธทาส
    ๒.) แพทย์พยาบาลที่ได้มีโอกาสทดลองวิธียืดการตายแบบต่าง ๆ
    ๓.) ผู้เข้าใจผิดเป็นเหตุให้ท่านพุทธทาส ได้รับความทุกข์ทรมานในวาระสุดท้าย ทำให้จิตใจของ ท่านพุทธทาส ไม่สามารถนิ่งสู่ความสงบและบรรลุนิพพานได้ เนื่องจากความทุกข์ทรมานทางกายและความวุ่นวายของแพทย์พยาบาลต่าง ๆ เป็นต้น
    สังคมไทยบางส่วนได้เปลี่ยนไปเป็นสังคมที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้แล้วหรือ ?
    :- http://www.geocities.ws/gogfox/sunt.html
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2018
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    วิธีคลายทุกข์จากความรัก ธรรมะความรัก ธรรมะสอนใจความรัก เป็นทุกข์เพราะความรัก การหยุดยั้งความเจ็บปวดแบบรวดเร็วที่สุด วิธีคลายทุกข์จากความรัก คือการให้อภัย เมื่อกรรมมาถึงแล้ว ควรน้อมรับ และเร่งสร้างบุญโดยด่วน !!! วิธีคลายทุกข์จากความรัก ด้วยธรรมะ ที่อยากให้คนที่กำลังทุกข์ได้ฟัง.... ที่สุดของความรักคือ รักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข รักเกิดจากรัก รักเกิดจากเกลียด เกลียดเกิดจากเกลียด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2019
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เรื่องราวประทับใจนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจริง... .

    เรื่องราวประทับใจนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจริง... . ถูกนำมาลงตีพิมพ์ในหนังสือธรรมะ (มหายาน) ของไต้หวัน ค.ศ. 1988 ฉบับเดือนกันยายนค่ะ

    ฉันได้อ่านจากเพื่อนที่ส่งมาให้ แล้วรู้สึกว่าน่าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง บางทีอาจเป็นคำตอบที่เรามักนึกสงสัยว่า

    - ทำไม โอกาสหลายอย่างจึงหลุดมือเราไป
    - ทำไม ทำอะไรก็ติดขัด มีอุปสรรคให้เหนื่อยยากตลอดเวลา
    - ทำไม ขยันทำงานแทบตาย ชีวิตก็ยังแย่เหมือนเดิม

    ลองอ่านเรื่องนี้กันค่ะ...

    พี่ชายและน้องชาย ตระกูลหวัน ช่วยกันตั้งโรงงานอาหารกระป๋อง (ผักดอง) ผลิตออกมาหลายรสชาติ จำหน่ายทั้งในประเทศและส่งขายนอกประเทศ แถวเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นผักดองอัดกระป๋องยี่ห้อ "เจ" หวังจำหน่ายกับคนจีนโพ้นทะเลในหลายๆประเทศ แต่น่าเสียดาย ที่พยายามเท่าไหร่กลับมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นทุกปี จนผ่านมาถึงปีที่ 8 (ค.ศ. 1988) ก็มาถึงจุดที่แบกภาระต่อไปไม่ไหว เป็นลูกหนี้ของแบงค์ที่ตามมาบี้และเป็นหนี้กับนายทุนหลายๆ คน หนี้วัตถุดิบที่เอามาผลิตอาหารกระป๋องจนทั้งสองเกิดอาการเครียดมาก จึงพากันไป ดูหมอซินแสคนดังท่านหนึ่งของไต้หวัน ที่มีแต่พ่อค้านายพลใหญ่ๆ ชอบไปดูดวงกับท่าน ซินแสคนนี้แหละ ที่เป็นผู้เอาเรื่่องของพี่น้องคู่นี้มาเขียน ในนิตยสารธรรมะฉบับดังกล่าว

    ซินแสท่านเล่าว่า ตอนแรกที่ผูกดวงของพี่น้องคู่นี้ออกมาก็รู้สึกหนักใจมากๆ เพราะตกตำแหน่งที่ "สูญสิ้น" ทั้งคู่ ทั้งถนนชีวิตและปีจร วัยจร ตกที่นั่งกู้ชีพให้ฟื้นขึ้นมาไม่ได้เลย "ตายลูกเดียว" คือ "เจ๊งลูกเดียว" ไม่มีวิธีแก้กรรมแก้เคล็ดใดๆ จึงสั่นหัวแจ้งข่าวร้ายให้ทั้งสองรับทราบ บอกว่า "ไม่รอด" พี่ชาย-น้องชาย คอตกกลับมาถึงบ้านพัก ซึ่งอยู่ติดกับโรงงานและรู้สึกเศร้าเสียใจมากๆ กับชะตาชีวิตที่ตกต่ำสุดๆในตอนนี้ บังเอิญในช่วงวันนั้น บริเวณตอนเหนือของไต้หวันเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมอย่างหนัก ทีวีออกข่าวเห็นแต่ภาพน้ำท่วมหลากและบ้านเรือนเห ลือแต่หลังคา มีคนเกาะต้นไม้และบ้างก็อยู่บนหลังคา กำลังหิวโหย หนาวเหน็บและลำบากลำบนมาก โดยหน่วยกู้ภัยยังไปไม่ถึงบริเวณดังกล่าว

    ทั้งสองพี่น้องผู้กำลังกลุ้มใจสุดๆ เห็นภาพดังกล่าวก็เกิดความเวทนา จึงเกิดไอเดียปรึกษากันว่า "ไหนๆ ก็จะเจ๊งแน่ ตอนนี้เรายังมิได้ประกาศออกไป ชื่อเสียงที่ย่ำแย่เต็มประดา ยังไม่ถึงขั้นเน่าเหม็น อย่ากระนั้นเลย ทั้งสองคนรีบโทรศัพท์ไปหาญาติมิตรและลูกค้าเก่าๆ เท่าที่เรารู้จัก เอ่ยปากขอยืมเงินมาให้มากที่สุด คนไหนเป็นเจ้าของสินค้าอุปโภค บริโภคที่พอจะช่วยภัยคนตกน้ำเราก็ขอเป็นสินค้ามาก่อน และเขียนเช็ค(เด้ง) ไปให้พวกเขาก่อน รีบๆ รวบรวมปัจจัยให้ได้ภายในคืนนี้แหละ เอาเศษเงินว่าจ้างเรือขนสินค้าอุปโภคบริโภค พวกอาหารแห้ง บะหมี่ ข้าวสาร อาหารกระป๋อง เสื้อผ้า ผ้าห่ม ขอเป็นหน่วยฉุกเฉินหน่วยแรก ที่บุกไปบริจาคช่วยชาวบ้านถึงที่เป็นขบวนแรกก่อนเลย เพราะไหนๆก็จะเจ๊งตายอยู่แล้ว เอาเครดิตชื่อเสียงที่พอจะเหลือเอาเงิน เอาข้าวของคนที่มีมาทำบุญสักครั้งเถอะ" ทั้งสองจึงวุ่นวายกันทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทั้งโทรฯ ทั้งขอ และปลุกให้ลูกเมีย ญาติโยม ที่พอจะไหว้วานได้ รายไหนยอมให้กู้ก็ไปรับเงิน รายไหนยอมให้สินค้าก็ส่งรถขนส่งไปขนเอามา เขียนเช็คเด้ง ยื่นหมู ยื่นแมวออกไปก่อน

    แค่รุ่งเช้าทุกอย่างก็พร้อม ได้ของมาเต็มรถบรรทุก 2 คัน ส่งคนไปขอเช่าเรือยนต์รออยู่ที่ตำบล น้ำท่วม ได้เรือมา 4 ลำ ยังไม่ทัน 9 โมงเช้า สินค้าที่ถ่ายลงเรือทั้ง 4 ลำ ตระเวนแล่นเข้าไปในดงน้ำท่วม ของกินของใช้ก็จัดมัดไว้ในถุงพลาสติกใบโตๆ เจอผู้รอดตายก็รับขึ้นเรือ บางรายรับไม่ได้ก็ฝากถุงยังชีพถุงกู้ชีพไปให้ก่อน บอกว่าเดี๋ยวเรือด่วนของราชการคงมาช่วยพาไป ขึ้นบกที่ปลอดภัยในภายหลัง
    การกระทำอย่างฉับไวในครั้งนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะมีผู้สื่อข่าวทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ไปดักรอทำข่าวอยู่แล้ว ความรวดเร็วและกล้าหาญ จริงใจ ในการช่วยคนตกทุกข์แบบขบวนการของเอกชนแบบนี้ ยังไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน ชุดนี้ช่วยในวาระแรกๆ อาหาร เสื้อผ้า ส่งตรงถึงผู้ประสบภัยกันถ้วนหน้า พอเห็นหน่วยราชการ กาชาด องค์กรการกุศลอื่นๆที่ตามมาทีหลัง หน่วยแรกนี้ก็ล่าถอยกลับบ้าน เพราะถือว่าสมใจ นึกแล้ว ทั้งเหนื่อยจัดและหมดแรง แต่ก็ดีใจปลื้มใจสุดๆ
    ทั้งสองครอบครัวกลับถึงบ้านก็สั่งปิดโรงงานเตรียมตัววางเฉย เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานเจ้าหนี้ทั้งหลายคงรุมฟ้องคดีกันยืดยาว แต่เหตุการณ์กลับพลิกล็อกเหนือความคาดหมาย ปรากฏว่าทั้งธนาคารหลายแห่งและเจ้าหนี้ทั้งหลายกลับวางตัวเงียบเฉย ไม่มีใครยื่นฟ้องคดีล้มละลายกับคู่นี้สักรายเดียว เพราะทุกคนทั่วประเทศ ได้เห็นข่าวกล้าหาญ ในการส่งเสบียงกู้ภัยในนามเอกชนแท้ๆ อยู่เพียงรายเดียว
    เจ้าหนี้ทุกคนต่างก็คิดเหมือนกันหมดว่า "พี่น้องคู่นี้ไม่น่า จะยากจนจริงๆ อย่างที่เคยเข้าใจ คงจะแกล้งจนและแกล้งเบี้ยวหนี้" จึงไม่มีใครตกอกตกใจว่าคู่นี้ใกล้เจ๊ง กลับเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะเปิดให้มีการเจรจาปรองดองหนี้กันใหม่ และสิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ ประชาชนตาดำๆ ทีได้เห็นข่าวทีวีและอ่านในหนังสือพิมพ์ ต่างก็คิดว่าอาหารกระป๋องผักดองเจของโรงงานนี้น่าจะลองชิมดู เพราะถ้าค้าขายได้ร่ำรวยเงินทอง เจียดเงินมาช่วยคนประสบภัยแบบนี้ต้องถือว่าไม่ธรรมดา ดังนั้นร้านค้าต่างๆ ห้างต่างๆ รวมทั้งลูกค้าใหญ่ๆ ในต่างประเทศ ต่างก็โทรฯเข้ามาขอสั่งซื้อผักดองกระป๋องของโรงงานแห่งนี้กันโกลาหล เรียก ว่ารับแต่ใบออเดอร์ที่โทรฯ ประดังเข้ามาก็จดกันมือนิ้วชาไปหมด โรงงานของสองพี่น้องจึงฟื้นชีพขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ และขายดิบขายดีตั้งแต่บัดนั้น

    ฉันเชื่อในเรื่อง "บุญ" เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับบุญและบาปที่ติดตัวมา

    "บุญ" เหมือนเป็นทุนที่เราสะสมไว้ใช้ในชาตินี้ หากเราใช้บุญไปทุกๆวันจนใกล้หมด บาปที่เราเคยทำทั้งในอดีตและทำเพิ่มในวันนี้ จะเข้ามาแทนท ี่ ชีวิตเราจึงเกิดเรื่องราววุ่นวายไม่หยุดหย่อน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จติดขัดไปหมดทุกทีไป เพราะมีบาปคอยเข้ามากั้นขวางไว้ ลองทำดูซิคะ ถ้าตื่นไปใส่บาตรไม่ไหว ก็ทำแบบฉันก็ได้ ถวายสังฆทานเดือนละ 1 ครั้ง อุทิศบุญให้กับผู้ที่เราเคยล่วงเกินทั้งกาย วาจาใจ ฉันจะไม่ซื้อสังฆทานแบบเป็นถังเหลือง แต่จะเลือกซื้อของเอง ยิ่งเราพิถีพิถันในการเลือกของถวาย เราก็จะได้สิ่งดีๆที ่สมบูรณ์แบบเช่นกัน

    " ให้อะไร ก็ได้อย่างนั้น "

    คุณว่าจริงมั้ย ตรรกะง่ายๆที่ไม่ต้องไปคิดอะไรลึกซึ้งหรอกค่ะ เพราะเรื่องบุญกรรม ไม่มีใครพิสูจน์ได้เหมือนการคำนวณตัวเลข เราจึงต้องหมั่นเติมบุญเข้าไปอยู่เรื่อยๆ ทำบุญรูปแบบใดก็ได้ ให้ใจสบายและมีความสุข สิ่งดีๆ ก็จะเกิดกับชีวิตเราแล้วละค่ะ
    เริ่มต้นจากใจเราก่อนก็ได้ ไม่อิจฉากัน ไม่หมั่นไส้กัน ไม่ให้ร้ายลับหลัง มองกันในแง่ดี และให้อภัยกัน เท่านี้บุญก็เกิดที่ใจเเล้ว
    .............................. RoseUnderline.gif

    ;- http://onknow.blogspot.com/2011/01/blog-post_8674.html
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    คำสอนของหลวงพ่อจรัญ
    เมื่อเจริญกรรมฐานรำลึกกฎแห่งกรรมได้. ต้องแผ่
    เมตตา. ขออโหสิกรรม


    เมื่อสมัย. ๓๐. ปีก่อนนั้น. พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๔๙๗
    ที่วัดพรหมบุรี. ใครมาเจริญกรรมฐานต้องอยู่ในศาลา
    การเปรียน. มีประสบการณ์จากกรรมฐาน. จากโยม
    ผู้หนึ่ง. ชื่อโยมอ่อน. และโยมที่อยู่บ้านองครักษ์
    แม่สุ่มอาจจะจำได้. เสียชีวิตไปแล้ว. ตอนนั้นอายุตั้ง
    ๗๐. กว่าแล้ว. ปวดหัวไม่พัก. ปวดหัวจะแตก. อาตมา
    บอก. " โยมกำหนดไปตายให้ตาย. เราจะได้รู้กฎแห่ง
    กรรมของเราเอง " ปวดศีรษะจะแตก. จะแยกออกเป็น
    สองส่วนแล้ว. ไปขอยามาทานก็ไม่หาย. เลิกนั่งเมื่อใด
    หายปวดเมื่อนั้น. ถ้าไปนั่งเมื่อใด. ปวดน้ำตาไหล
    พรากๆ. น้ำตาไหลเลย. อย่างนี้เป็นต้น
    โยมผู้นี้กลับปฏิบัติได้. เดี๋ยวแตกโป๊ก. แยกเป็น
    รูปนาม. ขันธ์. ๕. เป็นอารมณ์. นี่ต้องแยกอย่างนี้
    ไม่ใช่ฟังเทศน์ลำดับญาณ. แต่พองยุบยังทำไม่ได้
    อย่างที่เขาปฏิบัติกัน. เลยก็ไม่รู้ว่าญาณอะไรกันแน่
    อย่างนี้. พอระเบิดศีรษะโป้งออกไป. จิตใจก็เข้าสู่
    ภาวะเป็นปัญญา. รำลึกกฎแห่งกรรมได้. ก็มาถวาย
    รายงานสอบอารมณ์. บอกว่า
    " หลวงพ่อครับ. ผมรำลึกได้แล้ว. บัดนี้หายปวดแล้ว" " เมื่อก่อนนานมาแล้ว. ผมเป็น
    ลูกศิษย์วัดเก้าชั่ง. อำเภอพรหมบุรีนี่เอง "
    เด็กวัดสมัยก่อนเรียนหนังสือกับพระ. อยู่กระทั่งโต
    เป็นหนุ่ม. จนกว่าจะบวชในพระศาสนา. ขณะนี้อายุ
    ๗๘. แล้ว. รำลึกกฎแห่งกรรมไม่ได้ว่าไปทำอะไรไว้
    ลืมไปแล้ว. ปวดหัวแตกโป้งออกมา. ปัญญาเกิดนี่คือ
    เวทนา. ปัญญาเกิดต้องรำลึกชาติได้. คือกฎแห่งกรรม
    เมื่อก่อนนี้มีโรงยาฝิ่นอยู่ข้างวัดเตย. เขาเรียกบ้าน
    พลู. บ้านไทร. คนสูบยาฝิ่นกันมากมาย. มีอาแป๊ะแก่
    คนหนึ่งอยู่ไกล้วัด. ขโมยมาลักของมากมาย. จึงจ้าง
    เด็กวัดไปยิง. ใช้ปืนแก๊ป. ใส่ลูกโดดเป็นเงินกลม
    เอาดินปืนใส่. เวลาประมาณ. ๔. ทุ่ม. ขโมยคนที่ไป
    ลักของอาแป๊ะ. กำลังนอนสูบยาฝิ่น. ในโรงยาฝิ่น
    สมัยก่อนนี้. เป็นสังกะสีผุๆ. และแฝก. เด็กวัดก็เอาปืน
    ไปจ่อที่ศีรษะ. สับไกยิงทันที. หัวระเบิดตายคาที่
    จนบัดนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนยิง. ตายฟรีไป
    คนที่ตายเป็นขโมย. ลักเล็กขโมยน้อย. จนคนเอือม
    ระอา. ก็จ้างเด็กวัดเก้าชั่งไปยิง. แล้วนำปืนไปคืนอาแป๊ะ
    ได้ค่ายิง. ๑๒. บาท. เด็กวัดคือโยมอ่อนและพวก
    พอระลึกได้แล้ว. โยมอ่อนก็. "แผ่เมตตา. ขออโหสิ
    กรรม " ตั่งแต่นั้นมาก็หายปวดศีรษะ. นี่ได้จากเวทนา
    ......กรรมซัดทันตาเห็น. จากการเจริญวิปัสสนา
    กรรมฐานแน่นอน. ขอฝากไว้ด้วยนะ. เวลามีเวทนา
    นิดหน่อยเลิก. รับรองไม่รู้. "กฎแห่งกรรม" ที่ตัวทำ
    อะไรไว้

    โยมอ่อนก็แผ่เมตตา. ขออโหสิกรรม. อย่าเวรเอา
    กรรมแก่ข้าพเจ้าเลย. ข้าพเจ้าขอยก. "กุศล" จาก
    กรรมฐานอุทิศให้ท่าน. ดวงวิญญาณจะสิงสถิตอยู่
    คติภพใด. ขอให้รับทราบการอุทิศส่วนกุศลนี้
    ถึงแม้ว่าคนตายสูบยาฝิ่นตายไปแล้ว. มีคนชอบมาก
    มาย. เพราะจะได้ไม่ไปลักขโมยอีก. และอนุโมทนา
    ที่ไปฆ่าเขาตาย. แต่ก็ต้องเป็นบาปเพราะฆ่าเขา
    จะฆ่าแมว. ฆ่าสุนัข. ฆ่าเป็ด. ฆ่าไก่ขาย ก็เป็นบาป
    เพราะปิดชีวิตเขาตาย. เอาชีวิตเขาเป็นเดิมพันในการค้า
    ขาย. มันต้องบาปทั้งนั้น. ไม่มีอะไรที่จะกางกั้นไม่ให้
    บาป. ฆ่ายุง. ฆ่าเลือด. ฆ่ามด. ฆ่าหนู. ก็ต้องบาป
    ไม่มีอะไรที่ว่าไม่บาปนะ. ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย
    มีข้าราชการทหารนายหนึ่ง. เคยเผามด. มาเจริญ
    กรรมฐาน. รู้สึกมดมากัดเป็นแถว. ต้องกำหนด. ต้อง
    ใช้กรรมเสียให้ได้. จึงจะสำนึกได้ว่า. เมื่อเป็นเด็กเคย
    เผามดเป็นรังๆ. มดแดงมะม่วง. เอาไฟไปเผาเลย
    ถึงเวลาเข้า. มากัดคนนี้คนเดียว. ก็คือเวทนานั่นเอง
    ก็กำหนด. มดแดงกัดหนอ. มดแดงกัดหนอ. สติดี
    ปัญญาเกิด. เราจะรำลึกได้ว่า. ไปเผามดแดงมาก่อน
    อย่างนี้เป็นบาปเหลือเกินเราจะทราบได้จากกรรมฐาน...

    ......ตั้งแต่นั้นมา. โยมอ่อนก็ทำบุญ. ถวายสังฆทาน
    เพิ่มขึ้น. แล้วนั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐาน. อุทิศส่วน
    กุศล. ให้แก่คนที่ตายไป. ทำเขาไว้. เวรกรรมก็
    " อโหสิ " ได้เหมือนกันนะ. เขาได้รับส่วนบุญเข้า
    เขาอโหสิกรรมให้พรเราทั้งๆที่เขาตาย. อันนี้เป็นบท
    อันสำคัญ. มีความสำคัญมาก. ต้องกำหนดใช้สติหน่อย
    เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน. เวทนาจับจุด
    กฎแห่งกรรมได้อย่างนี้
    บางคนไม่รู้กรรมเลย. สร้างแต่กรรมทำเข็ญตลอด
    รายการ. นั่นแหละเพิ่มกรรม. เพิ่มบาปไว้ในใจ

    ตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวทำบาปหยาบช้า. ตัวยุยง
    ตัวเสียดสีก็หาได้รู้ดีไม่. ต้องได้จากกรรมฐาน. เห็น
    เวทนาหนัก. กำหนดเข้า. ปัญญาจะเกิดจะได้รู้ว่า. เรา
    ไปเสียดสี. เราไปอิจฉาเขา. อย่าทำเลย. มันจะแจ้ง
    ในใจของเราจากเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานข้อนี้

    ขอฝากนักกรรมฐานไว้ด้วย. อย่าคิดว่าเวรกรรม
    ไม่มีนะ. บุญทำ. กรรมแต่งสนองเวรกรรมตลอดราย
    การ. สะสางหน่วยกิตเข้าไว้. ม้วนเทปเข้ามาด้วยกรรม
    บาปกรรมจะต้องเปิดออกในเทปนั้น

    ต้องรับกรรมในปัจจุบันนี้. ไม่ต้องไปเอาชาติหน้า
    ชาตินี้แสนจืดแล้ว. และจะเห็นกันต่อไป. เมื่อเทปกรรม
    นั้นเปิดขึ้นมาต้องรับใข้กรรมแน่นอน. ไม่ว่าใครที่ไหน
    พระสงฆ์องค์เจ้าเหมือนกัน. อาตมายังต้องรับกรรม
    จะลบล้างกันไม่ได้. แต่หนักเป็นเบา. เบาก็หายไป
    อย่างนี้ขอฝากไว้. นี่ได้จากเวทนาเชียวนะ. แต่เรา
    มาทำเล่นๆ. มานั่งหัวเราะกัน. มานั่งคุยกัน. เลยก็
    เจอบาปทุกวัน. ได้บาปเป็นกิจกรรมทุกวัน. เสียเวลา
    ทางบ้านมิใช่น้อย..........

    คติธรรมคำสอนหลวงพ่อจรัญ. ฐิตธัมโม
     

แชร์หน้านี้

Loading...