รู้ตัวว่าเป็นคนมองอะไรในแง่ลบตลอดแก้ไม่หายสักทีมีวิธีฝึกยังไงดีครับ?

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย thiertmd365, 16 มีนาคม 2018.

  1. thiertmd365

    thiertmd365 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    ครอบครัวผมมีนิสัยคล้ายกันหมด พ่อแม่ ญาติพี่น้องมองคนในแง่ลบตลอด
    อาจเป็นเพราะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมามาก โดนคนโกงมาเยอะ เจอแต่คนไม่ดีเข้ามาในชีวิต ufabet
    เลยกลายเป็นมองโลกในแง่ลบตลอด ไม่เชื่อว่าจะมีคนแสนดีในโลกนึ้ ทุกคนล้วนต้องการผลประโยชน์ทั้งนั้น

    คบกับใครก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง จนบางครั้งก็ดูเหมือนมากไป กลัวเขาเอาเปรียบ กลัวเขาโกง
    เหมือนจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ คิดทุกเรื่องติดลบไปหมด

    ผมเองก็โดนสั่งสอนมาแบบนี้แต่เด็ก จนโตมาก็ติดนิสัยกลายเป็นไม่กล้าคบใคร มีเพื่อนน้อยมาก
    เป็นคนเก็บกด มองคนติดลบตลอด คิดแต่เรื่องเขาจะมาเอาเปรียบ แต่ไม่เคยเอาเปรียบใคร
    ถ้าเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มความสามารถถ้าเขาเดือดร้อน หรือมาขอความช่วยเหลือ

    อยากมีเพื่อนเยอะๆ เข้าหาคนเก่งๆ อยากมองคนอื่นในแง่บวกให้มากขึ้น แต่คิดทีไรความคิดความเชื่อเก่าๆมันจะดึงให้จิตตกเสมอ
    มีวิธีฝึกจิตใจอย่างไรบ้างครับ?
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    แง่ + ก็จะเป็น การผสาน ความเข้าใจ เพิ่มเติมได้ในสิ่งที่มีอยู่ เปิดทาง เปิดกว้าง

    แง่ - ก็จะเป็น กีดขวาง หักล้าง แตกแยก ต้อนให้จนมุม อยู่ในมุมอับ

    หากความเชื่อเก่าจะคอยดึงให้จิตตกเสมอ ตามความเข้าใจก็คือ จิตไปจมกับอารมณ์ใดอารมณ์
    หนึ่งซึ่งเป็นจุดอับ ปล่อยทิ้งเอาไว้นานๆก็จะกลายเป็น ซึมเศร้า หดหู่ นั้นเอง

    ซึ่ง ซึมเศร้า หดหู่ ก็เป็นหนึ่งใน นิวรณ์ 5 คือ เครื่องกีดกั้นความดี เป็นเครื่องกั้นสมาธิ
    เมื่อไม่มีสามธิ ก็ย่อมเสมือนคนไม่มีกำลัง

    แต่คิดทีไรความคิดความเชื่อเก่าๆมันจะดึงให้จิตตกเสมอ

    ก็เป็น การระลึกไปถึง สัญญา+อารมณ์ ตรงสัญญานี้ไม่ต้องไปแก้อะไร เพราะไม่เช่นนั้น
    จะกลายเป็นไปดัดแปลงเรื่องราว จนกลายเป็นการปรุงแต่งทับ

    เปรียบเสมือน ทาสีที่กำแพงบ้านเป็นสีแดง การจำภาพกำแพงสีแดงนั้นเป็น สัญญาอารมณ์
    หากกำแพง คือ สัญญา สีแดง คือ อารมณ์ ดัดแปลง/ปรุงแต่ง คือ สังขาร
    เมื่อเราดัดแปลงสีกำแพงจากสีแดง ให้ออกมาเป็น สีฟ้า เพื่อได้สบายใจขึ้นแลดูไม่ร้อนแรง
    แล้วหากเราเชื่อว่ากำแพงสีฟ้านั้นเป็นเรื่องจริง ก็เป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการ หลงสังขาร
    แล้วหากหลงสังขารไปมากนั้นจะเป็นผลเสียอย่างไร หากสีฟ้า เปรียบเป็น แง่ดี
    เมื่อมีการฉาบทาด้วย สีฟ้า ทับเอาไว้เต็มพื้นที่ไปหมด
    บุคคลผู้นั้นก็จะมองเห็นแต่แง่ดีของตัวเอง
    ส่วนแง่เสียๆนั้น จะถูกทาทับไว้หมด จนกลายมาเป็นกระบวนการ

    หลงอารมณ์ที่ปรุงแต่งจากสังขารเพื่อเข้ามาเกทับ
    สัญญา + อารมณ์ ที่มีอยู่แต่เดิมตามความเป็นจริง

    บุคคลผู้มีดีมีชั่วในตัวเองนั้นยังพอคุยกันรู้เรื่องเพราะยังพอมีข้อ ชั่ว ที่ให้แก้ไขปรับปรุงตัวเอง

    แต่บุคคลที่มองตัวเองแบบมีดีแบบเพียวๆไม่มีชั่วปนนี้หละปัญหา
    เพราะว่าเขาจะมองว่าเขาดีแล้วโดยที่ไม่มีอะไรที่จะต้องไปแก้ไขอีก

    การแก้ปัญหาจึงต้องมีความตรงไปตรงมา สัญญา + อารมณ์
    หากมีหลากหลายเรื่องราวที่ชวนจิกตกแต่ยังหาวิธีแก้ทุกข์ที่ตรงนั้นไม่ได้
    ก็สังเกตเอาก็ได้ว่า อารมณ์ที่มีอยู่ตอนนั้น มีสภาพเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่เที่ยง
    หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง การจะทำให้สิ่งที่ไม่เที่ยงต้องกลายมาเป็นสิ่งที่เที่ยงนั้น
    ย่อมไม่รู้จักการผลัดเปลี่ยนของอารมณ์ เป็นแง่ลบ เป็นมุมอับ หากแต่เห็นตามความเป็นจริง
    ว่าอารมณ์ทั้งปวง เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง สามารถผลัดเปลี่ยนไปได้
    ก็เป็นแง่บวก สามารถปรับสภาพให้ไปเข้ากับสิ่งอื่นเพิ่มเติมได้ ไม่ได้เป็นน้ำเต็มแก้วตลอดเวลา

    หากวันจันทร์ เช้ามากินเข้ามันไก่ เที่ยงมาก็กินข้าวมันไก่ เย็นมาก็กินข้าวมันไก่
    วันอังคาร เช้ามากินเข้ามันไก่ เที่ยงมาก็กินข้าวมันไก่ เย็นมาก็กินข้าวมันไก่
    อยู่แบบนี้มันทุกวัน กินมันจนหน้าจะกลายเป็นไก่อยู่ละ เพื่อนซี้นั้นย่อมรู้ชะตากรรม
    หากเขาจะอยู่ร่วมกับวงจรชีวิตนี้ก็คงจะหลีกหนีไปจาก ข้าวมันไก่ ไปไม่ได้
    แรกเริ่มนั้นอาจจะอยู่ไปได้ แต่หากอยู่ร่วมกันไปซัก 3 เดือน
    ได้พบได้เจอแต่ เช้ามากินเข้ามันไก่ เที่ยงมาก็กินข้าวมันไก่ เย็นมาก็กินข้าวมันไก่
    เพื่อนนั้นย่อมมีโอกาสเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายมากเข้า มากเข้า
    เพื่อนนั้นย่อม คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดย่อมหลุดออก
    หลุดออกจากวงจรที่เคยกำหนัดอยู่ในวงจร ข้าวมันไก่
    ความได้ดีมีสุขจากสิ่งที่เคยกำหนัดกลับกลายเป็นสิ่งที่เห็นว่าทุกข์
    ที่ไม่น่าเข้าไปในกระบวนการตามเดิม ตรงนำออกมาจากทุกข์ที่ตรงนั้น เป็นแง่ + เพิ่มเติม
    เป็นการนำออกมาจากความคุ้นเคย หรือ ความเคยชินที่เคยสะสมมา
    เพื่อได้ออกไปพบเจอสิ่งต่างๆสิ่งใหม่ๆได้ ก็เป็นแง่ + เปิดกว้าง

    อาจจะไม่ได้หมายความว่าต้องไปเที่ยว ถึงแม้จะอยู่ในที่ๆสงบ แต่รู้จักผลัดเปลี่ยนอารมณ์เป็น
    ไม่จมปลักไปกับอารมณ์ ซึ่งเป็น แง่ - ก็จะรู้สึกได้ว่าชีวิตนี้มันก็มีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมครับ
     
  3. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    ครอบครัวผมมีนิสัยคล้ายกันหมด พ่อแม่ ญาติพี่น้องมองคนในแง่ลบตลอดอาจเป็นเพราะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมามาก โดนคนโกงมาเยอะ เจอแต่คนไม่ดีเข้ามาในชีวิต เลยกลายเป็นมองโลกในแง่ลบตลอด ไม่เชื่อว่าจะมีคนแสนดีในโลกนึ้ ทุกคนล้วนต้องการผลประโยชน์ทั้งนั้น

    ....ตามธรรมดา ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ต่างก็มีสัญชาตญาณในการระวังภัย คือ กลัวความตาย กลัวคนจะทำร้าย หรือแม้กระทั่งกลัวความมืด ไม่แปลกหรอกที่เราจะมีความรู้สึกเช่นนั้น ในส่วนลึกคิดว่าเป็นความรู้สึกธรรมดา แต่ว่าการเดินทางบนเส้นทางชีวิตอันยาวนาน จนหน้ามีริ้วรอยแห่งการเวลามักจะบอกถึงประสบการณ์ การผ่านชีวิต การผ่านร้อน ผ่านหนาวมานักต่อนัก เพราะฉนั้นไม่ผิดเลย ที่พ่อแม่ หรือญาติพี่น้องของเราจะสอนให้เราเป็นคน ระวังภัย ระวังความฉิบหาย ระวังคนใกล้ตัว เพราะว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้น จึงยังไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครดีที่สุด ใครดีที่สุดสำหรับเรา หรือ ใครกันแน่จริงใจกับเรา นั่นเอง........

    คบกับใครก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง จนบางครั้งก็ดูเหมือนมากไป กลัวเขาเอาเปรียบ กลัวเขาโกง
    เหมือนจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ คิดทุกเรื่องติดลบไปหมด

    ..ขอคัดลอกเอาบทกลอนทางอินเตอร์เนตมาให้อ่านนะครับ...

    มหาสมุทรสุดลึกล้ำเหลือคณนา
    สายดึ่งทิ้งทอดมาหยั่งได้
    ผู้เขาสูงอาจวัดวากำหนด
    จิตมนุษย์ไซร์ยากแท้หยั่งถึง

    ผมเองก็โดนสั่งสอนมาแบบนี้แต่เด็ก จนโตมาก็ติดนิสัยกลายเป็นไม่กล้าคบใคร มีเพื่อนน้อยมาก
    เป็นคนเก็บกด มองคนติดลบตลอด คิดแต่เรื่องเขาจะมาเอาเปรียบ แต่ไม่เคยเอาเปรียบใคร
    ถ้าเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มความสามารถถ้าเขาเดือดร้อน หรือมาขอความช่วยเหลือ


    ...อันนี้เกิดเป็นนิสัยส่วนตัว อันเกิดจากบุพกรรมที่เคยทำมา แต่ถ้าคุณหันหน้าเข้าวัด ปฏิบัติธรรม คุณจะกลายเป็นคนมองโลกสวย แล้วความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งเกินไปที่ทางครอบครัวคุณใส่เข้ามาในหัวในความรู้สึก มันจะเบาบางลง และดีขึ้นตามลำดับ ทำให้ความรู้สึกที่มันเลวร้ายนั้นดีขึ้น และกลับกลายเป็นดีขึ้นมาเอง............

    อยากมีเพื่อนเยอะๆ เข้าหาคนเก่งๆ อยากมองคนอื่นในแง่บวกให้มากขึ้น แต่คิดทีไรความคิดความเชื่อเก่าๆมันจะดึงให้จิตตกเสมอมีวิธีฝึกจิตใจอย่างไรบ้างครับ?

    ...ปฏิบัติธรรม ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แล้วทุกอย่าง จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองครับ......


    ...อนุโมทนาบุญ....
     
  4. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ลองฟังวิธีของผมดูนะครับ ทำตัวสีแดงไว้ดีกว่า เพราะมันเป็นวิธีที่เฉพาะตัวหน่อย ๆ


    วิธีการฝึกใช้ไม่ได้กับผมครับ ผมจึงไม่ได้ฝึก แต่ผมใช้วิธีทำความเข้าใจแทน

    อาจารย์บางคนใช้การปลงว่าความทุกข์ในใจไม่เที่ยงแล้วปล่อยวางความทุกข์นั้นไป
    แต่ผมปล่อยวางแบบนั้นไม่เป็น ผมเลยเลือกการทำความเข้าใจปัญหาของตัวเองเพื่อทำให้ความทุกข์หายไปแทน

    การปฏิบัติธรรม นั้นรวมไปถึงการเข้าใจธรรมดา ด้วยครับ
    ผมแนะนำให้เอาหลักอิทัปปัจยตา ไปพิจารณาร่วมกับการเรียนรู้ธรรมในหัวข้ออื่น ๆ ด้วยคับ

    เพราะมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
    เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป

    ผมใช้หลักนี้พิจารณาธรรมดาควบคู่ไปกับการเรียนรู้ธรรมมะแทบจะตลอด
    จะใช้พิจารณาความทุกข์ จะใช้หาวิธีดับทุกข์ จะใช้พิจารณาแรงผลักดันให้สิ่งหนึ่งเป็นไปอย่างใด หรือ จะ หาว่า จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดหยุดดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้

    ผมก็คนหนึ่งที่มองโลกในแง่ลบนะ

    ปัญหาของผมคือหยุดมองคนในแง่ลบไม่ได้ เพราะ สิ่งที่คนเรากระทำต่อกันมันก็คือความชั่วจริง ๆ น่ะแหละ เมื่อคิดว่าการมองคนในแง่ลบมันคือการมองตามความเป็นจริง ก็เลยเลิกการมองคนในแง่ลบไม่ได้

    แต่ ในเมื่อผมมองคนในแง่ลบไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกเฉย ๆ กับการมองคนในแง่ลบแทน โดยพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมคนทำชั่วต่อกัน

    หลักอิททัปปัจยตา แสดงให้เห็นว่า
    การที่คนเราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันต้องมีสาเหตุ

    ผมก็ลองคิดดูคร่าว ๆ ว่า แล้วอะไรที่ผลักดันหรือเป็นสาเหตุให้คนทำชั่วได้บ้าง
    ก็คิดได้คร่าว ๆ จากการเป็นคนมองคนในแง่ลบของตัวเอง
    ว่าที่เราคิดชั่ว(ชอบมองคนในแง่ลบ)ก็เพราะได้รับการกระทำที่ชั่ว ๆ มาจากคนอื่น
    ไอ้คนที่ทำชั่วกับคนอื่นมันก็คงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชั่ว ๆ มาไม่ต่างจากเรา
    มูลเหตุของความชั่วก็คือ คนเรา เห็นแต่ความสำคัญของตัวเองจนมองข้ามความสำคัญของชีวิตอื่นไปครับ คร่าว ๆ เอาแค่นี้ดีกว่าครับ รายละเอียดยิบย่อยมันเยอะกว่านี้มาก แต่ยังไง ๆ มันก็ได้ความว่า ไอ้พวกที่ทำชั่ว ๆ กับเรา มันก็คงโดนอะไรชั่ว ๆ มา ไม่ได้ต่างอะไรจากเราที่คิดอะไรชั่ว ๆ (ชอบมองคนในแง่ลบ) เลยนี่หว่า เพียงแต่สิ่งที่เรายึดเหนี่ยว(การไม่ยอมทำสิ่งที่คิดว่าเป็นความเลวต่อคนอื่น เว้นแต่จะไม่รู้ตัวและกำลังใจถดถอยในการทำความดีในบางครั้ง) มันต่างจากเขาเท่านั้นเอง ทำให้เราไม่หันไปทำตัวแบบพวกเขา

    (อันที่จริงผมเกือบก้าวเข้าฝ่าย "ซิธ" คิดจะสนองความชั่วด้วยความชั่ว ไปหลายครั้งแล้วล่ะครับ แต่อาจจะเป็นวาสนาเก่า ๆ ของตัวผมล่ะมั้ง ที่ยังรั้งตัวเองไม่ให้กลายเป็นคนชั่วเต็มขั้นเอาไว้)

    ก็เท่านั้นแหละครับ จากความเกลียดชังก็พอจะเปลี่ยนเป็นความสงสาร/สังเวชได้บ้าง

    จากการมองโลกในแง่ลบ แล้วรู้สึกแย่
    เปลี่ยนมาเป็นการมองโลกในแง่ลบ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แล้วมองว่ามันเป็นธรรมดาของโลก ที่คนเราทำไม่ดีต่อกัน เพราะคนเราก็คงเจอเรื่องร้าย ๆ มาหรืออยุ่ในสิ่งแวดล้อมที่ร้าย ๆ มา ดังนี้ กลายเป็ลสงสารแทนครับ เลยไม่มีเหตุผลในการเกลียดใครมาก ๆ จนมีผลต่อจิตใจอยู่ (แต่ก็ยังเกลียดอยุ่นะ เกลียดน้อยลง แต่ก็ยังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกะคนที่เคยทำแย่ ๆ กะเราอยุ่ดี) เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่ทำให้คนชั่วคือความชั่ว ผมเลยเลือกที่จะทำดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนครับ ผลที่ตอบรับจะเป็นยังไงช่างมัน ถ้าวิบากที่เจอยังไม่ค่อยดีก็แสดงว่าเรายังดีไม่พอ ก็เท่านั้นแหละ

    ตอนนี้ผมก็เริ่มทำความดีด้วยการทำทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามตู้บริจาค และขัดเกลาจิตใจด้วยการ เรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจให้ละเอียดมากขึ้นครับ

    ปัญหาที่เกิดกับคุณมันเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลกครับ
    ผมว่า ปุถุชนคนดีที่ ยังไม่เข้าใจธรรมะมากนักเป็นกันหลายคนแหละครับ
    คือ อาการ ไม่เข้าใจว่า เราจะต้องทำดีกะคนอื่นไปทำไมในเมื่อ ไม่มีใครทำดีกับเราเลย

    ทางแก้ก็คือ การ ทำความเข้าใจ ธรรมดาของโลก ครับ
    ทำความเข้าใจธรรมดาของ ตัวเรา ธรรมดาของสัตว์อื่น ๆ ธรรมดาของมนุษย์ ว่า อะไรคือแรงผลักดันให้ัตว์โลกทำสิ่งใดลงไป
    อะไรคือแรงผลักดันให้สัตว์โลกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อกัน

    พระธรรมเป็นทั้งคู่มือและเข็มทิศที่ใช้ในการอยู่ร่วมกับ "ธรรมดา" ของโลกนี้ครับ

    บางครั้ง พระธรรมอาจแต่ละข้อเพียงแต่บอกให้เราทำสิ่งนั้นไป แต่ไม่บอกว่าทำไม เราต้องทำแบบนั้น ๆ เพราะการทำความเข้าใจในส่วนนั้น เป็นหน้าที่ของเรา เอง

    ผลของการศึกษา และ ปฏิบัติธรรม ให้ผลเป็นปัจจัตตัง คือมีแต่คนทำเท่านั้นที่รู้

    **ที่ผมใช้วิธีทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ แล้วทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้ ก็เพราะ ผมมีประสพการณ์ และ ปัจจัยภายในที่หนุนมา ให้เกิดความพอใจในการทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ จึงทำให้เมื่อผมพิจารณาสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์จนเข้าใจ แล้วทำให้ผมสามารถปล่อยวางความทุกข์ที่เกิดจากสิ่งที่พิจารณาได้ เพราะ เห็นว่าหมดธุระที่จะต้องไปใส่ใจกับความทุกข์ที่เกิดจากสิ่งที่เรารู้แล้วว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้อีก หรือ มีความรู้สึกว่าความทุกข์ในในเรากลายเป็นความรู้สึกอย่างอื่นที่เราสามารถแล่อยวางได้แทน **

    ดังนั้น สิ่งที่ผมเล่าไป อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน

    เพราะฉะนั้น ผลจากการปฏิบัติธรรมของคุณออกมาแบบไหน มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณครับ


    ขอให้เรื่องราวแย่ ๆ ในชีวิตคุณ มันผ่านไปไว ๆ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...