เตรียมตัวให้พร้อม...มันกำลังมา!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย >_<.ST.>_<, 6 พฤศจิกายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ที่ตนเองเข้าใจก็คือ แก่นแท้อนัตตา เป็นผู้สร้างอัตตา สรรพสิ่งทั้งหลายที่ล้วนเห็นเป็นอัตตา ล้วนแล้วเกิดจากอนัตตาอยู่ภายใน อัตตาทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งมองเห็นได้และมองเห็นไม่ได้ก็เป็นเพียงเปลือกนอกของอนัตตาที่เกิดขึ้นมา สมมุติบัญญัติขึ้นมา ล้วนมีเหตุแห่งปัจจัยในการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และ สักวันต้องสลายไป เพราะทุกสรรพสิ่งที่เป็นอัตตาล้วนต้องดำรงความเป็นอนัตตาไม่แปรเปลี่ยน ตามคุณสมบัติภายในที่เป็นแก่นแท้ของมัน ทุกสรรพสิ่งที่เห็นเป็นอัตตาจึงต้องตกอยู่ในสภาพของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งต้องเป็นไปตามคุณลักษณะของอนัตตาคงเดิมเสมอไม่แปรเปลี่ยน ดังนั้นทุกสรรพสิ่งที่เป็นอัตตาจึงล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เพราะด้วยเหตุดังกล่าวนั้นนั่นเองค่ะ

    ที่ว่าตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง นิพพานสูตร ก็คือ

    ธรรมชาตินี้ หมายถึง ความเป็นแก่นแท้อนัตตา หรือ ความว่างสุญญตา

    ขอยกคำสอนหลวงปู่ดุลย์ จิตหนึ่งคือพุทธะ ที่กล่าวว่า พุทธโยนิอันประเสริฐมีประจำอยู่แล้วในทุกคน

    ขอยกคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ จิตคือพุทธะ โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส
    ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ
    พวกเราต้องทําความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า
    โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุ
    อยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด
    อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติหรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มัน
    ไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตําหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
    และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง แยกรูป
    ถอด ด้วยวิชชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด



    ดังนั้น ด้วยอํานาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้
    ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นนคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ
    หรือจะ
    เรียกว่า รูปถอด ก็ได้เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หูจมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่
    ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูป
    อยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้นอกจาก นิพพาน เท่า
    นั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย


    ขอยกคำสอนหลวงปู่ดุลย์ ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดีธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณูความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

    จากคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ผู้เป็นวิปัสนาจารย์ผู้แจ้งเรื่องจิตและจักรวาล และจิตคือพุทธะ

    ซึ่งตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในสมุปฏิจจสมุปบาท ก็กล่าวว่า วิญญาณดับ นามรูปดับ ให้ดับที่วิญญาณ แล้วตนเองไประลึกถึงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับ องคุลีมารว่า "เราหยุดแล้ว แต่เธอซิยังไม่หยุด" อาจมีนัยยะที่ตรงกับหลวงปู่ดุลย์ก็ได้ค่ะ ที่ว่า ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้มันก็กระจายไป

    และคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตอนปลงมายุสังขาร

    "พระมุนีละกรรมที่ทั้งชั่งได้ และที่ชั่งไม่ได้ อันเป็นเหตุก่อกำเนิด เป็นเครื่องปรุงแต่งภพได้แล้ว ยินดีภายใน มีใจมั่นคง ทำลายกิเลสที่เกิดในตนได้ เหมือนกับนักรบทำลายเกราะได้ฉะนั้น

    ส่วนกรณีนี้......


    ขอยกคำสอนคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ค่ะ จิตของเรานั้น ถ้าเราทําความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต้น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นนความว่าง แล้วเราจะได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหนแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็น
    พวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกําเนิด ไม่มีใครทําให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทําลายได้เลยในการทําปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์
    ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทําการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่


    ตามความเข้าใจของตนเอง จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ คือ อนัตตา ที่อยู่ภายในพุทธโยนิอันบริสุทธิ์ที่มีประจำอยู่แล้วทุกคน มันคือ ความว่าง นั่นเอง ส่วนจิตตานุปัสสนา คือ การมีสติระลึกเข้าไปเห็นความจริง ของจิตตัวเจตสิก ที่เคลื่อนไหวเป็นอารมณ์เป็นการกระทำ ที่ปรุงแต่งจิต ที่เรียกว่า "การเคลื่อนไหวในความว่าง" มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวใช่ตน ให้เห็นเป็นความจริงดั่งนี้ค่ะ เมื่อเราเห็นและเข้าใจแล้ว หากว่ามันไม่ปรุงแต่ง ไม่เคลื่อนไหว มันก็ว่างของมันอยู่ ก็คือ แก่นแท้อนัตตาที่เป็นความว่าง นั่นน่ะค่ะ
     
  2. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    คุณจิตยิ้มเข้าใจ ว่า อนัตตา คือ ความว่างหรือ
    อนัตตาไม่ใช่ความว่างครับ ไม่สามารถใช้ศัพย์คำนี้ได้ อยากให้ทำความเข้าใจใหม่

    ถ้าอนัตตา คือ ความว่าง หมายความว่า นิพพาน คือ ว่าง ด้วย นั้นไม่ถูกต้องเลย


    อนัตตาคือ รู้ สภาวะรู้ รู้ทุกอย่าง รู้ไปหมด ไม่มีที่ไม่รู้ รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เอา อันนี้ บรรยายสุดความสามารถแล้วครับ

    ผมไม่ได้ว่ากล่าวท่านนะครับ แค่อยากเตือนท่านให้เข้ามาอยู่ในเส้นทาง ไม่หลงออกเส้นทาง
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ไม่เคยรู้จักท่านเป็นการส่วนตัวเลยค่ะ และที่สำคัญสิ่งที่ได้รับเกี่ยวกับนิวเอจที่เป็นความรู้ใหม่นี้ ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจมีบุคคลนำมาให้ และมิใช่จะเข้าใจได้เลยใช้ระยะเวลาต่อมาอีกหลายปีกว่าจะเข้าใจ และบวกกับสภาวะธรรมโลกุตระที่ได้ประสบจึงมั่นใจ และท่านก็กล่าวไว้ในคำในหนังสือของท่านว่ามิใช่ความรู้ส่วนตัวแม้แต่น้อย ส่วนท่านจะไปสื่อในลักษณะใดรูปแบบใดก็แล้วแต่เหตุผลส่วนตัวของท่านค่ะ ส่วนตนเองเข้าใจได้ตามแนวทางของศาสนาพุทธ จึงนำมาพิจารณาความรู้ใหม่นี้ในแนวทางของศาสนาพุทธ เพราะความรู้ใหม่นี้ เป็นอภิปรัชญาแนววิทยาศาสตร์ ที่อัลเบิร์ต ไอนไสตน์ ต่างก็ยกย่องว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบเมื่อ 2,500 ปี ที่ผ่านมาล้ำหน้าล้ำยุคสมัยวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผล จนอัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ยังยอมรับและยกย่องพระพุทธองค์และกล่าวว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลกเลยค่ะ
     
  4. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    ไม่ใช่ความรู้ส่วนตัวอะไรกันครับคุณจิตยิ้ม เหลือบขึ้นไปดูโพสท์คุณธรรม-ชาติก็ได้ VERTICAL TELEPATHY เชียวนะครับ ได้มาตรงๆเลยจากพระบิดา

    อัลเบิร์ต ไอสไตน์ยกย่องพระพุทธศาสนา แล้วมีอะไรอ้างอิงหรือเปล่าว่าอัลเบิร์ต ไอสไตน์ยกย่องศาสนาจิตจักรวาลครับ

    ปล. มีคนนึงนะครับ พูดเหมือนศาสนาที่คุณจิตยิ้มนำมาเผยแผ่นี่แหละ มีทั้งความรัก การสั่นสะเทือน เลื่อนระดับ การชำระโลก ออกทีวีอยู่นานเลย เขาชื่อ เพอร์ซีอุส ลองGoogle ดูก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2018
  5. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    การปฏิบัติ เป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแล้ว ย่อมกลายเป็นของปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยเจ้าแล้วไซร้ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อยังเพียรแต่เรียนพระปริยัติถ่ายเดียว จึงยังใช้การไม่ได้ดี ต่อเมื่อมาฝึกหัดปฏิบัติจิตใจกำจัดเหล่า กะปอมก่า คือ อุปกิเลส แล้วนั่นแหละ จึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จเต็มที่ และทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมด้วย


    ที่่มา มุตโตทัย เทศนาธรรมของหลวงปู่มั่น บันทึกโดยพระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร ( ปัจจุบันพระราชธรรมเจติยาจารย์ วัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ ) ณ วัดป่าบ้านนามน กิ่ง อ. โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๘๖
    ...หวังว่าท่าน jityim คงเข้าใจนะครับ...
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ไม่ใช่เป็นความว่างเปล่าค่ะ แต่เป็นความว่าง "ซึ่งเป็นความมีที่เหมือนไม่มี"

    ลองพิจารณาข้อความนี้ดูนะค่ะ

    ถ้าเช่นนั้น "ความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า" มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

    การที่ใช้ตาเนื้อมองไปรอบ ๆ ตนเองแล้วมิได้แลเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีอัตตาตัวตนเลยแม้แต่สิ่งเดียวนั้น มนุษย์ก็จงอย่าเพิ่งมั่นใจว่า ในความว่างเปล่าคือไม่มีสิ่งใดให้แลเห็นอยู่นั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีบางสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงมันและได้สัมผัสรู้ตัวตนของมันได้ดำรงอยู่ด้วย เช่นในอากาศซึ่งเป็นที่ว่างรายรอบตัว หากใช้อวัยวะกลไกประสาทสัมผัสของมนุษย์เองสัมผัสรับรู้ มนุษย์ย่อมไม่มีวันรู้เห็นได้เลยว่า ในความโล่งว่างรายรอบตัวมนุษย์ แท้แล้วมิใช่แค่ว่างเปล่า เพราะมันย่อมมีอากาศ มีฝุ่นธุลี มีเจ้าเชื้อโรคตัวน้อย ๆ มีจุลินทรีย์ มีแบคทีเรีย มีควันพิษ มีประจุไฟฟ้าสถิตย์ มีคลื่นแม่เหล็กโลก มีคลื่นจิตของมนุษย์ และมีสรรพสิ่งอื่น ๆ ดำรงอยู่ออกมากมาย แต่ที่สัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้เพราะกลไลอวัยวะประสาทสัมผัสของมนุษย์ ได้กำหนดให้ถูกใช้งานภายในพิกัดอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้มนุษย์ ใช้ปัญญาญาณ หรือสติปัญญาของวิญญาณซึ่งเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ค้นหาความเป็นอัตตาและอนัตตาของสรรพสิ่งใด ๆ ที่เล็กละเอียดยิ่งกว่าเพื่อให้สำนึกที่ถูกต้องว่า

    ในสถานที่แห่งใดก็ตามที่ไม่อาจสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งที่มีอัตตาได้ อาจกล่าวว่าสถานที่แห่งนั้นมี "ความว่าง" แต่จะด่วนเหมาสรุปเอาว่า "เป็นความว่างเปล่า" ไม่ได้

    คำว่า "ความว่าง" กับคำว่า "ความว่างเปล่า" สองคำนี้มีความหมายไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง

    คำว่าความว่าง หมายถึง ในสถานที่นั้น ๆ แม้ดูประหนึ่งว่ามีสรรพสิ่งใดดำรงอยู่ ให้สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมิได้หมายความว่าในสถานที่แห่งนั่นจะไม่มีสรรพสิ่งใดดำรงอยู่เลยต่างหาก

    ส่วนคำว่า "ความว่างเปล่า" หมายความว่าในสถานที่แห่งนั่นจะต้องไม่มีสรรพสิ่งใดดำรงอยู่เลยแม้แต่สรรพสิ่งเดียว ซึ่งในสัจธรรมนั้น ไม่ว่าในเอกภพหรือแดนสุญญตา สถานที่ซึ่งเป็นความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ คือ ว่างจนไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่เลยนั้นยังไม่มี

    มนุษย์อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดสับสนสงสัยว่า "สภาวะสุญญกาศ" ที่นักวิทยาศาสตร์มักกล่าวถึงกันเสมอนั้น คือ สภาวะเดียวกับ "ความว่างเปล่า" เพราะสภาวะสุญญากาศของมนุษย์มันหมายความว่า เป็นสถานที่ ๆ ไม่มีอากาศ ไม่มีความชื้น ไม่มีฝุ่นละออง และไม่มีมวลของสรรพสิ่งใด ๆ ที่มีอัตตาหลงเหลืออยู่ในนั้นเลย แต่เหตุที่มันต่างกันและมิใช่สภาวะเดียวกันเป็นเพราะว่า สภาวะสุญญากาศ จึงมันมิใช่ความว่างปล่าอย่างแท้จริงอย่างที่คิด มันเป็นเพียงความว่าง ๆ ที่ยังคงมีบางสิ่งดำรงอยู่นั่นเอง คือ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริงเลย แต่...เพราะสภาวะสุญญากาศในมิติกายภาพของมนุษย์ มันยังมีคลื่นความถี่ทางพลังงานไฟฟ้าแม่หล็กหลากหลายคลื่นความถี่ ที่สองตาเนื้อมองไม่เห็นมันเคลื่อนไหลไปมาอยู่ในนั้นอีกต่างหากด้วย เหตุนี้เองสภาวะสุญญกาศ ยังมิใช่ความว่างเปล่าแท้จริงอย่างที่คิดมันเป็นได้แค่เพียงความว่างที่ยังมีบางสิ่งดำรงอยู่นั่นเอง

    ความว่างนี้ คือ "สนามพลังงานที่ละเอียดอ่อนมาก" ซึ่งสนามพลังงานดังกล่าวนี้ ไม่มีสรรพสิ่งอื่นใดทั้งที่เป็นวัตถุมวลหยาบในมิติทางกายภาพ และสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงานดำรงอยู่ในนั้นเลย ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความว่างนั่นเอง แต่จะกล่าวว่าเป็นสนามพลังงานที่ว่างเปล่าเสียทีเดียวมิได้ ถ้าหากว่าสนามพลังงานอันละเอียดอ่อนที่กล่าวถึงอยู่นี้ "ว่างเปล่า" มันย่อมจะต้องไม่ที่สรรพสิ่งใด ๆ มันก็ย่อมจะต้องไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ ทั้งที่เป็นอนัตตาหรือ ความมีอัตตาตัวตนดำรงอยู่อย่างแน่นอน นั่นคือ ถ้าหากว่าสนามพลังงานนี้มีแต่ความว่างเปล่าจริงคือไม่มีอะไรอยู่ในสนามพลังงานนี้เลย จะมีสิ่งหนึ่งแรกอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่าจนไม่มีอะไรมิได้เป็นแน่แท้

    แท้แล้วสนามพลังงานที่มีอนุภาคของคลื่นความถี่สูง ๆ และละเอียดอ่อน มันเป็นความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า มันเป็นสนามพลังงานที่ยังมีบางสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่แต่ก็เป็นความมีที่เหมือนไม่มี คือ "แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง ดำรงอยู่และพร้อมที่จะแสดงพลังอำนาจออกมาให้เห็นได้ทุกเมื่อหากมีการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมขึ้น และพลังอำนาจที่เกิดขึ้นย่อมสูงส่งลึกซึ้งและละเอียดยิ่งกว่าอำนาจใด ๆ ของสรรพสิ่งทั้งหลายในเอกภพของมนุษย์ด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นพลังอำนาจบริสุทธิ์

    ถ้าหากคลื่นความถี่อิสระทั้งหลายหมายถึงสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาแล้ว อนุภาคของคลื่นความถี่อิสระนั้น ๆ ก็คือ "แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นเอง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2018
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า แม้ตถาคตจะมาอุบัติหรือไม่ สัจธรรมนี้ก็ยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ไม่มีผู้นำสัจธรรมมาเปิดเผยได้ หรือไม่มีผู้ที่จะนำมาสัจธรรมนั้นมากล่าวเปิดเผยความจริงให้ทราบได้ พระพุทธเจ้าก็ยังทรงตรัสคำนี้ไว้ว่า ให้พระธรรมเป็นตันแทนของตถาคต เมื่อพระองค์ทรงปรินิพพานแล้ว ความรู้ใหม่นี้ก็เปรียบ สัจธรรมแสงสว่างของธรรมโลกุตระส่องแสงสว่าลงมายังโลกอีกครา ในยุคกึ่งพุทธกาลตามคำพุทธทำนายนะค่ะ

    ส่วนคำว่า "ความรัก" ความหมายที่บ่งบอกถ้าขณะใดที่มนุษย์สั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ความรู้สึก อันเป็นสภาวะของจิตบริสุทธิ์ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรัก ความเมตตา ความสงสารคิดช่วยเหลือ ความปีติเบิกบาน และความปราถนาดี ในอันที่จะให้

    คำว่า "การสั่นสะเทือน" คือ การที่แต่ละสรรพสิ่งสามารถอยู่ร่วมกันได้ เป็นระบบเดียวกันได้ ด้วยเงื่อนไขของการที่ใครไม่ทำลายอำนาจใคร ต่างคนต่างมีอิสระในการเคลื่อนไหวตนเองเพื่อนำเอาคุณสมบัติ เช่นนี้ เพื่อแสดงคุณสมบัติของตนเองออกมาให้ใคร ๆ ได้ประจักษ์ เช่นนี้ เรียกว่า "กฎแห่งการดำรงอยู่ร่วมกันของสรรพสิ่ง อันเป็นกฎข้อย่อยในข้อแรกในกฎแห่งความเสมอภาคหรือ ความสมดุลที่ว่านี้

    การใช้อำนาจเหนือของตนเองกระทำต่อผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ในอันที่จะก่อให้เกิดการเสียสมดุลไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือกระทำให้เขาเกิดการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกของเขาไปในทางด้านลบ คือ เสียสมดุลไปจากความนิ่งสงบหรือสันติสุขในสภาวะปกติแท้จริงของเขา ล้วนจัดเป็นการทำลายความสมดุลของผู้อื่น ผิดกฎของการดำรงอยู่ร่วมกันทั้งสิ้น

    ลองระลึกเข้าไปที่อกข้างซ้ายของเราดูก็ได้ค่ะ หากยามใดที่เรามีกิเลสตัณหาความอยากยึดไว้ด้วยการเพ่งอารมณ์ หากยึดมากเท่าไหร่ การกระเพื่อมสั่นคลอนของอกข้างซ้ายก็เหมือนจะแก่วงกระเด็นกระดอนปานจะกระเด็นหลุดออกจากอก ยามใดที่เราสงบนิ่งด้วยสมาธิหรือว่างอุเบกขา อกข้างซ้ายแทบไม่กระเพื่อมไหว ประดุจนิ่งสงบหยุดนิ่งที่ดูไม่หมุนแต่ความจริงก็ยังหมุนอยู่ ประมาณนี้นะค่ะ

    คำว่า "การเลื่อนระดับ" ท่านมิติที่แปด ทำไมไม่อยู่ในระดับมิติที่สาม ยังยกระดับไปที่มิติที่แปดเลยค่ะ คิดว่าท่านน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีเหมือนกัน

    คำว่า "การชำระโลก" เป็นธรรมชาติของทุกสิ่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง หากสิ่งใดเสียความสมดุลจนอาจไม่สามารถจะอยู่ได้อีกต่อไป ทุกสิ่งก็ต้องพยามนำตนเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เปลี่ยนแปลงตนไปในทางที่ดีกว่า หรือนำตนเองไปสู่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2018
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    หากจะหมายถึง การขยายความของนิพพานสูตรข้างต้น สิ่งที่นำกล่าวเป็นของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล คำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าไว้ในพระไตรปิฏก และ จิตจักรวาล เป็นพลังงานผู้รู้แจ้งได้ในทุกสรรพสิ่ง นะค่ะ

    จะเชื่อหรือไม่! หากไม่อยากเป็นผู้งมงายสิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า
    ๑.เชื่อทันทีที่ได้ยินฟังข่าวสารรู้ใหม่ใด ๆ
    ๒.ปฏิเสธทันทีที่ได้ยินฟังข่าวสารความรู้ใหม่ ใด ๆ
    ๓.ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล
    ๔.เชื่อตามในสิ่งที่ตนเองอธิบายไม่ๆได้ ยอมรับเอาในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ
    ๕.ตัดสินความด้วนการตัดสินที่ตัวตนบุคคล
    ๖.ตัดสินใจใด ๆ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกของตนแทนการใช้เหตุผลและสติปัญญา
     
  9. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    ตอบดูดีนะครับ ก็ลัทธิจิตจักรวาลเป็นลัทธิลูกผสมน่ะครับ คุณป.ยัง เอเมน+สาธุอยู่เลย พอซักไซร้ไล่เลียงก็เอาหลังพิงพุทธ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบตรง พอตอบก็ตอบซะยาวเหยียด ผักบุ้งโหรงเหรง

    ถ้าจะอ้างสัจธรรมที่มีอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องมีอยู่ เกิดผมเอาขวดเป๊ปซี่วางแล้วบอกว่าพระบิดาบอกว่าให้สูดอากาศจากขวดเป๊ปซี่ขวดนี้ ทุกคนจะได้เลื่อนระดับ ได้รับการสั่นสะเทือนถึงก้นบึ้งDNA อันนี้ผมก็ทำได้เหมือนกัน ใครถามก็บอกว่าเป็นยุคพลังงานใหม่ที่สุดlimited edition

    ดูคุณจิตยิ้มเขียนแล้วคิดว่าต้องมีเหตุมีผล ไหงมีอะไรนิดๆหน่อยก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์(พระบิดา)นั่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่ จนผมอธิบายก็ยังไม่เชื่อ ต้องทำคลิบให้ดูจะๆถึงจะยอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2018
  10. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    จิตใดที่บอกว่าตนคือจิตจักรวาล จิตนั้นยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    สิ่งใดที่บอกอย่างที่คุณ Jityim บอก นั่นคือสิ่งที่ เป็น มหามิจฉาทิฏฐิ เป็นพญามาร นี่คงไม่ใช่ทางแห่งทางหลุดพ้นเป็นแน่...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บอกแบบที่ว่ามา คงต้องพาไปปรับความเข้าใจและปรับทัศนคติ เสียใหม่...ยิ่งจิตใดที่กล่าวอ้างว่าคือจิตจักรวาล จิตดวงนั้นยิ่งต้องพาไปปรับความเข้าใจและปรับทัศนคติ ให้จากมิจฉาทิฏฐิให้กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ โดยด่วน
     
  11. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    โพสนาง แฟนตาซีดี เวิ่นเว้อใช้คำสวยๆ อ่านแล้วจะมึนๆ แต่ก้เนียนๆ แทรกคำสอนของลัทธิจิตจักรวาลไว้ตลอด


    ลัทธิจิตจักรวาล (ลัทธิประหลาดแนวพุทธ) เจ้าลัทธิเก่งฟิสิกส์ กับขี้ก๊อบคำสอนศาสนาอื่น (พุทธเปนหลัก) คำสอนออกโดยมนุษย์มีกิเลส เขียนหนังสือหาเงิน ก๊อปงานฝรั่งมาเปนของตัวเอง โยงคำสอนพระพุทธองค์มาไว้ใต้หลักความเชื่อคริส กรมศาสนาไม่รับรอง ....คำสอนพระพุทธองค์ 84000 พระธรรมขันธ์ ออกจากจิตที่ปราศจากกิเลส แต่นี่ก๊อบเขามา และเปนมนุษย์มีกิเลส อืม..มันจะเปนโลกุตรส่องแสงมาอีกครั้งยังไง งง

    เปนนักบวช บวชเข้าศาสนาพุทธ แต่นับถือลัทธิจิตจักรวาล บอกว่าคิดไปทางแนวพุทธ แต่หลายโพสนี่ หลุดจิตจักรวาลตลอด นักบวชพุทธ ต้องยึดมั่นคำสอนพระพุทธองค์ยิ่งชีวิต ดันบอกจิตจักรวาลตอบคำถามโลกุตระ งั้นวิปัสสนาญาน 9 ญาน 16 ก้ไม่ต้องมีละ ถ้าได้สภาวะนั้นจิง ไปถามพระ อ.ป ปยุตโต พระ อ.สุชาติ เลย ท่านน่าจะเต็มใจสนทนาธรรมปูเบาะรอรับแน่นอน

    กระทู้จับหมูแท้ๆ
     
  12. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    ละทิ้ง! สลัดตัดขาด! จากไอ้จิตจักรวาล! นั้นซะ! ปล่อยวาง! ไอ้จิตจักรวาลนั้นเสียเถิด
    ...แล้วหันมาดูจิตดูใจของตนเอง มีสติคอยกำกับคอยติดตามใจตนเอง ดูว่า จิตใจของตนเองมีกิเลสตัญหาอะไรบ้าง ดูว่าจิตใจตนเองมีอะไรที่ต้องแก้ไขอะไรอีกบ้าง ดูว่า ไอ้จิตไอ้ใจของตนเองไปบ้าไปฟุ้งกับไอ้จิตจักรวาลบ้างไหม หรือไปบ้าไปฟุ้งกับคำสอนใดก็ตาม ความเชื่อใดก็ตามที่ไม่ได้สอนในแนวทางที่ทำให้เวไนย์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ...หากมัวแต่ยึดมั่นถือมั่นกับความเชื่อแบบที่บอกว่าจิตจักรวาลอะไรอย่างนี้อย่างนั้นอยู่ ก็จะยิ่งเข้าป่าเข้าพง หลงทาง อย่าให้จิตใจของเราเองไปหลง ไปยึดมั่นถือมั่นกับอะไรที่เป็นของปลอมเลย...มันเสียเวลา!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2018
  13. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    อันนี้ คงแล้วแต่ว่า ใครจะอยากทะเลาะ หรือใครจะ เป็นกัลยาณมิตรนะครับ ผมว่าหลายท่านมีความเป็นกัลยาณมิตร นะครับ ตอนนี้ คำว่า "จิตจักรวาล" ไม่มีในบทสวดมนต์ที่ใช้สวดกันในปัจจุบัน คำว่า "จิตจักรวาล" ไม่มีไม่ปรากฏ ในพระไตรปิฎก และชะรอยว่า แนวคำสอนของจิตจักรวาลจะเป็นคำสอนไม่อยู่ในแนวของพระพุทธศาสนา และชะรอยว่าจิตจักรวาลคงจะเป็นจิตที่กำลังหลง หลงว่าตนสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง หลงว่าตนเป็นต้นกำเนิดของศาสนาต่างๆ ฯลฯ และผู้ที่เชื่อในแนวทางของจิตจักรวาลนี้ จะพากันเข้าพกเข้าดง...
    ดั่งองค์หลวงปู่มั่นที่องค์ท่านได้ให้โอวาทไว้ครับ...

    "ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว
    แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต
    เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง

    ศาสนาทางมิจฉาทิฐิ ก็นับวันจะแสดงปาฏิหาริย์
    คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อยฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร

    ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
    ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก
    ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด
    ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์

    ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคาย
    ด้วยจะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหนมีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน
    จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ"

    โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
    (บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207

    อัคคิวัจฉโคตตสูตร

    สูตรที่แสดงว่าพระอรหันต์ ตายแล้วสูญ หรือ ไม่สูญ


    ดูก่อนวัจฉะ !ข้อนี้ท่านจะพึงเข้าใจอย่างไร ? ถ้าหากไฟจึงลุกขึ้นต่อหน้าท่านท่านก็ย่อมรู้อยู่มิใช่หรือว่าไฟนี้ลูกอยู่ต่อหน้าเรา

    ข้าแต่พระสมณผู้เจริญถ้าไฟลุกโพลงขึ้นต่อหน้าข้าพระองค์ข้าพระองค์ก็รู้ว่าไฟนี้ลูกอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์

    ดูก่อนวัจฉะ ! ก็ถ้าหากจะมีใครถามท่านอย่างนี้ว่าไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้มันลุกขึ้นเพราะอาศัยอะไรท่านจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร

    ข้าแต่พระสมณ โคดมผู้เจริญ..ถ้ามีคนถามข้าพระองค์อย่างนี้ข้าพระองค์ก็จะพึงพยากรณ์ว่าไฟนี้ลุกโพลงขึ้นเพราะอาศัยคือหญ้ากับไม้

    ดูก่อนวัจฉะ! ถ้าไฟนี้ดับต่อหน้าท่าน..ท่านก็จะพึงรู้ว่าไฟนี้ดับต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?

    ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ..ถ้าหากว่าไฟนั้นดับต่อหน้าข้าพระองค์ข้าพระองค์ก็พึ่งรู้ว่าไฟนี้ดับต่อหน้าข้าพระองค์

    ดูก่อนวัจฉะ ! ก็ถ้าหากมีใครถามท่านอย่างนี้ว่าไฟที่ดับต่อหน้าท่านนี้ไปสู่ทิศไหน ทิศบูรพา ทิศประจิม อุดร ทักษิณ..เมื่อท่านถูกถามเช่นนี้วัจฉะ ท่านจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร?

    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ..ข้าพระองค์ก็จะพึงกล่าวว่าข้อนั้นไม่ควรกล่าวเพราะไฟลุกโพลงขึ้นก็เพราะอาศัยเชือหญ้ากับไม้ เพราะสิ้นเชื้อนั้นและไม่ใส่เซื้ออีก ขาดเชื้อเสียแล้วไฟนั้นก็ย่อมดับไป

    ดูก่อนวัจฉะ! ข้อนี้ก็เหมือนกันผู้ที่พูดถึงตถาคตจะพึงพูดโดยอาศัยรูปใดเป็นที่บัญญัติ รูปนั้นตถาคตละเสียแล้วตัดรากเหง้าขาดแล้วกระทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ถึงซึ่งความไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา

    ดูก่อนวัจฉะ! ตถาคตหลุดพ้นแล้วจากสิ่งที่นับว่าเป็นรูป ตถาคตเป็นสภาพลึกซึ้งประมาณมิได้หยั่งถึงได้ยาก..เปรียบเหมือนมหาสมุทรที่พูดไม่ได้ว่ากำลังเกิดขึ้นหรือยังไม่เกิด เกิดขึ้นแล้วและไม่เกิดขึ้น ด้วยจะว่าเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่

    แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ย่อมจะเข้าใจภาวะแห่งตถาคตได้ดี




    สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...

    โย ธมฺม๋ ปสฺสติ โส ม๋ ปสฺสติ

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นเราตถาคต
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ท่าน00000 ลองขยายความ จิตจักรวาลคือตน ตนคือจิตจักรวาล ในความหมายหรือว่ารู้สึกว่ามีลักษณะแบบไหน?อย่างไร? ท่านเข้าใจว่าอย่างไรค่ะ จึงจัดว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ในความรู้สึกของท่านนะค่ะ และเคยได้ตอบไปแล้วนะค่ะ แม้จักรวาลยังเกิดดับ จะนำตนไปเป็นจักราล(อันให้หมายถึงโลกธาตุ) ได้อย่างไร? เพราะสภาวะนิพพานที่เป็นลักษณะสุญญตา จะต้องเป็นพ้นไปจากการเกิดดับทั้งปวงนะค่ะ
     
  16. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    ...???...
     
  17. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    เงิบเลยดิคุน 5 ศูนย์ คุยกะคนบ้าน้ำลาย ก้เงี้ยะแหล่ะ 55

    จิตจักรวาลของจิตยิ้ม คือ คำว่าสัจธรรม (หมายถึงที่ตอบคุนมิติแปดสิบแปดนะ)

    ถ้าคำว่าสัจธรรมของคนธรรมดา ก้คงเขียนว่าสัจธรรมไปเลย แต่จิตยิ้มไม่ ต้องล้ำไปอีกขั้น แบบปวีเคยบอกไง

    มาดูช่วงจิตยิ้มพาทัวร์การตอบคำถามกัน

    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้....คือ

    องค์ความรู้ผู้ทรงเป็นยิ่งกว่ามหาคุรุของอาจารย์ คือ "จิตจักรวาล"

    จิตจักรวาลเป็น"จิต" หรือแก่นแท้ของจักรวาล ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากล

    จิตจักรวาล เป็นรูปธรรมทางพลังงานรูปแรกสุด ที่อุบัติขึ้นในสนามพลังงานสากลที่หมุนรอบตัวเองอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ มีความรักเป็นพลังอำนาจสูงสุดในตนเอง มีความสมดุลอยู่ในตนเอง และมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง

    จิตจักรวาล เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการอุบัติขึ้นของทุกสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมทางพลังงาน และรูปธรรมทางกายภาพทั้งหมดที่มีอยู่จริงในสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้

    จิตจักรวาล เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งทั้งในมิติทางกายภาพ และมิติทางพลังงานในจักรวาลนี้

    จิตจักรวาล เป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่งที่ดำรงรูปธรรมอยู่ในจักรวาลอันไพศาลนี้และเป็นผู้กำหนดกฎแห่งความสมดุลของทุกสรรพสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือ ปฏิเสธได้ โดยกฎเกณฑ์แห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่งดังกล่าวนี้คือ สิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า "สัจธรรม"นั่นเอง

    จิตจักรวาล ผู้ทรงกำหนดสร้าง "สัจธรรม" คือผู้ทรงกำหนดธรรมชาติที้งปวงนั่นเอง

    อ่านแล้วเข้าใจว่าจิตจักรวาลคือตนใช่มะ ไม่แปลกหรอก คนอื่นก้เข้าใจแบบนั้น ตอบไปแบบนั้นไม่ผิดหรอก เราต้องใช้วุ้นแปลภาษาของโดเรม่อนช่วย จิตจักรวาลคือภาษาสวยๆ ของจิตยิ้ม คือภาษาไทยที่เราๆใช้ คือคำว่าสัจธรรม คนทั่วไปจะไม่ใช้คำว่าจิตจักวาลมามิกซ์แบบนี้ มันส่อเจตนา แต่นางก้ลัทธินี้นั่นแหล่ะ ถึงจะปลอบใจตัวเองเบาๆ ว่ามองแบบพุทธ ปฎิบัติตามแนวพุทธก้ตาม อารมณ์แบบ มีของแท้อยุ่ในมือ ดันไปใช้ของก๊อป
     
  18. เเสงเทียน

    เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +156
    ไม่ว่าภัยพิบัติใหญ่จะมาหรือเปล่า เเต่มีข้อเท็จจริงคือ ทุกคนที่มาอ่านในบอร์ดรู้เยอะก็ดี รู้น้อยก็ดี รู้ไม่จริงก็ดี ทุกคนในนี้ย่อมตายหมดทุกคนรวมทั้งผมด้วยเเละคนทั้งโลกนี้ด้วย ล้วนกำลังจะตายไม่ว่าทารก ถึง เเก่ชรา
     
  19. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    ที่จริงอยากจะปล่อยให้คิดเองนะ
    ...คุณJityim อ่านหลาย ๆรอบ แล้วก็คิดพิจาณาให้มาก
    ....จิตจักรวาลที่ว่านั่น ใครเชื่อก็มีหวังเข้าป่าเข้าดง นี่ถามจริงๆเถอะ พวกที่ไปเชื่ออะไรแบบนั้น กิเลสตัญหา มันบรรเทาเบาบางไปจากใจบ้างไหม? เห็นjityimโพส เห็นjityimบอกเรื่องอะไรทำนองนี้มานาน ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่บ่งบอกว่า เข้าใกล้ศีลใกล้ธรรมเลย ไปก๊อบหลักธรรมมา ก็เอามาเพื่อสนับสนุนความคิดตน คิดในแบบตรรกะ เชื่อในแบบตรรกะ

    ...แต่ ธรรมที่ว่านั้นก็ไม่ได้มีในตัวในตนเลย

    พระท่านสอน ก็มีแต่ พุทโธ ธรรมโม สังโฆ มีแต่ให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ.
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ.
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ.
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    คุณก็ออกจะสวดอยู่เป็นประจำ คิดไม่ได้หรือไง แล้วไปเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งครับคุณ Jityim
    ไม่มีพระฯองค์ใดรูปใดหรอกที่สอน

    จิตจักรวาล สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ จิตจักรวาล สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ จิตจักรวาล สะระณัง คัจฉามิ

    บอกสอนแบบนี้มีไหม
    มีไหม ที่บอกที่สอนแบบนี้
    ...อย่าเพิ่งคุยเรื่อง สัมมาทิฎฐิ ดีไหม คุยเรื่อง พื้นฐานก่อน ตั้ง นโมฯ ให้ได้ก่อน ยึดมั่นถือมั่นใน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถือศีล 5 ครบ รักษา กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในศีลในธรรมก่อนดีไหม

    เรื่องจิตจักวงจิตจักวาน อะไรนั่น มันเป็นเรื่อง นอกศาสนา นอก หลักธรรมคำสอน ...วาง ๆ ทิ้ง ๆ มันไปเถอะ...อย่าไปบ้าจิตจักรวาลเลย...
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    แต่ในบทสวดมนต์ เรามีบทสวด "มงคลจักรวาฬใหญ่" ค่ะ

    และ

    พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใน คิริมานนทสูตร

    ---พระยาธรรมิกราช" นี้ แปลว่า ธรรมที่เป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย หรือราชาแห่งธรรมทั้งปวงฯ

    อานนฺท ดูกาอานนท์ ธรรมนี้ชื่อว่าพระยาธรรมิกราช เพราะเป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้คือได้ชี้นรก สวรรค์ พระนิพพาน กิเลสตัณหา โดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือกประพฤติตามความปรารถนา"



    มิใช่เป็นเรื่องนอกศาสนาหรอกค่ะ ที่เข้าใจกันว่านอกศาสนา คิดกันไปเองว่าพระผู้สร้าง คือ เป็นตน มีอัตตา มีการเกิดแก่เจ็บตาย และยังมีความทุกข์มีอัตตาตัวตน แบบเทพพรหมทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นเข้าใจผิดค่ะ

    จิตจักรวาลดวงใหญ่ ประกอบด้วยอนุภาคของแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหมดทั้งมวล และสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นก็คือ ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของการสั่นสะเทือนทางพลังงานในทุกมิติในอันที่จะให้กำเนิดสรรพสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นอนัตตาและที่จะมีอัตตาทั้งในมิติของแก่นแท้และในมิติทางกายภาพที่หยาบขึ้นได้เรื่อย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องเริ่มต้นจากจิตวาลดวงใหญ่ทั้งสิ้น เพราะทุก ๆ อนุภาคที่เป็นแก่นแท้ของคลื่นความถี่ที่เป็นอนัตตาทั้งระบบในสนามพลังงานสากลถูกนำมารวมกันอยู่ภายในรูปธรรมทางพลังงาน คือ จิตจักรวาลดวงใหญ่ไว้จนหมดจนสิ้น

    มนุษย์จงรับรู้เอาไว้ด้วยว่า "ไม่มี" อนุภาคของคลื่นความถี่ใดในมิติใดเลยที่มีอยู่ในสนามพลังงานสากลในแดนสุญญตา แต่ไม่มีอยู่ภายในนิวเคลียสของจิตจักรวาลดวงใหญ่เลย เพราะมันได้ถูกเก็บบรรจุเอาไว้ภายในรูปธรรมเดียวอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ครั้งที่อุบัติตนเองขึ้นตรงจุดศุนย์กลางของการหมุนวนเวียนของสนามพลังงานสากลนั้น


    ส่วนข้อความด้านล่างนี้....จงพิจารณาเองเถิดค่ะว่า

    พระพุทธองค์จะทรงตรัสว่า สิ่งใดที่อาศัยรูปใดเป็นรูปบัญญัติ รูปนั้นตถาคตละเสียแล้วและตัดรากเหง้าขาดเสียแล้ว แม้ครั้งที่สอง พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสว่า ดูก่อนวัจฉะ! ตถาคตหลุดพ้นแล้วจากสิ่งที่นับว่าเป็นรูป ตถาคตเป็นสภาพลึกซึ้งประมาณมิได้หยั่งถึงได้ยาก..




     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...