เรื่องเด่น ศีลกับการทำสมาธิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสี

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 30 เมษายน 2018.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    mSQWlZdCq5b6ZLkt7UIXAb3ri13eySAX-850x491.jpg


    ศีลกับการทำสมาธิ
    “ ข้อสำคัญมีอยู่อย่างหนึ่ง อันเป็นหัวใจแก่การทำสมาธิ สิ่งนั้นประเภทแรกคือศีลที่จะต้องปฏิบัติ”

    เมื่อรักษาศีลให้ครบไม่ด่างพร้อยแล้ว การกระทำสมาธิย่อมสำเร็จได้โดยเร็ว

    ศีลที่จะให้ปฏิบัติในขั้นแรกก็มีเพียง๕ประการเท่านั้นรักษาศีลทั้ง๕ นี้ให้บริสุทธิ์คงอยู่เสมอไปแล้ว การทำสมาธิ ก็ไม่เป็นเรื่องยากเย็นอะไร ข้อสำคัญพึงจำไว้ว่า การที่จะรักษาศีลนั้น จะมีวิธีการทำการละเว้นไม่ปฏิบัติในทางที่ผิดศีล และประพฤติปฏิบัติที่จะรักษาศีลด้วยเหตุ๓ประการ

    ประการที่๑ เรียกว่า เจตนาวิรัช ได้แก่ตั้งเจตนาที่จะละเว้นการกระทำอันเป็นการผิดศีลของตัวเองโดยไม่ต้องไปกล่าวคำให้ผู้อื่นฟัง คือหมายความว่าโดยไม่ต้องมีการสมาทานศีลนั้น ให้ตั้งจิตเจตนาไว้ภายในอย่างมั่นคง ว่าจะรักษาศีลทั้ง๕นี้ไว้ให้บริสุทธิ์

    ประการที่๒ เรียกว่าสมาทานวิรัช หมายความว่าการที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยวิธีที่กล่าวคำขอศีลจากพระภิกษุ เป็นต้น การขอศีลจากพระภิกษุนั้น เมื่อได้รับศีลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระภิกษุจะอนุโมทนาศีลและให้พร จงรับทั้งศีลและพรนั้น มิใช่ตั้งใจรับแต่พรแต่ศีลนั้นปล่อยไปหาประโยชน์อันมิได้ เมื่อสมาทานศีลนั้นแล้วก็พึงประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามสิ่งที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะรักษาศีลนั้นให้บริสุทธิ์

    ประการที่๓ เรียกว่าสมุทเฉทวิรัช คือการละเว้นโดยสิ้นเชิง มิให้มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก เป็นการกระทำขั้นสูงสุด พยายามที่จะกระทำจิตและกาย วาจาให้บริสุทธิ์อย่างสูง คือเป็นสิ่งที่รักษากาย วาจาให้เป็นปกติอยู่ เมื่อกาย วาจาอันเป็นปกติแล้ว จิตย่อมเข้าสู่ความสงบอันเป็นปกติด้วย กิเลสพอกพูนอยู่ในดวงจิตก็ดี อาสวะคือเครื่องดองอันดวงจิตได้ตกลงไปหมักอยู่ก็ดี ย่อมจะลดน้อยถอยลง และเสื่อมสูญไป ทำให้ดวงจิตผ่องใสปราศจากธุลีเศร้าหมอง เป็นจิตที่มีความรุ่งโรจน์ เป็นจิตที่เจริญด้วยการอบรมเนืองๆจากศีลนั้น

    การประพฤติปฏิบัติ ด้วยการตั้งจิตเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติในการผิดศีลทั้ง๓ประการที่กล่าวนี้

    หากเกิดแก่ผู้ใดนั้นย่อมจะได้สมความมุ่งมาดปรารถนา ดังที่มีคำอนุโมทนาและอวยพร “ อิมินา ปัจสิกขาปทานิ สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา สีเลน นพพุติ ยันติ ตัสมา สีบัง วิโสธเย”

    เมื่อจะแปลเป็นข้อความโดยย่อแล้วก็ย่อมจะกล่าวได้ว่า อันศีลทั้งหลายที่ได้ยึดถือและรักษาไว้นี้ ศีลย่อมจะรักษาผู้มีศีลให้มีความสุข ศีลย่อมจะอำนวยผู้มีศีลให้ประสบซึ่งความมั่งคั่งสมบูรณ์

    ศีลนำจิตเข้าสู่ที่อันสงบคือพระนิพพานได้ดังนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ทำตนให้เป็นผู้มีศีลไว้ดังนี้เป็นต้น ศีลย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการที่จะทำจิตให้เกิดสมาธิ

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะตั้งใจกระทำสมาธิจิต นอกจากจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ยังต้องประกอบไปด้วยพรหมวิหาร๔ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ควรจะต้องแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ ญาติมิตร อริศัตรู บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพชนต้นตระกูล ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีอุปการคุณ อารักขาเทวดา และทวยเทพเทวา พรหมมา เป็นต้น และอุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นต้น


    ขอบคุณที่มา :- ที่มา หนังสือ “ประชุมโอวาสฯ”
    . ........ ............................. .......... เปิดดูไฟล์ 4546660
     
  2. ืืnorawonrwon

    ืืnorawonrwon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +42
    สาธุคับ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ผู้ที่ได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ! (ของขวัญเนื่องในวันสำคัญของศาสนา)

    นี่คือส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ของบุคคลที่ได้มีโอกาสพบกับ “ธาตุจิต” ของพระพุทธเจ้า ซึ่งผู้เขียน
    (มายา โลกุตรธรรม) ได้คัดลอกมาจากหนังสือวิญญาณมีจริงหรือ จากประสบการณ์จริงของ พล.ท. สมาน วีระไวทยะ ที่ได้ปฎิบัติธรรมจนได้อภิญญาขั้นสูง ทำให้ท่านสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มากมายหลายครั้ง (ท่านถึงแก่กรรม ในปี 2528) ในขณะที่ท่านกำลังเจ็บป่วยและได้รักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.แพทย์ปัญญา ในปี 2522 โดยสรุปใจความพอสังเขป ดังนี้

    ในขณะนั้นท่านสมานได้เจ็บป่วยหนักมาก จนไม่สามารถรับประทานอาหารได้อยู่
    สิบกว่าวัน ไม่มีเรี่ยวแรง ผอมซูบ มีอาการเจ็บหน้าอก ปวดท้อง นับตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. 2522 จนถึงวันที่ 1 ม.ค. 2523 ที่อาการทรุดหนักรุนแรงที่สุด จนหมอลงความเห็นว่า “หนักมาก... กลัวจะลำบากในวันนั้น” ท่านจึงได้เริ่มทำใจระลึกถึงพระรัตนตรัย และ ครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างสมเด็จโตฯ เป็นต้น พร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “(ถ้า) ลูกถึงคราวจะไปแล้ว ขอให้ไปสะดวก อย่ามีความทรมานเลย เพราะเวลานี้ก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว”

    พออธิษฐานจบท่านก็รู้สึกว่า ท่านกำลังนอนหนุนตักสมเด็จโตอยู่ ! ท่านจึงได้กล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะตาย ก็ขอให้ตายคาตักของหลวงพ่อนี่แหละ” แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า “เจ้ายังไม่ตาย ลูกสมาน เจ้าตายแล้วใครจะมาทำงานให้หลวงพ่อ วัดพรหมรังสีจะสำเร็จได้อย่างไร เพราะว่ายังอยู่อีกมาก อีกนานกว่าจะครบบริบูรณ์ตามแผนที่ได้กำหนดไว้”

    ท่านสมาน = ไม่เป็นไร ถึงลูกตาย ลูกศิษย์คนอื่นก็ยังมี

    สมเด็จโต = ลูกศิษย์อื่น ๆ ก็ตายกันไปหมดแล้ว... ในรุ่นเจ้านี่ก็เหลือเจ้าอยู่คนเดียว

    ท่านสมาน = ถึงลูกตายแล้ว เมียของลูกก็ยังอยู่พอที่จะทำต่อจากลูกได้

    สมเด็จโต = ไม่เหมือนกัน คนเราบารมีไม่เหมือนกัน...

    หลังจากนั้นสมเด็จโตจึงบอกว่าพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จ จะต้องไปเข้าเฝ้าก่อน ท่าน
    สมานจึงขอไปเข้าเฝ้าด้วยคน สมเด็จโตก็ได้อนุญาต แต่ขอไปล่วงหน้าก่อน แล้วจึงหายไป ในเวลาต่อมาท่านสมานจึงรู้สึกว่าจิตมันวูบดับลง แล้วมารู้ตัวอีกที ท่านสมานก็ยืนอยู่นอกห้องคนไข้แล้ว พอมองไปจึงได้เห็นพระพุทธเจ้าเดินนำหน้าพระกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา ท่านจึงนั่งหมอบแล้วคลานเข้าไปกราบพระพุทธบาท พระพุทธเจ้าทรงหยุดพร้อมตรัสว่า...

    “ตถาคตทราบว่าท่านกำลังได้รับความทุกขเวทนาอย่างสูงด้วยโรคาพาธที่เกาะกินร่างกาย และหัวใจอยู่ ตถาคตปรารถนาอวยพรให้ท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นหนักอยู่ในขณะนี้โดยเร็วที่สุดในทันที”

    ท่านจึงกล่าวขอรับพรและก้มกราบ 3 ครั้ง แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องพระของโรงพยาบาลดังกล่าว พร้อมกับตรัสว่า...

    “พระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องขวาสารีบุตร ตถาคตขอให้เธอเจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่สถานที่นี้ และขอให้พระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องซ้ายพระโมคคัลลานะ จงสวดพระสูตรคาถาขับไล่ดวงวิญญาณที่ร้าย ๆในสถานที่นี้ออกไปให้หมด ด้วยคถาคตปรารถนาว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่สร้างกุศลบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนพลเมืองให้พ้นจากทุกข์”
    พระอัครสาวกทั้งสองจึงได้สวดพระคาถาเจริญพระพุทธมนต์ด้วยภาษาที่ท่านสมานไม่ค่อยเข้าใจ ต่อมาเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว พระพุทธเจ้าจึงหันไปทางสมเด็จโต แล้วทรงตรัสว่า...

    “พระมหาสมณะ ตถาคตขอฝากสถานที่นี้ไว้แก่พระมหาสมณะด้วย ได้ช่วยปกครองดูแลขจัดปัดเป่าสิ่งที่เลวร้ายเป็นอวมงคลทั้งหลายให้พ้นจากที่นี่ไป อย่าให้มากล้ำกรายได้ และขอให้นำแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลมาสู่ที่นี้ ถ้าหากสถานที่นี้จะมีเภทภัยอันหนึ่งอันใด ก็ขอให้พระมหาสมณะได้ช่วยขจัดปัดเป่าภัยอันตรายทั้งหลายเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปด้วย”

    สมเด็จโตได้พนมมือฟังมาโดยตลอดแล้วก็ยกมือขึ้นสาธุการ หลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็ลอยขึ้นสู่นภากาศจางหายไป ต่อมาท่านสมานก็รู้สึกตัวว่ากลับมาที่เตียงนอน แล้วความเจ็บปวดที่หัวใจ, ความแน่นในหน้าอก, ความแสบท้องก็หายไปในทันที ! จนทำให้หมอที่มาตรวจอาการพากันแปลกใจที่หายดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดปกติเช่นนี้ ท่านมิได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังในขณะนั้น เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ ในเวลาต่อมาท่านก็พักฟื้นอีก 5 วัน จึงได้ออกจาก ร.พ. ดังกล่าว...

    นอกจากนี้ ท่านยังเคยได้พบและได้รับพรจากพระโพธิสัตว์กวนอิมอีกด้วย !

    ในครั้งแรกที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่ออยู่เหมือนกัน แต่พอวันหนึ่งที่เข้าถึง “จิตเดิมแท้” ด้วยการปฏิบัติแบบไม่ปฏิบัติ(การปฏิบัติธรรมขึ้นสุดท้าย) ผมจึงได้รู้ว่าจิตที่เข้าสู่วิชชาในทุกขณะจิตอย่างพระอรหันต์นั้น ขันธ์ทั้งสี่ในธาตุ
    จิตก็ยังคงใช้งานได้เหมือนเดิม ดังนั้นจิตของพระอรหันต์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่กับที่ได้ละสังขารไปแล้ว ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย !

    นอกจากท่านสมานแล้วก็ยังมีอีกหลาย ๆ ท่านที่มีโอกาสได้พบกับธาตุจิตของพระพุทธเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือผู้ที่จะได้ทำประโยชน์ต่อศาสนานั่นเอง...

    “ถ้ามองที่ตัวก็จะไม่เห็นตัวตน... ถ้าเห็นเป็นคนก็จะไม่เห็นอัตตา” !

    มายา โลกุตรธรรม :- MEDIA=facebook]749402215103670[/MEDIA
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ถ้าโยม อยากเปลี่ยนดวง เปลี่ยนวาสนา ให้เปลี่ยนความคิดเสียก่อน ความคิดนี้แล ที่ทำให้มนุษย์นี้ ดำริชอบ ดำริชั่ว นั้นคือการสร้างกรรมดี และกรรมชั่ว เกิดจากใจ ที่ไปดำริ กิเลสนั้น ก็เกิดจากใจ เมื่อความคิดมันเปลี่ยนได้ การกระทำมันก็เปลี่ยน ราศีโยมก็เปลี่ยน ดวงโยมก็เปลี่ยน
    สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี

    Cr.ป่าบุญ Paboon
     

แชร์หน้านี้

Loading...