มีคำทำนายภัยพิบัติ พระยาธรรมที่ท่านทั้งหลายคิดว่าเชื่อถือได้กันบ้างหรือเปล่า

บางครั้ง การอยู่ใน กฏ โดยปราศจากความเข้าใจในกฏนั้น ก็ทำให้คนยิ่งห่างไกลจาก ธรรมชาติ เพราะต้องการหลบเลี่ยงความทุกข์ ที่ต้องอยู่ภายใต้สิ่งที่ตนไม่ยอมรับและไม่เข้าใจ

อีกหนึ่งหน้าที่ของพระจักรพรรดิ์ ในยุคนี้ อาจจะเป็นการเชื่อมโยงคนเข้ากับธรรมชาติ
ก็ได้นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมชาติของมนุษย์ และธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่นรองลงมา เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจธรรมชาติของกันและกัน และอยู่ร่วมกันสิ่งอื่นอย่างสันติ มีความสุข

 

เส้นวาสนาผมเริ่มจากเส้นสร้อยข้อมือ ยาวยันไปถึง เส้นข้อพับตรงโคนนิ้วของนิ้วกลางเลย เส้นชีวิต ก็ลากยาวไปถึงเส้นสร้อยข้อมือ มีเส้นแตกอ้อมไปโคนนิ้วหัวแม่มือด้วย
ไม่แน่ว่าอายุผมจะเข้าถึงหลัก 100 ได้จริง ๆ

แต่ด้วยโรคเบาหวาน ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยใด ๆ มาทำให้ผมหาย หรือหนุ่มขึ้น ผมน่าจะตายก่อนอายุเข้าหลัก 100

555

 

สิ่งที่ คุณดาราแฟ พูดคือความจริงครับ
ว่ามีอายุหลักร้อย..
ผมจะบอกทุกคนให้ชัดเจน อีดครั้งนะครับ..
ในโลกยุคใหม่นี้ ที่จะถึงนี้ เราจะมีอายุมากกว่า เลข 3 หลักครับ และก็มากกว่า 1000 หลัก - Infinity
เพราะว่าในยุคสุดท้ายนี้ เราจะไม่จำเป็นต้องเกิด และดับเพื่อมาตรัสรู้ ให้ถึงนิพพานอีกแล้ว..
แต่เราจะใช้ภพชาติสุดท้ายนี้ล่ะ อยู่เพื่อขึ้นสู่ยุคใหม่ อยู่เพื่อเรียนรู้ จนกว่าจะตรัสรู้ ให้ถึงนิพพานเลยครับ..
และพวกเราทุกคนจะอ่อนเยาลงประมาณอายุ 20..
นั่นก็เพราะว่าโลกปรับเปลี่ยนพลังงานใหม่ แสงจากดวงอาทิตย์ ทำให้ร่างกายของพวกเราเกิดการวิวัฒนาการครับ..
เพราะฉนั้น พวกเราที่อายุตอนนี้ 50 หรือแก่ ก็มิต้องกังวลใดๆ ครับ ถึงเวลานั้นพวกท่านจะกลับมาหนุ่มอีกครั้ง ส่วนชายโสดทั้งหลาย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะได้พบกับคู่บารมีแท้จริงของพวกท่านครับผม

***โลกนี้ที่ต้องสร้างเพสชายหญิง ขึ้นมา ก็เพื่อให้ก่อกำเนิด พลังงานแห่ง "ความรัก" ความสุขแห่ง "แสงสว่าง" ที่แท้จริง เพื่อมอบพลังให่แก่โลก.. ให้แก่ทุกดวงดาว.. ให้แก้ทุกจักรวาล..ต่อไปครับ

 

ไม่มีอะไรอินฟินิตี้ครับ มีแต่สิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างนั้นของมันอยู่แล้วที่ไม่มีที่สุด
เช่น ความเปลี่ยนแปลง กับ สภาวะนิพพาน

จักรวาลดับสูญ คนเราก็ตายโหงกันหมดแล้ว ตายยันสวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้สิครับ

แต่ก่อนที่จักรวาลจะดับสูญ ผมว่า พวกเราที่มีเลือดมีเนื้อ จะต้องตายโหงกันหมดตั้งแต่เจอพระอาทิตย์ 2-3 ดวง หลังยุคพระศรีอาริย์แล้วล่ะมั้งครับ

องค์พระสัมมาพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสเรื่องการกำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งปรากฏอยู่ใน อัคคัญญสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ดังมีใจความว่า

“ดูกรวาเสฎฐะและภารทวาชะ มีสมัย เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ เหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปิติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฎฐะ และภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวนาน ที่โลกนั้นจะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ เหล่าสัตว์พากันจุติ จากอาภัสสรพรหมลงมาอาศัยอยู่ในโลกนี้….” (ที. ปา. 11/56/76)

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จะมีสมัยหนึ่งถัดจากนี้ไปหลายแสนปีที่ฝนจะหยุดตก และต่อจากนั้นต้นไม้ใหญ่น้อยทั้งปวงก็จะเหี่ยวแห้งและถูกทำลายไปตามกัน ดวงอาทิตย์ดวงที่สองจะเกิดขึ้น มาแผดเผาลำธารใหญ่น้อยให้เหือดแห้งไป เมื่อดวงอาทิตย์ที่สามเกิดขึ้น แม่น้ำ เช่น แม่น้ำคงคา ยมนา ก็จะเหือดแห้งในทำนองเดียวกัน ทะเลสาบและมหาสมุทรก็จะเหือดแห้งไปตามกัน เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ 4, 5, 6 เกิดขึ้นตามมา ครั้นแล้วดวงอาทิตย์ดวงที่ 7 เกิดขึ้น โลกและภูเขาพระสุเมรุก็จะลุกโพลงเป็นไฟไปทั่ว เปลวไฟเหล่านี้ต่อมาก็จะลุกลามเข้าหากันและติดเป็นผืนเดียวกัน กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มาลุกโพลงและแตกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หาเถ้าและถ่านเหลือมิได้ในที่สุด ”


เมื่อโลกพินาศ แตกดับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมืดมน จะเต็มไปด้วยน้ำ ไม่มีพื้นดิน และสิ่งมีชีวิตอื่น โลกก็จะเริ่มแข็งตัวขึ้น เจริญขึ้นไปตามกาลเวลา “จักรวาลทั้งสิ้นนี้เต็มไปด้วยน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตร กลางวัน กลางคืน เดือนหนึ่ง กึ่งเดือน ฤดู และปีก็ไม่ปรากฏ” (ที. ปา. 11/56/65) สิ่งมีชีวิตพวกแรกที่จะลงมาอยู่บนโลก หลังจากที่โลกค่อย ๆ เจริญขึ้น สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะมาจากชั้นอาภัสสรพรหม ซึ่งก่อนที่โลกจะแตกดับ พวกเขาเคยเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม มีสภาพเป็นกายทิพย์ มีฤทธิ์ทางใจ มีปีติเป็นอาหาร รัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย สัญจรอยู่ในอากาศ มีสถานภาพที่ไม่แตกต่างกัน คืออยู่ในสถานภาพที่เรียกว่า “สัตว์” ยังไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ยังขาดลักษณะทางเพศอยู่ ดังพุทธพจน์ที่ว่า “สมัยนั้น จักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ เพศชาย และเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลายถึงซึ่งอันนับเพียงว่า “สัตว์” เท่านั้น…” (ที. ปา. 11/56/76)



http://oknation.nationtv.tv/blog/mylifeandwork/2009/12/03/entry-2


ผมเชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าครับ

 

อันนี้เกิดขึ้นแล้วแต่ ผู้ที่ "ถอดกายเวทนา/กายจิต" ไม่ได้ก็ไม่รู้ และหาก "รู้ไม่ละเอียดพอ" ก็ไม่เห็นภูมิสูงๆอยู่ดี

ส่วนเรื่อง ที่บอกว่า "ใช้ภพชาติสุดท้ายเพื่อ ไม่เกิดแล้วไปนิพพานอีก ในขณะนี้" ย่อมเป็นไปไม่ได้นะครับ "ศาสนาพุทธจะรุ่งเรืองดั่งพุทธกาล แต่ในพุทธกาลไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนต้องนิพพาน" ดังนั้น "เป็นไปไม่ได้ครับข้อนี้"


ส่วน

เรื่องพลังงานใหม่นั้น "ไม่ใช่" เพราะพลังงานจากดวงอาทิตย์ ณ ปัจจุบันขณะ หรืออีก 100 ปี มันก็ยังเหมือนเดิม "ถ้าไม่มีอะไรไปยุ่งกับมัน" ดังนั้นเรื่องวิวัฒนาการ "อาจจะเป็นไปได้" แต่ไม่ใช่ในปัจจุบัน ขณะนี้แน่ๆ ยกเว้นจะมีอุกกาบาต นิวเคลียร์ และอีก ๙ล๙ ซึ่งขอเรียกโดยรวมว่า "เหตุปัจจัย" แล้วกัน

และเรื่องของเพศชาย เพศหญิงนั้น มาจาก "กามาวจร/ส่งจิตออกนอก(รับความรู้สึกจากภายนอก)" ทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพลังงานแห่งรักเช่นกัน และมันเป็นความจริงเพราะ "กำหนัดเกิดจาก การเพ่ง/ดู และรับ ธรรมารมณ์/ความรู้สึก ชอบไม่ชอบเฉยๆ จากภายนอก" และรักค่อยเกิดมาทีหลัง ด้วยการ เพ่ง/ดู แล้วชอบกันทั้งสองฝ่ายหากอารมณ์นั้นๆมัน สัมปยุตาธรรม(เข้ากันได้) แต่หาก วิปยุตาธรรม(เข้ากันไม่ได้) จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตีตัวออกห่าง ซึ่งวัดกันจาก "เพ่ง/ดู ในการกระทำบางอย่างแล้วชอบ/ไม่ชอบ/เฉยๆ หรือ เพ่ง ไปที่รูปร่างแล้วชอบ/ไม่ชอบ/เฉยๆ" ทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งรวมถึงกฏวิทยาศาสตร์ด้วยที่ว่า "น้ำกับน้ำมันจะแยกจากกัน" และ หากมันเข้ากันได้ "มันจะรวมกัน" หรือ "อาจจะไม่รวมกันแต่มันจะปนกัน" ดั่งเช่นคนเฉยๆกับคนสุขจะอยู่ด้วยกัน คนเฉยๆกับคนทุกข์ก็อยู่ด้วยกันได้ "เปรียบเสมือน ตัวแปรที่มีค่าเป็นกลาง" นั่นแล



และโลกก็บ่ได้สร้างสิ่งใดขึ้นมาเพราะ "โลกก็ถูกสร้างด้วยเหตุปัจจัยเช่นกัน" และพอมี "ภพ" แล้วจึงมี "ภูมิ" ซึ่งสัตว์นั้นๆย่อมออกจากภูมินั้นไม่ได้ เช่น "ปลาออกจากสภาวะของน้ำไม่ได้" "มนุษย์ออกจากสภาวะของอากาศไม่ได้" ซึ่งกฏนี้ก็นับถึง "ภพและภูมิละเอียดเช่นกัน เช่นเทวดาโกรธ เวทนา(ความรู้สึกตัว)ว่าสุขนั้นจะค่อยๆหายไปเวทนาจะค่อยๆหนักขึ้นกลายเป็นร้อนรุ่มทนไม่ได้ และเมื่อสภาวะของสวรรค์คือ "ความรู้สึกที่เป็นสุขทั้งหมดที่เบาสบาย" ย่อมเกิดวิปัยุตาธรรม เทวดาจึงจุติทันที มันเป็นเช่นนี้แล เพราะสรรพสิ่งทั้งหมดคือ "กฏธรรมชาติ" ทั้งสิ้น และที่เขาบอกกันว่า "ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์เพราะ วิทยาศาสตร์ = ความรู้ที่ได้จากการทดลอง(ทำ)" ซึ่งใช้หลักการเดียวกันแต่คนละวิธี โดยหลักวิทยาศาสตร์คือ "ทำอุปกรณ์/เครื่องมือตรวจจับ" แต่หากการศึกษาในสิ่งนั้นๆมันไม่มีอุปกรณ์ในการศึกษาจึง"เป็นทางตันทำได้แต่คิด(ทฤษฏี)" แต่พระพุทธเจ้าใช้ "จิตและสติ" ในการศึกษาเพราะจิตและสติมันรู้ทุกอย่างอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์อุปกรณ์อะไรเลย แต่ภาษาของพระไตรที่แปลมากับศัพท์ที่เกี่ยวกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังตรวจสอบไม่ได้ ทำให้ผู้ปฏิบัติยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นั่นเอง ดังนั้นแล้ว "ผมไม่ได้ว่าการคิดนอกกรอบ" แต่ "มันต้องไม่ใช่ทฤษฏี" นะครับ

 

ท่าน sataniel นี้ดูท่าจะไม่ธรรมดา ท่านมีอะไรอยากจะบอกหรือเปล่าครับ

 

ครับ เป็นความรู้ที่ตรงกันครับ.
สมกับเป็นโลกยุคใหม่ ยุคศิวิไลย พลังงานใหม่ อากาศใหม่ อาหารใหม่ ของเดิม ของเก่า ในยุคปัจจุบันนี้ ทิ้งไปหมดเลยครับ...
เป็นคนใหม่ในร่างกายเดิม จิตใจเปลี่ยนแปลง มีแต่ความรัก รักที่มีกำลังมากพอ เพื่อพิทักษ์โลกใบนี้ให้งดงาม.
- อายุคนในยุคใหม่ ตัวเลข 3 หลัก ถึง 4 หลัก เริ่มต้น 3 หลักตั้งแต่ 300 ปีเบื้องต้น.. อายุ 4 หลัก เริ่มต้นตั้งแต่ 1111 ปีขึ้นไปครับ.
- 1111 ในปริศนาจากดวงดาว คือ อายุขัยของคน ในโลกยุคใหม่ครับ.
- 1111 ยังมีความหมาย ธาตุ 4 ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ที่สะอาด.
- 1111 มีความหมาย โลกยุคใหม่ มีคนใจเป็นพระ ตั้งแต่ พระโสดาบัน-พระสกิทาคามี-พระอนาคามี-พระอรหันต์.
- 1111 มีความหมาย มนุษย์สมบัติ-สวรรค์สมบัติ-พรหมสมบัติ-นิพพานสมบัติ.
- 1111 ยังมีความหมายใน มหาปัจเจกพระพุทธเจ้า 1- พระมหาโพธิสัตว์ 1- พระยาธรรมมิกราช 1 - พระเจ้าจักรพรรดิราช 1.
ลงมาทำหน้าที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนาและโลกยุคใหม่ใบนี้ให้ยั่งยืนต่อไป.

 

ในโลกยุคปัจจุบันนี้ - ณ.เวลาปัจจุบันนี้ - ความคิดนี้ - ทฤษฏีนี้- วิชาการนี้ - ทิ้งหมดครับ ใช้ไม่ได้ในโลกยุคใหม่..
เพราะ ไม่เป็นอย่างที่เราคิด - ไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนหรือเลือกไว้ ด้วยว่า มนุษย์ทุกคนไม่มีสิทธิ์คิดเอง เลือกเอง ได้ตามใจตนเอง หรือทฤษฏี หรือวิชาการ เพราะ ระบบต่างๆถูกจัดสรรไว้ครบถ้วนหมดแล้วครับ.

 

พระอาทิตย์ขึ้น 7 ดวง หรือกาลของ "สัตถันตกัปป์" ยังมิใช่ในเวลานี้ เวลานี้เป็นกาลเวลาของยุค "กึ่งพุทธกาล"ในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมหรือสมณโคดม.
"สัตถันตกัปป์" จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 4 คือ หลังสิ้นยุคพระศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย.ยังอีกนานหลายล้านปี.

 

ตอบได้ตรงใจมากครับ

เพราะคำว่า "ใหม่" ในโลกนี้ หมายถึง ไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกมาก่อน ไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้

เพราะฉนั้น ทุกความรู้ และทุกทฤษฎี ทั้งหมดในโลกปัจจุบัน จึงไม่สามารถจะไปอธิบาย ของคำว่า
"ใหม่" ได้ครับ

 

สำหรับยุคกึ่งพุทธกาลนี้ พระศรีอาริยเมตไตรย อวตารดวงจิต (ดวงจิตเล็ก)ลงมาทำหน้าที่ของการรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี ตามสัจจะสัญญาที่ให้ไว้กับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันสมณโคดมเท่านั้น เมื่อครั้ง อธิษฐานบัวหุบ-บัวบาน.
ส่วนดวงจิตใหญ่ของพระศรีอารยเมตไตรย ยังคงทำหน้าที่ที่ชั้นดุสิต เขต สุทธาวาสอยู่
องค์พระปฐม อวตารดวงจิต(ดวงเล็ก) รวมดวงจิตองค์อวตาร 2 ดวงรวมเป็น 1 ดวง คือ
- ดวงจิตองค์อวตาร ของ พระศรีอริยเมตไตรย 1 ดวง.
- ดวงจิตองค์อวตาร ของ องค์พระปฐม 1 ดวง.
- 2 ดวงจิตองค์อวตาร รวมเป็น 1 ดวง ในร่างกายเดียวกัน.ลงมาทำหน้าที่ในกึ่งพุทธกาลนี้..
....อ่านแล้ว เพื่อนๆ หลายๆท่าน คงมีความคิดเห็น ว่า "เป็นไปไม่ได้"..เหลือเชื่อ...ในตำราไม่มี..
...แต่เป็นไปแล้วครับ...

 

ครับผม เพื่อนรัก.
ช่วยกันทำงาน ให้ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน ด้วยรักและมิตรไมตรี เพื่อโลกยุคใหม่และพระพุทธศาสนาครับผม.

 

ต้องเป็นสัตถันตรกัปสมัยสิ้นยุคพระโคดมนี่แหละครับ

เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงยุคกัปไขลง และ กัปนี้ก็ยังไขลงไม่ถึงที่สุด

ดังนั้น ตามความเชื่อของผม สัตถันตรกัป ยังสามารถเกิดขึ้นได้อยู่

ส่วนพระอาทิตย์ 7 ดวง ก็จะมาหลังยุคพระศรีอาริย์ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไปอีก
แต่ผมไม่เคยทราบข้อมูลว่า พระอาทิตย์ 7 ดวง จะมาตอนที่มนุษย์มีอายุกีปี

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน จักกวัตติสูตร ความว่า
“นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกพลมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ ทุปฺปสหํ ยถายิทํ ภิกฺขเว มารพลํ กุสลานํ ภิกฺขเว ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้กำลังสักอย่างหนึ่ง อันข่มได้แสนยาก เหมือนกำลังของมารเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญจะเจริญขึ้นได้ เพราะเหตุที่ถือมั่นในกุศลธรรมทั้งหลาย”
กำลังของมารมีมาก สัตว์โลกทั้งหลายล้วนตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพญามาร เขาเอากิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาบังคับให้ทำอกุศลกรรม กระแสแห่งบาปกรรมครอบงำ ทำให้เกิดความเสื่อม ทั้งอายุ วรรณะ สุขะ พละ ก็เสื่อมหมด และยังทำให้ชาวโลกเสื่อมจากความดีทั้งหลาย เหินห่างจากการสร้างบารมี ยุคแห่งความเสื่อมนี้เรียกว่ายุคที่กัปไขลง มนุษย์จะมีอายุลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียง ๑๐ ปี โดยเฉลี่ยเท่านั้น
* ดังเรื่องที่มีมาในอดีตกาล พระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า ทัฬหเนมิ ผู้ทรงธรรม มีราชอาณาจักรมั่นคง ปกครองทวีปที่มีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนพลแก้ว และขุนคลังแก้ว ทรงมีพระราชโอรสกว่าพันพระองค์ ล้วนกล้าหาญ พระองค์ทรงชนะข้าศึกโดยธรรม ไม่ต้องมีการบังคับ ไม่ต้องใช้อาวุธ ทรงปกครองแผ่นดินมาหลายพันปี ครั้งหนึ่งได้รับสั่งกับราชบุรุษว่า “ถ้าหากเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์เคลื่อนออกจากที่ ก็ให้บอกทันที”
ครั้นต่อมาอีกหลายพันปี ราชบุรุษเห็นจักรแก้วเคลื่อนจากที่ จึงรีบกราบทูล พระองค์ตรัสเรียกพระราชโอรส แล้วรับสั่งว่า “ถ้าจักรแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ใดถอยเคลื่อนจากที่ พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์นั้นจะทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นในช่วงบั้นปลายชีวิต พ่อจะแสวงหาความสุขในเพศสมณะ ลูกจงปกครองแผ่นดินแทนพ่อด้วย” แล้วพระองค์ก็ออกผนวช เมื่อครบ ๗ วัน จักรแก้วจึงค่อยอันตรธานหายไป
พระองค์จึงตรัสกับพระโอรสว่า “ถ้าลูกปรารถนาจักรแก้ว ให้ประพฤติจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ ให้สนานพระเศียร แล้วรักษาอุโบสถศีลในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ จักรแก้วจะปรากฏขึ้นอีก จักกวัตติวัตร คือ การทำความเคารพสักการะนับถือบูชาธรรม มีธรรมเป็นใหญ่ และปกครองแผ่นดินโดยธรรม ให้เว้นจากสิ่งที่เป็นอกุศลธรรม หากมหาชนในแว่นแคว้นไม่มีทรัพย์ จงให้ทรัพย์ และให้หมั่นเข้าไปหาสมณพราหมณ์ในกาลอันสมควร เพื่อปฏิบัติตามโอวาทของท่าน นี่คือจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ”
พระเจ้าจักรพรรดิทุกพระองค์ ได้สืบต่อราชวงศ์ด้วยการประพฤติจักกวัตติวัตรตลอดมา จนถึงพระองค์ที่ ๘ เมื่อจักรแก้วอันตรธานไป ก็เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงประพฤติจักกวัตติวัตร แต่ทรงปกครองประชาราษฎร์ตามความพอพระทัยของพระองค์เอง ประเทศจึงไม่เจริญเหมือนสมัยพระเจ้าจักรพรรดิองค์ก่อนๆ แม้เหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารโหราจารย์และประชาชน ได้ประชุมกันกราบทูลให้พระองค์ประพฤติจักกวัตติวัตรก็ตาม แต่พระองค์กลับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
เมื่อไม่มีการให้ทาน ความขัดสนจึงเกิดขึ้น เมื่อความขัดสนมากขึ้น การลักขโมยก็เกิดขึ้น ครั้นถูกจับได้พระราชาก็พระราชทานทรัพย์ให้ แล้วรับสั่งว่า “ให้เอาไปเลี้ยงชีพ เลี้ยงมารดาบิดา เลี้ยงบุตรภรรยา ประกอบอาชีพการงาน และบำรุงสมณพราหมณ์”
ต่อมาเมื่อการลักขโมยมีเพิ่มมากขึ้นทุกที เพราะหวังว่าพระราชาจะพระราชทานทรัพย์ให้เช่นนี้ พระองค์จึงดำริว่า ถ้าเราให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยอยู่ร่ำไป อทินนาทานก็จะมีมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาทำโทษด้วยการตัดศีรษะขโมยเหล่านั้นเสีย เมื่อต้องแก้ปัญหาด้วยการฆ่า การฆ่าตอบก็เกิดขึ้น พวกขโมยพากันทำอาวุธของมีคมเพื่อไว้ต่อสู้ป้องกันตัว ไม่ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับได้ อีกทั้งทำการปล้นสะดมในหมู่บ้าน ในพระนคร ตลอดจนตามถนนหนทางทั่วทุกหนทุกแห่ง
เมื่อพระราชาไม่ให้ทาน ก็เกิดความขัดสน เมื่อเกิดความขัดสน การลักขโมยก็เกิด ทำให้มีการทำอาวุธ การฆ่าการเบียดเบียนก็เกิดขึ้น แล้วมุสาวาทการโกหกก็เกิดตามมา เมื่อมุสาวาทเกิด อายุวรรณะก็เสื่อมถอย ที่เสื่อมเพราะมนุษย์มีกิเลสเพิ่มขึ้น มนุษย์ที่มีอายุแปดหมื่นปี จะมีอายุลดลงเหลือสี่หมื่นปี สองหมื่นปี บุตรของมนุษย์ที่มีอายุสองหมื่นปี จะมีอายุถอยลงเหลือหนึ่งหมื่นปี เมื่อมนุษย์มีอายุหนึ่งหมื่นปี บางคนมีผิวพรรณวรรณะดี บางคนมีวรรณะไม่ดี การประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่นก็เกิดขึ้น
จากนั้นมนุษย์ที่มีอายุหนึ่งหมื่นปี จะมีอายุถอยลงเหลือห้าพันปี แล้วการพูดจาส่อเสียดหยาบคายก็เกิดขึ้น อายุของมนุษย์จะถอยลงเหลือสองพันห้าร้อยปี อภิชฌา และพยาบาทจะเกิดขึ้น อายุของมนุษย์จะถอยลงเหลือหนึ่งพันปี มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดจึงเกิดขึ้น อายุของมนุษย์จะถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี แล้วธรรม ๓ ประการ คือ อธรรมราคะ วิสมะโลภะคือความเพ่งเล็งโลภจัด และมิจฉาธรรม จึงเกิดขึ้น อายุมนุษย์จะถอยลงเหลือ ๒๕๐ ปี ตอนนี้การปฏิบัติที่ไม่ถูกไม่ควรในมารดา บิดา สมณะ พราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลก็บังเกิดขึ้น
อายุมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ จนถึงยุคที่มนุษย์มีอายุเหลือเพียง ๑๐ ปี เด็กหญิงที่มีอายุ ๕ ปีจะมีสามี แล้วเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ จะอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น จะเหลือเพียงหญ้ากับแก้ที่เป็นอาหารอย่างดี เหมือนข้าวสาลี เนื้อ ข้าวสุก ที่เป็นอาหารอย่างดีในปัจจุบันนี้ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการจะอันตรธานหายไปหมดสิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการจะรุ่งเรืองขึ้น แม้แต่คำว่ากุศลก็ไม่มีใครได้ยิน คนทำกุศลก็ไม่มี
คนทั้งหลายจะประพฤติปฏิบัติผิดต่อมารดาบิดาสมณพราหมณ์ และจะไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เขาจะไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่พ่อ นี่ลุงป้าน้าอา นี่ภรรยาของอาจารย์ สัตว์โลกจะสมสู่ปะปนกัน เหมือนแพะ ไก่ สุกร สุนัข ดังนั้นสัตว์ต่างๆ จะเกิดความอาฆาตพยาบาทคิดร้ายฆ่ากันอย่างรุนแรง แม้ว่าจะเป็นญาติกัน
สัตถันตรกัป ๗ วัน จะเกิดขึ้น มนุษย์จะสำคัญกันและกันว่าเป็นเนื้อ ที่เรียกว่า ยุคมิคสัญญี อาวุธที่แหลมคมจะปรากฏในมือของพวกเขา และจะประหารกันเอง แต่จะมีคนบางพวกที่มีความคิดว่า พวกเราอย่าฆ่ากันเลย เราควรเข้าไปในป่าตามเกาะ ตามซอกเขา มีรากไม้ และผลไม้เป็นอาหารตลอด ๗ วัน
เมื่อครบ ๗ วัน ต่างพากันออกมา และดีใจที่ได้พบกันอีก ต่างตั้งใจทำกุศลรักษาศีล ๕ ทำให้อายุวรรณะเจริญขึ้น อายุของมนุษย์จะเพิ่มขึ้นจาก ๑๐ ปี เป็น ๒๐ ปี ๔๐ ปี ๘๐ ปี ๑๖๐ ปี ๓๒๐ ปี ๖๔๐ ปี สองพันปี สี่พันปี แปดพันปี สองหมื่นปี สี่หมื่นปี แปดหมื่นปี เมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จะมีโรค ๓ อย่างเท่านั้นคือ ความอยากกิน ความไม่อยากกิน และความแก่ ยุคนั้นจะมั่งคั่งรุ่งเรือง จะมีราชธานีชื่อว่า “เกตุมดี” มีพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า สังขะ อุบัติขึ้น แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรย จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ยังโลกนี้ให้พบกับสันติสุขที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง
เราจะเห็นว่า ความเจริญหรือเสื่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ ถ้าทุกคนเป็นผู้ไม่ประมาทประพฤติแต่กุศลธรรม โลกก็เจริญขึ้น สันติสุขที่แท้จริงก็จะบังเกิดขึ้น ดังนั้น ให้พวกเรายึดมั่นในกุศลธรรม ให้ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาให้มากๆ และหมั่นปฏิบัติธรรมให้ได้ทุกวัน ตั้งใจฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้ทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


http://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/สัตถันตรกัป-7-วัน.html

 

- กฏธรรมชาติ ถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สำหรับโลกยุคใหม่.กฏธรรมชาติเดิม ใช้ไม่ได้ เพราะเสียสมดุลย์จนเกินเยียวยารักษาได้.
- กฏแห่งกรรมก็ถูกเปลี่ยน...คนในโลกยุคใหม่ จึงมีอายุยืนยาวและดูอ่อนเยาว์
- กฏและระบบในจักรวาล สุริยจักรวาล ถูกเปลี่ยน เพราะ เสียสมดุลย์ เนื่องจาก เคมี ดาวเทียมต่างๆ ยานอวกาศต่างๆ.
ทั้งหมดเสียสมดุลย์ในความเป็นธรรมชาติของทุกระบบ จึงถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดครับผม.

 

ครับผม
1. สวรรค์มิได้กำหนดให้ กาลสิ้นยุคพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม เป็น"สัตถันตกัปป์ครับผม.
เพราะว่า พระสมณโคดม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มิได้ตรัสรู้เป็นมหาพระพุทธเจ้า.
- พระพุทธเจ้า โปรด นาค-ครุฑ-คนธรรพ์ ขึ้นนิพพานไม่ได้ครับ.
- มหาพระพุทธเจ้า โปรด นาค-ครุฑ-คนธรรพ์ ขึ้นนิพพานได้ครับ.
- สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย คือ มหาโพธิสัตว์ ตรัสรู้ เป็น มหาพระพุทธเจ้า ท่านจึงโปรด นาค-ครุฑ-คนธรรพ์ ขึ้นนิพพานให้หมดก่อน แล้วจึงเกิด "สัตถันตก้ปป์" เมื่อสิ้นยุคในพระพุทธศาสนาของท่านครับ.
2.พระอาทิตย์ 7 ดวง เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันของ กาลสัตถันตกัปป์ครับผม
ล้าง 3 โลกธาตุทีเดียว.
3.กาลเกิดกลียุค ก่อนเกิดสัตถันตกัปป์ คนมีอายุขัย 5-10 -15 ปี ครับ.
- กาลกลียุค มี 3 กาลวาระ คือ
ทุพิขันธ์ตกัปป์
โรคันตกัปป์
สัตถันตกัปป์
สิ้นยุคพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม คือ กาลวาระ โรคันตกัปป์...

 

ครับผม ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย มาตรัสรู้ เป็นมหาพระพุทธเจ้าครับผม มนุษย์อายุขัยเป็นหมื่นๆปี ก็จะมีอายุขัยลดลงเรื่อยๆ จึงเกิด สัตถันตกัปป์ครับผม.

 

อาจจะเป็นความรู้นอกตำรา หรือ ในตำรา ก็ได้ครับ...
- พระโพธิสัตว์ บำเพ็ญเพียรสร้างบารมี 30 ทัศ อวตารไม่ได้.1 ชาติ คือ 1 ทัศ.
ตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า.โปรด นาค -ครุฑ - คนธรรพ์ ขึ้นนิพพานไม่ได้.
- พระมหาโพธิสัตว์ บำเพ็ญเพียรสร้างบารมี 120 ทัศ อวตารได้ 1 ชาติ คือ 1 ทัศ..ตรัสรู้ เป็น มหาพระพุทธเจ้า โปรด นาค - ครุฑ - คนธรรพ์ ขึ้นนิพพานได้.
มหาโพธิสัตว์ จะเสด็จตรัสรู้ เป็นมหาพระพุทธเจ้า เฉพาะในกาลวาระ ที่มนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี อายุพระพุทธศาสนา 150,000 ปี และ อายุพระศาสดา 120,000 ปี เท่านั้น.
...เป็นการเสด็จตรัสรู้ปิดกัปป์และเปิดกัปป์ใหม่..
..สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย เสด็จตรัสรู้ เป็น มหาพระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรย เป็นการเสด็จตรัสรู้ ปิด "ภัทรกัปป์" และเปิด "อนันตกัปป์"
..มหาโพธิสัตว์ที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้วนั้น มี 16 พระองค์..พระศีอาริยเมตไตรย เป็น มหาโพธิสัตว์ องค์ที่ 1...
พระโพธิสัตว์และพระมหาโพธิสัตว์ ลงมาบำเพ็ญเพียรสร้างบารมี แต่ละทัศนั้น สวรรค์ได้กำหนดไว้หมด ว่าแต่ละชาติแต่ละทัศ พระโพธิสัตว์และพระมหาโพธิสัตว์ ลงมาบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีในทัศใด.หากบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีแต่ละทัศได้ สวรรค์จึงรับรองในแต่ละทัศ ในแต่ละชาติ.

 

ครับผม ขออนุญาตครับ
-อาการตายก่อนตาย ในเวลาของมหันตภัยคือเหตุปัจจัย ทำให้อายุยืนและอ่อนเยาว์ครับ.

 

หยอกกันบ้างครับผม
ดาราแฟร์ ยังดูหนุ่มเลยครับ..