เรื่องโม้ๆ ของผู้โง่เขลา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-กาล, 3 พฤศจิกายน 2018.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อเวลาประมาณ 11:40น.ของวันที่ 19 พ.ย.61
    ภายในแผนกผ่าตัดของ รพ.รัฐแห่งหนึ่ง
    ผมนอนอยู่บนเตียงดมยาสลบนอนแผ่หลา
    ถูกตรึงแขน)(ขาไม่ตรึง)
    กางเป็นไม้กางเขน
    จากนั้น ถูกสวมหน้ากากมีท่อต่อเชื่อม
    และมีเจ้าหน้าที่คอยกดให้ครอบปิดจมูก
    พร้อมบอกให้สูดลมหายใจแรงๆ
    ผมกะจะสูดสัก3 ครั้ง
    แต่พอทำได้ครั้งที่ 2.......
    จากนั้น40 นาทีโดยประมาณ
    ก็มารู้สึกเจ็บที่บาดแผลที่มาร์คไว้
    หลังจากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่
    คนหนึ่งที่เดินไปมาบริเวณห้องผ่าตัด
    เอ่ยปากบอกว่าเสร็จแล้วนะ
    ขณะที่ผมเองยังสงสัยว่า
    แพทย์ได้ผ่าตัด(ไส้เลื่อน)ผมแล้วหรือยัง??

    เพราะช่วงเวลาที่หมดสติจนรู้สึกตัว
    นั้นมันสั้นมาก
    เหมือนงีบหลับยังไม่มีการฝัน
    จิตไม่มีการไหวติงเลย
    ไม่รับรู้ใดๆ
    ทั้งภายในและภายนอก
    ไม่เหมือนบางรายที่ฟื้นมาเล่าเรื่องราวที่
    ได้ไปเที่ยว
    ภพอื่นๆ มา
    แต่ผมเองทั้งสติและจิตมันไม่ทำงาน
    อะไรเลยฮับนิ่งสนิทตลอดการผ่าตัด
    แพทย์ให้พักต่อ1 คืน
    มาตอนบ่ายวันที่ 20
    พ.ย.61 ก็ได้ถูกปล่อยกลับบ้านมา
    นั่งยืนเดินได้แบบ
    ระวังตัวไม่ให้เกร็งหน้าท้อง
    ป้องกันการเจ็บปวดบาดแผลฮับ
    มาโม้เล่าประสบการณ์การสลบที่จิตและสติ
    ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ให้ฟังเล่นๆฮับ
     
  2. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    วันนี้ตื่นมาตอนตีสี่ สติไม่จับที่ลมหายใจ เหมือนลืมตัว จนเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพถึงรู้ตัว ว่าเราไม่ได้กำหนดสติเลย ปกติตอนตื่นนอนจะเห็นสติตัวเองชัด แต่วันนี้ไม่ จนกระทั่งนั่งสมาธิ ทุกอย่างคลุมเคลือ ไม่ดีไม่ร้าย ไม่ชัดเจนเหมือนอะไรมาคลุมๆ เหมือนหมอกของความฟุ้งซ่านมารอบ แต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถือว่าแปลกมากๆ เลยนึกถึงคำที่พระท่านถามหลวงปู่มั่นที่ว่า ใจผมหาย หาใจไม่เจอ หรือว่าผมจะอาการเดียวกันกับพระอาจารย์รูปนั้นกันนะ เลยเร่งความเพียร มองดูลมหายใจตัวเองบ่อยครั้งเข้า คราวนี้ค่อยเห็นชัดเจน


    อาการนี้เพราะเราขาดสติหรือไง แปลกดีเพราะจำได้ว่า ตัวเองแทบไม่เคยวางลมหายใจเลยนะ หรือเพราะอ่านหนังสือมากไป ค่อยๆคิดหาเหตุผล มากกว่าสุ่มเดา แต่ยังไม่แน่ใจ อาจเพราะตัวเราเองเผลอไปอ่านเรื่องส่อไปทางอบายมุขก็ได้ ทุกอย่างเลยคลุมเคลือ ใจเลยไม่สะอาดพอ ฮา เอาเป็นว่าค่อยๆมองค่อยๆดูอารมณ์ตัวเองใหม่ ค่อยปรับใหม่ เพราะทุกอย่างคือประสบการณ์ที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจตัวเอง มองให้เห็นการสัมผัสของ กายสัมผัสและใจสัมผัส ความทุกข์แท้จริงมาจากความยึดมั่นถือมั่นในความอยากและไม่อยาก และรสสัมผัสทางมายา จนก่อเกิดความไม่รู้เพราะโดนความโกรธ ความโลภ ความหลง ควบคุมอยู่


    สอนตัวเองและจ้องมองตัวเองเรื่อยๆ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ดีพอ ต้องเร่งความเพียรให้มากกว่านี้สินะ ถึงจะรู้มากกว่านี้
     
  3. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    วันนี้อาการแบบเดิม เหมือนว่าความคิดจะเกิดขึ้นมากมาย มากจนไม่อาจมองเห็นลมหายใจได้ชัด เมื่อวานก็เป็น เลยทำให้ต้องหยุดเพราะคิดว่าเราฟุ้งซ่านเกินไป แต่ทั้งวันก็หลุดจากสติน้อยมาก ทำไมเราถึงฟุ้งซ่านได้ละ

    เมื่อเช้าเลยเอาใหม่ ในเมื่อเรามองลมหายใจไม่ชัด เปลี่ยนมามองความคิดดู จุดเปลี่ยนอยู่ตรงนี้ กลายเป็นว่าสามารถมองเห็นไม่สิ ต้องบอกว่ามีสติทันความคิดมากกว่าเดิม และทันการดับของความคิดเช่นกัน หากแต่ความคิดที่ผุดๆมาเหมือนน้ำพุ ไม่มีจุดเกิดที่แน่นอนแต่มีสติรับรู้ทันได้

    บางคราวความคิดที่เป็นภาพหายไป กลายเป็นเสียงตรงนี้มักไม่ทันเพราะมันเป็นความคิดของเราคิดว่าแบบนั้นแต่ไม่ใช่ เสียงความคิดไม่ใช่เราคิด อ้าวแล้วใครคิด แต่ช่างมัน ทันก็ดีไม่ทันก็พยายามรู้ตัวเองต่อไปแต่พอทันความคิดก็ค่อยๆสลาย

    นั่งระลึกดู ว่าเราทำให้ความคิดหยุดแบบกดให้ให้หยุดหรือเปล่า ก็เปล่าแต่ความคิดสลายไปเอง นับว่าแปลกดี สติก็แจ่มชัด คราวไหนว่างจากความคิดก็ระลึกรู้ลมหายใจสลับกันไป

    คราวไหนเวทนาเกิดก็รู้ว่าเกิด ก็ระลึกรู้สลับไปมา จนกระทั่งพอใจจึงออกจากสมาธิ

    นับว่าแปลกดี เอาไว้ค่อยตรวจสอบต่อไป
     
  4. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    เช้านี้ ผมได้นั่งสมาธิอีกรอบ ซึ่งการนั่งสมาธิแต่ละวันเหมือนเป็นการสรุปการฝึกสติของแต่ละวันที่ผ่านมา


    ที่จริงแล้วก่อนนอนจะมีการนั่งสมาธิเช่นกันแต่ช่วงเวลาก่อนนอนนั้นมักเจอกับอารมณ์ ความฟุ้งซ่าน เสียงเพลงและคนคุยกันอยู่เสมอ ผลจากการนั่งในช่วงเย็นจึงไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ เพราะสรุปออกมาเป็นตัวอักษรได้ลำบาก แต่ไม่เหมือนช่วงเวลาเช้าหลังตื่นนอนที่ค่อนข้างเห็นผลได้ชัดเจน

    เช้านี้ หลังจากที่นาฬิกาปลุกตอนตีสี่ แม้ว่าจะตื่นก่อนแล้วก็ตาม แต่ความเกียจคร้านยังคงเกาะกุมตัวเองอยู่ จนกระทั่งนาฬิกาปลุกยังใช้เวลาถึง 3 นาที จึงสามารถหลุดออกจากความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก่อนจะปรับท่านั่ง และวางใจให้สงบ

    ในการทำสมาธิของผมได้วางคำบริกรรม คือไม่บริกรรมแล้ว อาศัยการระลึกรู้ มองจุดสัมผัสของลมที่กระทบกับปลายจมูก แต่วันนี้ทันทีที่ลืมตา ก็เจอความคิดเข้าแทรกจนเผลอตัวเองล่องลอยไปในความคิดก่อนจะหลุดออกมาได้โดยไม่แน่ใจว่าเพราะมีสติ หรือเพราะจิตหมดแรง แต่เวลาที่ผ่านไปในความคิดนั้นไม่นาน แสดงว่ายังพอรู้ตัวเองอยู่ เอาใหม่แพ้ครั้งนี้ไม่เป็นไร เราพอสู้ได้ทั้งๆที่คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่รอดไปอีกสองสามรอบ ความคิดของเรานี่แทรกแซงเข้ามาได้แบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ

    ปลุกปล้ำกับความฟุ้งซ่าน เข้าหาลมหายใจอยู่พอควร คราวนี้กลายเป็นหายหมด ทุกอย่างหายหมด หายไปเฉยๆเลย ไม่มีภาพ ไม่มีเสียงของความคิดผุดขึ้นมา ดีละเหมือนเราจะมีโอกาสแก้ไขอยู่ เลยเอาสติมองลงไปบนปลายจมูกอีกครั้ง คราวนี้ทิ้งเวลาเนิ่นนานพอดู อารมณ์และความรู้สึกภายในได้เปลี่ยนไปอีกรอบ

    หากก่อนหน้านี้เรียกว่าสงบ แล้วสิ่งที่พบเจอในเวลานี้เรียกว่าอะไร สงบกว่าหรือ หรืออะไรดีละ มันเหมือนว่าก่อนหน้านี้มีคลื่นความถี่อะไรรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ในเวลานี้เจ้าคลื่นที่แทรกอยู่ในใจหายไปแล้ว ไม่มีแล้ว แม้ลมหายใจก็ยังจับไม่ได้ เวทนาก็เบาบางมากจนเหมือนไม่มี แต่เสียงยังได้ยินไม่สิน่าจะชัดกว่าเดิม เพราะเสียงสุนัขที่หอนอยู่ไกลๆก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้ยินชัดเจนมากขึ้น แต่เจ้าตัวใกล้ๆไม่ได้ยินนี่นา หรือว่าไม่เห่า ยังติดร่างกายอยู่เพราะการกลืนน้ำลายเรายังมี แต่มันสงัดดีแท้ ทั้งๆที่มีความคิดอยู่นะ คุยกับตัวเองได้นะ สภาพนี้คืออะไรกัน เอานะค่อยมาทดสอบใหม่อีกรอบ อาจมีอะไรที่ทำได้มากขึ้นไปอีก

    นั่งอยู่ในอารมณ์สงัดโดยไม่รู้ว่าจะไปไหนต่ออยู่พักหนึ่ง จึงออกจากอารมณ์นั้นมาก ค่อยๆออกมาพร้อมกับการรู้สึกทางกายที่ชัดเจนขึ้น กระดิกนิ้วทีละนิ้วได้แล้ว จากนั้นจึงแผ่เมตตา จบการนั่งสมาธิในเช้านี้

    เมื่อวานนี้ การฝึกสติหากให้คะแนนตัวเองคงได้แค่ 6/10 แม้จะดีแต่ไม่ดีพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นผู้ใฝ่ความเพียร ยังคงปล่อยสติให้ไหลไปตามอารมณ์และความคิดอยู่ วันนี้จึงต้องแก้ไขและปรับปรุงตัวเองใหม่อีกครั้ง

    วันนี้ต้องทำงานด้วย เอาเป็นว่าค่อยฝึกสติต่อในที่ทำงานแล้วกัน
     
  5. ธรรม-กาล

    ธรรม-กาล รอยต่อของลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +65
    ไม่ได้มาโม้นาน วันนี้จะมาเล่าเรื่องพรหมวิหาร 4 กัน
    ที่จริงเคยสงสัยเหมือนกันนะว่า การเจริญพรหมวิหาร 4 ทำยังไง เพราะเวลาเราแผ่เมตตาหรือกรวดน้ำ ส่วนมากก็มักทำไปเฉยๆ หรืออาจจะดูอารมณ์บ้างแต่ก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ หรืออาจจะเฉยๆไปเลยก็มี แต่ว่า พอได้ฟัง พอได้อ่าน ได้ศึกาา พอปรึกษาก็ลงมือปฏิบัติทดสอบดูแต่ไม่เคยได้เล่าต่อ วันนี้จะเอามาโม้ให้ฟัง ใครชอบใจก็อ่านก็เอาไปทดสอบ ใครไม่ชอบใจก็ขอให้ผ่านไป ไม่ต้องอ่านแต่ขอให้วางเฉยกันนะครับ ส่วนหากใครเห็นว่าในส่วนที่ผมทำยังต้องขัดเกลา ยังต้องปรับปรุง ก็ช่วยแนะนำต่อยอดได้นะครับ

    ประสบการณ์ของผมที่จะนำมาแชร์ เป็นช่วงที่กำลังเดินทางมาทำงานด้วยมอร์ไซค์คู่ใจ โดยปกติจิต จะดูลมหายใจและภาวนากำหนดนิมิตไปด้วย แต่ขับมาได้สักครึ่งทาง ในใจเกิดนึกถึงเรื่องเมตตาพรหมวิหารเขา เลยลองแผ่เมตตาดู ทว่าในใจกลับนึกเพิ่มเติมว่า

    ตัวเรานั้น ก็อยากให้มีคนรัก อยากมีคนเข้าใจ อยากมีคนส่งเสริม อยากมีคนเห็นใจ ในใจก็มีเสียงตอบมาว่า แม้สัตว์ใดๆในโลกก็ไม่ต่างกัน
    ต่อมาก็คิดกับตัวเองอีกว่า ตัวเรานั้นก็อยากให้มีคนคอยช่วยเหลือเวลาที่ลำบาก ไม่อยากเจ็บไม่อยากป่วย ไม่อยากทุกข์ อยากมีความสุข
    ในใจก็ตอบมาอีกเหมือนกันว่า แม้สิ่งมีชีวิตใดๆก็เป็นแบบนั้น เสียงที่ได้ยินก็เสียงตัวเองนะ แต่ความรู้สึกแตกต่าง ตัวเราเริ่มเบา ใจเบา โล่งเหมือนจะลอยได้ทั้งๆที่ขับรถ พร้อมๆกับดูลมหายใจไปด้วย จากนั้นก็คิด แค่คิดว่าอยากแผ่ความรู้สึกแบบนี้ให้ออกไปรอบๆ คราวนี้สบายเลย สติแน่ เบา สบาย นี่คืออาการสงบ อาการปิติของสมาธิ แหมทำไมเราไม่ทำตอนนั่งสมาธินะ หรือตอนเราที่รู้สึกอึดอัดนะ ช่วยได้เยอะเลย ต่อจากนี้ก็จะประคองอารมณ์นี้ไป ถ้าเริ่มหลุดเมื่อไหร่ ก็พิจารณาแบบนี้ ขนาดตอนพิมพ์ยังรู้สึกเบา รู้สึกจิตใจอ่อนโยนลงเลย เอามาแชร์มาฝากนะครับ ทางที่ดีต้องควบคู่กับอานาปานไปด้วยนะ ของแบบนี้ทำเองรู้เองเนอะ อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...