รูป-นาม-จะแยกกันได้ ขณะ "ขันธ์5-แตก ทำลาย ตาย" เท่านั้น.

..พุทธวจน-
..ผมก็ค้นหาข้อมูล ไม่พบ ยังไม่มีใครนำมาแสดงให้ทราบว่า.. รูป-นาม-..จะแยกกันตอนมีชีวิตอยู่ เป็นไปได้ไหมครับ..

 

ธรรมชาติเขาไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เรามีความเห็นที่ผิด เพราะความโง่ทำให้เกิดกิเลสจึงบดบังความจริง จึงร้อยรัดสัตว์ให้อยู่ในสงสาร เป็นปัจจยการไม่มีสิ้นสุด

 

แล้วแต่ คน จิฮับ

ไม่ต้องไปรีบร้อน แยก ก้ล่าย

สำคัญ คือ วิเวกวุธ

พระพุทธองค์ ตรัสไว้ แม้ภิกษุผู้เจริญ
ฌาณเหาะเหินเดินอากาส อันตรธาน
จากโลก ไปปรากฏในเทวโลกด้วย
กายเนื้อ อย่าง กาฬเทวินดาบส หาก
ไปแล้ว มีแต่ไปจ๊ะจ๋าองค์มัธยม ไม่รู้
จัก วิเวกวุธ

การจะกำหนดรู้ซึ่งจิต(ไม่ใช่ตน บุคคล
เรา เขา) จะเปน อฐานะ

เมื่อไม่เค้ยไม่เคย กำหนดรู้ซึ่งจิต
เพ่งจิตเฉยอยู่ รู้ซื่อๆ

สัมมาทิฏฐิ ก้เปนอันว่า ไม่มี...สัมมา
ทิฏฐิ กลัดกระดุมไม่ถูกต้อง สัมมา
สมาธิ ก้เปนอันไม่มีในกลุ่มฝึกใดๆ

แต่ถ้า...รู้จัก โตรรงงงงหหน่า...ระวัง!

วิเวกกกก วุธ!

เมื่อไหร่ ก้ เมื่อนั้น ตอนมีชีวิต บาง
ท่านก้แยกได้ สำเร็จธรรม เซิ้งกระ
ติบกันไป

บางท่านระหว่างมีชีวิตไม่ได้อะไร แต่
ในอัสสาสะ ปัสสาสะสุดท้าย พรวด
เดียว ปรินิพพานยีบุคคล ก้มี ฮับ

ม่ายยยมี ฤาษีกินเฮีย! หลอกเปิด
กระมู้ทำเปนโยนหิน แท้จริงหลอก
คนไปกระทำชำเราด้วยหัวกล้วย
เฉพาะคนที่........

 

เป็นไปไม่ได้ค่ะ

 

เอ้า นักมั่งตั้ว ธาตุ ทำไม ไป
งง กาแฟ ละคร้าบ

เวลา เจ้ ชงกาแฟ หรือ โอ
ย์วอนติน เนี่ยะ

พอชงๆ เนี่ยะ ถามว่า.....

รูป กับ นาม แยกกัน ตลอดเวลา
ไม่เคยรวมกันมาแต่ไหนแต่ไร จึง
ชื่อว่า "ธาตุ" หรือ "สิ่งปรมัตถ์" สลาย
ย่อยไม่ได้อีก ไหมฮับ

หรือ พอชง ปัป.......หลอมละลาย
แยกกันไม่ออก เมา...โอย์วอ.....ซะงั้น

 

จะพูดอย่างไรดีค่ะ

เมื่อนามสร้างรูป ถ้าไม่มีนาม...ก็ไม่มีรูป
หรือจะว่า ไม่มีไก่....ก็ไม่มีไข่
หรือจะว่า ไม่มีเหตุ....ผลก็ไม่มี

รูปกับนาม เหตุกับผล ต้องคู่กันเสมอ

เพราะจิตสร้างรูป การเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง...จึงต้องมี

จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มองไม่เห็น จึงกล่าวว่าเป็นนาม

จิตวิญญาณเป็นตัวสร้างรูป หรืออาจกล่าวได้ว่า จิตวิญญาณเป็นเหตุผู้สร้างรูปธรรมเปลือกนอกขึ้นมา(วัตถุตัวตนสิ่งของ) และเร้นอยู่ภายในรูปธรรมที่เป็นเปลือกนอก โดยต่างต้องยึดติดเชื่อมโยงกันจนเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อทำหน้าที่ร่วมกัน ก็คือ เกิดพฤติกรรมการแสดงออกที่เป็น ทางกาย วาจา และใจ

การกระทำใด ๆ ในทางพฤติกรรม ด้วยกลไกอวัยวะสังขารทั้งหลายที่มีอยู่ ล้วนถูกถ่ายทอดมาจากการสั่นสะเทือนของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน

มายา หรือ เงา เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ เพราะต้องผันแปรไปตามคุณสมบัติของแก่นแท้ของมันเสมอ

รูปลักษณ์ตัวตนทั้งหลายของสรรพสิ่งใด ๆ ในมิติทางกายภาพของมนุษย์ ล้วนเป็นผลลัพธ์จากการสั่นสะเทือนของแก่นแท้ที่อยู่ภายในสรรพสิ่งนั้นทั้งสิ้น ที่มีอยู่ 3 กระบวนการ คือ

1.สั่นสะเทือนเพื่อการสร้างใหม่
2. สั้นสะเทือนเพื่อการดำรงอยู่
3.สั่นสะเทือนเพื่อการเสื่อมสลาย

ใช่ค่ะ

ธรรมะ คือ สภาพที่ทรงไว้
ธรรมธาตุ คือ สภาพธรรมที่มีตามจริง (มีอยู่จริง)

ธาตุหรือสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ที่มีคุณสมบัติ มหาสุญญตา หมายความว่า เป็นรูปธรรมทางพลังงานมีอนุภาคคลื่นความถี่ที่เล็กละเอียดที่สุดในระดับที่แม้จะมีก็เหมือนไม่มี เป็นอนุภาคอันเล็กละเอียดของคลื่นความถี่ทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้อนัตตา

ดังนั้น ธรรมธาตุในลักษณะปรมัตถ์ ก็คือ จากเหตุที่อนุภาคเล็ก ๆ มีการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องนี่เอง มันจึงก่อให้เกิดพลังอำนาจหรือพลังงานใหม่ขึ้น

อำนาจด้านบวกที่ใช้เกาะเกี่ยวรั้งอนุภาคของกันและกันไว้อย่างยาวนานและดำรงอย่างยาวนาน เรียกว่า "วัตถุตัวตน " ถ้าเงามายาเกิดเพียงชั่วครู่ขณะ เรียกว่า "ปรากฎการณ์"

ถ้าอำนาจดึงดูดเหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันยังคงมีอยู่ การดำรงรูปลักษณ์ที่มีมวลหยาบ ๆ อันเกิดจากอนุภาคเล็ก ๆ น้อย ๆ จำนวนมากมายที่เกาะเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น ก็อาจดำรงว่ามีจริงอยู่ตลอดไป แต่ถ้าหยุดสั่นสะเทือนเมื่อใด อำนาจด้านบวกก็จะหมดไป การเกาะยึดติดกันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ละอนุภาคจะแยกย้ายเป็นอิสระต่อกันไปทันที สิ่งที่เคยเห็นเป็นมายาอยู่แต่เดิมก็จะสูญสลายหายไปด้วย

จิตที่สร้างรูป หรือ นามสร้างรูป ก็เป็นการนำธาตุมารวมกันเป็นองค์ประกอบขึ้น เมื่อถึงเวลาแตกสลายก็จะดับคืนไปตามธาตุธรรมของสภาพตน

รูปกับนาม ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้แยกออกจากกัน หากจะแยกออกจากกันตอนเสียชีวิต ที่กายสลายไปคืนสู่ธาตุทั้งสี่ จิตวิญญาณแยกออกจากร่างไปตามกรรม นะค่ะ

 

มหาสมณโคดม. ไม่ได้ ประกาศ การสิ้นกรรม ไว้หรือ

 

นั่นเป็นการตายที่ยังไม่นิพพานค่ะ

หมดตัณหา ไม่ว่าทั้งดี และ ชั่ว ก็หมดกรรมค่ะ หมดกรรมก็หมดเชื้อสืบต่อ

 

ที่จริงแล้วถ้ารู้รอบ ต้องรอบรู้ทั้งพระไตรปิฎก และสัจธรรมเหนือมิติโลกด้วยค่ะ

 

จิตยิ้มก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอกค่ะ ถ้าศึกษาพระไตรปิฎกได้ครบทุกเล่มแล้วนำมาพิจารณาอย่างถ่องแท้ น่าจะบอกได้ นี่ค้นคว้ามาบอกกันเพื่อที่จะพิจารณากับพระไตรปิฎกเท่านั้นค่ะ

 

พุทธวจน..จากวงจรปฏิจจสมุปบาท กล่าวไว้ชัดเจน..ครับ

" วิญญาณเกิด-ต้องก้าวลงสู่ นามรูป ทันที".. อีกทั้ง.. "นาม-รูป ดับ-วิญญาณ ก็ต้องดับทันที"..แบบอิทัปปัจยตา..การอาศัยกันและกันเกิดพร้อม-ดับ ก็ต้องพร้อมด้วยครับ..

แล้วมีการสอนให้แยก รูป-นาม-ขณะมีชีวิตอยู่นี่..นี่นะ ใครเป็นต้นคิดครับ"..

 

อจ.วิเวกวุธ..หมายถึงการที่จิตเกิด.. "วิเวก".. ที่ปราศจากเครื่องสองใช่รึไม่ครับ

 

ท่านใครบรรลุธรรมได้เคยอ่านกระทู้ เตรียมตัวให้พร้อม! มันกำลังมาแจ้งข่าวสารการชำระโลก ห้องภัยพิบัติของจิตยิ้มบ้างหรือเปล่าค่ะ มีการไขปริศนาธรรมจักร และลองไปอ่านดูค่ะ เรื่องสภาวะจิตนิพพานมีลักษณะแบบไหน อย่างไร ที่ใครหลาย ๆ เข้าใจว่านิพพานแล้วไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ถ้าเขาอ่านแล้วต้องสะกิดใจ หรือเปลี่ยนใจอย่างแน่นอนค่ะ และคำที่นำมากล่าวนี้ ภาษาที่สื่อมาคือบุคคลที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนกำลังตามหา ที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ค่ะ หน้าที่ 65 ค่ะ

https://palungjit.org/threads/เตรียมตัวให้พร้อม-มันกำลังมา-แจ้งข่าวสารการชำระโลก.643916/

คัดลอกมาให้ก็ได้ค่ะ เห็นว่าเป็นกัลยาณมิตรคนแรกที่ทำให้ตนเองกล้าที่จะนำธรรมมาลงในเว็บพลังจิตนี้ ในครั้งแรกเลยที่เพิ่งมาเล่นตอนแรกไม่กล้าจะแสดงความคิดเห็นเลยค่ะ แต่ด้วยลีลาในการของท่านที่จิตยิ้มกล้าที่จะตอบ กล้านำเสนอความเห็นออกมา ท่านคงจำไม่ได้แล้วล่ะ เมื่อเดือนกันยายน 2556 ครั้งแรกที่ตนเองลงโพสในเว็บนี้นะค่ะ

 

ต๊ออออออออออออออด !!!

 

วิญญานเกิดนามรูปจึงเกิด..ฟังดูดีก่าคำว่า
วิญญานก้าวลงสู่นามรูปนะ เพราะมันทำให้ท่านธรรมบรรลุใครเข้าใจผิดว่าวิญญานกับนามรูปเป็นหนึ่งเดียวกับ ครั้นพอมีคนฝึกฝนให้เห็นตามจิงว่ารูป นามต่างเป็นเอกเทศ (แยกรูปแยกนาม) ท่านจะแย้งทันที จิงป๊ะ..อิอิ