.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    72981615_2723640967654636_4327910579923582976_n.jpg

    "พญานาค"

    โยม ; หลวงปู่เจ้าขา บนยอดภูกุ้มข้าว เขาเขียนไว้ว่า รูพญานาค
    โยมเลยสงสัยว่าพญานาคมีจริงหรือไม่เจ้าค่ะ ช่วงนี้ก็มีข่าวเกี่ยวกับพญานาคออกบ่อยๆ
    หนูเลยอยากมากราบขอโชคขอลาภกับพญานาคท่านหน่ะค่ะ

    หลวงปู่ ; มีสิคุณ พญานาคมีจริงๆนะ

    โยม ; หลวงปู่ทราบได้ยังไงว่ามีเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; (หลวงปู่ยกขวดนมเปรี้ยวชนิดหนึ่งขึ้น) ในนี้มีอะไรคุณ

    โยม ; แลคโตบาซิลลัส เจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; ไอ้ ลัดๆ นี่มันคืออะไร

    โยม ; ภาษาเค้าเจ้าค่ะ คือเบคทีเรีย เป็นสัตว์ตัวเล็กๆเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; ทำไมคุณรู้ว่ามีหล่ะ

    โยม ; ก็นักวิทยาศาสตร์เขาใช้กล้องส่องดูเจ้าค่ะ ดูด้วยตาเปล่าๆ ไม่เห็น

    หลวงปู่ ; เออ การดูของแบบนี้ต้องใช้อุปกรณ์ดู ดูพญานาคก็ต้องใช้อุปกรณ์ดู
    นาคเป็นสัตว์ในโลกทิพย์ ก็ต้องใช้ตาทิพย์ดู ไม่มีตาทิพย์ก็ไม่เห็นของทิพย์
    ไม่มีหูทิพย์ก็ไม่ได้ยินเสียงทิพย์ ไม่มีกายทิพย์ก็ไม่ได้ไปโลกทิพย์
    เราไม่เห็นก็ไม่ได้แสดงว่าไม่มี

    โยม ; อย่างนั้นโยมก็ไปกราบไหว้ ขอโชคขอลาภได้สิเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เหอ ผิดไปกันใหญ่แล้ว รอแต่ไปขอคนอื่น มัวแต่ไปขอคนอื่นไม่ทำเอง
    เราจะได้รึเปล่า พญานาคเขาก็เป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมวัฏฏะสงสาร เคารพกัน
    อยู่ด้วยกันตามอัตภาพ ไม่ใช่ไปกราบไปไหว้ เป็นของนอกเหนือคำสอนพระพุทธเจ้า
    ยิ่งกราบยิ่งไหว้ยิ่งหนีไกลจากปัญญา หนีไกลจากพระธรรม การกราบการไหว้พญานาค
    ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ท่าน อย่าพากันทำเกินคำสั่งคำสอน โชคก็ดี ลาภก็ดีมัวแต่
    ไปแบมือขอคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ คุณก็ไม่ต่างจากขอทาน ไม่ต่างจากลูกนกมัว
    แต่รอเหยื่อที่พ่อแม่เอามาป้อน แขนเราก็มีขาเราก็มีทำไมไม่ทำเอา มัวแต่ขอเขา
    ขอเขา สุดท้ายเราก็เป็นไอ้ขี้ขอ อยากได้อะไรก็ขอ ก็ขอ เป็นพวกขอทานผู้ดี
    ขอทานปัญญาชน เรียนมามากศึกษามาสูงกลับมาทำตัวเป็นขอทาน
    หมูหมาก็เป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมวัฏฏะสงสารทำไมไม่ไปขอ
    พวกนั้นก็สัตว์ในโลกเหมือนกัน

    โยม ; ก็ต่างกันนี่ค่ะหลวงปู่ หมูหมาบันดาลโชคลาภให้หนูไม่ได้

    หลวงปู่ ; ก็นั้นสิ แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า พญานาคเขาดลบันดาลให้คุณได้

    โยม ;..............................

    หลวงปู่ ; คนฉลาดหมูหมาก็บันดาลโชคให้ได้ บางคนเลี้ยงหมูเลี้ยงหมาแล้วขาย
    เขาก็มีโชคมีลาภ โชคลาภจากการทำงานไม่ใช่แบมือขอ เขาพวกนั้นไม่ใช่ขอทานปัญญาชน
    ไม่ใช่ขอทานที่การศึกษาสูงนะ พญานาคเรารู้ว่ามี ก็มี แต่ไม่ใช่ไปเคารพกราบไหว้
    ขอโชคขอลาภ เข้าใจนะ

    โยม ; แล้วบั้งไฟพญานาคมีจริงไหมเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เคยเห็นไหมหล่ะ

    โยม ; เคยเห็นแต่ในทีวีเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; มีหรือไม่มี จะไปถามหาทำไม ถามแล้วได้อะไร

    โยม ; บางคนเขาก็ว่าหลอกลวง

    หลวงปู่ ; อย่าไปอยากรู้เลยว่าหลอกหรือไม่หลอก อย่างน้อยๆ
    บั้งไฟพญานาคก็ทำให้คนแถวนั้นมีรายได้วันออกพรรษา
    นั้นคนมีปัญญาขอโชคขอลาภกับพญานาค เรารู้จักทำมาหากิน ไม่ใช่แบมือขอ..........

    เมตตาธรรม
    พระญาณวิสาลเถร
    หลวงปู่หา สุภโร
    วัดสักกะวัน ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธ์ุ
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    แม่หญิง ท่านนี้" ไม่ได้เป็นแม่ชี เป็นฆราวาสผู้เคร่งในศีล #แตกฉานในฤทธิ์อภิญญา เข้าญาณสมาบัติได้ ผู้หญิงคนนี้สร้างพระพุทโธน้อย จิตแม่หญิงคนนี้ มีฤทธิ์มาก เมื่อไกล้ละสังขารไปแล้ว จึงสำเร็จอรหันต์ ก่อนละสังขาร ทรงภูมิอนาคามี "

    ครั้งนึง มึ ลูกศิษย์ หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญวัดธาตุมหาชัย จ. นครพนม ท่านหนึ่ง ได้เล่าเรื่อง ระหว่าง คุณแม่บุญเรือน กับ หลวงปู่ คำพันธ์ ให้ได้ฟังว่า เคยใด้นำพระไปให้หลวงปู่คำพันธ์เสกในพิธีพุทธาภิเษก พิธีนึง ทางภาคอีสาน แต่หลวงปู่คำพันธ์ ไม่เสกให้ " แต่หลวง ปู่คำพัน ใด้หาเอา ขันธ์ 5 มาบูชาพระ แล้วกราบลงที่พระองค์นั้น 3 ครั้ง ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก จากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ พลางได้กำหนดจิต ตรวจพลังพระ และใช้ญาณทัศนะ อันแจ่มแจ้ง ส่องย้อนอดีต ดูพิธีกรรมการจัดสร้าง และผู้ร่วมพิธีสร้างพระองค์นี้ อย่างละเอียด และถูกต้องแม่นยำอย่างน่าขนลุก ที่สุด ทั้งๆที่หลวงปู่ท่านไม่เคยรู้จักพระรุ่น นี้มาก่อน

    โดย หลวงปู่คำพันธ์ ท่านทราบว่าอันพระองค์นี้ นี้ มี แม่หญิง ท่านหนึ่ง มีส่วนอย่างสำคัญ ในการสร้าง พระองค์นี้รุ่นนี้ โดยหลวงปู่คำพันธ์สามารถ อธิบายรูปลักษณ์ และ คุณสมบัติของ แม่หญิงท่านนั้น ได้อย่างละเอียด ซึ่งตรง กับ "คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม" ทุกอย่าง ไม่มีที่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย หลวงปุ่คำพันธ์ ท่านใด้กล่าว ว่า ผุ้สร้างพระองค์นี้นั้น
    1.ไม่ได้เป็นแม่ชี
    2.เป็นฆราวาสผู้เคร่งในศีล
    3.แตกฉานในฤทธิ์อภิญญา
    4.เข้าญาณสมาบัติได้
    5.ผู้หญิงคนนี้สร้างพระพุทโธน้อย
    6.จิตแม่หญิงคนนี้ มีฤทธิ์มาก
    7.เมื่อก่อนละสังขาร จึงสำเร็จอรหันต์ ก่อนละสังขาร ทรงภูมิอนาคามี

    ข้อมูลอันงามจาก: คุณพุฒิ นิพพาน
    599C1555-12F1-43E4-8A23-92AEF6337D7D.jpeg

    297A6E51-8652-4401-9CA0-D675C6E4AD6D.jpeg
     
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    E742C9F4-2B55-4584-9C04-AE720B71FD1F.jpeg

    #มาทำบุญมากับพระอุปคุต..

    เมื่อปี พ.ศ.2547 หลังจากที่ผมได้ไปกราบหลวงปู่ญาท่านสวน ที่วัดนาอุดม เพราะได้ข่าวมาว่า ญาท่านสวนนั้น ท่านก็เป็นศิษย์ร่วมสายวิชาเดียวกันกับหลวงปู่หมุน ท่านเหล่านั้น ได้สืบสายวิชามาจาก สายสำเร็จลุน พระปรมาจารย์แห่งเมืองจำปาสัก ประเทศลาว
    ตอนนั้นผมได้บูชาพระกริ่งอุปคุตมาจากวัด แล้วก็นำมาเลี่ยมแขวนองค์เดียวด้วยความศรัทธาอย่างยิ่งทั้งในท่านพระมหาอุปคุต และหลวงปู่ญาท่านสวน ในช่วงนั้นผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวขององค์หลวงปู่พิศดูเท่าไรนักถึงคุณวิเศษที่ท่านมี แต่ที่ไปกราบท่านก็เพราะว่า อยากทำบุญกับพระอริยะสงฆ์เนื้อนาบุญสักองค์หนึ่ง เพราะเขาว่ากันว่าหลวงปู่พิศดูท่านเป็นพระอรหันต์
    ขณะนั้นเป็นช่วงวันหยุดผมก็เลยไปทำบุญกับท่าน โดยใส่พระกริ่งอุปคุตชนะมารไปเพียงองค์เดียวเท่านั้น และใส่เอาไว่ในเสื้อยืดคอกลม ถ้ามองมาจะไม่มีทางเห็นพระของผมได้เลย พอผมเดินเข้าไปในกุฏิองค์หลวงปู่พิศดู และจะเข้าไปกราบท่านตรงด้านหน้าที่ท่านนั่งอยู่ ยังไม่ทันที่ผมจะได้นั่งลงด้วยซ้ำ หลวงปู่ท่านก็ชี้นิ้วมาที่ผมและทักขึ้นมาก่อนว่า.. " มาทำบุญมากับพระอุปคุต.."
    ผมรู้สึกสะดุดใจกับคำพูดขององค์หลวงปู่อย่างมาก และก็สงสัยว่าที่ท่านพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าท่านจะล่วงรู้ได้ว่าเราใส่พระอุปคุตของญาท่านสวนมาด้วย แต่พระก็อยู่ในเสื้อมองไม่เห็นแน่นอน พอผมได้ทำบุญถวายปัจจัยเสร็จ ผู้คนก็ไม่ค่อยมีแล้ว ผมจึงถอดสร้อยพระออกให้หลวงปู่พิศดูท่านพิจารณาพร้อมกับถามท่านว่า.. อยากทราบว่าพลังพุทธานุภาพพระนี้เป็นอย่างไรบ้างครับหลวงปู่.?? (จริงๆแล้วคำถามเหล่านี้เป็นคำถามต้องห้าม สำหรับลูกศิษย์ของท่าน เพราะอาจจะเสี่ยงโดนท่านดุได้ ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ยังไม่รู้) แต่ท่านก็เมตตาตอบให้ว่า.. " พระองค์นี้พลังแรง เพราะผู้เสกพระนี้ จิตท่านบริสุทธิ์ด้วย.."
    คำที่หลวงปู่ว่า จิตท่านบริสุทธิ์ นั้นตีความหมายได้ว่าเป็นพระอริยะสงฆ์ หรือว่าพระอรหันต์นั่นเองครับ..(นี่ญาณของหลวงปู่ ท่านเจาะไปถึงจิตของผู้เสกเลยนะครับเนี่ย..)

    ยังมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวกับพระมหาอุปคุต ผมเองก็ถึงกับบางอ้อช่วงนั้นเองว่า จริงๆแล้วหลวงปู่พิศดูเรานี่ก็ ลูกศิษย์สายตรงท่านพระมหาอุปคุตแน่นอน(ที่สุด) ก็ตอนที่ท่านบอกเองนั่นแหละครับ ท่านทักเรื่องพระอุปคุตกับผมนี่หลายครั้งด้วยกัน บางครั้งผมคิดต้องการลองใจท่าน(นิดๆ) เพราะสงสัยในองค์ญาณความรู้ของหลวงปู่พิศท่านว่าจะละเอียดสูง เป็นไปได้ขนาดนั้นเลยหรือไฉน..?? (ความสงสัยในช่วงแรกๆที่พบท่าน)
    มีอยู่ครั้งผมมาหาท่าน ท่านยังจำวัดอยู่ในกุฏิ(หลังเก่า) ผมก็ได้แต่ยืนรอท่านเปิดประตู แต่ท่านก็ยังไม่เปิด จนเวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงได้ #ผมจึงลองตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระมหาอุปคุตของหลวงปู่ญาท่านสวน บอกว่าขอให้ช่วยดลใจให้หลวงปู่พิศดูเปิดประตูให้ผมเข้าไปด้วยเถิด เพราะมีธุระกับท่าน พอสิ้นคำอธิษฐานไม่ถึง 1 นาที หลวงปู่พิศดูก็เดินมาเปิดประตูให้ผม โดยปลดกลอนและผลักประตูออกมา ปึ้ง.. แล้วก็ยืนจ้องหน้าผมอยู่สักครึ่งอึดใจได้ แล้วท่านก็เดินเข้าไปข้างใน ผมก็ได้แต่ งง งง..?? พอเข้าไปเท่านั้น หลวงปู่ท่านก็พูดขึ้นมาอีกว่า.. " เมื่อกี้ตอนเปิดประตูออกไป เราเห็นท่านพ่ออุปคุตยืนอยู่.."
    แต่ขอบอกท่านผู้อ่านทุกท่านไว้ก่อนครับว่า การทำแบบนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะช่วงนั้นผมยังขาดการศึกษาไม่ค่อยรู้กาละเทสะ เพียงแต่นึกเอาเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดว่าท่านจะทราบจริงๆ

    ตั้งแต่นั้นมา ผมยอมหมอบศิโรราบคาบ ถวายความศรัทธาทั้งกาย-ใจ แด่องค์พระมหาอุปคุต ญาท่านสวน และหลวงปู่พิศดูไว้เหนือเศียรเกล้า กราบเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์สูงสุดยอดไม่มีใดเปรียบ นับตั้งแต่นั้นมา และตราบชั่วชีวิตจะหาไม่ครับ.. สาธุ

    Cr เฟสกลุ่ม หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง โดยสิรภพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2019
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    เรื่องเล่ามาแล้วครับ อานิสงค์กฐิน บุญใหญ่ในการหล่อพระวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    วัตถุมงคลด้านมหาลาภที่วัดโฆสิตาราม
    เมื่อใช้วิชามโนยิทธิถามหลวงพ่อกวยถึงวัตถุมงคลที่พลังสูงที่สุดของท่านถึง 3 ครั้ง ท่านตอบเหมือนกันทั้ง 3 รอบ คือ.....

     
  5. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    72845091_2619132634799010_3535688241380327424_n.jpg

    บางคราวเรา (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท) สงสัยเรื่องนิมิตที่เกิดกับจิต จึงนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นว่า

    “ครูบาจารย์ ถ้านิมิตเกิดขึ้นในขณะภาวนา จะให้ทำอย่างไร”


    “ให้รำพึงถามไปว่าอะไร? หมายถึงอย่างไร? แล้วนิมิตก็จะอธิบายออกมาเอง”

    จึงกราบเรียนถามท่านต่อไปอีกว่า

    “ครูบาจารย์ ก็สิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของจริงนี่ครับ”

    “ก็มันเป็นเพียงของใช้ ของใช้ก็สำหรับใช้ ไม่ใช่จริง” ท่านพระอาจารย์มั่นตอบ แล้วยิ้มเปิดโลกด้วยความเมตตา

    บางทีเริ่มภาวนาก็เกิดความสงบ บางคืนมีนิมิต นี้ไม่ใช่อวด เพราะเป็นถึงความจริง ก็กล่าวถึงความจริงที่มันเกิด

    บางทีเราทำภาวนา หลับตาลงเห็นเป็นเหวลึกๆ อย่างหน้าหวาดเสียว วู้บบ!! ลงไปในเหวนั้นลึก ลึก จนสุดๆ โห!...นี่ ถ้าตกลงไปตายนะนี่ เอ้า!...ตายก็ตายซี่ เพ่งพิศดูรู้อยู่อย่างนั้น ประเดี๋ยวก็หายไป

    บางทีตัวนี้ใหญ่ ใหญ่เท่าตุ่มโตๆ ขนาดนี้ (แสดงมือประกอบ) ตัวเรานี้เป็นตุ่ม ตัวเท่าตุ่ม นี้เรียกว่าอุคคหนิมิตที่มันเกิดขึ้น เอ๊ะ!...ทำไมจิตจึงเป็นอย่างนี้ มันเป็นต่างๆ แต่ทีนี้อบรมจิตเข้า อบรมจิตเข้า จิตก็สงบเข้าไป

    เมื่อภาวนา จิตมักเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็นำข้อสงสัยนี้ไปกราบเรียนถามท่านว่า

    “ครูบาจารย์...กระผมภาวนา จิตเกิดนิมิตปรากฏเป็นอย่างนี้ จะให้พิจารณาอย่างไร?”

    ท่านก็บอกว่า “ให้พิจารณากายนะ”

    ท่านก็เทศนาธรรมให้ฟังต่อไปเลยว่า

    “ฟังให้ดีนะท่านเจี๊ยะ... ปฏิภาคนิมิตนั้น อาศัยผู้ที่มีวาสนา จึงจะบังเกิดขึ้นได้ อุคคหนิมิตนั้นเป็นของไม่ถาวร ต้องพิจารณาให้ชำนาญแล้วเป็นปฏิภาคนิมิต เมื่อชำนาญทางปฏิภาค ทวนกระแสเข้ามาเป็นตน ปฏิภาคนั้นเป็นส่วนวิปัสสนา

    สำหรับอุปจารสมาธิ สามารถรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ สามารถแก้นิวรณ์ได้ แต่โมหะคลุมจิต ถ้าเจริญวิปัสสนาถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว จะต้องทำความรู้ให้เต็มเสียก่อนจิตจึงจะไม่หวั่นไหว

    การที่จะสอนการดำเนินสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน โดยเฉพาะเพียงอย่างใด อย่างหนึ่งนั้นมิได้ เพราะว่าจริตของคนมันต่างกัน แล้วแต่ความฉลาดไหวพริบของใคร เพราะการดำเนินจิตมีหลายแง่หลายมุมแล้วแต่ความสะดวก

    นิมิตทั้งหลาย เกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว ที่แสดงตามนิมิตออกมาทั้งหลายนั้น กรุณาท่านอย่าหลงตามนิมิต ให้พยายามทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิม เพราะนิมิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง หลงเชื่อนิมิตประเดี๋ยวก็เป็นบ้า

    การที่จะแก้บ้านิมิตนั้น ต้องทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิม ถ้าทำอย่างนั้นได้ อย่างบางทีเรานั่งภาวนาอยู่ตามป่าเขา มีเสือมานั่งเฝ้าเราผู้บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าเพียงลำพัง เสือนั้นเป็นเทพนิมิตเสียโดยมาก ถ้าเป็นเสือจริงมันเอาเราไปกินแล้ว”

    ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเมตตาพูดธรรมะให้ฟังเพียงสั้นๆ เท่านี้ก็ก่อเกิดความกินใจเป็นอย่างยิ่ง นึกถึงธรรมะคำสอนและองค์ท่านเมื่อไหร่ น้ำตามันจะปริ่มไหลเพราะความถึงใจทุกที น้ำตานี้จึงเป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามากนะ..............

    หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี.

    Cr พุทธมหาเจดีย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ภูผาแดง
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    75233508_523220681572715_6630737860670521344_n.jpg 75282402_523220658239384_8071489459067027456_n.jpg

    #วัดปากนํ้าภาษีเจริญ
    สร้างองค์พระใหญ่สุดตระการตาท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้า
    ความสูงคาดเท่ากับตึก20ชั้น หน้าตัก 40 เมตร สูง 69 เมตร
    พระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างพระพุทธรูปทองแดง ขนาดใหญ่ยักษ์ ใช้เนื้อทองแดงบริสุทธิ์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ เป็นปางสมาธิขนาดใหญ่ ใจกลางเมือง
    ร่วมบุญกฐิน วันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 นี้

    สร้างพระใหญ่เพื่อเป็นใจกลางสำคัญ ชื่อพระนาม "พระพุทธธรรมกายเทพมงคล"

    ทุกท่านสามารถร่วมทำบุญ
    สร้างพระใหญ่วัดปากน้ำ ได้ที่
    ธนาคารกรุงเทพ
    เลขที่บัญชี 115 4 197 378
    ชื่อบัญชี วัดปากน้ำ

    ถ้าต้องการใบอนุโมทนาบัตรส่งรายละเอียดการทำบุญไปที่หมายเลข fax 02 869 0272

    หรือท่านใดสะดวกมาที่วัดปากน้ำ สามารถร่วมทำบุญสร้างพระ ทางวัดรับบริจาค ๒ จุด
    ๑.สำนักงานประชาสัมพันธ์ของวัด
    ๒.หอวิปัสสนา
    แล้วออกใบอนุโมทนาบัตร

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมบุญนี้
    สาธุๆอนุโมทามิ

    พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดเป็นปูชนียวัตถุสูงสุด ผู้สร้างพระพุทธรูปจะได้ประโยชน์ ดังนี้

    ๑.ได้บุญตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดสร้าง
    อันประกอบด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์จัดเป็น ตถาคตโพธิศรัทธา

    ๒. เมื่อบริจาคทรัพย์ในการสร้างจัดเป็น ทานบารมี

    ๓. เมื่อขวนขวายติดตามตลอดงานจัดสร้างพระปฏิมา
    จัดเป็นกุศลส่วน วัยยาวัจจมัย

    ๔ .เมื่อองค์พระปฏิมาสำเร็จสมบูรณ์ ได้เป็นที่ตั้งแห่งความตามอนุสรณ์ถึงพระพุทธคุณทั้งตนเองด้วย ทั้งผู้อื่นด้วย
    กุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้อาศัยพระพุทธปฏิมา

    ๕. อำนาจแห่งกุศลที่สร้างพระพุทธปฏิมา ส่งผลให้ได้เกิดเป็นคนรูปงาม มีบุคลิกสง่าเป็นที่เคารพรักใคร่ของประชาชน และมีอิสริยยศ บริวาร ทรัพย์สมบัติ ตลอดจนความสุขสถาพร ไม่เป็นโรควิกลวิกาล

    ๖. ปิดอบายภูมิ และส่งให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิทันทีในสมัยกาลมรณะแล้ว หากมีอารมณ์ในกุศลกิจนั้นปรากฏให้จิตก่อนจุติ

    ๗. เป็นการส่งเสริมพุทธศิลป์ให้เจริญแพร่หลาย พุทธศิลป์นั้นในชนที่เจริญทางสติปัญญา เขายกย่องว่าเป็นศิลปะอันสุขุมประณีตละเอียดอ่อน เป็นสัญญลักษณ์แห่งสันติธรรม และปัญญาธนบริสุทธิ์

    พุทธบูชา มหาเตชวันโต
    การบูชาพระพุทธเจ้า มีเดชอำนาจมาก

    พุทโธ เม นาโถ
    พระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง แห่งเรา

    ขอบคุณ เครติดรูปภาพ จาก
    คณะสามเณรวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

    คณะทีมงานไร่บุญทวีทุกท่าน
    ขอเป็นสื่อสะพานบุญ บริวารบุญ
    ในบุญการสร้างพระใหญ่ในครั้งนี้
    ขอแผ่บุญนี้แด่ทุกดวงจิตทุกรูปทุกนาม สาธุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2019
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855


    #ความตาย...#ความเกิดนั้นมีขึ้นอยู่ตลอดเวลา

    "เมื่อคุณหมอ ไพบูลย์ ปุษปธำรง ได้ทำแผลให้เป็นที่เรียบร้อย #ท่านธมฺมวิตกโกก็สวดมนต์อุทิศแผ่ส่วนกุศลให้ แล้ววันนั้นท่านได้กล่าวกับหมอว่า"


    " หมอ #อันความตายและการพลัดพรากจากกันนั้นเป็นของธรรมดา และเป็นไปตามธรรมชาติ เขาตายกันนับตั้งแต่คราวปู่ย่าตายาย เมื่อครั้งโบราณกาลมาแล้ว ถ้าเราพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่า #การตายไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างที่ทุกวันมีคนส่วนมากคิด คนเราเมื่อเกิดมาก็ต้องอาศัยสังขารเป็นที่อยู่อาศัยปกติธรรมดาสังขารเราก็จะมีเวลาจำกัด #ย่อมจะมีการเสื่อมและทรุดโทรมเป็นธรรมดา ฉะนั้นความตายจึงไม่เป็นสิ่งที่เสียหายตรงไหน #หากแต่เป็นเพียงเปลี่ยนสภาพจากหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งเท่านั้น

    #อุปมาเหมือนหมอกับอาตมา ซึ่งในปัจจุบันขณะนี้กำลังคุยกันอยู่ แต่เวลาได้ล่วงเลยดับไปทุกวินาที ทุกชั่วโมง และหมอก็ได้ทำแผลให้อาตมาเสร็จ ประเดี๋ยวหมอก็จะต้องกลับไปบ้าน ส่วนอาตมาก็จะต้องกลับกุฎิ และทุกคนในที่นี้ก็จะต้องกลับไปสู่ที่อยู่อาศัยของตน #นี่ก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของการพลัดพรากจากกัน ทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่ มีสังขารร่างกาย เมื่อเราได้ลุกจากไปแล้ว สถานที่นั้นก็จะว่างเปล่าปราศจากผู้คนไปชั่วขณะ เพราะเราได้แยกย้ายกันกลับไปสู่ที่พัก #เหตุการณ์วันนั้นก็จะเป็นแต่เพียงอดีตเท่านั้น จะมีก็แต่ความทรงจำเท่านั้นแต่จะให้อดีตนั้นย้อนกลับมาใหม่ก็ไม่ได้

    ดังนั้นการตายก็เหมือนกัน #เป็นแต่เพียงการจากไปมิได้สูญไปไหน หากแต่เปลี่ยนจากสภาวะปัจจุบันไปอยู่อีกสภาวะหนึ่ง ซึ่งยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ และเราก็สามารถที่จะระลึกถึงกันได้ #อย่าเข้าใจว่าสูญสิ้นไป #ความตายความเกิดนั้นมีอยู่ตลอดเวลา ขออย่าประมาท"

    นอบน้อม ก้มกราบแทบเท้า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพ ด้วยเศียรเกล้า
    สาธุ #กราบอภิวาทคารวะในธรรมอันประเสริฐ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เหนือเศียรเกล้า ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแพร่โอวาทธรรมและภาพ

    Cr พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ยังครองธาตุขันธ์อยู่แลลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น
     
  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เงินที่เขาร่วมบุญกฐินเอาเข้าสร้างโรงพยาบาลให้หมดทุกบาททุกสตางค์

    โยม ; ยอดกฐินวัดสักกะวัน ปีนี้ ๒๑,๖๙๘,๒๔๒ บาท ครับ หลวงปู่

    หลวงปู่ ; โอโห ... สาธุ สาธุ สาธุ ให้เอาเงินเข้าบัญชีสร้างโรงพยาบาลให้หมด ไม่ให้เหลือไว้สักบาท หลวงปู่ ประกาศไว้แล้ว

    โยม ; ไม่เหลือไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานบ้างเหรอครับ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ฯลฯ

    หลวงปู่ ; ไม่ให้เหลือไว้ ประกาศบอกชาวบ้านไว้แล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหลาย ในการจัดงาน หลวงปู่จะหาชำระให้เอง เงินที่เขาร่วมบุญกฐิน เอาเข้าสร้างโรงพยาบาลให้หมด
    ทุกบาท ทุกสตางค์

    คณะสงฆ์ ; สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    หลวงปู่หา สุภโร
    วัดสักกะวัน อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์
     
  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    5B7AF9B3-80C9-45DE-B93D-1700CD51E7BB.jpeg หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ
    อมตเถระผู้มีอายุยืนนานถึง ๑๒๘ ปี
    วัดเขาถ้ำบุญนาค
    ต.เขาถ้ำบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

    ตอนที่ ๑
    สมัยเด็ก อาชีพเป็นพรานป่า

    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ มีอุบายธรรมเป็นเลิศ แก่กล้าด้วยญาณรู้ ผู้เรืองเวทย์วิทยา อาคมแก่กล้าชานหมากสุดวิเศษ ตระกรุดมหาอุด แคล้วคลาดจากภยันตรายนานับประการ สายสิญจน์ สิงห์ เศษจีวรยอดเยี่ยม พระผงครอบจักรวาล อายุยืน อมตะยากจักหาในปัจจุบัน

    สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้จากสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เศษผ้าถูพื้นของท่านก็แทบไม่มีเหลือ น้ำล้างเท้าของท่านผู้คนก็ยื้อแย่ง ทั้งพวกชานหมากของท่านก็ไม่มีตกค้าง แม้แต่ไม้จิ้มเขี้ยว (ไม่แคะฟันของท่าน) ลูกศิษย์ก็พากันเก็บจนหมดสิ้น และที่หาได้ยากยิ่ง ก็คือ "พระผงรุ่นอายุยืนรุ่นพิเศษ ที่มีเกศาจีวร"

    วัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกอย่าง รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่หลวงปู่จับถือ ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของดีของวิเศษ เป็นสิ่งมงคล เป็นโชคลาภของผู้ที่ได้นำไปบูชา ตลอดจนข้อธรรมของหลวงปู่ก็ลึกซึ้ง หลวงปู่มีลูกศิษย์ที่ชาวพุทธให้การเคารพยกย่องกราบไหว้ด้วยกันหลายองค์ อาทิ เช่น หลวงปู่แหวน สุจินโน วัดดอยแม่ปั๋งเชียงใหม่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี หลวงพ่อเจริญ วัดผักไห่ อยุธยา หลวงพ่อทบ วัดชนแดนเพชรบูรณ์ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ตาคลี นครสวรรค์ อาจารย์สมบูรณ์ วัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี นครสวรรค์ อาจารย์สุพจน์ (เจ๊ก) ฉนฺชาโต วัดเขาถ้ำ อาจารย์รักษ์ พิษณุโลก พระอาจารย์ประเทือง พุทธธมฺโม เขาถ้ำบุญนาคปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่วัดสัมปทานนอก ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ...ฯลฯ

    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่าน ชาตะ เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๒ แรม ๔ ค่ำเดือน ๕ ปีระกา เวลา ๑๗.๔๕ น. ราศีกันย์ เทษาตรีฤกษ์ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่าน มรณะภาพ เมื่อวันพุทธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราข ๒๕๒๐ ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๔ ปีมะเส็ง

    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านชาตะในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์จักรี และท่านมรณะลงในสมัยรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี ท่านเป็นพระภิกษุที่มีอายุยืนนานถึง ๗ รัชกาล

    ผมได้นำวันเกิดที่ได้จากหลานของท่าน ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ จังหวัดสุรินทร์ นำมาให้ อาจารย์เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์ นักพยากรณ์เอกแห่งยุค (เป็นพยากรณ์ลงหนังสือธัมมวิโมกข์ประจำปีวัดท่าซุง ต่อจากพระอรุณ ซึ่งเป็นบิดาที่มรภาพ หลวงพ่อฤาษีดำยอมรับ ผมแทรกข้อมูลส่วนครับ) ท่านได้ตรวจตามหลักโหราศาตร์ สิบลัคณา ปรากฏว่า วัน เวลา ปีแห่งการกำเนิดของท่านเป็นไปตามคุณลักษณะวิเศษต่างๆ ครบถ้วนทุกประการ

    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเกิดที่บ้านหนองฮะ ตำบลหนองฮะ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์

    โยมพ่อของหลวงปู่สี ชื่อ ผา (เซียงผา) ต่อมาใช้นามสกุล ดำริห์ โยมแม่ชื่ ข้อล่อ (ภาษาถิ่น) มีน้องทั้งหมด ๖ คน หลวงปู่สีท่านเป็นคนโต

    คนที่ ๑ เป็นหญิงชื่อ หัว ถึงแก่กรรมไปแล้วในวัยชรา

    คนที่ ๒ เป็นหญิงชื่อ ลุย หรือ มะโล เป็นแม่ของ อาจารย์ก๋อม (บุญมี) อายุ ๘๖ ปี (แม่มะโล มีลูกทั้งหมด ๑๐ คน เหลืออาจารย์ก่อมคนเดียวนอกนั้นตายหมด)

    คนที่ ๓ เป็นหญิงชื่อ เภา เป็นโยมแม่ของ ครูบาอินทร์ (มรภาพแล้ว) ญาคูอินทร์ หรือครูบาอินทร์ ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอีสานหมกเต๋า และวัดหนองลุมพุก ที่หลวงปู่สีท่านเคยจำพรรษา(กำลังจัดทำครับ)

    คนที่ ๔ เป็นหญิงชื่อ ล่อน (แปลว่าเกลี้ยง) ภายหลังอพยพครอบไปอยู่บ้านหนองเหมือนแอ่ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภูปัจจุบัน) ซึ่งเป็นแม่ของ อาจารย์บุญมี บุตรดี ผู้มีฐานะดีใจบุญ

    คนที่ ๕ ชื่อ อิ่ม ดำริห์ ภายหลังอพยพไปอยู่กับ อา (น้องพ่อ) หนองแค จังหวัดสระบุรี

    คนที่ ๖ เป็นหญิง ชื่อ อิ๋ง ถึงแก่กรรม ที่บ้านหมกเต่า ตำบลเบิด รัตนบุรี ยังบ้านป่า บ้านดง การเดินทางไปมาก็แสนยากลำบากกันดารนัก โดยพ่อของหลวงปู่ พ่อเซียงผา และแม่ข้อล่อ จึงได้ตกลงใจอพยพครอบไปหาที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าที่อยู่เดิม

    ทั้งหมดจึงอพยพย้ายเดินทางไปอยู่บ้านยาง (อีเมิน) ตำบลธาตุ แต่ยังอยู่ในเขตอำเภอรัตนบุรี ซึ่งอยู่หางจากท่าน้ำบ้านกล้วยห้วยทับทันราว ๒-๔ กิโลเมตร ในเขตใกล้เคียงที่จะย้ายไปอยู่ใหม่นั้นเป็นพื้นที่มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ในเขตใกล้เคียงก็มีหนองยาง หนองน้ำเกลี้ยง ห้วยทับทันจึงนับว่าเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ณ บริเวณทุ่งบ้านยาง เป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้างไกล พื้นที่ท้องนา และลำเนาป่าอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ

    พ่อเซียงผา และแม่ข้อล่อ จึงพาลูกๆ ซึ่งมีหลวงปู่เมื่อตอนเด็กๆ เดินทางมากับพ่อแม่ในครั้งนั้น พอเดินทางมาถึง "บ้านหมกเต่า" หรือเรียกว่า "บะฮี" ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหนองยางไม่มากนัก แต่เดิมนั้นพ่อเชียงผามีจุดประสงค์จะพาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านยาง แต่เมื่อเดินทางมาถึงบ้านหมกเต่า ได้ยินคนแถวนั้นที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ก่อน เล่าให้ฟังว่า ทางที่ไปสู่บ้านยางต้องผ่านลำน้ำที่ชุกชุมไปด้วยปลิงมากมาย แม้แต่วัวควายทั้งตัวยังถูกปลิงรุมเกาะกินดูดเลือดถึงตายได้...พ่อเชียงผา และแม่ข้อล่อ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประกอบกับลูกเต้าที่อพยพย้ายมาก็ยังเล็กอยู่ เกรงว่าจะได้รับอันตรายในการเดินทางต่อไป จึงตัดสินใจสร้างที่พักตั้งเรือนสร้างครอบครัวอยู่ที่บ้านหมกเต่า ซึ่งอยู่คนละฟากกับ ดงปู่ตาดง หรือ บ้านดงเจ้าปู่ กับบ้านบะฮี ตำบลเบิด อำเภอรัตนบุรี

    ครอบครัวหลวงปู่ จึงตั้งรกรากขึ้นที่บ้านหมกเต่า อยู่ไม่ห่างไกลจากแหล่งน้ำนัก ท่าน้ำบ้านน้ำดำห้วยทับทัน ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นป่าสงวน "สวนรัตนธรรม" ซึ่งมีสำนักสงฆ์มัสสะวิรัติ

    ครั้งกระโน้นบ้านบะฮี หรือที่เรียกกันว่าหมกเต่า ยังเป็นป่ารกชัฏ หรือที่เรียกว่าเป็นป่าดงดิบมีเนื้อที่กว้างไกลหลายพันไร่ ในละแวกใกล้เคียงมีบ้านดงเจ้าปู่ (ดงอีปู่) ดงบังกึ๊ก ดงบักเกว และดงกลาง เป็นป่าดงดิบไปจนจรดน้ำคำ ดงห้วยทับทัน ดงบ้านกล้วย บ้านยาง และต่อเนื่องไปสู่ดงใหญ่ บ้านเบิด บ้านธาตุ บ้านม่วงหมาก ในยุคนั้นป่าแถบนี้ล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด มีทั้งเสื้อโคร่ง เสือลายพาดกลอนขนาด ๘ ศอกตัวใหญ่เท่าม้า เสือดาว เสือดำ หมูป่า ละมั่ง หมี ช้าง ลิง ค่าง ชนี กระต่าย กระแต อีเก้ง งูเห่า งูเหลือม งูจงอาง ไม้ป่า กล้วยไม้ที่สวยงาม นับว่าเป็นดงดิบที่ความอุดมสมบูรณ์มากมายไปด้วยทรัพยากร

    อาชีพผู้คนในป่าดงดิบในขณะนั้นก็คือ อาชีพพรานป่า ทุกชีวิตจะต้องมีความกล้าหาญและอดทน การใช้ชีวิตคือการหาของป่าและสัตว์ป่ามาซือขายแลกเปลี่ยน ยังชีพไปตามสภาพชีวิตบ้านป่า ครับถ้าใครไม่เคยอยู่ป่า ไม่เคยเข้าป่า อ่านพบ ฟังดูก็ไม่สู้จะมีความลึกซึ้งเท่าใดนัก แต่ถ้าหากเคยอยู่ก็จะทราบทันที ชีวิตป่าในยามราตรีกาลนั้นเงียบสงัด มืดทะมึน สั่นคลอนความรู้สึกอย่างประหลาด ยิ่งสำหรับชีวิตผู้ที่เพิ่งจะเริ่มย่างกลายเข้าไปสัมผัสรับรู้ใหม่ ยิ่งมีความหวาดกลัววาบหวิวในความสงัดแห่งราตรีกาล...

    ป่าในยุคก่อนๆ ยุคที่พ่อเซียงผา โยมพ่อของหลวงปู่พาครอบครัวยกย้ายมาตั้งรกรากที่บ้านหมกเต่านั้น ในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานั้น ป่ายุคนั้นยังเป็นป่าไม้ที่มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นสง่าทมึน คงยังรกชัฏ สัตว์ป่ายังท่องเที่ยวอยู่ทั่วไปคึกคักในป่านั้น น้ำท่าบริบูรณ์ ลำห้อยลำธารน้ำซับ (ตาน้ำที่เกิดขึ้นมีอยู่ทั่วไป) ซึ่งทำให้พวกที่อยู่ในป่าไม่ขาดน้ำ...

    ...เด็กชายลี ใช้ชีวิตตั้งแต่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นไอของป่า ได้ติดตามพ่อเซียงผาพรานใหญ่เข้าป่าล่าสัตว์ เพื่อนำมาเป็นอาหาร และเป็นสินค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นข้าวของหยูกยา เสื้อผ้าเครื่องใช่ไม้สวย จวบจนเด็กชายลีอายุ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๔๐๒ จศ.๑๒๒๑ พ่อเชียงผาได้พาเด็กชายลี ไปกราบพระธุดงค์ ซึ่งเคยเป็นสหายเก่าของพ่อเซียงผา ผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม ใช้ชีวิตเพศสมณะถือธุดงค์ผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม เมื่อพรานใหญ่พาเด็กชายลีไปกราบ พระอาจารย์อินทร์ พอเห็นลักษณะเด็กชายลี ก็เพ่งพิจารณาเห็นหน่วยก้านดี มีลักษณะดี ก็เอ่ยถามขึ้นว่า "ลูกชายคุณโยมหรือ" พรายใหญ่เซียงผาก็ตอบว่า ใช่ พระอาจารย์ก็กล่าวขึ้นว่า "คุณโยม อาตมาขอเด็กนี่ได้ไหม? เพราะเขาน่าจะได้ศึกษาเรียนรู้ มากกว่าจะใช้ชีวิตเป้นพรานอยู่ในป่า เพราะลักษณะเป้นคนมีบุญวาสนา อาตมาขอเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูให้โยมให้โยมเองอย่าได้เป็นห่วง"

    พ่อเชียงผาใหญ่แห่งป่าเมืองสุรินทร์ เมื่อสหายรักซึ่งขณะนี้เป็นพระนักปฏิบัติผู้เคร่งครัดในพระวินัย ขอลูกชายตน ก็มองเห็นว่าอนาคตลูกชายจะไปไกลกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่กับตนในป่า และครอบครัวก็มีภาระมาก มีลูกหลายคน จึงได้ยกลูกชายให้พระอาจารย์อินทร์ สหายรักเลี้ยงดูแทนตน

    เด็กชายลี กลับบ้านพร้อมพ่อเซียงผา มากราบลาแม่ข้อล่อ และน้องๆ ออกเดินทางติดตามพระอาจารย์อินทร์ เดินธุดงค์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ หรือเรียกว่า กรุงสยาม ในครั้งกระนั้น

    ในสมัยกว่าร้อยปีโน้นการเดินทางจากสุรินทร์มาสู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เป็นของง่ายเฉกเช่นในยุคปัจจุบันนี้ (๒,๔๐๐-๒,๕๔๐) การธุดงค์แสวงหาวิเวกนั้น ครูบาอาจารย์แต่เดิมมาท่านไม่ให้ติดที่อันเป็นสัปปายะให้ไปในหนทางที่ยากลำบาก จึงจะถึงแก่นแท้แห่งชีวิต การเดินทางบุกป่าฝ่าดง จะต่อสู้กับความลำบากนานัปประการ ความเหน็ดเหนื่อย อากาศที่ไม่คงที่ ธรรมชาติของป่าดงและขุนเขา ไข้ป่า และสัตว์ร้ายหลากหลาย

    เสียงเท้าย่ำอยู่ในป่าของศิษย์และพระอาจารย์ผ่านไปจากวัน สัปดาห์ และเดือน ผ่านป่าต่อป่า ต่อเขตแดนของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด สิ่งต่างๆ ของวันเวลาถูกสั่งสั่งสมให้บังเกิดสัจธรรมแห่งชีวิต

    ป่ายังเงียบวังเวงราวกับปราศจากสิ่งมีชีวิต ความร้อนระอุของแดดยามบ่ายขับเหงื่อออกมาอย่างชุ่มโชก บางครั้งมันก็ไหลเข้าไปในเบ้าตา แสบเหมือนหยอดด้วยน้ำเกลือ เด็กชายลีไม่กล้าเลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้า ไม่กล้าแม้กระทั่งขยับตัว ซึ่งเริ่มทวีความทรมานขึ้นทุกขณะ ด้วยเกรงว่าสัตว์ร้ายมันจะกระโจนเข้ามาทำร้าย ณ ในขณะที่เผชิญหน้ากับ เจ้าเสือร้ายลายพาดกลอนตัวมหึมา ที่ยืนขวางจ้องอยู่ข้างหน้า ในระยะที่ไม่ห่างไกลนัก ทั้งที่เคยออกป่าล่าสัตว์ติดตามพ่อเซียงผา มาก็นับไม่ถ้วย แต่ก็ไม่เคยที่ต้องมาอึ้งตะลึงมิกล้าขยับตัวอย่างเฉกเช่นขณะนี้ เห็นแต่พระอาจารย์อินทร์ ท่านยืนนิ่งสงบอย่างปกติมิได้หวาดกลัว แต่ได้ยินแต่เสียงท่านบริกรรมอย่างแผ่วเบา...และสายตาของเจ้าเสือร้ายที่จ้องมองมายังพระอาจารย์ ทำให้เสมือนหนึ่งตกอยู่ในภวังค์ บัดดลเจ้าเสือลายพาดกลอนมันก็หลบตา และค่อยๆ หันตัวเดินกลับเข้าสู่ป่าทึบอย่างอาการสงบ

    ทุกสิ่งก็คืนสู่สภาพปกติ วินาทีที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและทุกข์ทรมานได้ผ่านชีวิตของเด้กชายลีไปอีกครั้งหนึ่ง เด็กชายลี (หลวงปู่สี) ท่านติดตามอาจารย์อินทร์เดินธุดงค์จากป่าจังหวัดสุรินทร์ ผ่านป่าดงดิบมากมาย ได้ศึกษาสรรพสิ่งต่างๆ โดยรอบตัวมาตลอด และได้รับการสั่งสอนอบรมจากพระอาจารย์ซึ่งเป็นสหายของพ่อเซียงผาด้วยความเมตตาโดยตลอด ได้รับการศึกษาธรรมมากหลากหลาย สรรพสิ่งในการพานพบล้วนเป็นข้อธรรมทั้งสิ้น

    ตอนที่ ๒
    ถวายตัวเป็นศิษย์และบวชเณร กับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)

    พระอาจารย์อินทร์ ท่านได้พาศิษย์รักเด็กชายลี รอนแรมธุดงค์จากป่าลึกดงดิบสุรินทร์จบจนบรรลุถึงเมืองเขตสยาม อันเป็นจุดหมายที่พระอาจารย์อินทร์ ต้องการธุดงค์มาเยี่ยมสหธัมมิกของท่านที่เมืองกรุง ทุกครั้งที่ท่านมากรุงเทพฯ พระอาจารย์อินทร์ะมาพักที่วัดสลัก (วัดมหาธาตุ) หรือไม่ก็วัดระฆังฯ ที่วัดสลัก หรือ วัดมหาธาตุ ปัจจุบัน จะมีพระทางภาคอีสานมาจำพรรษาอยู่ ท่านเป็นพระปฏิบัติทางภาคอีสานท่านจึงมีพระสหธัมมิกอยู่หลายองค์

    ส่วนที่วัดระฆังนั้น พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความสนิทสนมกับขรัวโต (พระธรรมกิตติ) หรือสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ในกาลต่อมา

    พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับขรัวโต เมื่อคราวที่ขรัวโตท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระ กับ พระอาจารย์แสง วัดชลมณีขันธ์ ที่ลพบุรี ในยุค พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระองค์ส่งเสริมวิปัสสนา แต่สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นก็คือ สำนักของอาจารย์แสง ลพบุรี พระอาจารย์แสงเป้นพระเชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมาก

    ณ ที่นี้จะขอแทรกคำอธิบายถึง "ท่านพระอาจารย์แสง" ไว้โดยสังเขป...

    "ที่กล่าวเล่าลือกัน ในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ที่เลื่องลือในอภินิหาร จนถึงกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ตอนคราวเสด็จไปประพาสมณฑลอยุธยา ในปีขาล พ.ศ. ๒๔๒๑ ได้เสด็จมาถึง วัดมณีชลขันธ์ จังหวัดลพบุรี ทรงพระราชนิพนธ์รับสั่งถึงขรัวแสงไว้ว่า "ขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือกันว่าเป็นผู้มีวิชา เดินตั้งแต่เมืองลพบุรี เช้าลงไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ ได้เป็นคนกว้างขวาง เจ้านายขุนางรู้จักมาก ได้สร้างพระเจดีย์สูงไว้องค์หนึ่งที่วัดมณีชลขันธ์ ตัวไม่ได้อยู่ที่วัดนี้หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรราแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์องค์นี้ก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันเรี่ยไรส่งอิฐปูน และพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจำทำไว้แล้วเสร็จตลอดไป หรือทิ้งให้ผู้อื่นช่วยเมื่อตายแล้วไม่ได้ถามดูของเธอก็ดีอยู่"

    บางท่านอ่านข้อความในตอนที่ยกมานี้นั้นเข้าใจกันว่า ท่านเป็นพระอาจารย์ในยุคสมัยรัฐกาลที่ ๕ แต่ความจริงแล้ว พระอาจารย์แสง หรือขรัวแสงนั้นท่านเป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในปลายสัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่เสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยท่านส่งเสริมวิปัสสนาธุระมาก

    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ฟื้นฟูทำนุบำรุงวิทยาการวิปัสสนาธุระ พระองค์โปรดให้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนาทั้งในกรุง และทุกหัวเมืองทั้งเหนือ ใต้ อีสาน มารับพระราชทานบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่ตั้ง พระอาจารย์บอกกรรมฐาน

    ในยุคสมัยนั้นศิษย์พระอาจารย์แสงที่มีชื่อเสียงโดดเด่น ก็ไม่มีใครเกินท่านเจ้าคุณสมเด็จโต เล่ากันว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีความเชี่ยวชาญในทางวิปัสสนาธุระมาก...หลังจากนั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคต

    ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยุ่หัว มีความดำริห์ในพระราชหฤทัย ที่จะทรงแต่งตั้งให้ท่านเจ้าประคุณสมเด้จฯ เป็นพระราชาคณะ จึงได้รับสั่งให้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้งให้เป้นพระราชาคณะ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ได้ทรงทูลขอตัวไม่รับพระราชทานสมณศักดิ์ และได้ออกเดินทางไปธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ จนถึงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เลยไปถึงเมืองเขมร ซึ่งขณะนั้นเขมรยังเป็นเมืองขึ้นของไทยอยู่ เพื่อหนีการแต่งตั้งในครั้งนี้ ขรัวโตท่านจึงมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเด็กชายลี (หลวงปู่สี)

    เมื่อรัชกาลที่ ๓ สวรรคต ปี ๒๓๙๔ รัชสมัยรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ท่านเจ้าประคุรสมเด็จฯ ได้เดินทางเข้าในประเทศแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบข่าวเกีรติประวัติในคุณธรรมของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงทรงมีรับสั่งนิมนต์ให้เข้าเฝ้า และมีรับสั่งแต่งตั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป้นพระราชาคณะที่ "พระธรรมกิตติ" เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ (เวลานั้นท่านมีอายุ ๖๕ ปีแล้ว)...

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทูลลา และออกจากพระบรมมหาราชวังไป หอบเครื่องไทยทานคือ พัดยศ และย่ามพะรุงพะรัง ใครจะช่วยถือท่านก็ไม่ยอมท่าเดียว พอถึงวัดระฆังฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ได้บอกกล่าวกับชาวบ้าน และพระเณรว่า "ในหลวง ท่านให้ฉันมาเป็นสมภารวัดระฆังฯ จ๊ะ" ท่านเจ้าประคุณสมเด้จก็ขึ้นกุฏิ

    ครั้นต่อมาอีก ๒ ปี ถึงปีขาล พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งให้เลื่อนสมณศักดิ์ "พระธรรมกิตติ" ขึ้นเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ว่าที่ "พระเทพกวี"

    พุทธศักราช ๒๔๐๓ ตรงกับ จศ. ๑๒๒๒ พระอาจารย์อินทร์ พระสหมิกธรรมสายวิปัสสนากรรมฐาน กับสมเด็จฯ ซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นที่ "พระเทพกวี" เมื่อท่านมาพำนักที่สำนักวัดสลัด วัดมหาธาตุ ในระยะหนึ่ง ก็พาเด้กชายลีศิษย์รักข้ามฟากไปวัดระฆังฯ พาไปกราบ พระเทพกวี (ขรัวโต) เมื่อพระเทพกวีเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ได้พบพระอาจารย์อินทร์สหมิกธรรม เมื่อครั้งเป็นศิษย์พระอาจารย์แสง ลพบุรี ด้วยกัน และได้พระอาจารย์อินทร์เป็นนำทางดินธุดงค์สู่ประเทศเขมร และป่าดงดิบ ดินแดนแถวเขมร และดินแดนทางภาคอีสาน ขรัวโตกับพระอาจารย์อินทร์ จึงมีความสนิทสนมกันมาก เมื่อได้พบกันก็ดีใจ พระอาจารย์อินจึงให้ลูกศิษย์คือเด็กชายลี เข้าไปกราบพระเทพกวี (ขรัวโต)

    ครับ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เด็กจากบ้านป่า จังหวัดสุรินทร์ มีวาสนาได้เดินทางเข้ากรุง และได้มีโอกาสได้กราบ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ "พระเทพกวี" เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ด้วยพระอาจารย์ของท่านที่นำพามาเป็นพระสหมิกธรรมกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดระฆัง ฝั่งธนบุรี (พระเทพกวี) พอเห็นลักษณะรูปร่างของเด็กชายลี ที่พระอาจารย์อินทร์ สหมิกธรรมของท่านเดินทางมาไกลมาจากจังหวัดสุรินทร์ นำมาฝากไว้ให้เป็นศิษย์ของท่าน ก็ยินดีนักด้วยลักษณะของเด็กชายลีถูกชะตาท่านนัก จึงได้รับเด็กชายลีไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๐๓ เป็นต้นมา

    เด็กชายลี ลูกชายพรานใหญ่ของพ่อเซียงผา ชาวรัตนะจังหวัดสุรินทร์ จึงอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าพระคุณพระเทพกวี เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    พระเทพกวี ได้ให้ความเมตตาต่อเด็กชายลี ด้วยเป็นผู้ที่มีความอดทน ขยัน สนใจในข้อธรรม จึงอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาอักขระขอมไทย จนแตกฉาน กอปร์ไปด้วยเด็กชายลี มีพื้นฐานทางด้านการปฏิบัติธรรมมาดี จากพระอาจารย์อินทร์ ที่ท่านได้ถ่ายทอดความรู้ในด้านการปฏิบัติธรรมให้เป็นพื้นฐาน ตั้งแต่เด้กชายลีติดตามท่านเดินทางมาจากจังหวัดสุรินทร์ นานนับปี

    เด็กชายลี จึงเข้าใจในข้อธรรม มีดวงจิตนิสัยในการปฏิบัติธรรม เมื่อได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันไป ก็เป็นดั่งสายน้ำไหลอารมณ์แนบแน่นเป็นเอกัคคตา...ด้วยความอดทนขยัน หมั่นเพียรอย่างไม่ย่อท้อต่อการเรียนรู้จึงทำให้พระเทพกวีท่านโปรดนัก อบรมสั่งสอน ถ่านทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้เด็กชายลีได้ล่วงรู้ นอกจากการสอนให้รู้หนังสือ อักขระ ขอมไทย และการชี้แนะอุบายธรรมให้เจริญสมถภาวนา และวิปัสสนา...(ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานสมณศักดิ์ให้ ท่านเจ้าพระคุณพระเทพกวีก้ได้เลื่อนขึ้นเป็น "สมเด็จพุฒาจารย์" ปี พ.ศ. ๒๔๐๗)...

    ณ ในกาลนั้น วัดระฆังฯ หนาแน่นไปด้วยฝูงชน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ต่างมาร่วมฉลองที่สมเด็จพระเทพกวี...ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น "สมเด็จพุฒาจารย์ฯ" ณ วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร

    ณ ในงานนี้นั้น มีการบวชพระ บวชเณร ๑๐๘ รูป พร้อมด้วยบวชชีพราหมณ์อีกมากมาย เหล่าคณะศิษย์สมเด็จโตได้ร่วมใจกันจัด

    ในงานนี้เด็กชายลี ไปปลงผมบวชเป็นเณรด้วยเช่นกัน โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งเป็นพระอาจารย์เป็นอุปัชฌาจารย์ให้ จึงนับได้ว่า สามเณรลี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดระฆังฯ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๐๗ จ.ศ. ๑๒๒๖ อายุสามเณรในตอนนั้น ๑๕ ปี

    เมื่อบวชเณรแล้ว ก็ยังรับใช้ใกล้ชิดเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และได้รับการถ่ายทอดวิชาอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดเวลาที่อยู่รับใช้สนองงานเจ้าประคุณสมเด็จฯ นอกจากจะเรียนรู้อักขระขอมไทย ยังร่ำเรียนการทำผง "ปถมัง" ซึ่งเป็นปฐมบท หรือเรียกว่าพระสูตรพระเจ้า ๕ พระองค์ "นะ โม พุท ธา ยะ" ต่อจากนั้นก็เรียกผลจากธาตุสี่ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ

    ๑.อิทธิเจ ธาตุไฟ

    ๒. ฆะเฏสิ ธาตุดิน

    ๓. ตรีสิงเห ธาตุน้ำ

    ๔. มหาพุทธา ธาตุลม

    หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า สูตรนารายณ์สี่กร (นะ มะ พะ ทะ )

    รวมวิชาในการเรียนรู้ทำผงวิเศษให้เกิดขึ้นในโลก ๗ ประการคือ

    ปัถมัง ปฐมบท สูตรพระเจ้า ๕ พระองค์ อันมี นะ โม พุท ธา ยะ

    อิทธิเจ เรียกสูตรธาตุไฟ
    ฆะเกสิ เรียกสูตรธาตุดิน
    ตรีสิงเห เรียกสูตรธาตุน้ำ
    มหาพุทธา เรียกสูตรธาตุลม
    มหาราชปิโยมหาราช มหาพุทธา

    ทั้งหมดที่กล่าวมาในเบื้องต้นนี้ เป็นพระสูตรในการทำผงวิเศษ ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านนำมาผสมสร้างพระเครื่องที่ทรงคุณวิศิษ ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

    นอกจากผงวิศิษที่เกิดขึ้นจากอำนาจแห่งมนต์วิศิษในการรวบรวมธาตุทั้ง ๔ ของโลกแล้ว ยังประกอบไปด้วยผลมวลบุปผาชาติที่มีคุณค่าอันวิศิษและผงว่านยาต่างๆ อีกมามาย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ก้ถ่ายทอดให้ศิษย์ ให้ได้เรียนรู้จนสิ้น สามเณรลีได้ใช้ความเพียรจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระอาจารย์สมเด็จโต ท่านสอนไว้อย่างเช่น ผงเกษร ๑๐๘ ชนิดอันมีชื่อดังนี้ ฯลฯ...นอกจากเกษรดอกไม้นานาพรรณแล้ว ๑๐๘ แล้ว ยังมีว่าน ๑๐๘ ชนิด ฯลฯ... (รายละเอียดส่วนนี้มีมากขอข้ามไป)

    นับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของสามเณรลี (หลวงปู่สี) ท่านได้พบครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐเป็นยอดนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีความรอบรู้ศาสตร์ต่างๆ มากมาย และเป้นผู้สร้างผู้เนรมิตพระสมเด็จที่มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายไปทั่ว จนได้รับสมญานามว่า "เป็นราชาแห่งพระเครื่อง" สูงด้วยคุณค่านานัปการ เป็นที่เล่าขานสืบทอดต่อกันมาเป็นร้อยๆ ปี ตราบปัจจุบันก็มีการกล่าวขานกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนใฝ่หากันอย่างคลั่งไคล้ต่างก้แยกได้ไว้เป็นเจ้าของ

    พระสมเด็จฯ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์จนเป็นพระเครื่องยอดนิยมอันดับหนึ่งนั้น สืบเนื่องมาจากมวลสารที่ประกอบด้วยผงพุทะคุณ หรือผงวิศิษ คือผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช และผงตรีสิงเห ซึ่งเกิดจากการเขียนสูตรและยันต์อักขระแล้วลบให้เกิดผลอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ซึ่งต้องนำมาเสกโดยบทนมัสการ เขียนแล้วลบๆ เสกๆ วันแล้ววันเล่าจนมากพอที่ใช้ผสมเป้นผงพุทะคุร สำหรับสร้างพระเครื่อง...หลวงปู่สี หรือสามเณรลี ในสมัยเป็นศิย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เป็นผู้หนึ่งที่ได้เรียนรู้พระสูตรอันวิเศษต่างจากพระอาจารย์จนครบทุกสูตร...

    ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร
     
  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    EF4D80C5-BB85-45DE-97DC-79CB09103532.jpeg
    คาถาพระขันแก้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    ภาวนาบ่อยๆ แก้ไขปัญหาแลอุปสรรคต่างๆให้ผ่านไปได้ด้วยดี ชีวิตรุ่งโรจน์ ธุรกิจการงานเจริญก้าวหน้า

    "นะ พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    โม พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    พุท พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    ธา พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    ยะ พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุขโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะ ทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ"
     
  11. kumplee

    kumplee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +691
    ร่วมบุญสร้าพระใหญ่ พระพุทธธรรมกายเทพมงคล วัดปากน้ำด้วยครับ
    500 บาท
     
  12. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    37C5E1BD-745E-438D-A4E7-B0343CDCD6A1.jpeg

    ในสมัยก่อนที่วัดปากน้ำ มีงูชุกชุมมาก เรื่องมีอยู่ว่า แม่ชีนาค..ท่านเป็นแม่ชีที่ได้ธรรมกาย มีญาณทัสสนะแม่นยำมาก แม่ชีนาคท่านรักการปฏิบัติธรรม และมีอัธยาศัยชอบไปปักกลดอยู่ในป่าช้า (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกคณะเนกขัมม์)

    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่แม่ชีนาคนั่งสมาธิอยู่ ท่านก็เห็นในนิมิตว่า..วันนี้ท่านจะโดนงูเห่ากัด แถมงูที่ว่านี้..จะยกพวกเลื้อยเข้าจู่โจมรุมกัดท่านที่แขน พร้อมกันทีเดียวถึง 3 ตัว

    เมื่อแม่ชีนาคเห็นดังนั้น ก็รีบบอกโยมแผ้วว่า..

    “น้าๆ ฉันเห็นในญาณนะ.. ว่าวันนี้ฉันจะโดนงูกัดทีเดียว 3 ตัว”

    เมื่อโยมแผ้วได้ฟังดังนั้น ก็พากันไปเรียนให้หลวงพ่อสดทราบ ซึ่งแม่ชีนาคก็รายงานหลวงพ่อสดว่า

    “หลวงพ่อเจ้าคะ..ลูกเห็นในญาณว่า วันนี้ตอนไปเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า จะโดนงูเห่ากัด 3 ตัว”

    พอหลวงพ่อสดได้ฟังดังนั้น ท่านก็พูดว่า..

    “มันจะทำได้เฉพาะเวลาทุ่มหนึ่ง ถ้าเลยทุ่มไปแล้วนี่ มันจะทำไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นนี่ก่อนเวลาทุ่มหนึ่ง เอ็งอย่าออกไปไหนเด็ดขาด”

    (ที่หลวงปู่ท่านห้ามออกไป เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่วิบากกรรมส่งผล ซึ่งถ้าช่วงนี้..เราอยู่ในที่ของเรา และก็อยู่ในธรรม วิบากกรรมมันก็จะผ่านไป)

    แต่หลวงพ่อสดท่านก็เผื่อเหนียวไว้ จึงสั่งให้โยมแผ้วไปเตรียมเรือ และให้เอาน้ำมันใส่เรือ เตรียมเรือไว้ก่อนล่วงหน้า (สมัยนั้นต้องเดินทางกันทางน้ำ) คือ ถ้าโดนงูกัด ก็จะได้รีบพาไปสถานเสาวภาได้ทันเวลา

    แต่เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนแม่ชีนาคจะออกไปปักกลดเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า ท่านก็พยายามดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก แต่ด้วยวิบากกรรมอย่างไรก็ไม่ทราบ ตาท่านลาย ทำให้มองเห็นเข็มนาฬิกาเลย 1 ทุ่มไปแล้ว

    ท่านถึงได้ตัดสินใจออกไป แต่จริงๆ แล้วขณะนั้นยังไม่ถึง 1 ทุ่มเลย และทันใดนั้นเองสักครู่เดียว..หลังจากที่แม่ชีนาคปักกลดเสร็จ อยู่ๆ แม่ชีนาคก็ตะโกนเสียงหลงขึ้นมาเลยว่า..

    “น้าแผ้ว ๆ นี่ฉันโดนกัดแล้ว 3 ตัว”

    จึงรีบพากันไปกราบหลวงพ่อสด สิ่งแรกที่หลวงปู่ทำก็คือ รีบมองดูนาฬิกา และก็พูดขึ้นทันทีว่า

    “นี่มันยังไม่ถึง 1 ทุ่มนี่”

    แล้วท่านก็หันไปบอกแม่ชีนาคว่า...

    “กูบอกมึงแล้วนะ ว่าให้เลยทุ่มก่อน นี่ยังไม่ถึงทุ่มเลย..!!”

    จากนั้นหลวงพ่อสดก็สั่งโยมแผ้วให้ติดเครื่องพาแม่ชีนาคขึ้นเรือไปส่งสถานเสาวภา

    หลวงพ่อสด จันทสโร
    วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
    Cr.SaRaN WiKi
     
  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    75580370_1186877714981000_2138035454388207616_n.jpg

    มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในช่วงที่หลวงพ่อพัฒน์กำลังสร้างวัดอยู่นั้น ท่านได้ป่วยด้วยโรคท้องร่วง และมีอาการหนักมาก เนื่องด้วยข้อจำกัดทางการแพทย์ในสมัยนั้น จึงยากแก่การเยียวยารักษาให้หายได้

    หลวงพ่อจึงได้สั่งเสียไว้ว่า

    "ให้จุดเทียนไว้ข้างกายศพ ติดต่อกันไปอย่าให้เทียนดับ ตลอดเวลา 7 วัน 7 คืน"

    หลังจากสั่งความแล้วไม่นาน ท่านก็สงบแน่นิ่ง สิ้นลมหายใจ ใครต่อใครที่ได้มาเห็นอาการต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า "มรณภาพแล้ว"

    ร่างไร้ลมหายใจของหลวงพ่อพัฒน์ นอนแน่นิ่งอยู่เป็นเวลา 2 วัน 2 คืน ครั้นพอเช้าวันที่ 3 สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น หลวงพ่อได้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก

    หลวงพ่อได้เล่าให้ใครต่อใครฟังว่า ท่านได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วก็พบกับคฤหาสน์อันโอ่โถงใหญ่โตรโหฐาน เหมือนเป็นสถานที่อยู่ของเจ้าขุนมูลนาย ผู้มั่งคั่งร่ำรวยด้วยอำนาจบารมี

    ขณะท่านเดินเข้าไปภายในคฤหาสน์หลังงามนั้น คนดูแลคฤหาสน์ได้ออกมาแสดงอาการต้อนรับท่านด้วยความนอบน้อมพินอบพิเทาเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งท่านสนเท่ห์สงสัย จึงเอ่ยถามทำนองว่า

    "นี่เป็นบ้านของใคร?"

    คนดูแลคฤหาสน์ตอบว่า "เป็นบ้านของท่าน" หลวงพ่อพัฒน์ได้ปฏิเสธว่าท่านไม่มีบ้าน มีแต่วัด เพราะเป็นสมณะ และไม่ยอมรับในสิ่งซึ่งมิใช่วิสัยแห่งภิกษุภาวะ

    ท่านจึงถอยหลังกลับออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นในทันที แต่ด้วยความรีบร้อน เท้าได้ไปสะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่าง (อาจจะเป็นธรณีประตู) ทำให้ล้มลง แล้วก็สิ้นความรู้สึกไปชั่วขณะ ครั้นมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ในตอนที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมานั่นเอง

    หลวงพ่อพัฒน์ นารโท
    วัดพัฒนาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี
    Cr.Saran Wiki
     
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    วันนี้วันพระ รับพรกันครับ
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    2FF87DBC-B826-4ACE-929C-D85C34C717FC.jpeg


    “หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก” อีกหนึ่งอาจารย์ของ “#เสด็จในกรมหลวงชุมพร”

    .........หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก นับเป็นเถราจารย์ที่ทรงคุณวิเศษอย่างยอดเยี่ยม ตอนที่กรมหลวงชุมพรฯได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ให้ไปร่ำเรียนกับหลวงพ่อพริ้ง พระองค์ก็คงแปลกใจไม่น้อย เพราะหลวงพ่อพริ้งนับเป็นพระที่ยังมีอายุไม่มากเมื่อเทียบกับหลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงินและพ่อเฒ่ายิ้ม ที่สำคัญเสด็จในกรมเองก็เจนจบในกสิณธาตุ ชำนาญในการเข้าออกฌานมามากแล้ว ยิ่งตอนที่ร่ำเรียนกับพ่อเฒ่ายิ้มก็สามารถเพ่งลำเทียนจนไส้เทียนขาดกลางพลังจิตขนาดนี้ก็นับว่าเยี่ยมยุทธไฉนต้องไปเรียนกับหลวงพ่อพริ้งดังนั้นเมื่อแรกเจอหลวงพ่อพริ้งสิ่งแรกคือต้องขอลองของลองวิชากันหน่อย เริ่มจากเสกมะพร้าวในครัวให้ผ่าไม่ได้ เสกใบไม้เป็นตัวต่อตัวแตนต่อหน้าหลวงพ่อแต่ใบไม้กลับร่วงกลายเป็นตัวอ่อนของแตนสีขาวๆได้แต่คลานกระดึ๊บๆบินไม่ได้ นั่นแหละเสด็จในกรมจึงรู้ว่าเจอของจริงที่เหนือกว่าเข้าให้แล้ว
    หลวงพ่อพริ้ง บวชมาตั้งแต่เป็นเณรศึกษากรรมฐานจากวัดพลับจนเจนจบกรรมฐานมัชฌิมาตามลำดับ ตามแบบฉบับของสมเด็จสังฆราชสุก ไก่เถื่อน ดังนั้นเรื่องฝีมือด้านอิทธิจิตตานุภาพจึงเฉียบขาดไม่เป็นสองรองใคร ขนาดหลวงพ่อปานวัดบางนมโคซึ่งอาวุโสกว่ายังขอมาเรียนวิปัสสนาและจบวิปัสสนาจากหลวงพ่อพริ้งท่านนี้เช่นกัน

    เรื่องหลวงพ่อพริ้งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อปานนั้น เรื่องนี้บอกเล่าโดยพระภิกษุเชื้อ วิสุทธสีโล วัดบางปะกอก ซึ่งได้เล่าไว้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กอายุ ๑๒-๑๓ ปี ได้ติดตามพระจำรัส ประสารเกตุ พี่ชายของนายแจ่ม ประสารเกตุ (คนเก่าแก่ตำบลบางปะกอก) ไปหาหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเพื่อขอของดีของท่านซึ่งกำลังเริ่มจะมีชื่อเสียง เมื่อเข้าไปถึงวัดก็เข้าไปกราบมนัสการท่าน

    หลวงพ่อปาน จึงได้ถามว่ามาทำไม พระจำรัส ฯ จึงตอบว่ามาขอของดีจากหลวงพ่อท่านจึงได้ถามว่าอยู่กันที่ไหนล่ะ

    พระจำรัสฯ จึงตอบว่าอยู่วัดบางปะกอก ธนบุรี หลวงพ่อปาน จึงบอกว่าไม่มีหรอกของดีที่นี่น่ะ พระภิกษุเชื้อฯ ตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่และยังไม่ได้บวชเรียน จึงพูดว่าที่หน้าหลวงพ่อมีตั้ง ๕ บาตรแน่ะ
    ท่านจึงหัวเราะและกล่าวว่าอยู่วัดบางปะกอกก็มีของอาจารย์ฉันอยู่แล้วนี่นา จะมาเอาของฉันทำไมอีก "หลวงพ่อพริ้งไงล่ะ" และท่านก็ได้มอบให้มาคนละ ๕ องค์ พร้อมกับฝากมาให้หลวงพ่อพริ้งอีกจำนวนหนึ่ง

    เมื่อกลับมาถึงวัดก็มีมีความสงสัย เพราะหลวงพ่อปานท่านบอกว่าเคยเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพริ้ง แต่ทำไมเราไม่เคยเห็นหน้าสักที เราก็อยู่เป็นเด็กวัดมานาน จึงได้ถามหลวงพ่อพริ้งว่า "หลวงลุง หลวงพ่อปานเขาบอกว่าเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงลุง ผมไม่เคยเห็นหน้าสักที"

    หลวงพ่อจึงกล่าวว่า เขาไม่ได้เป็นลูกศิษย์แบบเอ็งนี่ เขามาเรียนกับข้าเพียงคืนเดียว เท่านั้น สอบถามต่อจึงได้ความว่าหลวงพ่อปานขณะนั้นมีอายุมากกว่า หลวงพ่อ ได้มาขอเรียนวิปัสสนาธุระ โดยบอกว่าทราบว่าอาจารย์สำเร็จวิปัสสนา ผมขอสมัครตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนด้วย เพราะเรียนมาหมดธูปเป็นกระบุงๆ แล้วไม่สำเร็จสักที

    หลวงพ่อจึงดำเนินการสอนให้ ซึ่งหลวงพ่อปานศึกษาเพียงคืนเดียวเท่านั้นก็สำเร็จ โดยบอกกับหลวงพ่อปานว่า "เอาละท่านเรียนสำเร็จแล้ว"

    ปล.

    ทั้งนี้หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เกิด พ.ศ.2418

    แต่ประวัติหลวงพ่อพริ้งลงพ.ศ.เกิดไว้ที่ 2412 จึงเข้าใจว่าปีพ.ศ.เกิดของหลวงพ่อพริ้งน่าจะผิดไป

    ทั้งนี้เทียบ พ.ศ.เกิดแต่ละท่านให้เห็นดังนี้

    หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 2353

    หลวงปู่เฒ่ายิ้ม. 2387

    หลวงปู่ศุข วัดปากคลอง. 2390

    พระสังวรานุวงศ์ชุ่ม ปรมาจารย์แห่งวัดพลับ 2396

    กรมหลวงชุมพร. 2423

    คะเนได้ว่าอายุจริงๆของหลวงพ่อพริ้งก็คงไล่เรี่ยกับกรมหลวงชุมพรนั่นเอง
     
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    0AF8D2DC-6C2D-4661-852B-AC9B4F82E97C.jpeg
    #ลูกบุญธรรมของหลวงปู่เทพโลกอุดร
    #หลวงพ่อยีวัดดงตาก้อนทอง


    >> จากคำบอกเล่าต่างๆนั้น ทำให้ได้ทราบว่า หลวงพ่อยีเป็นชาวจังหวัดลพบุรี เมื่อเล็กๆ อายุได้ 8 ขวบ ได้อาศัยอยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่ง ไม่ทราบชื่อแน่นอน แต่หลวงพ่อยีเรียกว่า “หลวงพ่อใหญ่” ได้ธุดงค์ออกป่าหลายแห่ง จนอายุได้ 21 ปี หลวงพ่อยีจึงเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วเป็นพระธุดงค์ ออกเดินแบกกลดสะพายบาตรไปเรื่อยๆ พักตามป่าตามเขาทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ เคยเข้าไป ถึงพม่า เวียงจันทร์ มาลายู

    >> หลวงพ่อยี ท่านเล่าว่า ท่านได้เดินธุดงค์หาความวิเวก จนจิตใจมองเห็น นรก สวรรค์ ยามที่ออกโปรดสัตว์ในตอนเช้า จะมีเทวดา นางฟ้า มาตักบาตรให้ตลอดเวลา ได้บวชเป็นพระถึง 28 พรรษา อายุประมาณ 50 ปี

    >> เมื่อเล็งเห็นว่า ตนเองยังมีกรรมอยู่ จำเป็นต้องลาสิกขาบท ออกมาเป็นฆราวาส หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปหลายๆจังหวัด ใช้ชีวิต แบบฆราวาสเต็มที่ จนครั้งสุดท้าย ได้มาหักร้างถางพง ณ บริเวณที่เป็น "วัดดงตาก้อนทอง" นี้ ซึ่งในสมัยนั้น ยังเป็นป่ารกชัฏอยู่ มีที่ดินทั้งหมดพื้นที่รวม 565 ไร่

    >> ท่านเคยประกอบอาชีพเป็น "อาจารย์สัก" อยู่ยงคงกะพันชาตรีให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่พักหนึ่ง ต่อมาได้ออกบวชอีกเป็นครั้งที่ 2 หลวงพ่อยีได้ตกได้ตกลงใจยกที่ดินถวายเป็นของสงฆ์เสียส่วนหนึ่ง

    >> สิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุด ของวัดดงตาก้อนทอง คือ "อุโบสถ" ใช้เวลาในการสร้างเพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้น แต่ในการรวบรวมปัจจัย มาเป็นค่าวัสดุและแรงงาน ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว งบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 6-7 ล้านบาท การขนส่งวัสดุอุปกรณ์ต้องใช้ทางเกวียน เพราะสถานที่ในการก่อสร้างอยู่ห่างไกลมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยบารมีของหลวงพ่อยี งานก่อสร้างอุโบสถ ก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ และยังเป็นถาวรวัตถุที่งดงาม อยู่มาตราบจนถึงทุกวันนี้ ตัวโบสถ์กว้าง 10 วา ยาว 20 วา สูง 12 วา ชั้นบนเป็นโบสถ์ใต้ถุนสูง ชั้นล่างใช้ทำกิจกรรมทางศาสนา แทนศาลาการเปรียญ นับได้ว่า เป็นโบสถ์อเนกประสงค์หลังหนึ่ง

    >> สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ภายในวัดนั้น มีปัญหาธรรมอยู่หน้าโบสถ์ คือ มีรูปปั้นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ 1 องค์ นั่งบังพระพุทธรูปขนาดเล็กไว้ ปัญหาธรรมนี้ ผู้พบเห็นก็ขบคิดกันเอาเอง อีกด้านหนึ่งมีรูปปั้นคนขี่ช้าง ถัดมาด้านซ้ายมือเป็นป่ามะม่วงหนาทึบ มีพระพุทธรูปในอิริยาบถต่างๆ ตั้งอยู่เรียงราย เป็นระยะๆ มีรูปเคารพของศาสนาพราหมณ์อยู่หน้ากุฎิพระ มีโรงครัวขนาดใหญ่โต แสดงถึง จำนวนญาติโยมที่มาทำบุญที่วัดนี้ ซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต

    >> "โยมผวน โตมา" ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อยี ได้เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมาเป็นโบสถ์หลังนี้ หลวงพ่อยี ได้ปัจจัยในการสร้างโบสถ์มาจาก การใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ช่วยให้ลูกศิษย์มีฐานะร่ำรวยขึ้น แล้วบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้น ก็นำเงินไปช่วยท่านในภายหลัง ท่านสามารถ เสกกระดาษให้เป็นใบละร้อย, เสกดินให้เป็นทองคำ, เสกใบไม้ให้เป็นเงิน หรือแม้บางครั้งก็ เสกใบไม้เป็นกบ นำมาทำอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ก็เคยปรากฏมาแล้ว หรือเรื่อง "การบิณฑบาตข้าวทิพย์จากเทวดา" หลวงพ่อยี ท่านเดินออกไปห่างจากครัวไม่ถึง 10 เมตร ท่านยืนทำสมาธิที่ต้นมะม่วงใหญ่ ไม่นานนักก็เดินกลับม าพร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ เต็มบาตร ข้าวทิพย์นี้มีกลิ่นหอมมาก ทิ้งไว้ก็ไม่บูด แต่จะแห้งไปเองเหมือนข้าวตาก

    >> จากการที่ท่านสร้างอุโบสถ์นี้ ทำให้ท่านต้องเดินทางไปกรุงเทพฯบ่อยๆ สถานที่พักของท่าน ก็คือที่ "โรงเรียนตะละภัฎศึกษา" การแสดงฤทธิ์อภิญญาของท่าน ก็กระทำเป็นประจำจนถึงบั้นปลายชีวิต หลวงพ่อยี ถูกพวกมิจฉาทิฎฐิ กล่าวหาว่าท่านหลอกลวง แต่ด้วยสัจจะบารมีของท่าน อิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ที่ท่านแสดงให้ปรากฏ ก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่บุคคลสำคัญๆ ระดับประเทศในขณะนั้น เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานศาลฎีกา, พันเอกปิ่น มุทุกันต์ อธิบดีกรมการศาสนา และ นายประกอบ หุตะสิงห์ อธิบดีศาลอุทธรณ์ เป็นต้น

    >> หลวงพ่อยี ท่านสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตาว่า ท่านแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ได้จริงหรือไม่ จากคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมการศาสนา คือ "พันเอกปิ่น มุทุกันต์" ในขณะนั้นว่า หลวงพ่อยีได้นำบาตรมาให้ตนดู และได้เป็นคนเช็ดบาตรด้วยตนเอง หลวงพ่อยี ท่านอุ้มบาตรออกไปยืนที่นอกชานกุฎิ ห่างจากผู้สังเกตการณ์ไม่ถึง 10 เมตร ท่านยืนนิ่ง หันหน้าไปแต่ละทิศ แล้วเปิดฝาบาตร ทำนองรับบาตรจากผู้ใส่ เหมือนกับที่เราใส่บาตรทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อยีิ ก็เรียกอธิบดีกรมการศาสนาเข้าไปหา ท่านส่งบาตรให้ พอยื่นมือไปรับมารู้สึกว่า บาตรหนักอึ้ง เปิดฝาขึ้นดูปรากฏว่า มีข้าวสุกร้อนๆเต็มบาตร มีกลิ่นหอมอบอวล เป็นข้าวชนิดมันปู ก้นบาตร มีลูกประคำทองอยู่ 2 ก้อน ขนาดใหญ่โตกว่าเม็ดข้าวโพด ซึ่งภายหลังเมื่อได้นำเข้ากรุงเทพฯ ให้ช่างทองบ้านหม้อดู ก็พบว่าเป็น ทองคำบริสุทธิ์

    >> นอกจากจะพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว หลวงพ่อยี ท่านยังเสกเหรียญเงินให้เป็นทองคำได้ด้วย หลวงพ่อยี ท่านแบ่งให้อธิบดีกรมการศาสนาครึ่งหนึ่ง ให้ประธานศาลฎีกาครึ่งหนึ่ง ครั้นเมื่อนำไปพิสูจน์ที่ร้านทอง ก็ปรากฏว่าเป็น "ทองคำบริสุทธิ์" เช่นเดียวกัน

    >> ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อยี เช่น คุณสมหมาย-คุณณรงค์ศักดิ์ ตะละภัฎ, คุณยรรยง ณ บางช้าง และลูกศิษย์อื่นๆอีกมากมาย ก็สามารถที่จะยืนยันได้เป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อยีท่านมีอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ สูงส่งมากมายเพียงใด

    >> ในระยะที่ ผู้คนฮือฮากันถึงเรื่องความมหัศจรรย์ ที่หลวงพ่อยี ท่านได้กระทำขึ้นนั้น "พระราชมุนี (โฮม โสภโณ)" แห่งวัดปทุมวนาราม ก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ที่ต้องมาพิสูจน์ถึงความเท็จจริงนี้ ให้เป็นประจักษ์ "หลวงพ่อถาวร" ซึ่งในขณะนั้น เป็นศิษย์ใกล้ชิดที่สุดของพระราชมุนีโฮม ก็ได้ติดตามมาด้วย และภายหลัง ก็ได้มาที่วัดดงตาก้อนทองอีกหลายครั้ง เพื่อศึกษาเรื่อง "อิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์กับหลวงพ่อยี" จนกระทั่งได้ประจักษ์แจ้งได้รู้ ได้เห็นเป็นที่ยอมรับว่า "ทุกสิ่งเป็นจริงทุกประการ ไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลงสงสัยอีกเลย"

    >> หลวงพ่อยี ท่านมรณภาพ เมื่อปี พ.ศ.2515 เก็บศพใส่โลงทองไว้ในกุฎิ ทางด้านจ.พิจิตร ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้สั่งเสียไว้กับศิษย์ใกล้ชิด คือ ฎโยมผวน โตมา" ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับวัดดงตาก้อนทองนี้ คือ ให้โยมผวน เป็นผู้ดูแลรักษาโบสถ์นี้ไว้อย่าไปอยู่ที่อื่น รอจนกว่าหลวงพ่อที่ 2 จะมารับช่วงต่อ

    #พระคาถาหลวงพ่อยี

    >> ได้ใช้พระคาถา สวดมนต์ภาวนามาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จึงปรารถนาที่จะให้ทุกคนได้มีไว้ สำหรับสวดภาวนา ระลึกถึงท่านให้ปกป้องคุ้มครองตนเอง...
    (จุดธูป ๙ ดอก) พระคาถาที่นำมากล่าวในที่นี้ เป็นพระคาถาที่เขียนขึ้น มาจากลายมือของหลวงพ่อยี ในสมุดของท่าน ซึ่งบรรดาญาติโยมของท่าน ได้คัดลอกออกมาเผยแพร่แก่สาธารณะชนทั่วไป ที่เคารพในตัวของหลวงพ่อยีท่าน

    (ตั้ง นะโมฯ ๓ จบ)

    บทที่ ๑.
    มหาปัญโญ มหาเตโช อุกาสะวันทามิ
    ภันเต อาจาริโย ปุณนะยีติ {๓ จบ}

    บทที่ ๒.
    นะภันทะลัง กัมมัง อะโหสิ ภุมิมาเต
    นะภันเต จะตุนะ ปัจจะ นะมามิ { ๓ จบ}

    บทที่ ๓.
    โอม พระเจ้าอยู่เบื้องตา
    พระธรรมเจ้าอยู่เบื้องปาก
    ตัวกูขอฝากไว้ในดวงจิต
    เอหิมามะ กะรินิติ พรหมมัสสามิ
    จิตกูนิ่งอยู่ที่พุทธัง ตัวกูอยู่ที่พระอรหัง เอหิมามะ {๑๐๘ จบ}

    บทที่ ๔.
    มะธะนะ ภันธะนัง นิมิตตัง
    เตมหาภันธะนัง นะนิมิต ตัสสะ
    ปุณนะมิ นังกะโรมิ { ๓ จบ}

    สวดภาวนาก่อนนอน ระลึกถึงหลวงพ่อยี
     
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #หลวงพ่อสุมโนภิกขุ #ตอนที่_๒
    #อ่านต่อจากตอนที่แล้ว
    #จากชีวิตไฮคลาสสุดหรู_สู่พระป่า
    --------------------------
    ทุกๆ เย็น #จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู
    #เพื่อไปสวดมนต์ที่วัด_ก่อนจะตัดสินใจ
    นุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึง 3 ปี

    เป็นระยะเวลา 30 กว่าปีแล้วที่พระอาจารย์ สุมโน ภิกขุ พระฝรั่ง อดีตชาวเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสุขสบายในชีวิตฆราวาส

    แล้วหันเหตัวเองสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เพื่อดำเนินชีวิตในวิถีทางที่สันโดษและเรียบง่าย ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา

    สิ่งที่ทำให้อดีตนักศึกษาด้านกฎหมายและนักธุรกิจด้านตีราคาที่ดินทั้งของรัฐและเอกชน ผู้เคยใช้ชีวิตระดับไฮคลาส เดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินชั้นธุรกิจ (Business Class) พักแต่โรงแรมระดับห้าดาว และมีเงินเหลือเฟือพอที่จะเที่ยวรอบโลก ได้ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่หลายคนพยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะไปให้ถึง

    เหตุเพราะเช้าวันหนึ่งเขาลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว

    พระอาจารย์ สุมโน ซึ่งอดีตเคยนับถือ ศาสนายิว บอกเล่าว่า รู้จักพระพุทธศาสนาครั้งแรกเมื่อตอนที่กำลังศึกษา อยู่ในชั้นมัธยมปลาย

    ด้วยความที่มีนิสัยเป็นคนชอบอ่านหนังสือและแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งจึงได้ไปเจอหนังสือบางเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาวางอยู่บนโต๊ะในห้องสมุด

    แรกเริ่มพระอาจารย์ให้ความสนใจเรื่องการนำหลักการฝึกสมาธิของทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองมากกว่า

    ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาศึกษาศาสนาหลายศาสนาและหลายนิกาย โดยเคยเข้าคอร์สที่มีการอบรมด้านพระพุทธศาสนาอยู่หลายคอร์ส และใช้เวลาปลีกวิเวกอยู่แต่ในห้องโดยไม่ไปไหนเลย เป็นเวลานาน 2-3 ปี

    ในวัย 32 ปี เมื่อได้ทิ้งชีวิตการเป็นนักธุรกิจแล้ว และเริ่มมีใจลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา พระอาจารย์เห็นว่า การฝึกสมาธิอย่างเดียวช่วยอะไรได้น้อยมาก จึงมีความสนใจ อยากจะศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น แต่เวลานั้นยังไม่ได้มีความคิดที่จะบวช

    ช่วงเวลาที่ท่านกำลังจะเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียนั้น ระหว่างทางได้ไปแวะที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพราะเพื่อนของพระอาจารย์ได้แนะนำให้รู้จักวัดแห่งหนึ่งที่นี่

    ซึ่งเมื่อสมัยที่ท่านไปเยือนครั้งแรกนั้นยังไม่ได้เป็นวัด แต่ต่อมาได้กลายมาเป็น วัดจิตตวิเวก (วัดป่าสาขาวัดป่าหนองป่าพงแห่งแรกในประเทศอังกฤษ) ที่ช่วงเวลานั้นมี พระสุเมธาจารย์ หรือท่านสุเมโธภิกขุ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อเริ่มแรกตั้ง วัดในพ.ศ. 2522

    พระอาจารย์ยังจำได้ว่า ทุกๆ เย็น จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู พื่อไปสวดมนต์ที่วัด ก่อนจะตัดสินใจนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึง 3 ปี จึงทำให้ความตั้งใจที่จะไปอินเดียในครั้งนั้นเป็นอันต้องล้มเลิก และในที่สุดจึงตัดสินใจบวชเมื่ออายุได้ 35 ปี

    นอกจากวัดจิตตวิเวก พระอาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการสร้างวัดอีกแห่ง คือ วัดอมราวดี แต่ด้วยสเกลที่มีขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน จึงไม่อยากใช้เวลาให้หมดไปกับการเป็นช่าง แต่อยากศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามากกว่า

    วันหนึ่งเมื่อเดินทางสู่ประเทศไทย ทำให้พระอาจารย์มีได้มีโอกาสแวะเวียนไปกราบไหว้ และเรียนรู้ธรรมะจากพระชื่อดังหลายรูปในประเทศไทย อาทิ
    - ท่านพุทธทาสภิกขุ
    - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    - หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    - และ หลวงพ่อชา สุภัทโท

    โดยเฉพาะหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ที่พระอาจารย์รู้สึกเลื่อมใสศรัทธามากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดสาขาของท่านที่อังกฤษ พระอาจารย์จึงไม่รีรอที่จะเดินทางสู่ภาคอีสาน ไปยังที่พำนักของหลวงพ่อชา เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์

    สิ่งที่พระอาจารย์ได้เรียนรู้จากหลวงพ่อชาและรู้สึกประทับใจคือ

    “ในทัศนะของหลวงพ่อ พระอาจารย์ชาเป็นพระที่มีจิตบริสุทธิ์มาก และสามารถระลึกรู้ในสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องคิด ทำให้หลวงพ่อรู้สึกว่าทึ่ง

    มันจะมีคำว่าดี ถูกต้อง และความเหมาะสมใช่ไหม เวลาที่เราต้องเผชิญกับอะไรสักอย่าง เรามักจะคิดก่อนว่าต้องทำอย่างไรดี ทำอย่างไรถึงจะถูก พอเป็นอย่างนั้นมันจะเกิดการคิด เพราะเราต้องคิดถึงว่า ค่านิยม กาลเทศะ กับบุคคลเหล่านี้เราต้องทำอย่างไร

    พอมันเกิดการคิด มันต้องคำนึงถึงอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันขณะแล้ว เราจึงคิดตัดสิน ว่าเราต้องทำอย่างไรจากสิ่งที่เราเคยได้ยินเคยได้เห็น

    แต่พระอาจารย์ชาท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น การแก้ปัญหาของท่านเป็นการรู้จากปัจจุบันขณะและใช้คำว่าเหมาะสม”

    เมื่อหลวงพ่อชามรณภาพ พระอาจารย์จึงออกธุดงค์ไปตามพื้นที่ต่างๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กระทั่งสุดท้ายได้เลือกพำนักอยู่ที่ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา ในเขตพื้นที่เขาใหญ่

    หลังจากที่เคยธุดงค์ไปพบเพียงแค่คืนเดียว ด้วยเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะต่อการปฏิบัติ การเดินทางเข้าออกค่อนข้างลำบาก แม้แต่รถยนต์ ก็เข้าไม่ได้ จึงทำให้ปลอดความวุ่นวายจากสิ่งต่างๆ นับ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว

    “ตอนนี้แก่แล้ว ไปที่ไหนไม่ได้แล้ว” พระอาจารย์บอก เล่าด้วยอารมณ์ขันเมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงเลิกธุดงค์และเลือกสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตาเป็นที่พำนักสุดท้ายของชีวิต

    วัตรปฏิบัติของพระอาจารย์ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ทุกวันจะต้องตื่นจากจำวัดตอนตีสี่ เพื่อ
    - นั่งสมาธิ
    - อ่านหนังสือ
    - เดินจงกรม
    - และฟังธรรมะ

    แม้แต่ในยามที่ย่ำเท้าไปบนถนนสายเล็กๆ ที่ทุรกันดารสู่หมู่บ้าน เพื่อไปบิณฑบาต ระหว่างทางก็ยังต้องอาศัยฟังธรรมบรรยายผ่านเครื่องเล่น MP3

    ลูกศิษย์บางคนที่ใกล้ชิดพระอาจารย์บอกเล่าว่า

    “แม้หลวงพ่อจะมีความลึกซึ้งในหลักธรรมจนสามารถนำมาสอนผู้อื่นได้แล้ว แต่หลวงพ่อก็ยังต้องฟังธรรมบรรยายจากพระรูปต่างๆ เพื่อนำมาสอนผู้คนอยู่ และน้อยครั้งมากที่หลวงพ่อจะเดินทางเข้าเมือง ขนาดหมอนิมนต์ให้มาทำฟัน ท่านก็ยังไม่มา”

    แต่พระอาจารย์สุมโนได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการเขียนหนังสือ เพราะเห็นว่า หน้าที่หนึ่งของพระคือการสืบทอดพระพุทธศาสนาและเผยแพร่หลักธรรมไปสู่ผู้คนให้มากที่สุด

    ที่ผ่านมานอกจากท่านจะมีผลงานแปลธรรมเทศนาของ
    - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    - หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    - และหลวงพ่อชา สุภัทโท แล้ว

    ยังมีผลงานเขียนชื่อ
    - ธรรมะจากพระภูเขา (Monk in the Mountain)
    - จิตที่สว่างไสว (The Brightened Mind)
    - และ พบลิงแค่ครึ่งทาง (Meeting the Monkey Halfway)

    โดยเป้าหมายที่เหมือนกันของผลงานเขียนทั้ง 3 เล่มคือ ต้องการสอนให้ผู้คนรู้จักการเจริญสติ รู้จักการใช้ปัญญา เพราะถ้าคนเราไม่มีปัญญา มีแต่ตัวตนเกิดขึ้น ก็จะเกิดความเห็นแก่ตัว

    ส่วนเหตุที่ควรต้อง “พบลิงแค่ครึ่งทาง” ผลงานเขียนเล่มล่าสุดของพระอาจารย์ ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดย อานุภาพ ทัดพิทักษ์กุล และจัดพิมพ์โดย บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด ได้บอกเอาไว้ว่า

    ในปรัชญาธรรมอันเก่าแก่ของเอเชียตะวันออก ลิงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของจิตที่มีลักษณะ
    - ไม่อยู่นิ่ง
    - ยุกยิก
    - คอยกระโดดจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง
    - ไม่เชื่อฟัง
    - ผันแปรเปลี่ยนแปลงง่าย

    และด้วย “จิตที่เหมือนลิง” นี้ แนวทางการฝึกฝนจิตของโลกตะวันออก อาทิ
    - การปฏิบัติกรรมฐาน
    - โยคะ
    - และการสวดท่องมนต์

    ก็เป็นวิธีการต่างๆที่พยายาม จัดการกับจิตที่ซุกซน

    “ครึ่งทาง” หมายถึงอุบายอันชาญฉลาดในการบริหารจิต เป็นวิธีที่ไม่ตึงหรือแข็งกระด้างจนเกินไป และก็ไม่หย่อนยานจนเกินไป

    “ครึ่งทาง” เป็นทัศนคติที่ตั้งอยู่บนหลักการของความสมดุลเป็นกลาง ไม่ถูกกระทบโดยอาการไม่อยู่นิ่งของจิตที่กระโดดไปกระโดดมา

    “การพบ” แสดงออกถึงความอุตสาหะที่จะบรรลุเป้าหมาย มันหมายถึงความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการทำจิตซึ่งเป็นสิ่งที่สงบได้ยาก ให้เกิดความตั้งมั่นและเป็นกลาง

    และด้วยความพยายามที่มุ่งมั่นนี้ ประกอบกับความพากเพียร ซื่อตรง ภายใต้การกำกับดูแลของปัญญา ทำให้เราสามารถเข้าถึงการเจริญในธรรมที่นำไปสู่หนทางอันถูกต้อง เพื่อที่เราจะได้ “พบลิงที่ครึ่งทาง” นั่นเอง

    ในวันที่พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ เดินทางออกจากสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา เพื่อมาบรรยายธรรมและเปิดตัวผลงานเขียน “พบลิงแค่ครึ่งทาง” ณ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ หลังจากที่ละทิ้งความสุขทางโลกมา 30 กว่าปี

    พระอาจารย์ซึ่งตอนนี้พูดภาษาไทยภาคกลางได้มากแล้ว (แต่เว้าอีสานได้ชัดกว่า) ได้บอกถึงความแท้จริงในทัศนะของพระอาจารย์ให้ผู้คนได้ฟังว่า

    “ถ้าไม่มีความอยาก จะได้รับความสุขทันทีเลย”

    แล้วเราจะระงับซึ่งความอยาก ด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง ? พระอาจารย์ได้กล่าวต่อไปว่า

    “ให้รู้ว่าความอยากมีแต่ความทุกข์ มากกว่าความสุข เพราะถ้าเรามีความอยาก เราก็ต้องไปดิ้นรนไปหาไปทำมา

    ตอนที่เรากำลังหากำลังทำอยู่ เรามีความสุข อย่างเช่นการ สะสมเงิน เพราะอยากจะได้แหวนเพชรสักวง ตอนที่ใกล้จะได้มา เรารู้สึกดีใจ พอไปที่ร้านถอยมันมาได้ ความสุขก็จบแล้ว เพราะช่วงเวลาที่เราอยากได้มันหมดไปแล้ว ทีนี้ก็จะดิ้นรนไปอยากได้อย่างอื่นต่อ”

    และเมื่อถูกถามว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีความอยาก มีแต่การปล่อยวาง โลกจะไม่หยุดพัฒนา หยุดการเจริญรุดหน้าหรืออย่างไร พระอาจารย์ตอบว่า

    “เคยมีคนถามหลวงพ่อว่า ถ้าทุกคนบวชเป็นพระกันหมด โลกนี้จะพัฒนาไปอย่างไร หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องห่วง มีคนที่สมัครใจบวชเป็นพระ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เหมือนกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นช่างเสริมสวย (หัวเราะ)

    และในความเห็นของหลวงพ่อ โลกนี้ไม่ต้องเจริญ อีสานที่หลวงพ่อเคยอยู่ มีคนบอกว่าความเจริญเป็นสิ่งดี

    โอ้.. อยากให้เมืองนี้เจริญ วารินชำราบเจริญ อุบลฯ เจริญ แต่หลวงพ่อคิดว่า ความเจริญไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป เพราะถ้าเจริญแบบไม่มีปัญญาก็จะมีปัญหามากขึ้น

    อย่างเมืองไทยเจริญขึ้น แต่ความสุขกลับน้อยลงตลอด ไม่เหมือนประเทศภูฏาน ประเทศเขาไม่เจริญ แต่มีความสุข”

    แม้พระอาจารย์จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวต่างชาติจากประเทศตะวันตก ที่เดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันออก เรียนรู้และศึกษาจิตวิญญาณตะวันออก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา

    แต่พระอาจารย์ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า ตนเองเป็น 1 ในคนตะวันตกจำนวนมากที่หันมาสนใจจิตวิญญาณตะวันออก

    เพราะอาจจะเป็น 1 ในคนจำนวนน้อยก็ได้ หรือแม้แต่เวลานี้ก็ตาม ถามว่าคนตะวันตกสนใจจิตวิญญาณตะวันออกมากขึ้นหรือไม่ พระอาจารย์ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันตกมานานแล้ว

    “หลวงพ่อไม่ได้อยู่ในประเทศตะวันตกมา 30 กว่าปีแล้ว หลวงพ่อรู้แต่ว่าเมื่อก่อนคนตะวันตกอยากมาเมืองไทยเพราะสนใจในประเพณีวัฒนธรรม เป็นแบ็คแพ็คเกอร์มาเที่ยว หรือนั่งเครื่องบินไปเที่ยวทะเล เที่ยวเกาะสมุยโน่น แต่ไม่ค่อยมีใครมาวัด มาอีสาน มีแต่มาเอาอย่างเดียว ไม่มีใครอยากให้อะไร”

    หลายปีที่ผ่านมา อาจทำให้พระอาจารย์รู้จักประเทศไทย และเห็นความเป็นไปของประเทศไทยในหลายๆ ด้าน

    แต่พระอาจารย์ก็ออกตัวว่า ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยหรือคนไทยมากเท่าใดนัก มีเพียงบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเป็นห่วงคนไทยคือ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่กำลังตกอยู่ในวังวนของความอยากและการโฆษณา ชวนเชื่อ ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังไม่พอ และยังไม่ดีพอเสียที

    “ทุกคนอยากมีรถคันใหม่ อยากมีโทรศัพท์ อยากมีโน่นอยากมีนี่ มีความอยากไปในทางโลกเสียมากกว่า และการโฆษณาก็ทำให้พวกเขาคิดว่าชีวิตฉันยังไม่พอ และรู้สึกว่าฉันยังไม่ดีพอ

    ฉันต้องรวยให้มากกว่านี้ หรือฉันต้องสวย ต้องขาวให้มากกว่านี้”

    ปี พ.ศ.2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ประเทศไทยต้องประสบ กับปัญหาภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก

    ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมนุษย์นี่เองที่เป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ซึ่งพระอาจารย์ได้แนะวิธีที่จะช่วยให้เราเบียดเบียนธรรมชาติให้น้อยที่สุดว่า

    “ต้องรักษาศีล 5 ก่อน เพราะถ้าไม่รักษาศีล 5 เราก็จะเป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ปัญหาที่อยากแก้ก็จะไม่สามารถแก้ได้ และอยากให้ทุกคนมีสมาธิ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้จิตใจของเราสบาย มีความอยากน้อยลง มีสติ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้น

    ถ้าเราไม่มีปัญญา เราก็จะไม่เข้าใจอดีต และทำในสิ่งที่ ผิดพลาดเหมือนเดิมไปตลอด เหมือนเราเคยเสียใจ เพราะอกหักจากผู้ชายคนนี้

    ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาทำความเข้าใจว่าทำไม เราก็จะอกหักได้อีกเรื่อยๆ ดังนั้น ปัญญาช่วยให้เรา สามารถพิจารณาได้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว

    จริงๆ แล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นประภัสสร นั่นคือ
    - บริสุทธิ์
    - รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

    แต่เพราะว่าจิตของเรารับอะไรเข้ามาเยอะ กิเลสมันเลยเข้ามาทำให้จิตใจเราขุ่นมัว เราก็เลยไม่มีปัญญาพอที่จะมองเห็นเหตุของปัญหา แต่ไปหลงและยึดเอาค่านิยมภายนอกมากกว่า

    ภัยธรรมชาติ ที่มันเกิด มันเป็นเพราะความอยากของเราที่มันไปเป็นตัวเบียดเบียนธรรมชาติ ถ้าเราไม่อยากเบียดเบียนธรรมชาติ เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เราพร้อมที่จะเสียสละไหม เช่น ถ้าเราไม่มีโรงงานนิวเคลียร์ เราก็จะไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงานนิวเคลียร์มาใช้นะ

    ทุกวันนี้เราพึ่งพาไฟฟ้าเพราะอะไร เพราะเราต้องการความสะดวกสบาย เวลาเราเบื่อ แทนที่เราจะนั่งสมาธิ เราต้องเปิดไฟ ดูทีวี หรือ อ่านหนังสือ ตอบสนองตัวเองด้วย สิ่งบันเทิง

    แต่ถ้าเราพยายามอยู่กับตัวเองให้ได้บ้าง บางครั้ง สิ่งบันเทิงเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เมื่อเราไม่ได้เปิดไฟ ใช้ มันน้อยลง เราก็จะเบียดเบียนธรรมชาติน้อยลงไปด้วย
    เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากตัวเราเอง
    #อนุโมทนาบุญกุศลกับเจ้าของบทความนี้
    #หลวงพ่อสุมโนภิกขุ_สำนักสงฆ์ถ้ำสองตา
    #อำเภอปากช่อง_จังหวัดนครราชสีมา

    #ขออนุญาตพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    เผยแผ่ธรรมทานแด่ผู้มีจิตศรัทธา
    Cr.เพจพระพุทธศานา อนุโมทนาบุญกุศล
    #กับทุกๆท่านที่มีส่วนเผยแผ่ธรรมทานในครั้งนี้
    8E299E9C-5031-4135-A181-37BDCE7BED3F.jpeg
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    2A5789B6-80FB-4A2B-AA27-1D4E66AADCE4.jpeg

    การสวดมนต์ท่านเน้นให้สวดด้วยใจสบายๆ อย่าเพ่งอย่าเครียดจนเกินไป ให้มองภาพหลวงปู่ดู่ แล้วสวดในใจหรือออกเสียงก็ได้ สบายๆ สวดไปเรื่อยๆ ถ้าทำได้ควรนึกถึงหลวงปู่แล้วสวดไว้ในใจตลอดทั้งวัน สวดจบก็เริ่มใหม่ เป็นการรักษาอารมณ์ใจให้อยู่ในคลื่นของบุญกุศล ภัยอันตรายใดๆก็มิอาจกร้ำกรายเราได้ด้วยอนุภาพกำลังจักรพรรดิในบทสวดและบารมีหลวงปู่ จะเป็นผู้ปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน บทจักรพรรดิท่านว่าเป็นบทที่มีกำลังมาก ใครที่มาสวดจริงๆจังๆ สวดทุกวันสม่ำเสมอจะเห็นผลประจักษ์ได้ด้วยตนเอง บาปกรรมเก่าๆที่ตามมาส่งผลจากหนักจะกลายเป็นเบา จากเบาก็กลายเป็นหาย ด้วยอำนาจของพุทธคุณในบทสวด
    .
    บทพระคาถามหาจักรพรรดิ
    .
    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง
    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิ สัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
    .
    การสวดคาถานี้ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากมาย เพราะเป็นคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีกำลังมากอยู่แล้ว ให้เน้นใจของเราต้องมีความเคารพศรัทธา ระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วเริ่มสวดได้เลย สวดจบก็เริ่มใหม่ สวดไว้ตลอดทั้งวันยิ่งดี เป็นการบันทึกบุญทุกขณะจิต
    .
    #ศิษย์มีครูหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า
    #พระคาถามหาจักรพรรดิ
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    ท่านพ่อผู้เด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว
    ในช่วงสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบลูสงคราม การเมืองเป็นเรื่องตึงเครียด มีการตรวจสอบไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ท่านพ่อของเรามีศิษยานุศิษย์มากเลยพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
    ท่านพ่อถูกกล่าวหาว่าซ่องสุมกำลังไว้มาก ถึงจะมีลูกศิษย์ยืนยันว่าท่านพ่อท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่ทางการไม่เชื่อ
    จึงส่งพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์(เจ้าของวลีเด็ดภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้) มาสืบค้นให้ละเอียด
    เมื่อพล.ต.อ.เผ่ามาถึงครั้งแรกสั่งกักบริเวณท่านพ่อไม่ให้ท่านพ่อธุดงค์ออกไปไหน ท่านพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร และตามมาด้วยการสอบถามเรื่องราวต่างๆ โดยกล่าวหาเรื่องที่ท่านพ่อซ่องสุมกำลังไว้ จริงหรือไม่
    ท่านพ่อท่านตอบว่า”ไม่ใช่”คนที่มาที่นี้เพราะมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา #ถ้าไม่เชื่อลองเอาไม้ไปตีระฆังในวัดดูสิถ้ามีระฆังใบไหนดังอาตมาจะลาสิกขา
    เมื่อพล.ต.อ.เผ่าได้ยินเช่นนั้น จึงสั่งให้ลูกน้องนำไม้ไปตีระฆังภายในวัดแต่ผลปรากฏว่าไม่มีระฆังใบไหนดังเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แม้คนที่ตีระฆังเองยังตกใจจนหน้าถอดสี เพราะเป็นเรื่องที่เหลือจะเชื่อได้
    พอหายตกใจจนสติคืน ทุกคนต่างตรงมาก้มกราบขอขมาต่อท่านพ่อลี ด้วยความศรัทธาและยอมรับผิดในสิ่งที่กล่าวหาท่านพ่อไปก่อนหน้านี้ ท่านพ่อท่านก็ให้อภัยและไม่ได้ว่าสิ่งใด
    ตั้งแต่นั้นพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ก็กลายเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ท่านพ่อไปอีกท่านหนึ่ง แม้ท่านพ่อลีเองท่านก็ยังเคยเตือนพล.ต.อ.เผ่าไว้ว่า #ให้ระวังตนแม้แผ่นดินเกิดอาจจะไม่ใช่แผ่นดินตายของตัวเอง
    และเรื่องก็กลายเป็นจริง เมื่อการเมืองมีปัญหาในช่วงปีพ.ศ.2500 พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
    #ท่านพ่อลีท่านพูดเสมอว่า คนเราเมื่อ ทำดี ทำถูก ทำตรง จะต้องกลัวสิ่งใดที่ใครจะมาตรวจสอบเรา เขาอยากจะสอบถามให้เขาถาม เขาอยากจะรู้ให้เขารู้ เรื่องจริงของจริงเราไม่กลัว
     
  20. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +1,752
    คนพิเรน ปากเสีย พวกนี้ยศตำแหน่งสูงๆ อีโก้จัด แม้กระทั่งกับพระกับเจ้าก็ไม่มีความเคารพ ปรามาสพระผู้ทรงธรรม กรรมหนักมาก จบไม่สวยสักรายเดียว ตายไปต้องไปชดใช้กรรมหนักอีก
     

แชร์หน้านี้

Loading...