เอานามไม่อยู่

นะ ถ้า จะสู้

ลอง สุ่มตัวอย่าง สิ่งที่เปน กุสล
ที่เกิดบ่อยๆ เช่น ทุกเช้าตื่น
มาตักบาตรไหม

เพื่อนชวนไปเที่ยวกลางคืน
กินเหล้า เมาผงกระหรี่ ติดตัง
ไม่คืน กลัวไม่มีความเปนเพื่อน
แท้ มีไหม

สมาทานสีล สำรวมอินทรีย์
ไม่เบียดเบียนใคร ทุก ก้าว
แรกที่ออก จากบ้าน มีไหม

กุสลเหล่านี้ ที่เกิดบ่อยๆ

บางคน สามารถเหนเศร้า
แล้วใจไม่เศร้า มี ตบะ
มี ทม(อ่าน ทะมะ) มีโสรัจจะ
ประคับประครอง นี่ เหน
เศร้าก้จริง แต่ กุสลเกิด
มี ทสบารมีปรากฏ ก้ใช้
ทสบารมี มากำหนดรู้
ว่า มีปรกติดับ ทุกวินาที
มัน ยิบๆ แย็บๆ สู้ฝัด
กับ เศร้า แบบ มหากัดกัน

บางคนเก่งกว่านั้น แค่ ระลึก
ถึง สิ่งไรๆไม่เที่ยง ก้ เกิด
จลสัธทา ไหวๆ กลางอก
ยิบๆ แยบๆ กุสลดับ อกุสล
ดับ อัพพยากตาก้ดับ แต่
ยัง ค้างอยู่กับ ความรู้
ความเหนบางอย่าง พูดไม่
ออก บอกไม่ถูก เพราะ
ยังไม่เลื่อมใส "ธรรม" ความ
สงบ จิตยังหิวอารมณ์ หวง
อารมณ์โลกๆ อันนี้ ก้สามารถ
ยกเอามาเหน ว่า ปรกติดับ
ทั้งสิ้นได้

โดยไม่ต้องไปบัญญัติว่า
เหนอะไรดับ

เอา ทุกขาปฏิปทา สุขาปฏิปทา
มาตามเหนว่า ดับ ไปเลย

ง่าย รู้ไว ได้ด้วย ถ้าไม่ไว
ก้ รู้ช้า ไปตามระเบียบ

 

ทุกข์ดับกะทำให้จิตใจเข็มแข็ง
ต้องรู้วิธีการเสริมกำลังใจด้วยครับ
แพ้มากู้กลับยาก

 

+++ ดีแล้ว แต่ "อย่าไปอ่าน อย่าไปฟัง" ไอ้พวก "ดีแต่เปลี่ยนชื่อ" ตลอดกาล แบบ ไอ้ปัง
+++ เพราะมัน "ฟ้องตัวมันเองอยู่แล้ว" ว่า "มันไม่ใช่ คนซื่อ มันเป็น คนคดในข้อ งอในกระดูก"
+++ จิตของมัน "ทุพลภาพ" เป็นจิตที่ "เลวอย่างถึงที่สุด" อย่าไปอ่านของมันก็แล้วกันนะ

 

+++ อีกอย่างหนึ่ง ณ ขณะนี้ มันใช้ชื่อว่า ง้อใบ้(มหาชน
+++ เดี๋ยวมันก็ เปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นอีก
+++ ตอนนี้เรียกมันว่า "ตามง้ออีใบ้" ไปพลาง ๆ ก่อน ก็ได้ มันชอบหนะ...

 

55 หลายอาจาร หลายความคิดเห็น พุ่งนี้จะลุกมาทำงานต่อคับ วันนี้ขอพักผ่อนก่อนนะคับ ขอบคุณมากคับ

 

พินาเอา ฮับ

ศาสนา พุทธ เปน ศาสนาแห่ง ปัญญา

ไม่ใช่ วาทะ การโน้มน้าว

ซึ่งเปนอาการ คน ไม่เคยเห็น

นาม..ที่ชื่อว่า อาสัยเชื่อ คาดเดา รายวัน

นะ

ไปลองดู

ต้องทำความเข้าใจ

การ เอาสิ่งที่เปน กุสล เกิดที่
ตน มา sampling เปรตัว
อย่าง ภาษาบาลี เรียกว่า

กุสลในกุสล กายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต
ธรรมในธรรม

เปน สำนวน การเฝ้น ตัวอย่าง
ขึ้นม่พิจารณา ไม่ใข่ ภาษา
คนด้นเด้า เออะ ไข่แดงใน
ไข่ขาว เรียก กายในกาย
คนละเรื่อง

พอเรา แซมปลิ้ง ข้อเท็จจริง
จากสิ่งที่เรามี จริงๆ

แค่นี้ ก้ พ้น เรื่อง การฟังจาก
ผู้อื่น ห่างไกลจากข้าศึก
พวกรู้ธรรม ไม่จริง ได้ทันที

พระศาสดา ทรง แนะให้ใช้

 

+++ เลือกให้ดี ๆ ก็แล้วกัน
+++ เลือกมั่ว ๆ ก็ได้แต่ "ความมั่ว" นั่นแหละ
+++ ตอนนี้เอา ""ตามง้ออีใบ้"" ไปแก้อารมณ์ ซึมเศร้าก่อน ก็แล้วกัน

 

ลองดู ฮับ

ตื่นเช้ามา ตักบาตร

พ้น อาจารย์ ทันที

ศาสนาพุทธ พระศาสดาตรัส
ว่า เปนศาสนาไม่มีอาจารย์

เพราะ เปนเรื่อง

การตรัสรู้เองโดยชอบ

 

+++ อีกอย่างหนึ่ง คือ มันเป็น "ตุ๊ดดัดจริต" ต้องระวังให้ดี ๆ นะ

 

+++ ดูความ "ระยำ ของ ตุ๊ดดัดจริต" ให้ดี ๆ
+++ พระพุทธเจ้า คือ "อาจารย์"
+++ คำสอนของ พระพุทธเจ้า เป็น "อาจารย์"
+++ แต่ไอ้พวก "ตุ๊ดดัดจริต" มันไม่เอา "อาจารย์"
+++ ไอ้พวกนี้แหละ "ทำลายศาสนาพุทธ" ระวังให้ดี ๆ...

 

อนันเตวาสิกานาจริยสูตร

[๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้อันไม่มี
อันเตวาสิก ไม่มีอาจารย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยังมีอันเตวาสิก
ยังมีอาจารย์อยู่เป็นทุกข์ ไม่สำราญ

ส่วนภิกษุไม่มีอันเตวาสิก ไม่มีอาจารย์
อยู่เป็นสุขสำราญ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุยังมีอันเตวาสิก
ยังมีอาจารย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ไม่สำราญ
เป็นไฉน

ธรรมทั้งหลายอันเป็นบาป เป็นอกุศล คือ
ความดำริอันฟุ้งซ่านอันเป็นเครื่องประกอบ
สัตว์ไว้ในภพ ย่อมบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุใน
ศาสนานี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ อกุศล
ธรรมเหล่านั้นย่อมสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น

เพราะอกุศลธรรมสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น
เหตุนั้น เราจึงเรียกภิกษุนั้นว่า มีอันเตวาสิก
เพราะอกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อม
ครอบงำภิกษุนั้น

เหตุนั้นเราจึงเรียกภิกษุนั้นว่ามีอาจารย์

อีกประการหนึ่ง อกุศลธรรมอันลามก คือ
ความดำริอันฟุ้งซ่าน เป็นเครื่องประกอบ
สัตว์ไว้ในภพ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะ
ฟังเสียงด้วยหู ...
เพราะสูดกลิ่นด้วยจมูก ...
เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น ...
เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
เพราะรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ อกุศลธรรม
เหล่านั้นสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น เพราะ
อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นสิงอยู่ภายใน
ของภิกษุนั้น เหตุนั้น เราจึงเรียกภิกษุ
นั้นว่า มีอันเตวาสิก เพราะอกุศลธรรมอัน
ลามกเหล่านั้นย่อมครอบงำภิกษุนั้น

เหตุนั้นเราจึงเรียกภิกษุนั้นว่า มีอาจารย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีอันเตวาสิก
มีอาจารย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ไม่สำราญ
อย่างนี้แล ฯ


https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=3553&Z=3589

 

ลอง พินาดู นะฮับ

เช้าๆ ลุกมา ตักบาตร ทำทาน มีจาคะ สลัดออก

แค่นี้ อกุสลธรรมก็ไม่สิงในภายใน ขณะ นั้นๆ

พรหมจรรย์(การปฏิบัติธรรม)ใน ธรรมวินัยนี้
พระศาสดาตรัส ชัด ....

ด้วยเหตุเพียงแค่นี้ ก็ ทราบชัดทันทีว่า ศาสนา
พุทธเป็นศาสนาในธรรมวินัย ปราศจาก อาจารย์

ความเจริญ(ภาวนา) มีได้ด้วย ตัวเอง บึ๊ดจั๊มบึ๊ด

จริงๆ ผั๊วะ ขณะ ทำทาน จาคะ สลัดคืน นั้นเลย ยังได้

สามารถ พยากรณ์ตนได้ว่า "ตรัสรู้เองโดยชอบ"

 

เหมือนเขาสนุกกัน เอานี่พักยกก้อน

นางสาวิกาสาวก กราบทูลองค์พระศาสดา"พระสมณะโคดม"ถึงความเป็นไปของโลกว่าต่อไปนี้ จะเป็นเช่นไร จะล่มสลายเสื่อมลงหรือไม่ อาณาจักรทั้งสิ้น ดินและน้ำจะยืนยงคงอยู่หรือมีอันผันแปรเปลี่ยนไป
☆ นำผงสะตุจำนวนมากมายหลายอย่างจากดวงจันทร์อันอำไพสุกใสงามเด่นสง่า นำมาเผารวมกัน ลอยไปเป็นสื่อนำองค์พระผู้เป็นใหญ่ที่สถิตอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด อย่าใด้ชักช้ารีรอ ขอให้มารับการเชิดชูบูชาจากข้าด้วยเถิด
แปลโดย ครูศิริพร ผู้ดำเนินชีวิตแบบมัชฌิมาปฏิปทา

 

ยึดอะไรทุกข์เพราะอันนั้นจริงๆ
สังเวียนธรรมช่างบาดลึกถึงจิตวิญาณ

 

ตั้งใจว่า จะไม่ยึด ก็ทุกข์นะ

 

คาวมเคารพยังมี
ความเสมอเหมือนยังมี
ความบันเทิงธรรมยังมี
55ตามประสาคนอารมณ์พาไป
จริงมากเครียดไปป่าว55

 

โดนทุบมั้งกะดีเหมือนกัน55

 

เสี่ยวเอ้อจัดโต๊ะ ข้าน้อยขอร่ำสุราพร้อมใบยาสูบ

 

พอไม่โดนอัตตาคอบ ผมสุขทันที

 

ปฏิบัติ เขา ไม่ได้มุ่ง เอาอามิส

เขาให้ เหนสุขปรากฏบ่อยๆ

จะได้เอามาอาสัยระลึก ใน
อาการไม่เที่ยง

เอา สุข มาอาสัยระลึกว่า
ไม่เที่ยง

พอระลึกได้ว่า อะไรๆก้ไม่เที่ยง
สุขยิ่งปรากฏ มหาศาล ไม่ต้อง
ไป ตั้ง อนู่ ย้าย เวร ตาลาย อะไร

พอสุขเกิดอีก เหนว่า ไม่เที่ยงอีก

จิตแบบนี้ ย่อม สำรอก สลัดคืน
ไม่ไปอุปาทาน กับ สุข

พอไม่ไปอุปทานกัยสุข สุข
มันจะยิ่งเกิด จน ตัวลอย(บางคน)

ดังนั้น ยิ่งกำหนดเหนสุขดับ
สติดับ สัญญาดับ อาสัยระลึก
สิ่งใดเกิด สิ่งนั้น ดับ เปน
พาหุลีกตา ภาววิตา
ชาคริยานุโยค

ก้ จะ อ๋อ ปัสสัทธิ คือ อย่างนี้

มีการประกอบซึ่งสุข จำนวน
มาก แต่เพียงเพื่อ อาสัยเหน
ว่า ไม่เที่ยง

บัณฑิตเขา ภาวนาด้วยอุบาย
อย่างนี้ๆ ต่างจาก ไก่ กา
ตั้ง อยู่ ย้าย เวร ตาลาย
หลายขุม

เปนไปเองอัตโนมัติ ไม่ต้อง
ไปเจตนา

ก้จะ ห่างจาก อาการไปอุปทาน
ว่า วิญญาน สัญญา สังขาร
เวทนา แล รูป จะนำ นิพพาน
มาให้