เรียนอภิญญา 6

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ข้าวฟ่างครับ, 4 กรกฎาคม 2020.

  1. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    ผมแนะนำวัดนี้ครับ ผมเองเป็นคนจังหวัดนี้แหละ แต่ผมไม่เคยไปวัดนี้เลย แต่มีพี่คนนึงเป็นเพื่อนของพี่ผมไปบวชที่วัดนี้ เคยคุยกันครั้งหนึ่ง และบอกว่าตอนบวชพี่แกคิดถามพระในใจ แล้วพระรูปนั้นกลับเอ่ยปากตอบคำถาม พี่แกเลยตกใจ เลยคิดว่าพระรูปนึงในวัดนี้น่าจะได้เจโตฯ ครับ เลยมาเล่าให้ผมฟัง ยังไงก็ลองไปดูละกันครับ

    ขอบคุณคุณปราบฯ ที่แนะนำครับ
     
  2. Picolo Fanta

    Picolo Fanta ต้นคต ปลายตรง ไม่มี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +651
    ให้ผมแนะนำมั่งมั๊ย แต่คงไม่มีใครเชื่อหรอก
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    หลวงปู่ สมถะ เรียบง่าย ใจดี
    มีโอกาส ก้ไปครับ
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    จขกท. เอาวิธีฝึกตาทิพย์ไปซักบทละกันครับ


    อาราธนาศีล 8
    ขอรักษาศีล8 เฉพาะการ สวดมนต์ภาวนาครั้งนี้
    สวดมนต์ไหว้พระ ไตรสรณคม ตามด้วยบท ธรรมจักร ตามด้วย อิติปิโส พาหุง มหากาฯ

    จากนั้น กรวดน้ำไป หนึ่งรอบ

    แล้วมาหลับตา นั่งสมาธิ หาที่รองหนุนก้น เป้นผ้าหนาซักห้าเซ็น
    รองนั่ง เฉพาะก้น จะทำให้หลังตรงขึ้น

    นั่งภาวนาอะไรก้ได้ ที่พอรู้สึกสงบๆ จะพุทโธ สัมาอะระหัง รู้ลมหายใจ

    อะไรก้ได้ ที่ถนัด

    เอาพอแสงสว่าง ที่เห็น นี้เป้นเครื่องสังเกตุ ตามภาพ

    แสงนิมิต.gif

    เอาแค่ พอเห้นแสงสว่าง ที่ปรากฎ ตรงหน้า ตามรุปสุดท้าาย


    พอรู้สึกว่าแสงสว่าง เริ่ม คงที่ จิตใจเบา สงบลง

    ให้นึก น้อม แสงสว่าง มาตั้ง ที่ทรวงอก หรือที่ลิ้นปี

    แล้ว น้อมไปในแสงสว่าง โดยการนึกน้อมแสงสว่าง

    ให้แผ่ ออกจากจุดศูนย์กลางที่ทรวงอก

    ตามภาพ

    แผ่แสง.gif

    ซึ่ง ตอน น้อมแสงสว่างออกจากทรวงอก หรือที่ลิ้นปี่
    ให้สุดลมหายใจเข้าลมเดียว พร้อมกับนึกแสงสว่างออกจากกาย

    ให้พอดี กับการแผ่แสงสว่าง ตามรูป

    โดยนึกน้อมเบาๆ จากการสุดลมหายใจเข้าช้าๆ

    แล้วก้ผ่อนลมออก

    แล้วก็สูดลมหายใจเข้าพร้อมแผ่แสงสว่างออกตามลมหายใจ

    ทำไปเรื่อยๆ สักเจ็ดวัน เดี๋ยวค่อยมาต่อฮับ


    ก่อนออกสมาธิ ให้สูดลมหายใจเข้ายาวๆๆ ลึกๆๆ
    แล้วผ่อนลมหายใจออกยาวๆๆช้าๆๆ
    สัก สี่ห้ารอบ ค่อยลืมตา แล้วก้ กรวดน้ำ แผ่เมตตา กราบพระ จบ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เล่าภาพรวมๆให้ฟังแล้วกันเนาะ
    ของคุณลักษณะของจิต
    ที่จะมีคุณวิเศษเกิดขึ้นได้นะ.....

    สภาวะทางนามธรรมทั่วไป
    คือ เป็นดวงจิตที่ไม่ชื่มชมในกามคุณ
    ไม่ยินดีในกามรมย์ ไม่ว่า รูปธรรมก็ดี ไม่ว่านามธรรมก็ดี
    มักจะมีคุณวิเศษในตัวเสมอ ** ส่วนมากจะติดที่ นามธรรม
    เลยหลงตัวเองได้ ว่าตนเป็นผู้มีคุณวิเศษ จากนามธรรม
    ที่ตนเองรับรู้สัมผัสได้ว่าเป็นที่สุด**


    เรื่องคุณวิเศษ ต้องควบคู่กับเรื่องปัญญา
    ศาสนาพุทธเน้นปัญญาเป็นหลัก ข้อนี้ต้องไม่ลืม

    หลักการทั่วไป ก่อนจะมีความสามารถพิเศษขึ้นมา
    ข้อแรก
    ๑. เพื่อเรียกของเก่าขึ้นมาดู และใช้เพื่อประโยชน์ทางธรรม
    และประโยชน์สาธารณะ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
    แบบนี้ มีโอกาศจะได้พบครูบาร์อาจารย์ท่างภพภูมิมาช่วยหนุน

    ๒. เมื่อใช้ได้แล้ว ก็ใช้งาน ไปตามปฏิปทาในข้อที่ ๑
    ๓. กำลังที่ได้มานั้น ให้เอามาสนับในเรื่องของปัญญา

    ๔. พอใช้งานไปซักพัก อาจจะหลายปีหน่อย เมื่อจิตเริ่มเกิด
    เวทนาทางจิต มันจะเริ่มเข้าใจคำว่า ทิ้ง ได้เอง
    ๕. ยิ่งทิ้งยิ่งอัตโนมัติ ยิ่งเร็ว เวลาจะใช้ก็ใช้ไป ใช้แล้วก็แล้วไป
    ไม่อะไรๆกับมัน มันจะมีพัฒนาการในการใช้งานได้ของมันเอง

    ๖. กำลัง ณ ระดับนี้ ให้มาหนุนในเรื่อง ความสะอาดของจิต
    ให้้มาเน้น ปัญญาให้มากขึ้น จนจิตสามารถ คลายตัวเองได้ตาม
    ธรรมชาติของมันเอง ในเวลาลืมตาปกติ
    ๗. พัฒนาด้านความใช้งานมันก็จะค่อยๆขึ้นมาได้ของมันเอง
    ตามแต่ระดับ กิเลสที่น้อยลง ที่เป็นผลมาจากทางด้านปัญญา

    ๘. ในระหว่างตั้งแต่ก่อนจะเริ่มข้อที่ ๑. ควรรู้จักสร้างบารมีให้ตนเอง
    เตรียมเอาไว้ให้มากๆ การสร้างบารมีให้ตนเอง คือ การให้แบบไม่อะไร
    อะไรกับมัน ให้แล้วก็แล้วไป ไม่คาด ไม่หวัง ไม่ตาม ไม่อะไร
    มันถึงจะกลายเป็นบารมีไหลเวียนย้อนกลับมาได้ไม่มีหมดของมันเอง
    ตรงนี้ จำเป็นมาก ในการหนุนความสามารถในการใช้งานทางจิต
    ในระดับขั้นกว่าต่อไป.....
    (การให้แบบหวังผล แม้เกิดบารมีแต่ถ้า
    นำมาใช้มันจะหมดไป)


    และสิ่งที่ควรรู้เป็นพื้นฐาน
    ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า
    ความสามารถที่ตนเองมี เป็นแบบไหน?

    ๑. แบบภายใน หรือ ความสามารถอะไรก็ตามที่ตนเองรับรู้ได้
    แต่คนอื่นๆไม่สามารถรับรู้ได้เหมือนตนเอง
    ๒. แบบภายนอก ความสามารถอะไรก็ตาม ที่ส่งผลต่อบุคคลอื่นๆได้
    สามารถทำให้บุคคลอื่นๆรับรู้ได้เช่นกัน.....

    หรือ ทั้ง แบบภายในและภายนอก เกจิเก่งๆจะมี ๒ แบบปกติ

    และ
    ๑.อภิญญา ตัวสุดท้าย รวมทั้ง อรูปตัวสุดท้าย รวมทั้งสภาวะนิโรธ...
    มันเรียนเอาไม่ได้นะต้อง''ทิ้งเอา'' คำว่าทิ้งเอาเป็น ''นัยยะ'' นะ
    และการที่เราจะทิ้งเอาได้นั้น หมายความได้อีก ๒ กรณี
    ๑.ปฏิบัติไปเน้นปัญญาจนบรรลุธรรมขึ้นมา แล้วความสามารถเดิม
    ที่เคยมีมาในอดีตท้้งหมด จะขึ้นมาให้ใช้งานได้เองเป็นปกติ
    ในชีวิตประจำวัน แบบไม่ต้องไปฝึกอะไรเลย
    ซึ่งหาได้ยากมากในปัจจุบัน ที่มีส่วนมากเป็นพระสงฆ์
    ๒. แบบทั่วไป ไม่ว่าจะพื้นฐานมาจากของเก่า หรือ มาฝึกให้จิต
    เกิดกำลังจิตด้วยกรรมฐานที่ขึ้นด้วยภาพต่างๆ จนถึงระดับที่สามารถ
    ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แล้วใช้งานไปซักพัก จนจิตเกิดเวทนาก่อน
    ตรงนี้โดยปกติจะใช้เวลาหลายปีอยู่ แล้วค่อยมาเริ่ม ทิ้ง.....
    แล้วมาทางด้านปัญญาต่อ ค่อยมาดูว่า จะเข้าพวกที่ต้องทิ้งเอาได้หรือเปล่า
    พวกนี้เป็นไปตามวาระ เริ่มเข้าได้ จากหลักวินาทีเหมือนกันทุกดวงจิต จำไว้เลย


    ภาพรวมๆ

    ๑.กิริยาระหว่างทางของกรรมฐานต่างๆ ไม่ว่าจะสัมผัสอะไรก็ตาม
    ไม่ว่าเหมือนจะมีความสามารถอะไรก็ตาม พวกนี้เสื่อมได้หมด
    และไม่ได้ถือว่า เป็นคุณวิเศษของจิต เป็นเพียงแค่กิริยาปกติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป
    เช่น ทางหู ต่อให้ได้ยินเสียงยุงบินเมือนผึ้งทั้งฝูง หรือได้ยินเสียงอะไร
    ก็ตาม หรือ รู้สึกว่าเรื่องในอนาคตเกิดขึ้นตรงกับที่เราเคยรู้สึก หรือ เห็นนามธรรมไม่ว่าระดับใดๆได้ก็ตาม หรือจะนั่งสมาธิแล้วตัวลอยตัวหลุดไปนอกกาย ไปนอกโลก ไปในจักรวาล พวกนี้เป็นแค่ผลระหว่างทาง
    ไม่ใช่เรื่องของคุณวิเศษอะไร เป็นมายาจิตอยู่ เป็นกิริยาที่ได้ทั่วไป
    แม้ไม่เคยฝึกอะไรมาก็สามารถเกิดขึ้นได้
    การจะบอกว่ามีความสามารถหรือเปล่า
    เราจะวัด กันที่ ความสามารถในการใช้งานได้จริง
    ใช้ได้ปกติในชีวิตประจำวัน
    ไม่ว่า สถานที่ เวลา เหตุการณ์ สถานะการณ์ใดๆก็ตาม
    ภายในหนึ่งลมหายใจเดียว ........
    ไม่ว่าจะเป็นความสามารถแบบภายใน หรือ ภายนอกก็ตาม




    ดังนั้น ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้น
    ที่เล่าให้ฟังไหม
    ๑.ไม่ลืมว่า พุทธเน้นเรื่องปัญญาเป็นหลัก
    ๒. ไม่ลืมว่า กำลังที่ได้จากความสามารถยังไงก็ต้องมาหนุนด้านปัญญา
    ๓. อย่าลืมเรื่องปฏิปทา สำคัญมาก อย่าคิดมีเพื่อตัวตนเป็นอันขาด
    ๔. รู้แนวว่า เราชอบแบบไหน ด้านภายใน หรือ ภายนอก
    จะได้หาคนแนะนำได้ถูก ไม่ใช่ชอบเรื่องภายนอก เรื่องพลังงาน เรื่องกำลังจิต แล้วไปเรียก ไปเข้าพบ ท่านที่มาทางด้านภายใน มันเสียเวลา
    เฉยๆ เพราะท่านเหล่านั้นก็ไม่ถนัด ไม่มีความชำนาญ หรือไปเจอ
    ท่านที่มีความสามารถมาจากการบรรลุ ท่านก็จะสอนทางด้านเทคนิค
    เราไม่ได้ ดังนั้น ให้พิจารณา แนวทางความสามารถตรงนี้เราด้วย
    ๕ ถ้ามาภายในเราจะนำไปใช้ทำอะไร? ถ้ามาภายนอกเราจะไปใช้ทำอะไร?
    ๖. ความสามารถเราวัดกันที่ใช้งานได้ ในเวลาปกตินะ อย่าลืม


    ปล. การนั่งสมาธิได้ในระดับฌาน ๔ จริงๆนั้น ไม่เงียบนะ
    บอกไว้ก่อน เอาแค่ปฐมฌานยังได้ยินภายนอกชัดเจน พอนึกออกไหม
    และ ไม่ได้ประกันว่าจะมี
    ความสามารถใดๆเกิดขึ้นมาในเวลาใช้ชีวิตปกติได้
    ในกำลังระดับ ฌาน ๔ นั้น ต้องถึงระดับ ที่สามารถควบคุมจิตและกาย
    ที่แยกกันอยู่ในกำลังระดับนั้น ให้ตัวจิตมันอยู่นิ่งๆในกายได้ก่อนเป็น
    เบื้องต้น ประเภทนั่งลอย ออกไปข้างนอกเลย ไม่มีประโยชน์
    หรือ นั่งแล้วลอยออกไปแบบสภาพแวดล้อมเงียบๆยิ่งไร้ประโยชน์


    การที่จิตจะเริ่มมีความสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันนั้น
    แบบคร่าว มี ๒ สาย(เกิดจากจิตและกายแยกกันได้ชั่วคราว
    และจิตนิ่งๆในกายได้แล้ว ในระดับกำลังฌาน ๔ นะ)

    ๑.แบบไม่ได้ขึ้นด้วยภาพนั้น
    สามารถไปได้ คือ วิ่งดูอวัยวะภายในร่างกายจนระเบิด
    จะได้ในเรื่องการตัดร่างกาย จนถึงระดับละเอียดได้
    และ แบบที่วิ่งซ้อนระเบิดไปเรื่อยๆในจิต จะได้
    ในเรื่องของ ความสามารถใช้งานได้ปกติในชีวิตประจำวัน
    แต่ทั้งสองแบบนี้ จะยังไม่ได้ ในเรื่องของกำลังจิต......
    แต่กำลังระดับที่ว่านี้ ถ้ามาเดินปัญญาต่อไปซักพัก จะช่วย
    ให้เราฝึกกรรมฐานต่างๆได้สำเร็จง่าย เพราะความเข้าใจทางนามธรรมจะเริมดี




    ๒. แบบที่ขึ้นด้วยภาย ต้องสามารถปั่นปฏิภาคนิมิตวนซ้าย(กรณีเป็นกสิณ) ของกรรมฐานกองนั้นๆได้ในกำลังระดับสูงก่อน ถ้าเป็นภาพพระ(ย่อขยาย)
    และจะต้องไปโดนภาพนิมิตดูด ถ้าทำได้ ในเวลาปกติ จะเกิดความ
    สามารถเล่นกับพลังงานได้ ไม่ว่า ดึง ดูด ส่ง เพิ่ม ฯลฯ
    ๓. แบบที่ขี้นด้วยภาพ แล้วสามารถอฐิษฐานจิตให้เกิดผลได้จริงๆบนโลก
    มาทางนี้ต้องรู้จัก การวางอารมย์เรื่องที่จะอฐิษฐานเป็น
    พูดง่ายๆ ต้องมีความฉลาดในเรื่องการอฐิษฐานจิตเป็นทุน
    ซึ่งส่วนมาก จะมีแต่พระที่ทำได้
    ๔. ทิ้งภาพไป แล้วระลึกขึ้นมาและทิ้งไปอีก แล้วเข้าไปโหมดอรูป
    จะได้ในเรื่อง การเล่นกับพลังงาน ภายนอก ในระดับการเชื่อมต่อได้
    หรือไม่ กำลังระดับนี้ เหมาะสำหรับ ในกรณีถ้าเราจะเป็นจอมคาถา
    หรือพวกเซียนสวด

    ทั้ง ๔ ข้อนี้ จะต้องพัฒนามาให้ถึงระดับใช้งานในลมหายใจเดียวก่อน
    เป็นเบื้องต้น มาตรงจุดนี้ ได้ก่อน ค่อยว่ากันในเรื่องของขั้นการพัฒนา
    ต่อไปในอนาคตครับ



    ประมาณที่เล่าให้ฟังนี่แระ เป็นภาพแบบรวมๆ
    มันจะไม่เหมือนในตำราที่เขียนไว้แบบหยาบๆ
    หรือเขียนไว้จนทำให้เรา อาจจะยังไม่เข้าใจวิถีการใช้งานได้
    จริงๆของจิตว่ามันเป็นอย่างไร...
    เพราะไม่ว่า จะมาทางด้านไหน มันจะมีในเชิงเทคนิคของแต่ละด้านอยู่
    พวกนี้ในตำราไม่ได้มีบอกไว้ด้วยแระ

    ของแบบนี้ การได้มีโอกาศเจอของจริงๆด้วยตนเอง
    จะทำให้วิสัยทัศน์ในด้านนี้เรากว้างขึ้นได้เอง
    ลองพิจารณาดูเอาเองนะ


    เผื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
    เดินตรงทางได้เร็วขึ้น...
    ท้ายนี้ก็ต้องเข้าใจไว้ก่อนว่า
    แม้เราจะมีโอกาศได้เจอท่านที่ทำได้
    แต่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทำได้แบบท่าน
    เพราะไม่ว่า สายไหน มันก็อาศัย
    พื้นฐานเพียงพอในการรองรับ
    ระดับความสามารถในแต่ละสายเหมือนกัน

    เครเนาะ
     
  6. _0_

    _0_ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2020
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    ตามความเข้าใจของกระผม สุดยอดของพลังจิตจะเกิดได้ต่อเมื่อมีนิพพานเป็นกาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...