พระคู่สร้างองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก

​

นับจากวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2493 ณ วังสระปทุม โดยสมเด็จพระสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ ทั้งสองพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงคู่กันโดยเสมอมา
ไม่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯยังผืนแผ่นดินส่วนไหนของประเทศไทย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯเคียงข้างพระวรกายเกือบทุกครั้ง เพื่อทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจอันใหญ่หลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นที่พึ่งของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ทรงขจัดปัดเป่าทุกข์ภัยที่เข้ามาทำร้ายพสกนิกรของพระองค์ รวมถึงพระราชทานพระราชดำริในการจัดตั้งโครงการต่างๆมากมายหลายพันโครงการ เพื่อช่วยเหลือราษฎรไทยให้สามารถพัฒนาศักยภาพตนเอง อันจะนำไปสู่การดำรงชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว่าจะต้องทรงตรากตรำพระวรกายแค่ไหนก็มิทรงย่อท้อ มิทรงเห็นแก่ความสะดวกสบาย แม้ว่าสถานที่ที่เสด็จฯไปเป็นสถานที่เสี่ยงอันตราย ก็ทรงอุตสาหะเสด็จฯ เพื่อพระราชทานขวัญและกำลังใจแก่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน ยังความปลาบปลื้มมาสู่พสกนิกรชาวไทยอย่างสุดซึ้ง
พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กว้างขวางครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม การแพทย์และสาธารณสุข การต่างประเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และด้านอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงด้านการศาสนา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของศาสนาทุกศาสนา ทั้งพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ศาสนามุสลิม ศาสนาฮินดู ฯลฯ ซึ่งประชาชนชาวไทยที่นับถือแต่ละศาสนาต่างอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข มีเมตตาต่อกันและกัน ทรงดำรงพระองค์เป็นพุทธมามกะที่ดีและทรงนำหลักธรรมะมาปฏิบัติทั้งด้วยพระองค์เองและเผยแผ่สู่ผู้อื่น
ดังพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

​

​

พระปฐมบรมราชโองการนี้ มีความหมายลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานในพระองค์ที่จะทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักแห่ง ทศพิธราชธรรม อันเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย
ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จออกผนวช เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระวชิรญานวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอุปัชฌาย์,พระศาสนโศภณ (ภายหลังได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 16) วัดมกุฏกษัตริยารามเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ,สมเด็จพระวันรัต (ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่14) วัดเบญจมบพิตร เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ท่ามกลางสงฆ์ พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ประมาณ 30 รูป และประทับ ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วันจึงทรงลาผนวช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายสมณฉายาว่า “ภิมพโล” ตามพระนามในพระองค์ ซึ่งระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ​

ในช่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ภายใต้ร่มกาสวพัสตร์ ทรงมีพระราชจริยวัตรงดงาม ทรงศึกษาปฏิบัติหลักพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและเคร่งครัด ทรงปฏิบัติพระองค์เยี่ยงพุทธมามกะที่ดีทุกประการ ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงเล่าถึงพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชว่า ​

“...พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงพระผนวชตามราชประเพณีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มิได้เป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่า “หัวใหม่” ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา ฉะนั้น ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า “บวชด้วยศรัทธา” เพราะทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธา ประกอบด้วยพระปัญญา และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด...”​

“...ในด้านหน้าที่ราชการนั้น ก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางพระพุทธศาสนา ตามราชประเพณีโดยมิได้ขาดตกบกพร่อง เช่น พระราชกรณียกิจเนื่องในเทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนา พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และในหัวเมือง พระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์แด่พระสงฆ์ในการเอื้ออำนวยแก่การปกครองคณะสงฆ์และเชิดชูผู้ทรงศีลทรงธรรมให้เป็นที่ปรากฏ ตลอดถึงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ การสั่งสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ”​

“ในด้านที่เป็นการส่วนพระองค์นั้น ก็ทรงปฏิบัติพระองค์ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมของพระพุทธศาสนา มีราชธรรม เป็นต้นดังกล่าวแล้ว ทรงศึกษาพระพุทธศาสนา และทรงนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ในโอกาสต่างๆ และบำรุงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นจำนวนมากมิได้ขาด...”​

​

นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราช แล้ว ยังเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยียนและสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระหลายรูป อาทิ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) วัดราชผาติการาม จ.กรุงเทพฯ,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร,หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย,หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี, หลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง, หลวงปู่สิม พุทฺธ-จาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่,หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน, หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย,หลวงปู่นำ ชินวโร วัดดอนศาลา จ.พัทลุง, หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี และหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา เป็นต้น​

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรอบรู้ธรรมะอย่างแตกฉาน ทรงบำเพ็ญสมาธิวิปัสสนาภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ดังพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 13 ธ.ค.2523 ซึ่งมีความบางตอนได้ทรงอรรถาธิบายถึงเรื่องการปฏิบัติในพุทธศาสนาความว่า

“... ท่านทั้งหลายหวังในบารมี ให้ปกเกล้าบ้านเมืองนั้น ก็เป็นอย่างหนึ่งที่น่าคิด เพราะว่า บ้านเมือง ประกอบด้วยบุคคล และแต่ละบุคคล จะต้องทำ ด้วยตนเอง ตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่ละคนจะต้องการอะไร ก็ต้องการความสุขคือความสงบ และความ สุขและความสงบนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยตนเอง ฉะนั้น ที่จะให้คนอื่นมาปกป้องรักษา ก็เป็นสิ่งที่ยากถ้าตัวเองไม่ทำ อันนี้เป็นข้อที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา แต่การที่จะอาศัยคนอื่น ก็อาศัยได้ โดยดูผู้อื่นที่ปฏิบัติดีชอบ และคอย ฟังสิ่งที่ผู้อื่นที่เราเห็นว่าปฏิบัติดีชอบได้พูดได้แนะนำ ดังนี้ ก็เป็นสิ่งที่อาศัยผู้อื่นได้ ฉะนั้น ก็จะต้องมีการพิจารณาของ ตัวเองว่า ผู้ที่น่าที่จะดูการปฏิบัติ หรือฟังข้อแนะนำ ในการปฏิบัติและทำตาม อันนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคล ได้บรรลุถึงความสำเร็จความสุขได้...”

​

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาอยู่เป็นนิจ และทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงความสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานเงิน 72 ล้านบาทที่ประชาชนทูลเกล้าฯถวายเพื่อให้ทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา แก่กรมการศาสนา และมหาเถรสมาคม เพื่อใช้ในการตั้งกองทุนเผยแผ่ “พระธรรมในพระพุทธศาสนา” เผยแผ่ศาสนาในรูปแบบต่างๆไปสู่ชาวไทยทุกคนด้วย เพื่อให้ราษฎรได้เข้าถึงและเข้าใจในหลักธรรมของพุทธศาสนามากขึ้น และสามารถที่จะนำหลักธรรมคำสอนนั้นมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทย อย่างหาที่สุดมิได้.

ขออนุโมทนาสาระประโยชน์จาก : http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=162058&NewsType=1&Template=1

 

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ มีพระชนน์มายุยิ่งยืนนาน

 

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
​

 

ทรงพระเจริญ

 

ขอพระองค์ทั้งสองจงทรงพระเจริญ

 

ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...สาธุ

 

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ มีพระชนน์มายุยิ่งยืนนาน

 

ทรงพระเจริญ
ขอพระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ถวายการรักษาพยาบาล : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บสาหัส บนถนนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์อยู่นั้น ผู้เฝ้าพระอาการ นอกจากสมเด็จพระราชชนนี พระเชษฐภคินีและมหาดเล็กแล้ว ยังมีหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ร่วมเฝ้าฯ อยู่ด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีกระแสรับสั่งว่า เมื่อทรงฟื้นคืนสติครั้งแรกทรงระลึกถึงบุคคลเพียง ๒ คน คือ สมเด็จพระบรมราชชนนี และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร
หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเข้าเฝ้าฯ ถวายการดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดตลอดเวลา จึงเป็นผลให้ความสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิมนั้น แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเป็นลำดับ



ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร โดยพิธีหมั้นนั้นได้จัดเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินเซอร์ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำพระธำมรงค์เพชรที่มีลักษณะเป็นรูปหัวใจพระราชทานให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เป็นการหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ไว้ขั้นหนึ่งก่อน พระธำมรงค์องค์นี้เป็นพระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชชนกทรงหมั้นสมเด็จพระบรมราชชนนีนั่นเอง
เนื่องในวโรกาสสำคัญนี้ ราชเลขานุการในพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แจ้งข่าวมายังรัฐบาลไทย ก่อให้เกิดความปีติยินดีแก่ปวงชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ในปีเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ กรุงลอนดอนเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทรงร่วมฉลองวันเกิดของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งจัดขึ้นที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในโอกาสนี้หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ได้นำธำรงค์ที่ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ได้มีพระราชดำรัสขณะพระราชทานพระธำมรงค์ว่า "เป็นของมีค่ายิ่ง และเป็นที่ระลึกด้วย"




เสด็จนิวัติประเทศไทย : พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังมีพระพลานามัยไม่เป็นปกตินัก และแพทย์ที่ถวายการรักษาได้กราบบังคมทูลมิให้เสด็จพระราชดำเนินหนทางไกล ๆ แต่พระองค์ก็ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จนิวัติประเทศไทย เนื่องด้วยพระองค์มีพระราชภารกิจสำคัญที่ต้องทรงปฏิบัติถึง 3 ประการ คือ

- พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช​

- พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส​

- พระราชพิธีบรมราชาภิเษก​

​

​

พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส : หลังจากเสร็จการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสยามินทราธิราช รัชกาลที่ ๘ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้น นับว่าเป็นข่าวที่ยังความปีติยินดีแก่ราษฎรชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง หมายกำหนดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสครั้งนี้ นับเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกสำหรับพระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตยที่ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั้งปวง ​

​

เสด็จฯ ไปประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ : วันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เสด็จฯ ไปประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา ๕ วัน พร้อมด้วยคณะผู้ตามเสร็จหลายท่านโดยทางรถไฟ ซึ่งจัดถวายโดยกรมรถไฟในขณะนั้น ​

​

พระคู่พระบารมี : วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระราชินี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
วันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์​

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

http://www.chomromdek.com/festiva_columns/theking60year/60yeartheking3.html
http://www.korsornor1.com/template/action_photo_enlarge.php?event_id=6944&pic_id=79581​

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

***********************
จงมีความมั่นคงในความรักชาติและศาสนา พระมหากษัตริย์ เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ยอมพลีชีวิตเพื่อช่วยกันรักษาชาติไทย และศาสนา ทั้งพระมหากษัตริย์ที่รักยิ่ง ให้ยั่งยืนถาวรเพื่อไว้ให้อนุชนรุ่นหลังรับช่วงตลอดไป

 

ขอทรงพระเจริญ
ปลื้มใจชาวประชา

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

เสด็จออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลและถวายสังฆทาน



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลและถวายสังฆทาน เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 28 เม.ย.

[FONT=Tahoma,]หน้า 1[/FONT]


http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB5T1E9PQ==

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
Long Live Our King and Queen.

 

ทรงพระเจริญ

 

ทรงพระเจริญ

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ