วิชชามโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นการสอนคนให้ติดนิมิตใช่หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้มีจิตอันตั้งมั่น, 6 กันยายน 2005.

  1. ผู้มีจิตอันตั้งมั่น

    ผู้มีจิตอันตั้งมั่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +48
    ก่อนแรกต้องขออภัยกับทุกท่านๆที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ซึ่งผมเองก็เคารพหลักธรรมของท่านเหมือนกัน ที่โพสนี้มิได้ดูถูกหรือดูหมิ่นแต่อย่างใด แต่เพราะความเห็นของผมกับเรื่องการสอนทำสมาธิของหลวงพ่อ ในทางที่ให้เพ่งอุปภาคนิมิต แล้วยึดติดเป็นอารมณ์ แล้วถอดจิตถอดวิญญาณท่องนรกสววรค์ และยังสามารถขึ้นไปท่องนิพพานได้ ซึ่งผมได้อ่านในนี้ก็รู้สึกมีสมาชิกหลายคนสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนเลยว่า การที่มนุษย์เราซึ่งยังไม่สามารถละกิเลสได้จะสามารถถอดจิตแล้วไปนิพพานขึ้นไปหาพุทธเจ้า ได้ ทั้งที่พระนิพพานก็มีอธิบายไว้อย่างละเอียดว่าเป็นดินแดนที่ผู้มีกิเลสมิอาจล่วงไป ถ้ายังงั้นคนที่ถอดจิตถอดวิญญาณได้ก็คงบรรลุอรหันต์หมดทุกคน เพราะสามารถไปนิพพานได้ คงไม่ต้องเพ่งพิจารณาทำวิปัสสนาให้เมื่อยตุ้ม เพราะเพียงแค่ทำจิตให้ติดนิมิตก็ได้บรรลุอรหันต์ ทั้งที่สายหลวงปู่มั่นก็สอนให้เป็นหนักหนาสำหรับพระที่กำลังเป็นวิปัสสนูคือ หลงไปตามความรู้ทีได้เห็นได้ยินมาจากการนั่งสมาธิแล้วมาคิดเป็นจริง หลวงปู่ดูลย์ท่านเองเป็นพระอรหัตน์ทั้งองค์กระดูกเป็นพระธาตุท่านก็ยังสอนว่า นิมิตต่างๆที่ได้พบเห็นน่ะเป็นสิ่งที่ไม่จริงทั้งนั้น เห็นน่ะจริง แต่สิ่งที่เห็นน่ะไม่จริง เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าการที่ทำสมาธิถอดจิตได้แล้วไปท่องนรกสววรค์ล้วนเป็นเรื่องของการติดนิมิตทั้งนั้น หลวงปู่มั่นตอนแรกๆที่ท่านปฏิบัติใหม่ๆท่านก็เจอนิมิตแบบนี้เหมือนกันแต่ท่านก็สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น เพราะท่านก็รู้ว่านิมิตต่างๆมันเป็นเรื่องที่หลอกลวงทั้งนั้น ท่านจึงละ และก็ได้บรรลุคุณธรรมที่ปราถนา ผมจึงอยากจะเตือนท่านทั้งหลายที่เป็นสมาชิกในที่นี้ อย่างบางคนที่ว่านั่งสมาธิไปถามเทวดา ถามพระพุทธเจ้า เรื่องการปราถนาพุทธภูมิแล้วบอกว่าคนนั้นอีก 10 ชาติจะได้เป็น คนนี้อีก 3ชาติจะได้เป็น บางทียังบอกว่าตนเองจะได้เป็นมหาสาวก เป็นพระพุทธเจ้าอีกไม่กี่ชาติเท่านั้นเอง ท่านทั้งหลายรู้ตัวเองบ้างไมครับ ว่าท่านน่ะ วิปัสสนูอย่างเข้าขั้นเลย อาจจะวิปลาสได้ สมาธิขั้น ถอดจิตถอดวิญญาณน่ะเป็นแค่สมาธิขั้น อุปจาระเท่านั้นเอง ถ้าไปบอกคนอื่นว่าได้ ฌาน1ฌาน2-3-4 คนที่รู้จริงๆๆเขาจะหัวเราะเยาะให้ ลองศึกษาคำว่าฌานให้ดี ว่าแปลว่าอะไร ฌานแปลว่า การเพ่งอยู่ การที่จะบรรลุฌาน1ได้นั้นจิตจะต้อง มี วิจาร ปิตี สุข เอกัคคตา ครบ 4อย่างถึงเรียกว่าฌาน1 ส่วนฌาน2คือจะระงับ วิจารได้ เหลือ ปีติ สุขเอกัคคตา ฌาน3คือ สุข เอกัคคตา ฌาน4 คือ เอกัคคตา คือจิตรวมเป็นหนึ่ง หรือเรียกว่าจิตขั้นพุทธะแต่ความรู้หรือวิชชา ยังไม่สามารถละกิเลสได้ หลวงปู่มั่นท่านเองเวลารับแขกเทวดา ที่มาฟังธรรม ท่านก็ต้องถอยจิตของท่านให้เข้าสู่สมาธิขั้นอุปจาระ จึงสามารถเทศนาธรรมสอนเทวดาได้ (ถ้าอยากรู้ให้ไปหาอ่านประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ท่านถูกเทวดา ตำหนิ เรื่อง ความสัตย์ เพราะท่านตกลงกับเทวดาก่อนแล้ว่วาเวลานั้นเวลานี้ให้เขามาฟังธรรมจากท่าน แล้วท่านจะเข้าฌานรอ เวลาที่เทวดาจะมา แต่บางทีท่านอาจจะพักผ่อนในฌานนานเกินไป จนเทวดามารออยู่นานแล้วเทวดาเลยตำหนิเรื่องนี้
    เทวดาเองจะปลุกท่านก็ไมได้เพราะมันเลยจิตเลยภูมิธรรมของเทวดาที่จะเข้าไปตามได้เว้นไว้แต่ผู้มีฌานเสมอกัน นี่เห็นไมล่ะครับ การที่พวกคุณนั่งสมาธิแล้วเห็นโน่นเห็นนี้น่ะ มันติดนิมิต เป็นวิปัสสนูกันทั้งนั้น จิตขั้นที่พูดคุยกับเทวดาได้ก็อยู่ในขั้นแค่ อุปจารเท่านั้นเอง มิได้สูงไปกว่านั้นเลย และยิ่งมีบางคนนั่งสมาธิไปถามพระพุทธเจ้าได้ พูดคุยกับพุทธเจ้าได้หรือไปดินแดนแห่งนิพพานได้ ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะภูมิจิต ภูมิธรรมของพวกคุณมันเข้าคุณธรรมระดับนั้นไม่ได้ ถ้าเกิดมันเป็นจริงอย่างที่คุณว่า งั้นผมคิดว่าป่านนี้เทวดาก็คงได้บรรลุอรหันต์หมด เพราะสามารถไปหาพระพุทธเจ้าได้ ผมจึงอยากจะบอกท่านที่กำลังคิดว่าตัวเองจะได้เป็นนั้นเป็นนี้ ว่าท่านน่ะจะเป็นบ้าได้ เพราะพระที่เป็นบ้าหลาบองค์ก็ล้วนแต่ติดนิมิตติดความรู้จากจิตกันทั้งนั้น เมื่อรู้ต้องละ ผมเองก็เคยปฏิบัติถาวนามาเหมือนกัน เคยเห็นนิมิตมาบ้างเหมือนกัน นิมิตของผมก็ไมได้ต่างจากพวกคุณเลย เห็นผีสางเทวดา นางไม้ บางทีก็นิมิตว่าตัวเองเป็นนั้นเป็นนี้จนคิดเป็นตุเป็นตะยังเคยนิมิตว่าตนเองสู้กับเทวดาเลย แต่ผมก็รู้ว่ามันไม่จริง จิตมันหลอกเราทั้งนั้น ผมจึงอยากให้พวกคุณลองเอาคำพูดผมไปคิดดู ว่าตัวเองติดนิมิตหรือไม่หรือยังคิดว่าสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง บุคคลที่สามารถทำจิตให้เป็นฌานได้นั้น ต้องระงับ วิวรณ์ 5ได้เท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดา ถ้ายังเสพกามคุณ 5 อยู่ มิอาจทำจิตให้เป็นฌานได้เลย อย่างมากก็ได้แค่ขั้นอุปจาระ สามารถถอดจิตถอดวิญญาณได้เท่านั้น เพราะสมาธิขั้นอุปจาร เป็นสมาธิที่ปุถุชนสามารถยังให้เกิดได้ถ้าอาศัยการเพ่งอยู่ ทำอยู่ ให้เป็นอารมณ์ คำว่าพรหม คือผู้ที่ประพฤติพรหมจรรย์ ทำจิตให้ออกจากกามคุณ 5 รูปเสียง กลิ่น รส โพฑัพพะ จึงจะเรียกว่าพรหม

    <!-- Start Webbands -->
    <SCRIPT src="http://thaiblogger.org/webbands/weloveourking_left.js" type=text/javascript></SCRIPT><STYLE><!-- @import url(http://comed46.com/webbands/webband.css); --></STYLE>
    [​IMG]
     
  2. มหาธาตุ

    มหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +524
    ขณะฝึกมโนฯเรามีศีล ๕ บริบูรณ์ จะคิดว่า ๒๒๗ เท่าพระก็ยังได้ นิวรณ์ ก็ไม่มีขณะจิตใจสะอาดที่สุดจะเห็น (จิตสัมผัส) นิพพานได้ผิดกติกาหรือครับ แล้วที่บอกงั้นไม่ต้องเพ่งพิจารณาทำวิปัสสนาให้เมื่อยตุ้ม แสดงว่าไม่เคยฝึกมโนฯ ก่อนภาวนา นะมะพะธะ หลวงพ่อบอกเลยว่าให้พิจารณาความสกปรกของร่างกาย ร่างกายเป็นทุกข์ การต้องทำมาหากินเป็นทุกข์ การกินต้องขี้ต้องเยี่ยวเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นของสกปรกทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกทิ้งไว้ไม่อาบน้ำแปรงฟันเหม็นไหมล่ะ ข้างในก็เป็นนำ้้ำเลือดน้ำเหลือง ของเสียเพียงแต่มีหนังหุ้มอยู่เหมือนกระดาษของขวัญห่อขี้ ร่างกายเป็นรังของโรค หากผุพังสลาย (อนัตตา) ไปแล้วเราไม่ต้องการมันอีก ฯลฯ อย่างนี้ไม่เรียกวิปัสสนาเหรอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กันยายน 2005
  3. มหาธาตุ

    มหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +524
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กันยายน 2005
  4. มงกุฎเพชร

    มงกุฎเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +71
    แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจสายปฏิบัติแบบ มโนมยิทธิ

    ผมขออธิบายเริ่มแรกก่อน การปฏิบัตินั้นพุทธเจ้าแบ่งออกเป็นอัชฌาสัย4สายหลักๆด้วยกันเพราะอัชฌาศัยการปฎิบัติต่างกันคือ
    1.สุขวิปัสโก คือสามารถทรงฌาณได้เป็นพระอรหันต์ได้แม่สามารถมีทิพยจักญาน ไม่สามารถแสดงฤทธิได้ แต่ก็อาจจะเห็นพวกที่เป็นทิพยืได้เมื่อทนรงอารมณ์อุปจารสมาธิ
    2.เตวิชโช วิชชา3 1.สามารถระลึกชาติได้ 2.รู้การเกิดการตายของสัตว์ 3.ทำกิเลศให้สิ้น ซึ่งจะได้ตั้งเอากสินตั้งเพื่อฝึกทิพยจักขุญาน ในวิสุทธิมรรคมีบอก
    3.ฉฬภิษโญ มีอภิษญา 6 แสดงฤทธ์ได้ ซึ่งจะครอบคลุมเนื้อหาของเตวิชโชด้วย
    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต ต้องฝึกอรูปฌาน สำหรับคนที่ต้องการความฉลาด ปฏิภาณ ยกตัวอย่างพระมหากัจจายนะ
    จะเห็นว่าการฝึกจริงๆต้องแล้วแต่อัชฌาศัยของบุคคลจะว่ากันไม่ได้เลยเพราะสุดท้ายก็ต้องมีอาสวขยญาน คือทำกิเลศให้สิ้นไปทุกอัชฌาศัย
    ครานี้คำว่ามโนมยิทธิ นี้คืออะไร มโนมยิทธินี้หมายถึงฤทธิทางใจ เป็นหนึ่งในวิชชา 8 ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านทรงสอนผู้สำเร็จสามารถเนรมิตรกายในกายได้หรือถอดจิตออกท่องเที่ยวไปยังภพภูมิต่างๆได้โดยปกติแล้วต้องได้ฌาน 4 แล้วลดกำลังมาอธิษฐานในอุปจารสมาธิ แต่ก็สามารถใช้อธิษฐานตอนอุปจารสมาธิเลยก็ได้โดยใช้กำลังของวิชชา 3 ซึ่งจะเบากว่าขึ้นต้นด้วยฌาน4 แต่วิธีที่หลวงพ่อสอนนี่เป็นารฝึกสำหรับผู้ที่เคยได้แล้วมาในอดีตชาติ(ในวิสุทธิมรรคกล่าวไว้สำหรับผู้ที่เคยทำมาในอดีตชาติถ้าชาตินี้เพียงได้เห็นแสงลอดมาเท่านั้นก็สามารถมีทิพยจักขุญานได้) ถ้าไม่เคยได้นี่ฝึกไม่ได้ต้องไปเริ่มกสินใหม่เลย

    ครานี้ไม่ว่าจะฌาน4 ก็ตามหรืออุปจารสมาธิในแบบของกำลังของวิชชา3ก็ตามต้องใช้กสินเป็นตัวตั้งต้นเพื่อฝึกทิพยจักขุญานไปในตัว ซึ่งกสินที่จะทำให้เกิดทิพยจักขญานที่เป็นสายตรงก็คือ อาโลกสิน (กสินแสงสว่างซึ่งมีเขียนวิธิฝึกไว้ในวิสุทธิมรรคชัดเจนไปดูและศึกษาเอา )เรียกสั้นๆจับนิมิตที่คุณบอกว่ามันคืออุปภาคนิมิตนั่นแหละแต่จริงแล้วเป็นนิมิตขององค์กสิน---เพียงแต่หลวงพ่อท่านให้จับภาพพระพุทธรูปให้เป็นแก้วใสแทน เพราะ
    1.นอกจากจะได้ผลของกสินแล้ว ยังเป็นพุทธานุสติกรรมฐานอีกต่อหนึ่ง
    2.พอทรงตัวดีแล้วหรือสำเร็จแล้วผู้นั้นสามารถจะท่องเที่ยวไปยังพบต่างๆไปดูนรก เพื่อไร เพื่อไห้เกรงกลัวต่อบาป ดูสวรรค์ดูพรหมโลกเพื่อไรเพื่อให้หมั่นทำความดีให้จิตเบิกบานติดในความดีและบุญกุศล เป็นเทวตานุสติกรรมฐานอีกต่อหนึ่ง
    และการที่จะเห็นชัดไม่ชัดนั้นตรงความเป็นจริงรึปล่าวไม่นั้นอยู่ที่กำลังของทิพยจักขุญานที่ฝึกมา+กับวิปัสนาญานการพิจารณาในร่างกายด้วยที่หลวงพ่อท่านสอนอยู่เสมอว่าร่างกายไม่ใช่ของเราเราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา (ไปหาดูน่ะคับ(เรื่องวิปัสนานี่หลวงพ่อสอนเยอะมากแต่คุณไม่รู้เพราะคุณไม่เคยจะค้นหา)การที่หลวงปู่มั่นและหลวงปู่ดุลย์ นั่นหมายถึงนิมิต ย้ำนิมิตคือภาพที่เกิดจากจิตปรุงแต่ง แต่ผลที่ได้จากทิพยจักขุญานและมโนมยิทธิ "ไม่ใช่นิมิต" นิมิตคือสิ่งที่จับเป็นกสินในตอนต้นเพื่อให้จิตเป็นสมาธิเท่านั้นนะคับซึ่งกสินจัดเป็นนิมิตที่จำเป็นต้องรักษา(ไปดูวิสุทธิมรรคมาเถอะนะ) เอาง่ายๆเลยพระอนุรุทธนี่ เอตทัคคะด้าน ทิพยจักขุญาน ถามหน่อยสิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นที่ท่านเป็นคุณธรรมตรงนี้ เป็นการติดนิมิตหรือ และพระโมคคัลลาร์นี้ไปดาวดึงส์ใช้หัวแม่โป้เท้าสกิดปราสาทของพระอินทร์นี่ เป็นการติดนิมิตหรือ และยังมีเอตทัคคะด้านเนรมิตกายในกาย(มโนมยิทธิ)อีกเนี่ย พระพุทธเจ้าตั้งยกย่องคนติดนิมิตมาเป็นหรือ และการที่พุทธเจ้าไปโปรดท้าวพกาพรหมบนพรหมโลกนี่เป็นนิมิตงั้นหรือ และท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าหรือพระอนุรุทธ พระโมคคัลลา เหล่านี้มิได้สำเร็จอรหันต์ตัดกิเลสเป้นสมุทเฉจประหารหรอกหรือ
    และการที่คุณบอกว่าการ"ที่มนุษย์เราซึ่งยังไม่สามารถละกิเลสได้จะสามารถถอดจิตแล้วไปนิพพานขึ้นไปหาพุทธเจ้า ได้ ทั้งที่พระนิพพานก็มีอธิบายไว้อย่างละเอียดว่าเป็นดินแดนที่ผู้มีกิเลสมิอาจล่วงไป ถ้ายังงั้นคนที่ถอดจิตถอดวิญญาณได้ก็คงบรรลุอรหันต์หมดทุกคน"
    ตอบว่า การที่ทรงมโนมยิทธินั้นจิตจะมีความเป็นทิพย์มากน้อยตามกำลังของวิปัสนาญานที่แต่ละบุคคลมีการที่จะเห็นพระนิพพานหรือขึ้นไปได้นั้นต้องทำวิปัสนาญานจนถึงที่เขาเรียกว่าโคตรภูญาน และเป็นอัชฌาศัยเตวิโชขึ้นไปถึงจะมีสิทธิดูรู้ไม่งั้นไม่ได้ ไปได้แต่อยู่ไม่ได้คุณเข้าใจไหมการจะอยู่มันต้องตัดกิเลสให้ได้ต้องมาวิปัสนาการขึ้นไปก้เพื่อกำลังใจเพราะกำลังใจสำคัญตัดได้ไม่ได้อยู่ที่ใจจุดเดียวและการที่เขาถามพุทธเจ้านั้นแล้วทำนายน่ะเข้าทำจริงป่าวคุณก็ไม่รู้ที่นี่พวกขี้โม้มันเยอะนะเยอะมากคุณควรใช้วิจารณญานเพราะบางคนก็เอาความรู้ที่หลวงพ่อให้ไปโอ้อวดซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์ขององหลวงพ่อเลย
    และ ถามว่าทำไมต้องโคตรภูญานถึงจะพอรู้ได้ก็ เพราะเป็นตัวที่ต้องใช้วิปัสนาจนอารมณ์นี้รักปรารถนาพระนิพพาน แต่ยังไม่ถึงความเป็นอริยะเจ้าคืออยู่ระหว่างโลกียฌานกับโลกุตรฌาน เป็นไงไม่รู้แหละไปฝึกเองขี้เกียจอธิบาย หรือไม่ถ้าอยากรู้สายนี้เขาปฏิบัติยังไงไปหาซื้อคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมาอ่านแล้วจะทราบว่าจริงๆแล้วมันเป็นยังไงและการที่หลวงพ่อสอนมโนมยิทธินี้เพื่อให้ศาสนิกชนไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง บาปมี บุญมีและจะได้ไม่สงสัยความดีของพระรัตนตรัยซึ่งขะช่วยให้ตัดสังโยชน์เพื่อโสดาบันได้ง่ายขึ้น(องค์สังโยชน์ของโสดาบันมีไรบ้างคุณไปดูเอาเอง)ถามว่าทำไมต้องโคตรภูญาน เพราะเป็นตัวที่ต้องใช้วิปัสนาจนอารมณ์นี้รักปรารถนาพระนิพพาน แต่ยังไม่ถึงความเป็นอริยะเจ้าคืออยู่ระหว่างโลกียฌานกับโลกุตรฌาน เป็นไงไม่รู้แหละไปฝึกเองขี้เกียจอธิบาย หรือไม่ถ้าอยากรู้สายนี้เขาปฏิบัติยังไงไปหาซื้อคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมาอ่านแล้วจะทราบว่าจริงๆแล้วมันเป็นยังไงถ้าคุณใจกว้างพอ
    และการที่คุณบอกว่า"สมาธิขั้น ถอดจิตถอดวิญญาณน่ะเป็นแค่สมาธิขั้น อุปจาระเท่านั้นเอง ถ้าไปบอกคนอื่นว่าได้ ฌาน1ฌาน2-3-4 คนที่รู้จริงๆๆเขาจะหัวเราะเยาะให้ ลองศึกษาคำว่าฌานให้ดี ว่าแปลว่าอะไร ฌานแปลว่า การเพ่งอยู่"
    ก็ขอตอบว่าใช่อุปจารจริงดังที่ได้อธิบายในเบื้องต้น แต่การที่จะหัวเราะนั้นผมมากกว่าที่จะหัวเราะคุณ เพราะอะไรเพราะคุณไม่รู้จัมโนมยิทธิคือไรน่ะสิ ไปอ่านวิสุทธิมรรคมาซะนะทีหน้าที่หลังก่อนจะมาโพสน์ และขอบอกให้ความรู้ไว้หน่อยนึงว่าไม่ว่าจะเป็นฤทธิหรืออะไรก็แล้วแต่ต้องมาอธิฐานที่อุปจารนี่ทั้งนั้นนะคุณถ้าทำอารมณ์หนักไปจนเป็นฌานนี่ขอบอกว่าเงียบกริบ และคำว่าแค่อุปจารสมาธิน่ะคุณทำให้มันทรงตัวซะก่อนเถอะนะแล้วค่อยมาฝอยเรื่องฌานกันต่อไป (กลับไปปฏิบัติมาซะ)อันนี้ผู้ฝึกขอหลวงพ่อรู้ทุกคน(ที่ฝึกกันจริงๆ)
    และการที่คุณบอกว่าเห็นเทวดานางฟ้านั้นอาจจะเป็นนิมิก็ได้ที่อารมณ์คุณมันเกิดฟุ้งขึ้นมาหรืออาจจะบังเอิญไปเจอะอุปจารสมาธิเข้าเลยทำให้เห้นภาพเทวดาหรือพวกทิพย์แต่ขอบอกไว้อย่างว่าที่คุณละนะดีแล้วเพราะถ้าเกิดเป็นอย่างข้อสองจริงซึ่งหมายถึงอาจจะไม่ใช่นิมิตซึ่งมันไม่ตรงอัชฌาศัยคุณซึ่งเป็นสุขวิปัสโกคือไม่ต้องการทิพยจักขุญานอยู่แล้วก็ควรละซะไปฝึกตามแนวทางของคุณจะดีกว่าเพราะถนัดกว่าและการที่คุณบอกว่า
    "จิตขั้นที่พูดคุยกับเทวดาได้ก็อยู่ในขั้นแค่ อุปจารเท่านั้นเอง "
    ขอตอบว่าก็จริงอีกและ พวกได้มโนมยิทธนี่เขาไม่ได้ใช้กำลังฌานกันนะคุฯไปเอามาจากไหนไปดูมาให้ดีๆคุณก่อนจะมาวิจารร์น่ะ
    อีกอย่างการที่นักปฎิบัติจะพบพุทธเจ้าได้หรือไม่นั้นคุณเคยได้ยินคำนี้มั้ยคับ
    "พระพุทธเจ้าท่านเพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น พระบารมีและคุณธรรมยังอยู่ ทรงเสด็จไปสอนด้วยพระพุทธบารมีได้"สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช
    และที่มโนมยิทธเขาเข้าพบกันก็เพราะพุทธบารมีอันนี้ แหละที่พบจะว่าเป็นฉัพพรรณรังศีก็ว่าได้ เพราะถือเป็นพุทธบารมีโดยแท้
    และหนังสือหลวงปู่มั่นน่ะบ้านผมมีเยอะเลยคุณแล้วก็ยังมีพระธาตุของหลวงปู่มั่นด้วยแต่คุณล่ะแค่มีหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเกี่ยวกับการปฏิบัติซักเล่มนึงมีรึปล่าวคับ รู้น่ะหรือวิจารณ์อะไรต้องรู้ให้แท้และจริงรู้ทั้งเขาและเรา
    ส่วนตัวเองต่างคนต่างสายปฏิบัติครูบาอาจารย์แต่ละคนย่อมทีวิธีการสอนที่แตกต่างกันไป อันนี้ผมจึงไม่กล้าวิจารณืใครเลยหรือท่านใดเลยเพราะผมกลัวปรามาศไม่อยากลงอเวจีของหลวงพ่อนี่วิปัสนาก็บอกแล้วท่านสอนมากโดยเฉพาะสักยทิฐินี่และก็อื่นๆอีกมากมายที่ท่านให้ควบไป เพราะฉะนั้นเรื่องวิปัสนาสายนี้ไม่ใช่วิปัสนูแน่นอนคุณไม่ต้องห่วงหรอก ไปศึกาของคุณมาให้ดีเถอะ
    อีกประการ อันนี้ไม่ได้เปรียบเทียบนะคับเพียงแต่บอกให้รู้เฉยๆ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ กระดูกเป็นพระธาตุ แต่ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้น ร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย(ซึ่งต้องเป็นพระอรหันต์อธิษฐานจิตไว้ก่อนนิพพานเท่านั้น)แถมไม่ว่าจะเป็นผม ชานหมากของหลวงพ่อกลายเป็นพระธาตุหมด ร่างกายของท่านก็มีพระธาตุงอกหรือผุดขึ้นมาพูดได้ว่าเกือบหัวจรดปลายเท้าเลยทีเดียว เชื่อไม่เชื่อไปพิสูจน์กันเองที่วัดท่าซุงนะคับ ซึ่งผ่านมา10กว่าปีแล้วที่ท่านละสังขาร ซึ่งวันที่2 ต.ค.นี้เป็นวันคล้ายวันเกิดท่าน
    สรุป.. รู้อะไรก่อนมาวิจารณ์เราต้องรู้เขารู้เราว่าแท้จริงเขาเป็นไงเราเป็นไงพุทธเจ้าตรัสไว้มีมั้ยวิสุทธิมรรคมีรึปล่าว ไม่รู้จริงแล้วอย่าเพิ่งฟันธงวิปัสนูวิปัสนาปดูเอาเองศึกามาให้ละเอียดก่อนวิจารณื และควรทำใจเป็นอุเบกขาเสียก่อนอื่นทั้งหมด

    อนุโมทนา (bb-flower (b-green)
     
  5. มงกุฎเพชร

    มงกุฎเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +71
    ทำไมต้องสอน

    [b-wai] การที่หลวงพ่อสอนมโนมยิทธินี้เพื่อให้ศาสนิกชนไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง บาปมี บุญมีและจะได้ไม่สงสัยความดีของพระรัตนตรัยซึ่งจะะช่วยให้ตัดสังโยชน์ได้ง่ายขึ้น กันการปรามาศอีกสถานหนึ่ง
     
  6. มหาธาตุ

    มหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +524
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กันยายน 2005
  7. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรื่องมโนมยิทธินั้น เราจะไม่ขอวิจารณ์ในที่นี้ เอาแค่รู้ว่าเป็น "ปัญญาธรรม" ของหลวงปู่ฤษีลิงดำ ที่ใช้ในการสอนคนก็แล้วกันครับ

    แต่สำหรับเรื่องการถอดจิตนั้นเข้าใจว่า "ผู้มีจิตอันตั้งมั่น" ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการถอดจิตน่ะครับ จึงไม่เข้าใจความอัศจรรย์ของจิตและไม่เข้าใจโลกของจิตวิญญาณว่าเขาเป็นระบบอย่างไร สมาธิขั้นอุปจาระนั้นถอดจิตไม่ได้หรอกครับ

    การถอดจิตในที่นี้หมายถึงตัวเองลุกออกมาจากร่างกายเนื้อ ไปยืนมองตัวเองนอนอยู่ หรือมองดูคนอื่นๆเขานอนอยู่ รับรองว่าขั้นนี้ทำได้ไม่ง่ายครับ ต้องใช้พลังฌานครับ หากคล่องแล้วจะมีประโยชน์เช่นกัน

    เรื่องนิมิตนั้นมีทั้งจริง ทั้งเท็จ ครับ สิ่งสำคัญก็คือเราสามารถแยกแยะได้ไม๊ ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ

    ครูบาอาจารย์บางท่านก็สอนให้ละนิมิตไปเลย เพราะว่ากลัวจะไปหลงตรงนั้น แต่ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านสอนให้แยกได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ และให้ปฏิบัติไปพิสูจน์ด้วยตนเอง หลักง่ายๆก็คือ ก็ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้นออกมาภายนอกได้ ก็ถือว่าเป็นนิมิตของจริง

    เรื่องศีลธรรมนี้ละเอียดอ่อนมาก ที่หลวงปู่ดุลย์ สอนนั้นเราเข้าใจท่านว่า เป็นธรรมขั้นละวาง แต่เมื่อไหรก็ตามที่เรายังปฏิบัติยังไม่ถึงขั้นนั้นแล้วไปวางจิตตามที่ท่านบอก เราก็จะปฏิบัติแบบผิดฝาผิดตัว เหมือนชาวบ้านปฏิบัติแบบพระอรหันต์ เพราะการสั่งสมบารมี การปรารถนา กุศล วิบากต่างๆ รวมทั้งการปฎิบัติทั้งภายนอกและภายใน แต่ละคนนั้นแตกต่างกันครับ ของใครของมัน

    ถ้าบอกว่าเห็นจริง สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง ก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะอย่างที่ผมทำนั้น บางครั้งก็เห็นได้ทั้งใน ทั้งนอก และก็มีอยู่จริงด้วย จับต้องได้ เป็นรูปธรรม อย่างนี้ก็มีเช่นกันครับ

    สำหรับเรื่องของ "ศีลธรรม" นั้นก็ยิ่งจะละเอียดอ่อนเข้าไปอีก ครูบาอาจารย์ผม ท่านบอกว่า "ศีลธรรมจริงๆนั้น คล้ายๆฝัน แต่ไม่ใช่ฝัน" ผมพิจารณาว่า มีช่องว่างของจิตอยู่นิดนึง ที่สามารถจะเข้าไปสัมผัสศีลธรรมต่างๆได้ในบางครั้ง คือช่วงต่อของจิตระหว่าง "กำลังจะหลับ" กับ "กำลังจะตื่น" ลองปฏิบัติไปพิสูจน์ดู บางทีอาจจะได้รู้อะไรดีๆครับ

    และการ "อด" เช่น อดนอน อดกิน อดทน ฯลฯ ทั้งหลายนั้นจะช่วยให้เกิดพลังทางจิตหรือเกิดตบะ ที่สามารถเอาพลังนี้เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนจิตออกจากตัว ไปเรียนรู้โลกของจิตวิญญาณได้
     
  8. ผู้มีจิตอันตั้งมั่น

    ผู้มีจิตอันตั้งมั่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +48
    ก็ขอตอบคุณ มงกุฏเพชรทุกข้อเลยแล้วกัน
    คำว่านิมิตกับคำว่าทิพจักขุญาณนี้มันแตกต่างกัน่ะครับ ที่ผมอธิบายมานี้ผมกล่าวแต่ถึงเรื่องนิมิตล้วนๆ หาได้กล่าวถึง ทิพจักขุญาณ อันเป็นวิสัยของผู้ที่ได้ฌานเท่านั้นจะล่วงรู้ได้ ผมเห็นคนในนี้ติดนิมิตกันเยอะเพระรู้อะไรก็นำมาพูดมาบอกกล่าวบางทียังมาพยากรณ์คนนั้นคนนี้ ว่าจะได้เป็นพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า มหาสาวกมั่งล่ะ พระพุทธเจ้าท่านรู้อะไรต่ออะไรมากมายยิ่งนัก ต่เวลาท่านจะตรัสหรือบอกกล่าวท่านยังต้องอาศัยพยานเลย ผู้รู้จริงๆๆน่ะท่านไม่พูดหรอกครับ ผู้พูดน่ะไม่รู้ แต่คิดว่าตนเองน่ะรู้ อีกอย่างผมไม่ได้ดูถูกหรือดูหมิ่นวิชชานี้เลย เพราะยังไงก็เหมือนกับการปฏิบัติภาวนาทั่วไป แต่ผมมาสงสัยแต่ตรงที่บอกว่า ให้กำหนด นิมิต พระพุทธรูป แล้วทำให้เห็นทั้งหลับตา และลืมตา นี่ไม่เรียกว่านิมิตหรือครับ พระกรรมฐานท่านก็รู้ว่า การหนดจิตเห็นนิมิตเป็นเรื่องของการส่งจิตออกนอก คล้ายๆกับการทำกสิณ แต่อาศัยพลังแห่งการศรัทธาเป็นตัวนำเพื่อให้เกิดสมาธิ นี่แหละผมถึงบอกว่า ติดนิมิต คนที่ติดนิมิต จิตจะเกิดความรู้ไปต่างๆนานา จนคิดว่ามันเป็นความจริงๆ ส่วน ตาทิพย์ หูทิพย์ นั้น มันคนละเรื่องกันเลย เพราะผู้ที่จะทำได้ต้อง ทำจิตให้เป็น ฌาน จนถึง ฌาน4 อรูปฌาน4 และยังจะต้องอาศัยฐานบารมีที่เคยสะสมมาทุกชาติ ด้วยจึงจะได้ ไม่ใช่จะได้กันทุกคน ส่วนคำว่าสุขวิปัสโก น่ะ สมัยนี้ไม่มีหรอกครับ เพราะยากมากที่ใครจะทำได้ ถ้าให้ผมเลือกระหว่าง สุขวิปัสโก กับ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ผมเลือกสุกขวิปัสโกดีกว่า เพราะในพุทธกาล มีพระไม่กี่องค์เองที่สามารถทำได้ อย่าง พระจักขุบาล อาศัยความศรัทธาความเพียรจึงได้บรรลุอรหันต์ พระยสะ อาศัยบารมีแต่ก่อนจึงได้บรรลุทั้งที่เป็นคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้าท่านยังเคยตรัสถาม พระสารีบุตรเลยว่า บุคคลที่ไมได้ปฏิบัติ ไมได้อาศัยกำลังสมาธิ ไมได้ทำจิตให้เป็นองค์ฌาน จะสามารถบรรลุอรหันต์ได้ไหม พระสารีบุตรยังตอบว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านพระสารีบุตรยังต้องอาศัย องค์ฌาน อาศัยกำลังสมาธิ จึงได้บรรลุพระอรหันต์ แล้วพวกคุณยังคิดว่า สุกขวิปัสโก นี้เป็นของง่ายหรือยังไง ถึงพูดเหมือนกับว่า สุกขวิปัสโก เป็นสิ่งที่ผมเองกำลังจะเป็น สุกขวิปัสโกเป็นของง่าย(สาธุขอให้ผมได้เป็นเถอะ) และวิชชาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นของดี อันนี้ผมไม่สงสัย เพระผมเองก็เคยไปกราบท่านที่วัดท่าซุงมาแล้ว เมื่อตอนที่ท่านมรณภาพใหม่ๆ (ช่วงนั้นผมบวชเป็นเณร ได้ออกเดินธุดงค์เที่ยวไปกับอาจารย์ 10กว่าปีมาแล้ว ) และขออธิบายกับคำว่า วิชชามโนมยิทธิ ซึ่งแปลว่า ฤทธิ์ทางใจ ซึ่งก็มีแต่ผู้ที่ได้ฌาน พระอรหันต์ ผู้มีบุญฤทธิ์ เท่านั้นถึงจะทำให้เกิดได้ ส่วนเรื่องการติดนิมิตนี้มันคนละเรื่องเลย ซึ่งตอนแรกผมอาจจะอธิบายไม่ครอบคลุมก็ต้องขออภัย อีกอย่างผมเองก็ยังเป็นแค่ปุถุชน ทำสมาธิทีก็ง่วงที กิเลสเต็มหัวใจ ก็อดที่จะอวดกิเลสหยาบๆของตนเองไมได้ ก็ต้องขอโทษที
    แต่ผมขอถามทิ้งท้ายเลยแล้วกันครับ วาการทำสมาธิแล้วให้กำหนด พระพุทธรูปแก้วใส แล้วทำให้ติดตานี้ จัดเป็นนิมิตไหม เรียกว่าทำจิตให้ออกนอกไหม และอยากถามว่า สมาธิแปลว่าอะไร ส่วนวิธีทำสมาธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้นผมรู้ครับ ให้กำหนด นะ มะ พะ ทะ รู้เข้าตามหายใจเข้าออก และให้กำหนด เห็นพระพุทธรูป จนเด่นชัดทั้งตาในและตานอก
    และถ้าจะกรุณาผมอีกอย่าง ขอผมบูชาพระธาตุหลวงปู่ดูลย์สักองค์ได้ไหมครับ ผมเอง เกิดและอยู่ใกล้ท่าน ยังไม่เคยมีโอกาศได้เลย หลวงศิษย์ท่าน 2 องค์คือ หลวงปู่สามกับ หลวงปู่ เปลี่ยน ก็กระดูกเป็นพระธาตุแล้ว ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้เลย ทั้งที่เคยไปกราบได้ใกล้ชิดท่าน หลวงปู่สามผมยังได้ถ่ายรูปกับท่านรูป 1 เลย
    อีกอย่างผมอยากพิสูจน์หน่อยได้ไหมถ้าในที่นี่มีคนรู้และปฏิบัติเห็นจริง คือผมมีปัญหาคาใจเมื่อตอนเป็นเด็ก เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเองซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นความฝัน แต่กลับจำเหตุการณ์นั้นได้อย่างแม่นยำไม่เคยลืม จนถึงวันนี้ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม เหตุการณ์นี้ผมประทับใจที่สุด ในชีวิต เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมได้เจอ พระอรหันต์ 2 องค์พร้อมกัน และพระอรหันต์ 2 องค์นี้ ดังมาก และเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ก็อยากให้คนรู้จริงเห็นจริงช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าเรื่องราวเป็นยังไงกัน ขึ้นชื่อว่าสามารถพยากรย์ได้ว่าคนนั้นจะได้ปเน พระพุทธเจ้า คนนั้นจะได้เป็นพระพุทธปัจเจก คนนั้นจะได้เป็นพระมหาสาวก กะแค่ทำนายว่าเรื่องที่ผมเจอมานั้นเป็นยังไงคงไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2005
  9. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    เป็นคำตอบที่ชัดเจนดีครับ ขอโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  10. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    มโนฯ ไม่ได้ชี้นำให้คนฝึกติดในนิมตรหรือฤทธิ์ แต่ให้ได้เห็นเพื่อเตือนสติตน และพิจารณา

    ตะกี้ยายผีป่าลอคเอ้าแล้ว แต่เห็นกระทู้นี้ ไม่ได้อ่านคำถามและคำตอบท่านอื่นๆ ละเอียดนัก เพราะฝนเริ่มซา ต้องรีบกลับบ้านป่า ก่อนที่ฝนจะเทหนักมาอีกครา ถ้าต้องการคำตอบแนวยายผีป่า จะฝากน้องผึ้งมาตอบนะคะ น้องผึ้งจ่า โทรหาเพื่อก๊อปคำตอบยายนะจ๊ะ ถ้ามีคนต้องการทราบจากยายผีป่าง่ะ
     
  11. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    มโนมยิทธิ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก หัวข้อพระอภิธรรมปิฏก พระพุทธโคดม เคยยกย่องให้พระภิกษุองค์หนึ่งเป็นเลิศของมโนมยิทธิ ลองศึกษาหรือถามอาจารยไก่ คนเมืองบัว นะครับที่เวบหรือเบอร์โทรก็ได้
    วิชามโนมยิทธิสอนให้คนเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มีจริง เห็นแล้วไม่ยึดติด ให้เชื่อบุญบาป หายสงสัยว่าสวรรค์เป็นอย่างไรครับ
     
  12. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    ยาย....ช่วยมาตอบตามแนวของยายหน่อยสิครับ ....อยากอ่านครับ.....
     
  13. มงกุฎเพชร

    มงกุฎเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +71
    เอาสั้นๆง่ายๆเลยนะ

    พุทธเจ้าท่านสอนและยกย่องกสินเพราะสามารถทำให้จิตเป็นสมาธิ ถ้าคุณบอกกสินคือนิมิตนั้นถูกแต่เป็นนิมิตที่ควรเพ่ง เพ่งจนเป็นฌาน ไม่ใช่นิมิตที่ควรละ และคงรทำให้เห็นทั้งลืมตาทั้งหลับตา วิธีน่ะบอกว่าไปดูวิสุทธิมรรคมาซะก่อน ก่อนจะมาตอบ
    เพราะถ้านิมิตกสินไม่ดีจริง ทำไมจึงมีในวิสุทธิมรรคซึ่งถือเป็นหมวดคัมภีร์ชั้นสูงในพุทธศาสนาที่ใช้อ้างอิงมานับพันๆปี และเป็นหลักสูตรเปรียญ 8 ประโยคด้วยนะ
    ถึงบอกว่านิมิตที่ควรละนะละไปเถอะ แต่นี่เข้าฝึกกสินกันจะไปละนิมิตกสินทำซากอะไร

    "ส่วนคำว่าสุขวิปัสโก น่ะ สมัยนี้ไม่มีหรอกครับ เพราะยากมากที่ใครจะทำได้ ถ้าให้ผมเลือกระหว่าง สุขวิปัสโก กับ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ผมเลือกสุกขวิปัสโกดีกว่า เพราะในพุทธกาล มีพระไม่กี่องค์เองที่สามารถทำได้ อย่าง พระจักขุบาล อาศัยความศรัทธาความเพียรจึงได้บรรลุอรหันต์"
    ขอตอบว่า
    ทำไมจะไม่มีที่ไม่มีเพราะคุณไม่รู้หรือคิดเอาเองว่าไม่มี และการปฏิบัติบอกย้ำแล้วย้ำอีกว่าต่างคนต่างอัชฌาศัยว่ากันไม่ได้คุณชอบแบบไหนจะว่าง่ายว่ายากคุณก็ปฏิบัติของคุณไป ส่วนคนอื่นจะปฏิบัติอย่างไรอันนี้เป้นเรื่องของคนคนนั้นกำลังใจคนคนนั้นคุณอย่าไปชี้นำหรอเลือกให้เขาเลย และที่บอกมีไม่กี่องค์ที่ทำได้น่ะ ข้อมูลคุณผิดแล้ว ขอบอกเลยว่ามีเยอะและเยอะมากด้วยพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะนี่ปฏิสัมภิทา พระมหากัจจายนะก็ช่าย และยังมีอีกอึนเลยไหนจะภิกษุณีอีกโอยยย...ไหนจะศิษย์ที่แต่ละท่านสอนในคณะของท่านอีก บานเบอะเลยไม่งั้นแต่ละท่านนี้ถ้าไม่ฤทธ์มากก้ฉลาดจนล้ำลึก โอ้โหคุณเอ้ยยอย่าให้เซดดด
    และการที่บอกว่า ปฏิบัติควบเตวิชโชน่ะ โกหกแล้วคุณเพราะเตวิชโชเนี่ยต้องเอากสินกองใดกองหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดทิพยจักขุญานตั้งต้นเพ่ง จับนิมิตกสิน
    แต่นี่คุณบอกว่าคุณละนิมิตทั้งหมด แม้แต่กสินทำยังไงคุณยังไม่รู้เลย นี่ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์ขณะเพ่ง แล้วคุณพูดได้ไงว่าฝึกแบบเตวิชโช(วิชชา 3)

    "พระพุทธเจ้าท่านยังเคยตรัสถาม พระสารีบุตรเลยว่า บุคคลที่ไมได้ปฏิบัติ ไมได้อาศัยกำลังสมาธิ ไมได้ทำจิตให้เป็นองค์ฌาน จะสามารถบรรลุอรหันต์ได้ไหม พระสารีบุตรยังตอบว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านพระสารีบุตรยังต้องอาศัย องค์ฌาน อาศัยกำลังสมาธิ จึงได้บรรลุพระอรหันต์ "
    ตอบ
    จริงไม่เถียงด้วยเลย...... แต่ก็บอกแล้วไงว่ามโนมยิทธิเต็มกำลังจริงๆเนี่ยตัวฌาน 4 เลยคุณเอ้ยยย คุณคิดว่ายากเพราะคุณกำลังใจไม่พอไม่ถึง แต่คนเขากำลังใจถึงเขามีเยอะแยะ(ไม่รวมพวกที่ขี้โม้ (อย่างผมเป็นต้น))จะทรงเป้งๆได้จริงๆและเต็มที่ต้องเป็นฌาน 4 ย้ำนะคร้าบบบ และขอย้อนถามกับไปอีกผู้ที่จะสำเร็จวิชชา 3 ขึ้นไปนี่ต้องได้ฌาน4ทุกคนไม่งั้นไม่สำเร็จ

    "ส่วน ตาทิพย์ หูทิพย์ นั้น มันคนละเรื่องกันเลย เพราะผู้ที่จะทำได้ต้อง ทำจิตให้เป็น ฌาน จนถึง ฌาน4 อรูปฌาน4 และยังจะต้องอาศัยฐานบารมีที่เคยสะสมมาทุกชาติ ด้วยจึงจะได้ ไม่ใช่จะได้กันทุกคน "
    ตอบ
    ฌาน4 นี่ผมไม่เถียงแต่ข้อแย้งนิดนึงคือคุณไม่จำเป็นต้องเจริญอรูปฌานก็ทรงได้หูทิพย์ ตาทิพย์น่ะ ในหมวดของอภิญญาหกเลยคุณไปดูมาให้ดี ว่าหกอย่างนะมีไรบ้าง ส่วนอรูปฌานนั้นต้องเป็นหลักสูตรของปฏิสัมภิทาญานเขาทำกันซึ่งคลอบคลุมทั้งอภิญญาและเตวิชโช และที่อาศัยฐานบารมีทุกชาติๆอาจจะจริงมันไม่ทั้งหมดบารมีชาตินี้ก็ทำได้ ทั้ง10บารมีเลยด้วยย่งปฏิบัตินี่ไม่ต้องรอบารมีหรอกพุทธเจ้าสอนมาเยอะแล้วอย่างพวกที่เป็นบัวขั้นเนยยะนี่ พวกนี้ไม่ได้ฉลาด-ฉลาดมากนะ ซึ่งแสดงว่าบารมียังอ่อนแต่พุทธเจ้าสอนแล้วเขาปฏิบัติแล้วได้ซะด้วยซี

    "และขออธิบายกับคำว่า วิชชามโนมยิทธิ ซึ่งแปลว่า ฤทธิ์ทางใจ ซึ่งก็มีแต่ผู้ที่ได้ฌาน พระอรหันต์ ผู้มีบุญฤทธิ์ เท่านั้นถึงจะทำให้เกิดได้"
    ตอบ
    คุณไปเอามาจากไหนสรุปเอาเองรึปล่าวคับ ของคุณนะถูกแต่ถูกนิดดเดียว ถูกตรง อรหันต์ กับ บุญฤทธ์ พระอรหันต์และผู้ทรงฌานไม่จำเป็นต้องได้คน เว้นเสียแต่ฝึกแบบอัชฌาศัยเตวิชโชขึ้นไป และไม่ใช่พระอรหันต์ก็เป็นได้ ยกตัวอย่างสมัยเมื่อพุทธเจ้าชฎิล 3 พี่น้องนี่อภิญญา 5 นะคับ(ได้เพราะเกิดจากการบูชาไฟ)ได้ และขอย้อนถามอีกเรือ่ง คนธรรมดาเราฝึกไม่ได้เหรอคับมโนมยิทธิเนี่ยคือต้องมีบุญฤทธิ์มาก่อนเหรอ งั้นพระพุทธเจ้าจะเอามาสอนทำ...ไม ถ้ารอฝึกให้กับผู้มีบุญมาอย่างเดียว วิสุทธิมรรคเขาก็บอกแล้วว่าสำหรับคนยังไม่เคยทำมาก่อนในอดีตมันต้องเริ่มที่กสิน ส่วนที่หลวงพ่อสอนนั้นพวกที่ได้ต้องเป็นพวกที่เคยได้มาก่อนในอดีตชาติเท่านั้น ย้ำ ชัดๆเลย พอเริ่มฝึกของเก่ามันจะกลับมาตามแต่กำลังใจที่รวบรวมได้

    .....และการที่บอก
    "แต่ผมขอถามทิ้งท้ายเลยแล้วกันครับ วาการทำสมาธิแล้วให้กำหนด พระพุทธรูปแก้วใส แล้วทำให้ติดตานี้ จัดเป็นนิมิตไหม เรียกว่าทำจิตให้ออกนอกไหม และอยากถามว่า สมาธิแปลว่าอะไร ส่วนวิธีทำสมาธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้นผมรู้ครับ ให้กำหนด นะ มะ พะ ทะ รู้เข้าตามหายใจเข้าออก และให้กำหนด เห็นพระพุทธรูป จนเด่นชัดทั้งตาในและตานอก "
    ตอบ พูดไม่รู้เรื่องไงคับผมบอกแล้วว่าเป็นการฝึกแบบกสินควบพุทธานุสติ ที่ จำเป็นต้องจับนิมิต เพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่านคับไม่ได้ส่งจิตออกนอกเพื่อรวมจิตที่เป็นแก้วใสเพราะอะไร ก็เพราะว่ามันเป็นปลายนิมิตกสินท่านให้จับตรงนั้นเลย(ก็บอกแล้วไปอ่านวิสุทธิมรรคมาก่อน) และการส่งจิตออกนอกคือ อุทธัจจะกุกกุจจะ คือฟุ้งซ่าน ซึ่งพุทธเจ้าท่านให้วิธีแก้ไว้หลายอย่างวิธี คือ อานาปานุสติ และการเพ่งกสิน แล้วไอ้ที่ท่องนมะหายใจเข้า พะธะหายใจออกนี่อะไร อานาปานุสสติรึปล่าว พระพุทธรูปแก้วใสนี่เพ่งเพื่อเป็นกสินรึปล่าว ถ้าไม่เพ่งแล้วจะฝึกให้รู้เห้นทำไม และบอกไว้ก่อนล่วงหน้าว่าการที่จะรู้จะเห็นของสายนี้ตอนภาวนาหรือจับภาพพุทธรูปท่านไม่ให้อยากรู้อยากเห็นเพราะเป็นนิวรณ์ เป็นตัวขวาง แล้วอย่างนี่ยังว่าส่งจิตออกนอกอีเหรอ

    และที่บอกมีพระธาตุน่ะหลวงปู่มั่นไม่ใช่หลวงปู่ดุลย์นะ และก็ไม่ให้ใครด้วยเพราะที่บ้านหวงมากกกก

    "อีกอย่างผมอยากพิสูจน์หน่อยได้ไหมถ้าในที่นี่มีคนรู้และปฏิบัติเห็นจริง คือผมมีปัญหาคาใจเมื่อตอนเป็นเด็ก เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเองซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นความฝัน แต่กลับจำเหตุการณ์นั้นได้อย่างแม่นยำไม่เคยลืม จนถึงวันนี้ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม เหตุการณ์นี้ผมประทับใจที่สุด ในชีวิต เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมได้เจอ พระอรหันต์ 2 องค์พร้อมกัน และพระอรหันต์ 2 องค์นี้ ดังมาก และเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ก็อยากให้คนรู้จริงเห็นจริงช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าเรื่องราวเป็นยังไงกัน ขึ้นชื่อว่าสามารถพยากรย์ได้ว่าคนนั้นจะได้ปเน พระพุทธเจ้า คนนั้นจะได้เป็นพระพุทธปัจเจก คนนั้นจะได้เป็นพระมหาสาวก กะแค่ทำนายว่าเรื่องที่ผมเจอมานั้นเป็นยังไงคงไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไมครับ"
    ขอตอบ การที่ทำนายหรือพยากรณ์มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์และสามารถ คนอื่นได้แค่ถามแต่ถามจริงป่าวยังไม่รู้คุณอย่าเอามาอ้างเขาอาจโม้ แต่รู้สึกว่าคุณจะติดใจเรื่องนี้มาก และถ้าอยากรู้อะไรจริงๆขอท้าและแนะนำว่า
    ไปบ้านอนุสสาวรีย์ไปหาหลวงพี่เล็กท่านจะมาทุกเสาร์อาทิตย์แรกของต้นเดือนคุณมีอะไรคาใจไปถามท่านเลยท่านใจดีและคุณจะรู้ความรู้10ที่บวชมานี่ของคุณเป็นยังไง สงสัยอะไรถามให้หมดเปลือก แต่คุณจะไปหรือไม่ไปก็อยู่ที่ความกล้าว่าคุณกล้าแค่ไหนหรือได้แต่แค่มา มาสาธยายในเว็ป
    แผนที่รายละเอียดบ้านอนุสสาวรีย์เว็ปคนเมืองบัวเขาน่าจะแจ้งให้ทราบ (ขออภัยที่นำเว็ปคนเมืองบัวมาคับ)
    (bb-flower (b-green) http://www.konmeungbua.com/map/map.html
    http://www.konmeungbua.com

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2008
  14. มงกุฎเพชร

    มงกุฎเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +71
    ขออภัยด้วย เมื่อกี้บอกว่าจะเอาสั้นๆ มาดูอีกทีนึงฝอยยาวเลยพิมพ์เพลินไปหน่อย ดูแล้วก็ตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าจะพิมพ์มาเยอะ แต่ไงก็แล้วแต่ที่พิมพืด้วยเจตนาที่จะทำความเข้าใจการปฏิบัติตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งบางตัวอักษรอาจจะใช้คำที่ไม่ค่อยเหมาะสมและกระทบใจคนอ่านที่ไม่เห็นด้วยบ้าง ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    และหากได้กล่าวล่วงเกินสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็ขอขมามา ณ ที่นี้ด้วยเนื่องจากอายุยังน้อยอยู่ประสบการณ์ยังน้อยอาจจะล่วงเกินท่านไปบ้างก็จงอภัย


    แต่เพื่อดำรงแนวทางนี้ให้เป็นที่เข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เข้ามาอ่าน แก่ผู้เริ่มใฝ่รู้หรือผู้เริ่มสนใจฝึก(ซึ่งผมก้เป็นหนึ่งในนั้น) เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอยืนยันว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำไปมีเจตนาดีทุกประการ


    เพื่อพระศาสนา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพพาน และหลวงพ่อของผม
    แม้ต้องตายผมก็ยอม(bb-flower [b-wai]
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    อ่านแล้วก็รู้สึกเห็นใจคุณมุงกุฎเพชรที่อุตส่าห์เพียรพยายามตอบข้อข้องใจของคุณ "ผู้มีจิตตั้งมั่น" แต่คุณ "Sittirat" ก็ยังมีความเห็นที่ต่างไป ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราย่อมมีความเห็นและความเชื่อที่แตกต่างกันได้
    ผมว่าเรื่องนี้ถ้าพูดกันไปก็ไม่มีวันจบ ดีไม่ดีก็จะกลายเป็นโต้เถียงและทะเลาะกันเสียเปล่าๆ
    เอาเป็นว่า สายใครสายมันดีกว่าครับ ต่างคนต่างปฏิบัติไป ใครชอบยังไงก็ปฏิบัติไปตามนั้น

    แต่ถ้าคุณ "ผู้มีจิตตั้งมั่น" และคุณ "Sittirat" อยากจะลองมาฝึกมโนมยิทธิดูเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณได้รู้ได้ทราบมา
    เกี่ยวกับมโนมยิทธินั้นเป็นไปอย่างที่คุณเข้าใจหรือไม่ ผมก็ขอเชิญชวนให้ไปลองฝึกดูได้ที่บ้านซอยสายลม (ซอย
    พหลโยธิน 8) ในวัน เสาร์ - อาทิตย์ - จันทร์ ของทุกต้นเดือน และอยากให้ฝึกอย่างตั้งใจและปฏิบัติจริงจนเห็นผล
    คุณก็จะได้ทราบตามความเป็นจริงว่ามโนมยิทธิที่แท้จริงเป็นอย่างไร...

    ขอโมทนากับคุณทั้งสองไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2005
  16. ผู้มีจิตอันตั้งมั่น

    ผู้มีจิตอันตั้งมั่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +48
    กรรม ขอตอบคุณ มงกุฏเพชร น่ะครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ระหว่างภูมิธรรมของคุณกับผม ขืนพูดกันไปก็ไม่รู้เรื่องพอดี เพราะเราต่างปฏิบัติมาแล้วอาจจะรู้ไม่เหมือนกัน จิตที่เพ่ง นิมิตหรือ กสิณ ถือว่าเป็นจิตออกนอกครับ หรือจะลองไปถามพระสายปฏิบัติก็ได้น่ะครับ อย่าเอาแต่ตำรามาพูดครับ ผมขออธิบายง่ายๆๆเลย จิตที่เอาอารมณ์ทุกอย่างที่มากระทบใจเรียกว่าจิตออกนอก จิตดูจิตต่างหากถึงเรียกว่า จิตไม่ออกนอก คนที่ถอดจิตถอดวิญญาณจัดเป็นผู้ส่งจิตออกนอกทั้งนั้น ถ้ายังไม่ละเลิก นานวันไปอาจจะวิปลาสได้ สมาธิทีแท้คือ การตั้งจิต ตั้งสติ ให้อยู่ในกาย สติควบคุมจิต จิตดูจิต ขอถามง่ายๆๆเลย จิตเอาแต่จับพระพุทธรูปใส่ ไม่ทราบว่าจะเห็นกิเลสไหม กิเลสไมได้อยู่ทีพ่ระพุทธรูปใส กิเลสมันอยู่ที่จิต คนเป็นแผลที่แขนมันก็ต้องทายาที่แขน ถ้าไปทายาที่หัวมันจะหายไหม แปลกน่ะครับ ทางตรงมีไม่เอา ชอบเดินทางอ้อม กสิณ 10 น่ะ ผมเองก็เคยเพ่ง สมัยตอนเป็นเณร จนไฟมันแวบในลูกตา แต่ผมก็ไม่เอาเพระรู้มันไม่ใช่ทาง แปลกน่ะ ผมพยายามอธิบายว่า การเพ่ง พระพุทธรูปจัดเป็นนิมิต ไหม คุณก็พยายามบ่ายเบี่ยง ตอบไม่ตรงปัญหา ทั้งที่ความจริงมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลย ผมอธิบายเรื่องคนติดนิมิต คุณก็กลัวว่าผมจะดูถูกครูบาอาจารย์ของคุณ ซึ่งแท้จริงผมไมได้ดูถูกเลย แต่ผมต้องการอยากรู้ว่าพวกคุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับคำถามของผม

    ศรัทธาน่ะดีอยู่ แต่ความจริงมันก็คือความจริง ส่วนเรื่องของพระที่บรรลุอรหันต์แบบ สุกขวิปัสโก ที่บอกว่ามีเยอะแยะน่ะ ไม่ทราบมีใครบ้าง พระอรหันต์ที่เป็นสุกขวิปัสโก เป็นผู้ที่ได้บรรลุโดยมิได้อาศัยกำลังฌาน หรือญาณใดๆๆเลย แต่อาศัยจากความศรัทธาและปัญญาล้วน พระสมัยนี้ต้องเจริญฌาน ให้ได้ก่อนถึงจะสามารถทำจิตให้รู้ยิ่งได้ แล้วคุณมาบอกว้าพระสุกขวิปัสโกเยอะยังไง ไปเอาที่ไหนมาพูด จากตำราเล่มไหนช่วยยกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหม ส่วนเรื่องหลักธรรมที่คุณชอบหยิบยกและชอบบอกให้ผมไปอ่านในตำราน่ะ ผมคงไม่อ่านหรอก เพราะผมพูดตามความเข้าใจของจิตและการไต่ถามพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    ที่คุณบอกว่า==> (พุทธเจ้าท่านสอนและยกย่องกสินเพราะสามารถทำให้จิตเป็นสมาธิ ถ้าคุณบอกกสินคือนิมิตนั้นถูกแต่เป็นนิมิตที่ควรเพ่ง เพ่งจนเป็นฌาน ไม่ใช่นิมิตที่ควรละ และคงรทำให้เห็นทั้งลืมตาทั้งหลับตา วิธีน่ะบอกว่าไปดูวิสุทธิมรรคมาซะก่อน ก่อนจะมาตอบ) (พูดไม่รู้เรื่องไงคับผมบอกแล้วว่าเป็นการฝึกแบบกสินควบพุทธานุสติ ที่ จำเป็นต้องจับนิมิต เพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่านคับไม่ได้ส่งจิตออกนอกเพื่อรวมจิตที่เป็นแก้วใสเพราะอะไร ก็เพราะว่ามันเป็นปลายนิมิตกสินท่านให้จับตรงนั้นเลย(ก็บอกแล้วไปอ่านวิสุทธิมรรคมาก่อน) และการส่งจิตออกนอกคือ อุทธัจจะกุกกุจจะ คือฟุ้งซ่าน ซึ่งพุทธเจ้าท่านให้วิธีแก้ไว้หลายอย่างวิธี คือ อานาปานุสติ และการเพ่งกสิน แล้วไอ้ที่ท่องนมะหายใจเข้า พะธะหายใจออกนี่อะไร อานาปานุสสติรึปล่าว พระพุทธรูปแก้วใสนี่เพ่งเพื่อเป็นกสินรึปล่าว ถ้าไม่เพ่งแล้วจะฝึกให้รู้เห้นทำไม และบอกไว้ก่อนล่วงหน้าว่าการที่จะรู้จะเห็นของสายนี้ตอนภาวนาหรือจับภาพพุทธรูปท่านไม่ให้อยากรู้อยากเห็นเพราะเป็นนิวรณ์ เป็นตัวขวาง แล้วอย่างนี่ยังว่าส่งจิตออกนอกอีเหรอ)

    ก็ขอตอบว่า ผมก็ไมได้ดูถูกอะไรเลยครับเรื่องนิมิตนี้ ผมแค่ถามว่ามันเป็ฯการติดนิมิตหรือเปล่าคุณพูดเหมือนคนมีอคติเลยน่ะ จะผิดถูกไม่สนใจ ผมว่าคุณต้องวกจิตคุณมาดูใจตัวเองให้ดีๆๆก่อนน่ะ ไม่งั้นกิเลสที่คุณกำลังจะนำมาเผาตัวเองมันอาจจะรุมเร้าใจคุณจนทนอยู่ไม่ได้ ทั้งการพูดการจาของคุณ อาศัยฐานกิเลส คือ โทสะ มาเป็นกำลังในการตอบปัญหาผมถ้ายังงั้นผมคงไม่ถามปัญหาคุณแล้วล่ะ เดี๋ยวจะเข้าทำนอง ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้ปาป
    และอีกอย่างขอผมถามหน่อยเถอะ ที่คุณตอบมาทั้งหมดน่ะ คุณเอามาจากตำราล้วนๆเลยใช่ไหม ไม่ทราบว่าคุณฝึกจิตคุณได้ถึงขั้นไหนรบกวนตอบผมที่ ธรรมะทุกอย่างออกจากจิต พระธรรม 48000 พระธรรมขันธ์ก็ออกมาจากจิต ผมว่าคุณเอาความรู้จากจิตของคุณที่ได้เคยสัมผัสมาตอบปัญหาผมดีกว่า แม้กระทั่งเรื่องการส่งจิตออกนอก คุณยังไม่รุ้ความหมายที่แท้จริงของมันเลย คุณบอกว่าความฟุ้งซ่านคือการส่งจิตออกนอกอย่างเดียวหรือครับ ผมขอบอกว่าไม่ใช่ อย่างที่ผมบอกแล้วข้างต้น จิตที่รับรู้อารมย์ทั้งปวง แล้วคิดว่าเป็นของตน คิดว่าตนเองเห็นเทวดา นางฟ้า คิดว่าตนเองเห็นพระพทุธเจ้า หรือแม้แต่ไปนรกสวรรค์ โดยที่ไม่ยอมใช้ฐานกำลังสมาธินั้นมาดูใจเจ้าของว่ามันกำลัง มีโทสะ มีอคติ ต่อธรรมของคนอื่น แล้วยังคิดว่าตนเองหูตาสว่างทั้งที่จิตใจมืดบอด มนธการจนแทบหาทางออกไม่ได้ พระสายปฏิบัติจริงท่านระวังมาก เรื่องการส่งจิตออกนอก ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทุกองค์ท่านพยายามแทบตายที่จะไม่ส่งจิตออกนอก เพราะตราปใดที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็มีสิทธิ์ที่จะเสื่อมทั้งกำลังฌานกำลังสมาธิ นี่ล่ะผมถึงว่าภูมิธรรมของคุณกับของผมมันต่างกัน ขืนพูดกันต่อก็ไม่รู้เรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2005
  17. โมฆบุรุษ

    โมฆบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ผมว่าพี่ tamsak มีความปรารถนาดีนะครับ
    แต่สำหรับผมกลับมองว่าทั้งคุณ "ผู้มีจิตตั้งมั่น" และคุณ "Sittirat" ต่างก็ได้พบเจอทางสายเอกของเขาแล้ว
    นั่นก็คือสายหลวงปู่มั่น ซึ่งก็เป็นสายตรงเข้าสู่พระนิพพานเช่นกันครับ

    เรามาโมทนาให้กับท่านทั้งสองในความมุ่งมั่นในการปฏิบัติดีกว่านะครับ
    อย่าให้เขาได้ไปเสียเวลาเดินทางอื่นที่ไม่ตรงจริตเลยครับพี่

    อย่าลืมที่หลวงพ่อสอนไว้นะครับ
    ว่า"อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น"ไงครับพี่
    ผมเองยังดูใจตัวเองแทบไม่ทันเลยครับ
     
  18. ศุนยตา

    ศุนยตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +9
    เข้าใจ เท่าทันดีแล้ว
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. โมฆบุรุษ

    โมฆบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ขอบคุณครับที่มาแก้ข้อความเพิ่มเติมชื่อผมไปด้วยนะครับ

    คุณ Sittirat ไปเข้าใจมาจากไหนครับว่า ผมได้มโนมยิทธิครับ (smile)
    ผมไม่เคยบอกว่าผมได้เลยนะครับ
    ตามความเป็นจริงแล้ว ผมเองยังทรงไม่ได้แม้แต่ขณิกสมาธิเลยนะครับ
    เอาแค่จับลมหายใจเข้าออก ๑๐ คู่ ผมยังทำไม่ได้เลยครับ

    ผมเองเป็นคนที่มีกิเลสหนามากๆครับ
    มันอยากไปซะทุกอย่างเลยครับ
    แต่แปลกที่ผมไม่เคยคิดปรารถนาอยากจะได้มรรคผลเลยนะครับ
    คำว่า"นิพพาน"ก็ไม่เคยต้องการในชาตินี้หรือชาติหน้าอันใกล้นี้ครับ
    เพราะผมรู้ตัวดีว่า กำลังใจในการทำความดีผมยังอ่อนอยู่มากครับ
    อย่างผมเนี่ย เขาเรียกว่าบารมีต้นครับ
    ผมก็ตามน้ำของผมไปเรื่อยๆล่ะครับ
    กระแสกิเลสซัดเข้ามา ผมก็ไหลตามมันไปอย่างง่ายดายครับ
    ขวนขวายหาซื้อวัตถุทางโลกมาปรนเปรอรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกันมั่วซั่วเยอะแยะไปหมดเลยครับ ^-^

    นานๆที ใจถึงจะเกาะกุศลกับเขาบ้าง แต่ก็ทำได้ไม่นานครับ
    เพราะกิเลสมันหนากว่าครับ (b-no)

    ดูชื่อผมแล้วไม่รู้หรือครับว่าผมเป็นคนยังไง
    "โมฆบุรุษ"แปลว่าอะไร "ปทปรมะ"แปลว่าอะไร
    ผมมันก็พวกซากเน่าอยู่ใต้โคลนตมครับ
    อย่ามาสนอะไรกับผมเลยครับ (b-uh)

    คุณได้พบทางที่ถูกที่ควรแล้ว ก็น่าจะเร่งรัดการปฏิบัติให้รวดเร็วเข้าไปอีกนะครับ
    มัวแต่มาเสวนากับพวกกิเลสหนาอย่างผม มีแต่จะเสียเวลาเปล่าๆนะครับ
    ผู้ที่ปฏิบัติจริงๆจังๆ เขาไม่เสียเวลามานั่งเฝ้าเว็บบอร์ดอย่างผมหรอกครับ
    เวลามันสูญเปล่านะครับ

    แต่ถ้าคุณยังต้องเกิดอีกหลายสิบอสงไขยเหมือนผม
    ก็เชิญเลยครับ คงจะได้เจอกันอีกนานนะครับ

    อย่างไรก็ดี ผมขออนุโมทนาอีกครั้งนะครับที่คุณได้เจอทางสายเอกเข้าแล้ว (verygood)
    ทั้งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่ดุลย์ อตุลโล, และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ต่างก็เป็นพระอรหันต์ตามความเชื่อส่วนตัวของผมนะครับ [b-wai]

    เกาะครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเข้าไว้ (b-2love)
    มีแต่ได้กับได้ครับ ไม่มีเสียแน่นอนครับ
    คนอื่นจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของเขานะครับ
    ใจคนอื่นเปลี่ยนไม่ได้ มีแต่ใจเราเท่านั้นที่พอจะบังคับได้นะครับ
    (แต่ใจผมเอง ผมยังตามมันไม่ทันเลยครับ
    มันไวยิ่งกว่าลิงอีกครับ คิดดูสิครับว่าใจมันเลวขนาดนั้น) (b-wow)

    ชาตินี้ ผมหนีนรกได้ ผมก็ดีใจมากแล้วครับ (b-deejai)
     
  20. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    คุณมุงกุำฎเพชรตอบดียอดเยี่ยมครับ

    -----------------

    [อรรถาธิบายพุทธคุณบทว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน]


    อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ชื่อว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    ก็เพราะทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ. ในวิชชาและจรณะนั้น วิชชา ๓
    ก็ดี วิชชา ๘ ก็ดี ชื่อว่าวิชชา. วิชชา ๓ พึงทราบตามนัยที่ตรัสไว้ในภยเภรว-
    สูตรนั่นแล. วิชชา ๘ ในอัมพัฏฐสูตร. ก็ในวิชชา ๓ และวิชชา ๘ นั้น
    วิชชา ๘ พระองค์ตรัสประมวลอภิญญา ๖ กับวิปัสสนาญาณและมโนมยิทธิ
    เข้าด้วยกัน. ธรรม ๑๕ นี้ คือ สีลสังวร ความเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว
    ในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ชาคริยานุโยค สัทธรรม ๗
    ณาน ๔ พึงทราบว่า ชื่อว่าจรณะ. จริงอยู่ ธรรม ๑๕ นี้แหละ พระองค์ตรัส
    เรียกว่า จรณะ เพราะเหตุที่เป็นเครื่องดำเนินคือเป็นเครื่องไปสู่ทิศ คืออมตธรรม
    ของพระอริยสาวก. เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนมหา-
    นาม พระอริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีศีล ดังนี้เป็นต้น.<SUP>*</SUP>
    ผู้ศึกษาพึงทราบความพิสดาร. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบด้วยวิชชาเหล่านี้
    และด้วยจรณะนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    ในความถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะนั้น ความถึงพร้อมด้วยอวิชชา ยังความที่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระสัพพัญญูให้เต็มอยู่. ความถึงพร้อมด้วยจรณะ ยัง
    ความที่พระองค์เป็นผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณาให้เต็มอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้า
    นั้นทรงรู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ด้วยความเป็น
    สัพพัญญู แล้วทรงเว้นสิ่งที่มิใช่ประโยชน์เสีย ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วย
    พระมหากรุณา ทรงชักนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างผู้ที่ถึงพร้อมด้วย
    วิชชาและจรณะฉะนั้นแล. เพราะเหตุนั้น เหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
    <SUP>*</SUP> ม . ม. ๑๓/๒๖.

    จาก พระไตรปิฏกและอรรถถาแปล
     

แชร์หน้านี้

Loading...