เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เออแฮะ...ประหลาดเว๊ย ! ประหลาดจริง ๆ ไอ้เสียงที่ดัง มุ่ยมง ๆ ก็หยุด เสียงกระจองอแงของคนกรุงก็เงียบอย่างกับเป่าสาก ผมเดินรี่เข้าไปทางไหน ทางนั้นก็ถอยร่นไม่เป็นขบวน ฮ่ะ ๆ ก็ถ้าไม่กลัวคนบ้าก็ต้องบ้าด้วยกันละวะ เออ ๆ เอ็งยังเป็นคนดีอยู่ รู้จักกลัวคนบ้า พอทำให้ผู้คนเขากลัวได้แล้ว ผมก็สั่งซิครับ ให้ทุกคนไม่ว่าไทยหรือกะเหรี่ยงไปรออยู่ที่โบสถ์ หลวงพ่อ ฯ หรือหลวงปู่ ฯ มีคำสั่งอย่างไรแล้วจะให้คนไปบอก เท่านั้นแหละครับ วิ่งกันขาขวิด

    เออ..แปลก คนดี ๆ พูดไม่ฟัง ยอมเชื่อฟังคนบ้า และนี่ก็เป็นความรู้อีกอย่างหนึ่งของผมที่ได้นำมาใช้ในโอกาสต่อมาโดยตลอด เมื่อเวลาเจอคนบ้าหรือเจอพวกที่ไม่ค่อยยอมเชื่อฟัง คือจำเป็นจะต้องบ้า หรือบ้ากว่ามันนั่นเอง และก็มักจะประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เสมอไปทุกครั้งนะครับ เจอที่บ้ากว่า ผมก็ต้องถอยเหมือนกัน จะนำวิธีไปใช้บ้างก็ไม่ขัดข้องนะโยม เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นมีใครบ้าเท่าผมแฮะ

    เอ้า..มาเข้าเรื่องต่อไป ต่อมาก็เป็นการเจรจาระหว่างท่านทั้งสอง (คือผู้แทนของหลวงพ่อ ฯ กับหลวงปู่ ฯ) โดยผู้แทนหลวงพ่อ ฯ จะให้หลวงปู่ ฯ ออกไปรับคณะที่วัดดอนมูล โดยยืนยัน นั่งยัน นอนยัน หัวชนฝาราน้ำดะ ว่ารถจะเข้ามาไม่ได้ ถึงเข้ามาได้ก็จะไม่เข้ามาแล้วเพราะไม่สะดวก (ถ้าจะให้สะดวกสบายก็น่าจะนอนอยู่ที่บ้านนิพวกนิ)

    เมื่ออีกามาบอกข่าวอย่างนั้น หลวงปู่ ฯ จึงหันมาหารือกับผม ผมก็ไม่มีความเห็น แต่รายงานไปว่าขณะนี้รถสามารถเข้าได้แล้วนะขอรับ หลวงปู่ ฯ ก็ว่าอย่างนั้น หลวงปู่ ฯ ไม่ออกไป ให้หลวงพ่อ ฯ เข้ามา ผู้ส่งข่าวทางหลวงพ่อ ฯ ก็ปล่อยข่าวลือแถมขู่ออกมาอีกว่า ถ้าหลวงปู่ ฯ ไม่รีบออกไป คณะใหญ่ที่ยังอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ก็จะพากันกลับ โถพ่อคุณพ่อทูนหัว จะมาทำบุญหรือจะมาขู่พระ ผมงี๊แทบไม่ได้บุญแล้ว อกมันกลัดหนอง ทำอะไรไม่ถูก

    คราวนี้หันพึ่งพระพุทธเจ้าแล้วครับ ขอพรท่านดัง ๆ เลยว่า ขอได้โปรดดลบันดาลให้งานบุญนี้เป็นบุญแท้จริงเถิด พระพุทธองค์จะทรงทดลองกำลังใจผู้ใดอยู่ก็สุดแท้แต่ แต่ตอนนี้มันจะเกิดการแตกหักอยู่แล้ว งานใหญ่ที่ผู้คนจำนวนมากเสียสละทั้งแรงกายแรงใจ จำจะต้องมาล้มคว่ำล้มหงาย เพราะไอ้คนขี้เบ่งคนเดียวนั้น ไม่เป็นการสมควรเลย

    แถมไอ้เป๋ ฯ อาจจะต้องไร้สำนักเสียแล้วก็จะให้ทำอย่างไรดี เพราะไอ้เป๋ ฯ นั้นรักทั้งหลวงพ่อ ฯ และหลวงปู่ ฯ แต่ถ้ากู่ไม่กลับก็จะต้องยอมเสียกันไป เพราะหลังพิงฝาแล้วนี่ เฮ้อ ! เอาน่ะ ข่มใจคลานเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ ฯ อ้อนวอน
    “หลวงปู่ ฯ ออกไปเถิดครับ”
    อ้าว..หลวงปู่ ฯ สั่นหัวแถมหัวเราะลงคอเอิ๊ก ๆ หน้าบานยิ้มแฉ่งไม่มีแวววิตกแม้นิดเดียว บอกว่า
    “หลวงปู่ ฯ ไม่ออกไป เดี๋ยวหลวงพ่อ ฯ เข้ามา นพ ฯ ไปดูแล ไปเตรียมการให้พร้อมนะ”
    เอ้า..เมื่อกี้ที่ถามผมในตอนนั้น หลวงปู่ ฯ ทำท่าจะออกไปนี่ ไหงตอนนี้พอผมขอให้ออกไป หลวงปู่ ฯ กลับไม่ยอมออกไป ท้อแล้วผม หมดกำลังทั้งกายและใจ มืออ่อนตีนอ่อน เดินเตร่ออกมาที่ถนนนึกไม่ออกว่าจะตั้งชื่อสำนักใหม่ของตนเองว่าอย่างไรดี เมื่อเล็กก็กำพร้าพ่อ กำพร้าแม่ เมื่อแก่ยังจะต้องมากำพร้าครูบาอาจารย์อีก อ้าว เฮ้ย นั่นเราตาฝาดหรืออย่างไร

    “เฮ้ย ๆ รถหลวงพ่อ ฯ โว้ย รถหลวงพ่อ ฯ เอ้อเฮอ วิ่งลิ่วยังก๊ะเหินลมมา แต่โคลนกระจุยกระจายเชียว เอ้า ! ไอ้เวร เอาร่มเอาผ้าไปต้อนรับ มึงนั่นแหละเร็ว ๆ เข้า ยังเสือกจะทำตาเหลือกยืนเซ่ออยู่ได้”
    “เอ้า..มึงไปบอกกะเหรี่ยงกับกะหร่างว่า ไม่ต้องร้องงอแงแล้วเว๊ย...พ่อมึงมาแล้ว”
    ผมร้องตะโกนสั่งลูกน้องเสียเสียงหลง เนื้อตัวสั่นไปด้วยความดีใจ คนอื่น ๆ ที่มามุงรอฟังข่าวอยู่ก็ฮือฮา แล้วก็มีเสียงเฮ เสียงไชโยโห่หิ๊วด้วยความดีใจตามมาติด ๆ แถมด้วยเสียงมุ่ยมง ๆ อยู่อึงอล ตรงกันข้ามกับเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ ที่เงียบเสียจนแทบจะเรียกว่า ถ้าใครทำเข็มตกลงพื้นสักเล่ม เสียงคงจะดังราวกับฟ้าผ่ากลางอเวจีเลยทีเดียวเชียวน้อง...



    .......พอหลวงพ่อฯลงมาจากรถ ผมก็กรากเข้าไปกราบน้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยดีใจ พอเงยหน้าจะลุกขึ้นมาก็มึนหนึบเห็นดาวกระจายเต็มท้องฟ้าเวลาเช้าแสก ๆ จะไม่เห็นดาวเห็นเดือนได้อย่างไร เจอมะเหงกหลวงพ่อฯ เข้าไป ๓ ทีหนัก ๆ ครบเลยครับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เฮ้อ..เป็นอันว่าแฮปปี้เอนดิ้งขอรับ ทุกคนได้ทำบุญทำทานสมใจอยาก ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนเลย
    แหม..อยากจะเล่าซ้ำนะครับ น่าชื่นใจน่าปลื้มใจจริง ๆ วอหามหลวงปู่ฯ เราเตรียมไว้ให้กระเหรี่ยงหามหลวงปู่ฯ แต่กระเหรี่ยงก็กระเหรี่ยงเถิดครับ ถูกกระหร่างผลักจนกระเหรี่ยงกลายเป็นกระเด็นไปหมด แย่งเอาไปหามกันเอง ยังดีอยู่นะที่ไม่มีใครไปแย่งกลอง แย่งฆ้องเขามาล่อเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าจะตีจะบรรเลงเป็นทำนองแบบเชิดสิงโตไหม คงจะต้องตีเป็นทำนองนี้นะครับ ม๊ง แซ่ง ม๊ง ๆ แซ่ง ม๊งแซ่ง ม๊ง ๆ แซ่ง

    ทีนี้ผู้คนหลามไหลกันเข้ามา สาดเงิน สาดธนบัตร เข้ามาที่ตัก ที่เท้าของหลวงปู่ฯ ที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ ก็ใช้วิธีโยนเอา เงินทองหกเรี่ยหกราด ไอ้ภาพฯ ต.ช.ด. ลูกน้องของผมก็เก็บก็กวาดเข้ากระสอบ แค่โกยเงินเข้ากระสอบก็เหงื่อไหลไคลย้อย หอบแฮ่ก ๆ ยังก๊ะหมาหอบแดด
    “ไม่เป็นไร ๆ ผมชอบเหนื่อยแบบนี้จังเจ้านาย ผมชอบจริง จริ๊ง...เงินทั้งนั้นเลยนาเจ้านาย อู้ฮู๊ ของจริงไม่ใช่ของเก๊ เป็นกระตั้ก”
    มันดัดจริตพูกเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วสูดปากดังซู้ดแถมแลบลิ้นเลียปากแพล่บ ๆ เหมือนหมาเห็นขี้ใหม่แล้วอยากกิน ผมร้องด่าและกระเซ้ามันอย่างอารมณ์แสนจะจอยเต็มแก่ (ขนาดถูกเตะตอนนั้นก็ไม่โกรธ) ว่า

    “เฮ้ย ไอ้บ้า เงินของพระนะโว๊ย ลงนรกกูไม่รับผิดชอบ”
    มันยังคงยียวนกวนประสาทย้อนผมมาอีกว่า
    “โธ่ เจ้านาย ผมรู้น่ะว่าอะไรเป็นอะไร แล้วนรกน่ะผมไม่กลัวหรอก ก็ตอนนั้นเจ้านายยังตะโกนเสียลั่นเลยว่า เคยลงไปบ่อย ๆ”
    แหม..ไอ้เวร! มันย้อนอีกว่า
    “แต่ก็เชิญเจ้านายตามสบายเถิดครับ ผมก็เบื่อเหมียนกัลล์”
    รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางด้านของหลวงพ่อฯ ไปหาอ่านเอาเองเถิดครับ เราต่างก็ลืม ๆ กันไปหมดแล้วเรื่องข้อบาดหมาง พี่ชวาลฯ ห้ามผมนักหนาไม่ให้พูด แต่นี่มันเกินอายุความ ๑๐ ปีแล้ว ผมจึงพูดเพื่อประโยชน์ในโอกาสต่อไปรุ่นน้องจะได้รู้ไว้ และจะได้อาศัยเป็นตัวอย่างเพื่ออุดช่องโหว่ในการวางแผนการทำงาน จะได้ไม่มีข้อผิดพลาดขึ้นอีก เช่นในสมัยรุ่นพี่เช่นผมที่ประสบพบเห็นมา
    และต่อไปนี้ผมก็คงจะไม่มีโอกาสมายุ่งด้วยแล้ว เพราะใกล้จะหมดหน้าที่ ใครที่จะต้องมาเกิดอีกมาทำอีกก็เอาไปเป็นตัวอย่างได้ และขอให้พัฒนาให้ดีเชียวนะ ที่สำคัญอย่าเอาแต่ปากทำงาน งานบุญครั้งกระนั้นทำให้ถนนสายเข้าวัดวังมุยมีไฟฟ้าเดินสายเข้าไปให้ชาวบ้านชาวช่องแถวนั้นได้ใช้ทั่วหน้ากัน มาจนตราบท่าวถึงทุกวันนี้

    ทีนี้ เมื่อเล่าถึงบางเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฯ ไปแล้ว เชื่อว่ามีหลายคนที่กำลังอยากจะฟังเกี่ยวกับเรื่อง ลูกแก้วสารพัดนึก ต้นแบบที่หลวงพ่อฯ ของเราได้มาจากหลวงปู่ฯ แล้วในที่สุดก็มาเป็นลูกแก้วสวย ๆ ที่พวกเราห้อยคอกันอยู่อย่างไรล่ะ อยากจะฟังประวัติความเป็นมาของลูกแก้วเหล่านี้บ้างไหม ถ้าอยากฟังก็กรุณาตามมาฟังผมโม้ได้เลยครับ

    หลวงปู่ชุ่มฯ นั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยฯ เมื่อแรกเริ่มเดิมทีที่พวกเราไปนมัสการท่านนั้น ท่านจะแจกเครื่องรางของขลังประเภท พระรอด ตะกรุดเหน็บ ตะกรุดหนัง (ลูกวัวตายในท้อง ตายเองโดยธรรมชาตินะครับ ไม่ใช่จงใจไปทำให้แม่ของมันตาย แล้วเอาหนังลูกในท้องของมันมา) และตะกรุดปรอท

    สำหรับพระรอดที่ว่านี้ พวกนักเลงพระเรียกกันว่า “รอดเณรจิ๋ว” เป็นพระรอดที่หลวงปู่บุญทืมฯ ออกแบบและสร้างถวายให้หลวงปู่ชุ่มฯ แล้วหลวงปู่ชุ่มฯ ก็นำไปถวายให้หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยฯ ปลุกเสก จำนวนที่สร้างคราวนั้นเต็มบาตรพระ จากนั้นหลวงปู่ชุ่มฯ ท่านก็แจกเรื่อยไป และบางส่วนก็เก็บเอาไว้นานเหมือนกับจะรอเวลาเพื่อแจกพวกเรา ผมเห็นท่านเก็บเอาไว้ในบาตร ฝุ่นงี๊หนาปึ้ก
    เมื่อจะเอามาแจกพวกเรา ท่านเอาน้ำล้าง พวกที่นิยมของเก่าร้องโวยวายเพราะหลวงปู่ท่านไม่เข้าใจ ท่านเห็นว่ามันสกปรกท่านก็อุตส่าห์ล้างให้ เพราะกลัวลูกศิษย์ชาวกรุงเทพฯ เขาจะรังเกียจ พระบ้านนอกละก็ถ่อมตัว น่ารักจริง ๆ

    ตอนหลังผมจึงไปอธิบายให้ท่านทราบว่า พวกนิยมของเก่าเขานิยมฝุ่น เขาโมเมเรียกฝุ่นว่า ขี้กรุ (ทั้ง ๆ ที่พระชุดนี้ไม่ได้อยู่ในกรุแม้แต่น้อย) ผมเรียนว่าหลวงปู่ฯ จะล้างก็ไม่ขัดคอหรอกครับ แต่ขอให้เขย่า ๆ พอสังเขปก็พอ ท่านก็เชื่อ
    พระชุดนี้ปัจจุบันไม่เหลืออยู่ที่วัดแม้แต่องค์เดียว ผมรับรองได้ เพราะตอนหลังผมเอามาให้กับวัดจามเทวีจนหมด ตามที่เล่าให้ฟังไปแล้วตอนหลวงปู่ทืมฯ ตอนนี้ผมเองก็เหลืออยู่แค่ ๓ องค์ ห้อยอยู่ที่คอลูก ๆ และภริยา (ซึ่งปัจจุบันมีคนเดียวอั๊บ)

    ตะกรุดหนังลูกวัวก็เหมือนกับตะกรุดปรอท เป็นเครื่องรางเฉพาะตัวของท่านเอง ท่านได้ตำรามาจากใครผมจำไม่ได้ ว่าง ๆ จะลองไปถาม ร.ต.อ. วิวัฒน์ สุวัฒนะกุล อดีต หน.สภ.ต. สาวชะโงกดู เขาเคยอยู่ที่ลำพูน ตอนที่พวกเราไปนมัสการหลวงปู่ฯ กันในคราวนั้น เขาเคยเกเรมาก่อน เป็นนักเลงการพนันตัวยง แต่เดี๋ยวนี้เขาเลิกแล้ว

    แต่แม้สมัยที่เขาเกเร เขาก็เข้าหาพระเข้าหาเจ้า และองค์ที่ทำให้เขาเลิกเล่นได้ก็คือ หลวงปู่หล้าตาทิพย์ เวลานี้ในกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างของเขาจะพองตุ่ย ถ้าลองไปนั่งคุยด้วย ไม่ว่าคนไม่ว่าลิงจะพากันหลับหมด ประวัติศาสตร์มันยาวรู้ไปหมดทุกเรื่องทุกราว พูดไปก็ควักวัตถุมงคลออกจากกระเป๋ามาอวด นี่กาฝากมะขาม นี่กาฝากรัก นี่กาฝากมะรุม เออ ระวังจะถูกรุมเตะ

    ทีนี้หลวงปู่ฯ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหลือหลาย เก่งกว่าลูกษิษย์อย่างท่านมากมายนัก ท่านทำได้แค่ซัดปรอทให้แข็งตัวทำเป็นตะกรุดปรอท แต่พระอาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหนือไปกว่านั้น ซัดปรอทต่อไปอีกจนปรอทนั้นกลายเป็นแก้ว ถ้าเป็นตัวเมียจะมีรูเรียกว่า แก้วราหู แต่ตัวผู้ผมจำไม่ได้ว่าท่านเรียกว่าอย่างไร ใครรู้และจำได้ช่วยบอกที

    ท่านได้รับเป็นมรดกตกทอดมา ๓ ลูก เป็นตัวผู้ใหญ่ ๒ ลูก ตัวเมีย ๑ ลูก ลูกใหญ่ที่สุดท่านถวายพระเจ้าอยู่หัว รองลงมาท่านถวายหลวงพ่อของเรา ก็ลูกที่หลวงพ่อฯ ท่านเคยแช่อยู่ในอ่างน้ำมนต์ของหลวงพ่อฯ นั่นแหละครับ ลูกเล็กสุดหลวงปู่ฯ ขวั่นเชือกทำเป็นสายร้อยและคล้องคอให้กับผม หลังจากคณะของหลวงพ่อฯ กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว ๒ วัน เพราะผมกับลูกน้องยังต้องอยู่ต่อ เนื่องจากจะต้องดูแลจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยจริง ๆ

    ในตอนแรกผมไม่ยอมรับ เพราะกลัวจริง ๆ ครับ กลัวว่าวาสนาจะไม่ถึงไม่คู่ควรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ แต่หลวงปู่ฯ ท่านยืนยันจะให้ และท่านว่าท่านถามผู้ดูแลรักษาแล้ว ทางนั้นยืนยันไม่ขัดข้อง ผมงี้น้ำตาไหล ดีใจน่ะดีใจมากครับ แต่ไม่เท่ากับความภาคภูมิใจ รู้สึกหัวใจพองโตมาก ๆ จนบอกไม่ถูก มีความรู้สึกว่าเทพยดาฟ้าดิน ตลอดจนปรมาจารย์รวมทั้งหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ และพระเบื้องบนท่านให้ความกรุณาต่อผมมากจริง ๆ

    ความจริงแล้วของศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ปุถุชนคนธรรมดาหน้าไหนบ้างที่ไม่อยากจะได้มาไว้ครอบครองจนเนื้อตัวสั่น แค่เห็นก็เรียกว่าเป็นบุญตาแล้ว ผมเองก็เช่นเดียวกัน อยากได้ แต่ยังสงสัยว่า ตัวผมเองนั้นมีคุณงามความดีแค่ไหนเชียวจึงจะได้ของศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นกรรมสิทธิ์

    จำได้ว่าครั้งแรกผมไม่ยอมรับ และได้อ้อนวอนหลวงปู่ฯ ว่าขอให้หลวงปู่ฯ กรุณาถามเบื้องบนด้วยว่าให้ผมจริง ๆ หรือ และถ้าผมรับไว้แล้วจะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง หลวงปู่ฯ ท่านว่าถามแล้วและอนุมัติมาแล้ว ผมก็ยังดึงดันขอให้หลวงปู่ฯ ถามให้อีกครั้งหนึ่ง ท่านก็กรุณาตามใจถามให้ เมื่อหลวงปู่ฯ ท่านยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงยอมรับเอาไว้

    เรื่องที่เล่านี้ ถ้าท่านที่ไม่เข้าใจผมอาจจะคิดว่า ไอ้นี่มาดมากเจ้าท่า ไม่เป็นเรื่อง ซึ่งผมต้องขอความกรุณาชี้แจงในตอนนี้เสียเลยว่า ในขณะนั้นจิตใจของผมระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า ผมนั้นเป็นเพียงลูกศิษย์หางแถวของหลวงพ่อฯ หลวงปู่ฯ ผมมีฐานะยากจน ไม่มีเงินทองหลามไหลเหมือนใครเขา

    แต่ถ้าเป็นงานเพื่อหลวงพ่อฯ หลวงปู่ฯ หรือเพื่อการพระศาสนาแล้ว ผมจะทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ มีเงินผมก็จะเอาเงินช่วย ไม่มีเงินผมจะเอาแรงกายแรงความคิดทุ่มเทเข้าช่วย แต่อย่างว่าแหละครับ การช่วยเหลือถ้าไม่เป็นเงินก้อนโต ๆ ก็ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครให้ความสำคัญ

    ในงานทำบุญที่หลวงปู่ชุ่มฯ เข้านิโรธสมาบัตินี้ก็เหมือนกัน ผมเป็นเพียงร้อยตำรวจเอกที่พิการ มีฐานะยากจน ไม่มีพื้นที่ปกครอง ไม่มีลูกน้องบริวาร และไม่มีอำนาจราชศักดิ์ แต่ผมนั้นได้รับเป็นธุระอย่างขันแข็งในเรื่องการติดต่อประสานงานเตรียมการทางด้านของหลวงปู่ฯ ต้องขึ้น ๆ ล่อง ๆ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เชียงใหม่ – กรุงเทพฯ ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว และรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นเองโดยตลอด ไม่ทราบว่าหมดเท่าใดต่อเท่าใด

    ครั้นถึงเวลาที่จะทำบุญ เมื่อตอนที่หลวงปู่ฯ ออกจากนิโรธสมาบัติ ก็ไม่มีโอกาสเหมือนใครอื่นเขา เพราะจะต้องคอยดูแลความปลอดภัยให้กับคนส่วนใหญ่นั่นเอง เรียกว่าแม้จะอยู่ใกล้แต่เข้าไม่ถึง สำนวนจีนกำลังภายในเขาว่า แม้ชายคาจะเกยกันแต่ก็เหมือนไกลอยู่สุดขอบฟ้า ไม่ใช่ว่าหยิ่งแต่ทว่าเจียมใจเจียมกาย

    ลูกน้องเคยถามผมว่า ถ้าการทำบุญกับพระอริยะสงฆ์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติจะให้ผลมากอย่างรวดเร็วและประเสริฐจริง คนอื่น ๆ ที่ไปกันก็คงจะได้รับผลที่ประเสริฐนั้นไปกันถ้วนทั่ว แต่พวกเราคงจะไม่ได้ ผมค้านว่า เฮ่ย ไม่จริง แล้วย้อนถามเขาไปว่า สบายใจไหม? ปลื้มใจไหม? ที่ได้มาร่วมงานทำบุญในครั้งนี้ พวกเขาตอบว่า ยอดจริง ๆ มีทั้งใจหายใจคว่ำ สนุก ตื่นเต้น และในที่สุดก็ลงท้ายด้วยความอิ่มใจ ปลาบปลื้มสบายใจ เรียกว่ามีครบทุกรส

    ความประทับใจนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีวันได้พบประสบพบอีก และจะไม่มีวันลืมเลือนไปเลย ผมได้โอกาสจึงพูดกับพวกเขาว่า นั่นไง ผลตอบแทนของพวกเราก็คือ ความสบายใจ ความสุขใจที่ได้รับ ซึ่งก็น่าจะถือได้ว่าเป็นผลบุญอย่างยิ่งแล้ว คนมีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติมหาศาล ไม่มีความสุขเท่ากับที่พวกเราได้รับและมีอยู่ในครั้งนี้

    พวกเขาก็อึ้งไป แต่ก็อ้อมแอ้มกันนิด ๆ หน่อย ๆ ว่า แหม ลูกพี่ ทางใจพวกผมยอมรับว่าได้กันอย่างเต็มปรี่ แต่ถ้าได้ทางโลกมาจุนเจือพอให้บรรเทาความเดือดร้อน ไม่ถึงกับขอให้มีมากจนถือได้ว่าสะสมเกินไปก็น่าจะดีกว่านะครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเต็มร้อย แต่ก็ได้แต่อ้อม ๆ แอ้ม ๆ ตอบไปไม่เต็มเสียงว่า อืม......
    ผมว่าท่านคงจะเห็น ซึ่งความจริงผมไม่ทราบและไม่แน่ใจเลยว่า ท่านที่ผมว่านี้จะเห็นอย่างที่ผมเห็นหรือไม่ เพราะคนเรายิ่งแก่เฒ่าก็ยิ่งหูตามัว ยิ่งเป็นใหญ่ ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งแล้วใหญ่ มักจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอคติ ๔ ทำให้หน้ามืดหูตาลายมืดมัว ในไม่ช้าหูก็จะหนวก ตาก็จะบอด ความทุกข์ยากของคนเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่เห็น คนทั้งประเทศทั้งโลกร้องตะโกนก็ไม่ได้ยิน

    แต่กลับไปได้ยินพวกเปรตที่สอพลอเอาแต่เป่าหูอยู่ ก็แหม ! เปรตมันปากเล็กนี่ครับ เขาว่ากันว่าปากเปรตเท่ารูเข็มจึงสามารถสอดปากเข้าไปเป่าอยู่ที่แก้วหูของท่านผู้มีอำนาจได้โดยสะดวก เอาเถิดครับ ไม่แสบไม่คันรูหูบ้างก็ให้มันรู้ไป ให้มันไชจนหนวกไปเล้ย........
    หลังจากที่ผมได้พูดคุยกันเรื่องผลบุญ และงานบุญของหลวงปู่ชุ่มฯ กับลูกน้องไปแล้ว ก็ไม่นานเกินรอ เพียงวันสองวันต่อมาหลวงปู่ชุ่มฯ ท่านก็มอบลูกแก้วดังกล่าวให้กับผม เห็นไหมครับทันตาเห็นจริง ๆ



    …………ย้อนกลับมาเล่าเรื่องลูกแก้วกันต่อดีกว่า หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านบอกผมว่า ลูกแก้วนี้ ครูบาอาจารย์ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาลูกแก้วนี้เต็มใจให้ผม ท่านว่าเป็นแก้วสารพัดนึก โดยมีพระคาถากำกับ แต่เจ้าของและผู้ปกปักรักษาเขาขอสัญญากับผมว่า การที่จะขออะไรกับลูกแก้วนี้ จะต้องขอสิ่งที่อยู่ในศีลในธรรม เช่น ถ้าขอให้ผู้หญิงรัก เมื่อได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นภริยาแล้ว จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู

    นอกจากนั้นมีเงื่อนไขพิเศษก็คือ ท่านว่าผู้ดูแลรักษาท่านหนึ่งขอว่า ห้ามใช้กับหญิงโสเภณี และถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว อย่าพกลูกแก้วนี้เข้าไปหรือผ่านไปในแหล่งหญิงนครโสเภณี เพราะผู้ดูแลท่านรังเกียจ ผมก็รับสัญญานั้น

    หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านลงมือขวั่นเชือกด้วยมือท่านเอง ร้อยในรูของลูกแก้วผูกทำเป็นห่วงเชือกคล้องคอให้กับผม ต่อมาผมกลัวเชือกขาดลูกแก้วจะหาย จึงมาดัดแปลงให้ดีขึ้น โดยให้แม่นิดถักเชือกไนล่อนเป็นตาข่ายล้อมลูกแก้วเอาไว้ และขนาดเชือกก็เปลี่ยนใหม่ให้โตขึ้น จนพอไว้ใจได้ว่า ไม่อาจขาดได้โดยง่าย แต่ก็คิดไว้ในใจว่า ถ้ามีเงินเมื่อใด ก็จะเอาไปเลี่ยมทองให้คู่ควรเหมาะสมเสียที
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    แต่แล้วก็ไม่มีโอกาส เพราะระยะนั้น ยอมรับกันอย่างตรง ๆ เลยครับว่าชะตาชีวิตในตอนนั้นเป็นเหมือนที่หมอดูเขาว่า พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก แต่ที่ผมประสบนั้นเรียกใหม่ได้เลยว่า พระศุกร์กระทืบจมเบ้า พระเสาร์กระแทกมิดธรณี จวนเจียนจะอยู่ จะไปหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเรื่องทอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครอบครัว บ้านแตกสาแหรกขาดกระจุย

    ขนาดหลวงพ่อ ฯ ของเราท่านอุตส่าห์ทำพิธีบังสุกุลเป็นให้ถึง ๒ ครั้ง พาไปปล่อยปูกับท่านอีก ๑ ครั้ง ก็ประทังได้แค่ร่อแร่ จะตายก็ไม่ตาย จะเป็นก็ไม่เป็น

    ตอนนั้นผมออกจากบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เกิดจนเป็นร้อยเอก โดยมีเครื่องแบบไป ๒ ชุด ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อฉายาที่บรรดาลูกศิษย์เก่า ๆ เรียกกันว่า “ไอ้ตี๋เล็ก” สำหรับผมนั้นเขาเรียกกันว่า “ไอ้ตี๋ใหญ่” (ฉายานี้หลวงพ่อ ฯ ของพวกเราตั้งให้นะครับ) ในตอนนั้นถ้าไม่ได้ไอ้ตี๋เล็ก ผมคงแย่แน่ ๆ

    จำได้ว่าในตอนนั้น ผมถูกพรากทั้งลูกทั้งเมีย และเป็นความกันอยู่กับบรรพสตรีของเมีย ก็แม่ยายนั่นแหละครับ และโดยเพียงเพื่อให้ชนะผม เขาก็สาดโคลนผมจนเลอะเทอะหมดทั้งชีวิต ฝ่ายเขามีพวกมากด้วย เคยเป็นภรรยาของคุณพระท่านหนึ่งซึ่งเป็นอดีตคนใหญ่คนโตในกระบวนการยุติธรรม

    แหม....เวลาเรียกเข้าไปพบและตกลงกันนอกบัลลังก์ ผมงี้กระดิกตัวแทบไม่ได้เลยครับ ขยับตัวหน่อยถูกท่านตวาดแว๊ด ขนาดอยู่ข้างหน้าโต๊ะทำงานของท่าน ผู้แทนของเขาซึ่งเป็นผู้หญิงยังกล้าถอดรองเท้าส้นสูงขึ้นมาเงื้อจะเคาะกะโหลกผม โดยท่านทำเป็นนั่งก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็น

    พอผมเตือนท่าน กว่าท่านจะเงยหน้า เขาก็เก็บรองเท้าเสร็จแล้ว และท่านก็ตวาดขู่ฟ่อ ๆ เอากับผมอีกว่า อะไรเป็นถึงร้อยตำรวจเอกจะมาทำนิสัยเที่ยวพาลหาเรื่องคนอื่นเขาต่อหน้า....นะเนี่ย ไอ้ผมก็ยืนนึกปลงอนิจจัง อื้อฮือ....นี่ขนาดผมแต่งเครื่องแบบด้วยนะครับ ท่านก็ไม่ยอมให้เกียรติ ไม่รู้ว่าตุ้มเงินตุ้มทองหรือตุ้มอะไรมันถ่วงอยู่ ถึงได้เอียงกะเท่เร่ขนาดนี้

    ถ้าเป็นแม่ค้าละก็ ขายอะไรก็รวยครับ ก็โกงตาชั่งนี่ครับ ผมก็นึกในใจอีกว่า อีแบบนี้เราแพ้ความแน่ เพราะไอ้บ้านี่ตาบอด ไม่เห็นความดีความชั่ว (ต่อมาท่านนี้ประสบอุบัติเหตุตาบอดครับ ต้องออกจากราชการทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย คงไม่ใช่กรรมจากที่ทำกับผมเรื่องเดียวหรอกครับ คงทำบ่อย ๆ กับคนอื่น ๆ ด้วย ส่วนผมก็ให้อภัยทานไปแล้ว แต่บังเอิญอ่านหนังสือพิมพ์เจอเข้าพอดี)

    ฝ่ายผมมีผู้ที่เลี้ยงดูอุปการะผมมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเข้าใจและเห็นใจผมอย่างแท้จริง ก้คือคุณย่าของผมเท่านั้น แต่เวลานั้นท่านก็แก่มากแล้ว และผมคิดว่าถ้าผมอยู่ที่บ้านคุณย่า คุณย่าก็คงจะต้องทุกข์ร้อนไปกับผมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมจึงตัดสินใจบากหน้าไปอาศัยอยู่กับไอ้ตี๋เล็ก เพื่อความสะดวกในการวางแผนและต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

    เรื่องราวการต่อสู้ของผมในตอนนี้ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่คำแสนใหญ่ ฯ หรือพระครูสุคันธศีล ฯ แห่งวัดสวนดอก ซึ่งกรุณาสอนผมในเรื่อง แม่ทัพแขนด้วน และเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ครูบาวงษ์ ฯ หรือพระครูใบฎีกาชัยยะวงษาพัฒนา แห่งวัดพระบาทห้วยต้ม ที่กรุณาเตือนผมด้วยเรื่อง ไอ้วัวหำคด ซึ่งขออนุญาตเก็บเอาไว้เล่ารายละเอียดในตอนที่เขียนถึงหลวงปู่ ฯ ทั้งสองนะครับ
    และผมยอมรับครับว่า ในตอนนั้นมีความกลัดกลุ้มใจมาก ๆ ทำให้บางครั้งผมก็หาทางออกโดยไปเที่ยวเตร่แบบที่ผู้ชายทั่ว ๆ ไปเขาเที่ยวกัน แต่ถ้ามีรายการพรรค์อย่างนั้น ผมจะถอดลูกแก้วทิ้งไว้ในรถทุกครั้ง ลืมล็อคประตูรถเป็นสิบ ๆ ครั้งก็ไม่เคยหาย หลาย ๆ ครั้งที่ผมลืม ถอดลูกแก้วเอาไว้บนหัวเตียงในโรงแรมตามต่างจังหวัดที่ไปปฏิบัติราชการ กว่าจะรู้ว่าลืมเอาไว้ก็กลับมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ว

    ครั้นโทรศัพท์ทางไกลไปให้คนไปตามไปหาให้ก็ไม่มีใครพบใครเห็น ผมก็ได้แต่จุดธูปเทียนขอขมาและอธิษฐานว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมรีบร้อนจริง ๆ ผมผิดไปแล้ว หมดปัญญาแล้ว แต่ถ้ายังมีบุญบารมีอยู่ก็ขออให้มีผู้พบเห็น ส่วนผมก็จะพยายามติดตามให้ได้คืนมาให้จงได้ แล้วผมก็เข้านอน รุ่งขึ้นเช้าผมไปกราบพระก็พบว่าลูกแก้วนี้กลับมาอยู่ที่หน้าหิ้งพระของผมทุกทีไป บางครั้งก็ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง

    ต่อมาไอ้ตี๋เล็กประสบปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจการค้า แต่ขณะนั้นก็มีช่องทาง คือ ถ้าลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่ติดต่อกันอยู่ยอมตกลงข้อเสนอตามโครงการของไอ้ตี๋เล็ก ไอ้ตี๋เล็กก็จะได้งานที่สามารถกอบกู้สถานภาพเอาไว้ได้ และอาจจะร่ำรวยมหาศาลเลยทีเดียวแหละ แต่การที่อุตส่าห์ลงทุนเชิญไอ้ญุ่นปี่ญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย เพื่อจะได้มีโอกาสมีเวลาได้ชี้แจงเรื่องงาน เรื่องโครงการดังกล่าวนี้นั้น

    ปรากฏว่าไอ้ญุ่นไม่สนใจ เลยจำเป็นต้องวางแผนพาไปเที่ยวต่อที่เชียงใหม่ เพื่อเป็นการเอาใจ และเพื่อยืดเวลาหาโอกาสในการเจรจาต่อไปอีก ก่อนเดินทางไปเชียงใหม่ ไอ้ตี๋เล็กวุ่นวายใจมาก เพราะภริยาก็ท้องแก่ใกล้คลอด ท่าทีที่หยั่งเชิงไอ้ญุ่นไปแล้วนั้น นอกจากไอ้ญุ่นจะไม่สนใจเอาเสียเลยแล้ว ยังแทบจะหัวเราะเยาะเอาเสียด้วย ตั้งท่าจะไม่ไปแล้ว เพราะปรารภกับผมว่าไปก็เท่านั้น เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา

    ผมจึงได้ตัดสินใจมอบลูกแก้วให้กับไอ้ตี๋เล็กไป เพื่อให้เป็นกำลังใจ และหวังขอให้ท่านช่วยให้ไอ้ตี๋เล็กประสบความสำเร็จในการเจรจาครั้งนั้น และก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหลือที่จะกล่าว เพราะระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินนั่นเอง นายทุนญี่ปุ่นซึ่งเคยแสดงท่าทีสนใจน้อยมาก กลับขอเซ็นสัญญาตกลงกันบนเครื่องบิน โดยไม่ยอมอ่านสัญญาเลย

    ทีนี้ไอ้ตี๋เล็กก็ดีใจซิครับ แทบจะคลุ้มคลั่งเลยทีเดียว พาญี่ปุ่นเที่ยวอย่างหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวเตร่กินเหล้าเมายาเฮฮากันทั้งวันทั้งคืน ด้วยมองเห็นเงินเป็นร้อย ๆ ล้านวางแบบอยู่แค่เอื้อม

    ผมโทรศัพท์ทางไกลไปเตือนสติอยู่ทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ ครั้ง ให้ระวังเรื่องเงื่อนไขของเจ้าของลูกแก้ว ไอ้ตี๋เล็กก็สักแต่ว่ารับปากอู้อี้มาทุกครั้งว่า ไม่มีปัญหา ไม่ได้ทำอะไรผิดเงื่อนไข ถ้าจะมีรายการซึ่งขัดกับเงื่อนไข ก็จะเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสาร จะไม่นำติดตัวไปเป็นอันขาด

    แต่แม้ผมจะได้รับการยืนยันมาอย่างแข็งขันทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปถาม ผมก็ไม่ได้มีความสบายใจเลย เพราะไอ้ตี๋เล็กมักจะขาดสติสัมปชัญญะ และขาดความรับผิดชอบอยู่เสมอ การรับปากสั่ว ๆ แต่ไม่สนใจจะปฏิบัติตามคำพูดของเขาเป็นที่ร่ำลือระบือไกล
    และในคืนวันก่อนที่ไอ้ตี๋เล็กจะต้องเดินทางกลับตามกำหนดการ ผมก็ฝันร้ายว่าได้พบกับผู้หลักผู้ใหญ่หลาย ๆ คน และหลาย ๆ องค์ ทุกท่านตำหนิผมน่าดูเรื่องลูกแก้ว ผมตื่นขึ้นมากลางดึก นอนต่อไม่หลับตลอดคืน กังวลใจตลอดเวลา

    ตั้งแต่เช้ามืด ผมได้พยายามติดต่อทางโทรศัพท์กับไอ้ตี๋เล็ก แต่ติดต่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ไอ้ตี๋เล็กพักอาศัยแจ้งให้ทราบว่า ในห้องพักไม่มีคนอยู่ ผมจึงเดินทางไปรอรับเขาที่สนามบินดอนเมืองในตอนบ่าย
    พอไอ้ตี๋เล็กเดินออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า ผมก็กรากเข้าไปถามหาลูกแก้วทันที ไอ้ตี๋เล็กหัวเราะก๊าก ๆ มันมองผมด้วยสายตาที่ผมแปลความหมายได้ความว่า แหม....ท่านพี่ ช่างงกเสียจริ๊ง แล้วมันก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะดังลั่นแอร์พอร์ตว่า

    “นี่ไงพี่ ลูกแก้วของพี่อยู่ในคอผม ยังอยู่ดี ไม่หายไปไหน”
    พูดจบ มันก็เอามือคลำที่คอของมันอย่างมั่นใจเต็มที่ ผมเองก็จ้องมองตามมือของมันอย่างเขม้นเขม็ง ในใจภาวนาว่า ขอให้จริงอย่างที่มึงพูดเถิดวะ จริงไม่กลัวกลัวไม่จริง แต่แล้วผมก็เห็นมันหยุดชะงัก เสียงหัวเราะที่ดังกั๊ก ๆ หยุดกึ๊ก หน้าที่บานปานตูดหมาของมันซีดเผือดแล้วหุบลง ๆ จนเล็กเหลือเท่าจู๋มด มันลุกลี้ลุกลนล้วงโน่นควักนี่อุตลุดอลหม่าน ล่วงไปปากก็ร้องไปบ่นไปว่า
    “เฮ้ย....ๆ ตายห่า.... เฮ้ย....ๆ ตายห่า.....” อยู่เป็นนานสองนาน แล้วในที่สุดก็พูดอย่างแหย ๆ แต่หน้าตาเฉยตามฟอร์มถนนมิตรภาพ

    “พี่ ลูกแก้วไม่รู้หายไปไหนแล้ว”
    พอได้ยินมันพูดเช่นนั้น ผมก็แทบสลบ ตาเบิกโพลง แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากแสงระยิบระยับคล้ายดวงดาวเป็นหมื่นเป็นแสน ๆ ดวงหมุนติ้วอยู่รอบศีรษะ หูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร นอกจากเสียงดัง หวิ๊ง ๆ หวิ๊ง ๆ อื้ออึงราวกับลมพายุสลาตันพัดหมุนอยู่รอบกาย มีอาการอย่างนี้อยู่นานเท่าใดไม่ทราบ แต่ในความรู้สึกเหมือนนานแสนนาน
    มารู้สึกตัวอีกที เมื่อได้ยินเสียงไอ้ตี๋เล็กตะโกนร้อง เรียกว่า
    “พี่ ๆ พี่ ๆ”

    พอรู้สึกตัว ผมก็กระโจนพรวดเดียวถึงตัวไอ้ตี๋เล็ก เปิดกระดุมคอเสื้อของมันเกือบจะเป็นกระชาก ล้วงเอาไถ้ที่เคยใส่ลูกแก้วที่ผมแสนรักพร้อมเชือกห้อยคอออกมาจากคอของมัน รู้สึกจุกแน่นไปหมดที่หน้าอกและคอหอย พาลวิงเวียนเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้ เมื่อเห็นว่าไถ้นั้นว่างเปล่า ผมกำไถ้เปล่านั้นแน่นติดมือที่เปียกเหงื่อจนชุ่ม อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมา คิดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงได้แต่ยืนเซ่อ ไอ้ตี๋เล็กยืนหันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่ มันก็ร้องโวยวายออกมาอีก
    “สงสัยตกอยู่ในเครื่องบินแหงเลย ก็เมื่อเช้านี้ยังอยู่ในคอผมเลยนี่นา พี่คอยผมหน่อย เดี๋ยวผมจะไปหาเพื่อน มันทำงานใน บ.ด.ท. จะลองให้เขาช่วยให้เจ้าหน้าที่หาให้”

    ไอ้ตี๋เล็กยังมีความหวังและอดโม้ไม่ได้ตามนิสัยเดิม ผมก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามแกน ได้พยายามตามและค้นหากันทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะโทรศัพท์ทางไกลไปที่เชียงใหม่ ให้ญาติช่วยกันไปหาที่สนามบินก็แล้ว ที่โรงแรมก็แล้ว ตั้งรางวัลเสียสูงลิ่วก็หาไม่พบ
    ระหว่างที่โกลาหลกันอยู่นั้น ผมก็เดินทางกลับ เพราะผมสังหรณ์เหลือเกินว่า เขาไปแล้ว และคราวนี้คงจะไม่มีหวังที่จะกลับคืนมา เพราะนอกจากที่ผมจะฝันเหมือนเป็นลางบอกเหตุ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ๆ แล้ว
    เมื่อผมได้พิจารณาดูไถ้ที่เคยใช้หุ้มลูกแก้วนี้อย่างละเอียด ก็ไม่พบว่ามีร่องรอยฉีกขาดแต่ประการใด ยังคงเป็นไถ้ที่สมบูรณ์อยู่เหมือนไถ้อันเดิม ที่แตกต่างกันก็มีเพียง ไม่มีลูกแก้วของศักดิ์สิทธิ์ที่ผมแสนจะหวงแหนอีกต่อไปแล้ว

    เมื่อผมกลับไปถึงบ้านไอ้ตี๋เล็กแล้ว ผมก็เก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้านของผม เพราะผมเชื่อว่า ไอ้ตี๋เล็กต้องกระทำการอย่างใด ๆ ที่เป็นการละเมิดต่อสัญญาที่ผมเคยกำชับเอาไว้ไม่ให้ละเมิด และไม่นำพาต่อคำพูด คำมั่นสัญญาที่รับปากผมไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ คนประเภทนี้ถ้าจะคบหาต่อไป เห็นทีจะไม่ต้องตามตำรามงคล ๓๘ ประการเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย ขืนอยู่ด้วยก็ซวยเปล่า ๆ กลับบ้านเราดีกว่า

    แบบนี้เขาไม่เรียกว่า หนีเสือปะจระเข้นะครับ เข้าตำรา หนีนรกตกอเวจีมากกว่า แต่ผมก็ยังไม่กลับบ้านของผมในทันที ผมรอเพื่อที่จะถามว่า ไปทำอะไรมาที่เป็นการผิดสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาลูกแก้วนี้ แต่คืนนั้นเขาไม่กลับบ้าน คืนต่อมาก็ไม่กลับอีก
    ผมรออยู่สองวันสองคืนจึงได้พบ ก็แก้ตัวว่า ไปนอนที่บ้านพ่อเพราะสะดวกในการติดตามหาลูกแก้วที่หายไปนั้น และเขาตามมาโดยตลอดแต่ติดตามคืนมาไม่ได้ แล้วมันก็ทำหน้าทะเล้นร้องว่า
    “แน่ะ....ลูกแก้วกลับมาอยู่ที่พี่แล้วซิ หลอกให้ผมไปหาเสียเกือบตาย”
    ผมโมโหสุดขีด ตะโกนให้อวัยวะเบื้องต่ำกว่าเข็มขัดมันไปหลายอย่างและหลายอัน ในที่สุดมันจึงสารภาพว่า ในคืนวันก่อนที่จะเดินทางกลับได้เข้าไปเที่ยวในบาร์ ไปพบนักร้องสาวสวยถูกอกถูกใจเสียเหลือหลาย แต่จีบผู้หญิงคนนั้นสู้คนอื่นเขาไม่ได้ มันเกิดอาการหน้ามืดสุดขีด จึงเอาลูกแก้วขึ้นมาอธิษฐาน

    ตอนที่อธิษฐานนั้น แม่นักร้องคนนั้นก็ได้เดินไปนั่งอยู่บนรถของเพื่อนที่จีบแข่งกันแล้ว แต่พอมันอธิษฐานเสร็จ จู่ ๆ แม่นั่นก็เดินมาขึ้นรถมันเสียดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ
    เป็นอันว่ามันได้ผู้หญิงคนนั้นมาเชยชมเพียงชั่วคืน แต่ผมต้องสูญเสียลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว
    แถมมันยังแก้ตัวอีกว่า มันใช้กับนักร้อง ไม่ใช่โสเภณี ผมฟังมันแก้ตัวก็ปลงอนิจจังคิดในใจว่า เจ้าตี๋เล็กเอ๋ย....เอ็งเห็นทีจะเจริญยาก แล้วในกาลต่อมา เจ้าตี๋เล็กก็เจริญยากจริง ๆ ทรัพย์สมบัติที่เคยมีนับสิบล้าน (เมื่อประมาณปั พ.ศ. ๒๕๑๘ นะครับ) ก็หมด ตัวเองก็ระเห็จเข้าไปดัดสันดานอยู่ในคุกเสียระยะหนึ่ง ปัจจุบันออกมาแล้วแต่ก็ยังห่วยเหมือนเดิม
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ผมก็กลับบ้านสวดมนต์ภาวนาขอให้กลับมา จากอาทิตย์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็น ๑๖ ปี (ไม่ใช่ ๑๖ ปีแห่งความหลังนะครับ) ลูกแก้วก็ไม่กลับมาเสียที หมดหนทางหมดปัญญาก็จำต้องตัดใจ

    ผมคิดปลง ๆ เอาว่า ท่านที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้คงจะน้อยใจที่ในตอนแรก ผมก็ทำท่ายึกยักเหมือนไม่เต็มใจจะรับมาจากหลวงปู่ชุ่ม ฯ ต่อมาก็ทำหลงลืมทิ้งไว้ตามโรงแรมที่ไปพักหลายครั้ง เหมือนไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความสำคัญ ต้องให้ท่านนำมาคืนให้ก็หลายครั้ง
    แล้วในที่สุด ก็ได้ให้คนที่เหลาะแหละไม่น่าเชื่อถือขอยืมไปอีก แม้จะแก้ตัวว่าเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณก็คงจะรับฟังไม่ขึ้น ท่านก็เลยไม่อยากอยู่กับผม ผมก็ตัดใจไม่คิดมาก ด้วยในส่วนลึกก็ยอมรับในความผิดและเห็นว่ายังไม่คู่ควรที่จะได้ท่านไว้เป็นกรรมสิทธิ์




    …………เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ผมก็ยอมแพ้ความ เลิกสู้ความเสียดื้อ ๆ ยึดเอาหลัก “อภัยทาน” เป็นที่ตั้ง มุมานะก้มหน้าก้มตาพากเพียรสร้างสมคุณงามความดี ชั่วก็มีบ้าง แต่ได้พยายามมีให้น้อยที่สุด ผมได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการมาเรื่อย ๆ แม้จะเทียบเทียมกับบรรดาเพื่อนฝูงชั้นแนวหน้าไม่ได้ แต่ก็สามารถรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้โดยตลอด แม้บางครั้งกว่าจะรอดก็อึแทบจะเล็ดก็ตาม

    ในที่สุดลูกทั้งสองคนก็กลับมาอยู่กับผม ศัตรูที่เคยพรากลูกผมไปนั้น ก่อนเขาจะตาย เขายกมือไหว้ขอโทษผมได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว คนที่จะเอาส้นสูงเคาะกระบาลผมระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ ไปทำงานเป็นขี้ข้าเขาด้วยความสมัครใจ ทั้ง ๆ ที่มีทรัพย์สมบัติอยู่ในเมืองไทยนับสิบล้าน
    เจ้ากุนซือคนที่แนะนำให้โกงทรัพย์สมบัติที่ผมควรจะได้ เมื่อคุณพ่อของผมถึงแก่กรรมไปแล้วอย่างไม่ละอายต่อบาป ทำให้ทรัพย์มรดกที่ควรอย่างยิ่งที่จะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ต้องถูกยื้อแย่งไปโดยการกระทำเยี่ยงฝูงสัตว์ในอเวจีมหานรก และผมก็เฉยเสียไม่ต่อสู้ เพราะผมได้ฝันถึงหลวงปู่ทืม ฯ มาทำภาพในอดีตชาติให้ผมได้เห็นว่า

    ผมกับคนกลุ่มนี้ได้สร้างเวรก่อกรรมทำเข็ญต่อกันมานานแสนนาน ซึ่งผมรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่น่าเบื่อเสียนี่กระไรที่จะต้องไปต่อสู้กับกลุ่มคนที่ไร้คุณภาพทางศีลธรรมอย่างนั้น และช่างไร้ค่าสำหรับผมเสียจริง ๆ

    สิ่งที่ยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นในจิตใจของผมว่า ที่หลวงปู่ทืม ฯ มาเล่าในฝันของผมนั้นน่าคิด น่าพิศวงก็ตรงที่ว่า เจ้ากุนซือแก่คนที่เป็นต้นคิดให้คนกลุ่มนั้นยื้อแย่งประโยชน์ไปจากผมอย่างหน้าด้าน ๆ ได้รับบทเรียนหรือการตักเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างเบาะ ๆ ก็คือ ตาแก่คนนี้รับอาสาอาราธนาศีลและพระปริตรแทนผม ในวันงานทำบุญหลังจากที่ได้ลอยกระดูกคุณพ่อผมเสร็จสรรพไปแล้ว จึงจะต้องรับศีลจากพระสงฆ์ด้วย

    ปรากฏว่า พอพระท่านให้ศีลถึงข้ออทินนาทานากับข้อมุสาวาทา ตะแกรับศีลสองข้อนี้ออกมาไม่ได้ อึกอัก ๆ อยู่อย่างนั้นจนหน้าเขียวหน้าหลือง กว่าจะหลุดปากออกมาได้แต่ละคำ ทั้ง ๆ ที่พระสงฆ์ท่านก็บอกซ้ำให้ตั้งหลายครั้ง แกก็พูดไม่ออก ตั้งท่าจะกระอักเลือดตายอยู่อย่างนั้น ในท่ามกลางสายตาของแขกที่เชิญมา และรู้จักกับแกเป็นร้อยคน พากันหันมาดูเหตุการณ์เป็นตาเดียวกัน

    ตะแก..ซึ่งก่อนหน้านี้รื่นเริงเสียไม่มี เมื่อได้เห็นผมเซ็นต์มอบทรัพย์สมบัติของผมให้ กับพวกของแกโกงแต่โดยดี กลับกลายเป็นเศร้าซึมเงียบขรึมไปจนผิดหูผิดตา ก้มหน้างุด ๆ พูดน้อยลงและพูดไม่กล้ามองหน้าคน ทำเอาผมไม่กล้าคิดว่า ถ้าแกตายจากโลกนี้ไป แกจะเกิดเป็นอะไร ถ้าเมื่อยังอยู่ในโลกแกก็ไม่กล้ามองหน้าคนแล้ว น่าสงสารจริง ๆ พวกมนุสเปโตพวกนี้

    ที่ผมเล่ามาถึงตอนนี้ จะเห็นว่าสิ่งที่ผมควรจะได้ ผมกลับถูกยื้อแย่งไป แต่ผมได้วางเฉยเสียนึกว่าใช้หนี้ไปและไม่พยาบาทตอบ แต่สิ่งที่ผมไม่น่าจะได้ ผมก็กลับได้ เช่น อยู่ดี ๆ คนที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียง ๒-๓ ชั่วโมง จู่ ๆ ก็พอใจเมตตาผมขึ้นมา ได้ควักเงินช่วยเหลือผมด้วยจำนวนเงินเป็นแสน ๆ เพราะรู้ว่าผมรับราชการมา ๒๐ กว่าปี ไม่มีบ้านของตนเองอย่างนี้ เป็นต้น

    และปัจจุบันผมก็มีบ้านอยู่เป็นสัดส่วนของตนเองและสวยงามสะดวกสบายตามควรแก่อัตภาพของผม และดีกว่าของเก่าที่ถูกยื้อแย่งเอาไปเสียอีก

    มาเข้าเรื่องลูกแก้วต่อกันดีไหมครับ เถลไถลออกไปไกลเดี๋ยวจะลืมเรื่องลืมประเด็นเดิม เมื่อครั้งที่ลูกแก้วยังอยู่กับผม ผมมักจะประสบความสารพัดนึกทุกอย่าง ผมสามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนที่ประสบเคราะห์กรรมเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุแห่งความบกพร่องของกายสังขาร หรือเพราะจากการกระทำทางไสยศาสตร์

    วิธีช่วยก็อย่างง่าย ๆ เพียงให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมนต์ที่ได้นำเอาลูกแก้วนี้แช่ไว้กับน้ำธรรมดาเท่านั้นเอง คนที่ป่วยและไม่ถึงฆาตจริง ๆ ส่วนใหญ่หายเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ที่ป่วยเรื้อรังและด้วยโรคร้ายแรงก็ต้องมีกรรมวิธีเพิ่มขึ้นไปตามส่วน แล้วแต่ท่านเจ้าของจะสั่งการโดยตรง หรือผ่านมาทางใดทางหนึ่ง แม้ไม่อาจหายขาด ก็ทุเลาเบาบางลง แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณไสยอะไรทำนองนี้แล้ว ไม่เคยเกิน ๓ ครั้งก็หายสบายดี

    ครั้งหนึ่ง เคยมีเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ท่านหนึ่งของผมที่กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้าได้หัวเราะเยาะผม แล้วบอกว่า ผมเอาลูกแก้วโป่งข่ามที่ไม่สวยเอาเสียเลยมาห้อยใส่คอเอาไว้ทำไม ผมบอกว่าไม่ใช่โป่งข่าม ท่านก็เลยขอท้าให้เอามายีกับเพชรหัวแหวนที่ท่านกำลังสวมใส่อยู่
    ผมเห็นว่าท่านดูถูกและอยากลอง ก็ยินยอมให้ทำเช่นนั้น พอนำของสองสิ่งมาถูยีกัน ก็เกิดเป็นขุยละเอียดสีขาว ๆ คละเคล้ากันไปหมด ใจผมนั้นคิดว่า แย่แล้ว....เจ๊งเขาแน่ เพราะว่าแก้วไหนเลยจะแข็งไปกว่าเพชร

    ส่วนเจ้าของแหวนเพชรก็หัวเราะฮ่า ๆ อย่างสะใจ แต่ครั้นพอลูบผงลูบฝุ่นออก ลูกแก้วนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่หัวแหวนเพชรนั้นเหลี่ยมเพชรถูกบดมนไปหมด ที่เคยหัวเราะเยาะ..ฮา ฮา ก็กลับกลายเป็นคราง..ฮือ..ฮือ เสียดายของ..!

    เลยสงสัยและพากันไปร้านค้าเพชรให้ช่วยตรวจดู อาเฮียแกก็อุตส่าห์ตรวจสอบให้ แล้วก็ตอบมาอย่างง่าย ๆ ว่า ไม่ทราบว่าเป็นหินอะไรไม่เคยเห็น จึงพากันเอาไปให้กรมทรัพยากรธรณีตรวจกันอีก เขาตอบมาว่า เป็นธาตุและสารประกอบที่ไม่มีในโลกนี้ สันนิษฐานว่าเป็นส่วนหนึ่งจากสะเก็ดดาว
    ก็เลยต้องอนุมานเชื่อเอาไว้ก่อนว่า น่าจะเป็นจริงตามที่หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านเล่าว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านฤาษี อาจารย์ของท่านเสกน้ำปรอทจนแข็งและเสกปรอทที่แข็งนั้นจนกลายเป็นลูกแก้วที่ว่านี้จริง เชื่อหรือไม่...ไม่รู้นะ

    สำหรับลูกแก้วองค์ที่หลวงปู่ชุ่ม ฯ ถวายให้กับหลวงพ่อ ฯ ของพวกเรานั้น ผมจำได้ว่าเป็นลูกแก้วตัวผู้เพราะไม่มีรูกลางลูก ใหญ่กว่าที่ผมได้มาประมาณ ๓ เท่า ข้างในมีแก้วสีสันอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วย ดูเผิน ๆ ก็จะเหมือนกับแก้วโป่งข่าม แต่รับรองว่าไม่ใช่โป่งข่ามแน่นอน
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ลูกแก้วองค์ที่อยู่กับหลวงพ่อของเรานี้ หลวงพ่อ ฯ เคยเอาแช่น้ำไว้ทำน้ำมนต์อยู่ในอ่างน้ำมนต์ที่บ้านสายลม ซึ่งวางเอาไว้อย่างเปิดเผย ไม่ยักกะกลัวหาย แม้จะเป็นที่หมายปองของบรรดาศิษย์จำนวนมากเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นเพราะว่าหลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านให้กับหลวงพ่อ ฯ เป็นการเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง
    และเป็นเพราะว่าหลวงพ่อ ฯ ของเราท่านรักศิษย์เสมอกันอีกประการหนึ่ง ท่านจึงไม่สามารถที่จะมอบให้กับใครเพียงคนใดคนหนึ่งได้ ท่านจึงได้สร้างเลียนแบบเป็นลูกแก้วที่มีรูปร่างและสีสันคล้ายคลึงกันกับองค์ที่ท่านมีอยู่ เพื่อแจกจ่ายให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่อยากจะได้เอาไว้บูชากันอย่างทั่วถึง ไม่น้อยหน้ากัน โดยได้ทำแจกอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    ต่อมาทราบเลา ๆ ว่าพระท่านได้แนะนำหลวงพ่อ ฯ ให้ทำลูกแก้วที่ดีกว่าเดิมทั้งคุณภาพและความงดงาม จนปัจจุบันนี้ได้พัฒนามาเป็นแก้ว “มณีรัตนะ” ให้พวกเราได้ห้อยคอกันอยู่ทุกวันนี้
    เรื่องของลูกแก้วราหู ที่มีความเป็นมาและวิวัฒนาการเรื่อยมา จนกลายมาเป็นแก้วมณีรัตนะนี้ ผมได้เขียนเล่าเอาไว้มาก่อนหน้านี้ คือ ก่อนที่จะนำมารวมเป็นหนังสือเล่มนี้ โดยเรื่องตอนลูกแก้วสารพัดนึก ตอนต้น ๆ ผมได้เขียนเสร็จเมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๓ และท่านที่จัดพิมพ์หนังสือที่ให้ชื่อว่า “ลูกศิษย์เขียน” ได้นำไปพิมพ์รวมกับข้อเขียนของลูกศิษย์ท่านอื่น ๆ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ฯ
    และต่อมา เมื่อหลวงพ่อ ฯ ได้อ่านต้นฉบับเรื่องนี้ของผม ท่านจึงได้ทราบว่า ลูกแก้วนี้หลวงปู่ชุ่ม ฯ มอบให้ผม และนึกได้ว่า ลูกแก้วองค์ที่ผมเคยมีนั้น บัดนี้ท่านได้ย้ายนิวาสถานไปอยู่กับหลวงพ่อ ฯ แล้วอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้ เมื่อแม่นิดมาเล่าให้ผมฟังว่า ลูกแก้วของผมไปอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ผมก็ยังทำเฉย ๆ
    ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔ หลวงพ่อ ฯ ไปเยี่ยมผมที่โรงพักบางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งขณะนั้นผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ ท่านได้กรุณาไปแจ้งให้ผมทราบว่า ลูกแก้วองค์เล็กไปอยู่ที่ท่านแล้วด้วยตนเอง โดยได้มีหญิงวัยกลางคนที่คงจะไม่ใช่คนนำไปถวายท่าน
    ซึ่งเมื่อผมทราบอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจเป็นอันมาก วันนั้นผมจำได้ว่าเมื่อ “ท่านปู่ใหญ่” รสบัสที่เป็นพาหนะมาจอดที่โรงพัก ผมเข้าไปต้อนรับและไม่ทันที่หลวงพ่อ ฯ จะนั่ง ท่านก็พูดและสั่งผมในระหว่างที่เดินอยู่ ๓ ประการ คือ

    ๑. “ไอ้เป๋...เอ็งเขียนหนังสือให้ข้า ฯ ๑ เล่ม ข้า ฯ จะพิมพ์เอาเป็นเรื่องที่เอ็งเขียนล้วน ๆ ทำขนาดนี้”
    ว่าแล้วท่านก็ส่งหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คที่ท่าน พล.อ.ต. มนูญ ชมพูทีป เขียนให้เป็นตัวอย่าง ๑ เล่ม
    ๒. “ลูกแก้วของเอ็งที่หายไป ตอนนี้อยู่ที่ข้า ฯ มีผู้หญิงวัยกลาง ๆ คน นุ่งซิ่นเก่าสีมอ ๆ สวมเสื้อแขนกระบอกปอน ๆ เอามาถวายข้า ฯ พูดกับข้า ฯ ว่า
    “คุณ ๆ โยมเอาแก้วองค์น้องมาให้ เป็นองค์น้องเจ้าค่ะ รักษาเอาไว้ดี ๆ มีอานุภาพไม่แพ้องค์พี่ เก็บไว้ให้ดี”
    แล้วก็ลาไป ข้า ฯ ก็ไม่รู้ว่าโยมเป็นใคร แล้วไม่ทันนึกว่าเป็นแก้วอะไร เห็นอมยิ้ม จนข้า ฯ มาอ่านหนังสือที่เอ็งเขียน จึงได้รู้ว่าเป็นลูกแก้วของเอ็ง โยมคงไม่ใช่คน”

    นอกจากนั้น หลวงพ่อ ฯ ยังบอกผมว่า ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นแก้วอะไร แต่เมื่อรู้เรื่องแล้ว ท่านจึงสงสัยว่า ผู้หญิงคนที่ว่านี้จะไม่ใช่คนเสียแล้ว
    ๓. สั่งให้เจ้าบัง (คุณนที) นำเอาชานหมากจำนวน ๙ ก้อน ที่ท่านได้ทำพิธีบวงสรวงแล้วที่จันทบุรี ก่อนหน้าจะมาบางละมุงมอบให้ผม กำชับให้เก็บไว้ให้ดี เพราะอาจจะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับชานหมากชุดนี้ก็ได้

    เมื่อหลวงพ่อ ฯ กลับไปแล้ว ผมก็เริ่มต้นรวบรวมเรื่องที่เขียน จนกระทั่งวันที่เขียนถึงบรรทัดนี้รวมเวลาได้ปีเศษ ก็ยังไม่เสร็จ แต่ใกล้แล้วละครับ และเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมได้ไปพบหลวงพ่อ ฯ เพื่อรายงานถึงความคืบหน้าของการรวมเรื่องหนังสือเล่มนี้
    หลวงพ่อ ฯ จึงได้กรุณาเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นนำลูกแก้วมาถวายที่บ้านสายลม เมื่อประมาณ ๔ ปีมาแล้ว (พ.ศ. ๒๕๓๑) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หญิงคนนี้ก็กลับมาอีก นำพระพุทธรูปโลหะเก่า ๆ เปื้อนฝุ่นมอมแมมมาถวายหลวงพ่อ ฯ ที่วัดท่าซุง ๑ องค์

    ซึ่งเมื่อหลวงพ่อ ฯ ให้พระทำความสะอาด แล้วปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำแท้ ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน และเป็นเชียงแสนแท้แต่ยุคเก่า หน้าตาจึงไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา คือ มีพระพักตร์ยาวกว่าพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนปกติที่เคยเห็น

    คราวนี้หลวงพ่อ ฯ อดรนทนไม่ได้ จึงได้ไปถามโยมท่านพ่อพระอินทร์ แต่โยมท่านพ่อพระอินทร์ไม่ตอบเอง เลี่ยงให้ไปถามโยมท่านแม่ จึงได้ความว่าหญิงกลางคนที่นำลูกแก้วและพระทองคำมาถวายนั้น คือ โยมแม่ของท่านนั่นเองที่แปลงมา

    เล่ามาถึงตอนนี้ หลวงพ่อ ฯ ก็อดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าใครจะไปจำได้ ก็โยมเล่นนุ่งห่มเสื้อผ้าเสียกะรุ่งกะริ่ง และเหตุที่นำมาถวายก็เพื่อจะช่วยอาการป่วยของหลวงพ่อ ฯ นั่นเอง เพราะเป็นระยะที่หลวงพ่อ ฯ ร่อแร่เอามาก ๆ

    ทำให้ผมยิ่งรู้สึกยินดีมากยิ่งขึ้น ที่ลูกแก้วของผมมีส่วนช่วยให้อาการป่วยของหลวงพ่อ ฯ หายและร่างกายสบายขึ้น เพราะในวันนั้นผมสังเกตว่า หลวงพ่อ ฯ สบายเป็นปกติ และดูแข็งแรงกว่าที่เคยเห็นอยู่เสมอ ๆ และไม่ต้องให้น้ำเกลือ

    สำหรับพระพุทธรูปนั้น โยมแม่ท่านเล่าว่า เป็นพระพุทธรูปที่พระเจ้าพรหมมหาราชทรงสร้าง โดยตั้งจิตปรารถนาเพื่อขอบังเกิดเป็นพรหม ก่อนหน้านั้นพระพุทธรูปองค์นี้บรรจุอยู่ในกรุโบราณ โยมแม่ไปนำมาจากกรุแล้วนำมาถวายทันที จึงได้เปื้อนฝุ่นเลอะเทอะอย่างนั้น และหลวงพ่อ ฯ ยังได้รำพึงออกมาว่า
    “เมื่อตายตอนเด็ก มีพระทองคำ ๑ องค์ แต่เมื่อตายตอนแก่ มีพระทองคำ ๒ องค์”

    ผมได้กราบเรียนถามหลวงพ่อ ฯ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อีกว่า จะให้พิมพ์กี่เล่ม เพราะผมเกรงว่าถ้าพิมพ์มากแล้วจะจำหน่ายไม่ออก จึงเสนอความเห็นว่า ควรจะพิมพ์สักสองพันเล่มก็พอ และผมจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

    หลวงพ่อ ฯ มองลอดแว่นมาที่ผมอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่า
    “สองพันเล่มคงจะไม่พอ เพราะหนังสือเล่มนี้ต่อไปเมื่อหลวงพ่อ ฯ ตายไปแล้ว จะมีคนต้องการมาก”
    แบบนี้ก็ชื่นใจเป๋ไปละซีครับ หน้าบานเป็นกล้วยโดนรถบดถนนทับ กราบเรียนขออภัยไปอีกว่า โดยปกติแล้ว ไม่มีความถนัดในการเขียนเรื่อง และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเขียนให้ เพราะลูกศิษย์ที่ทรงคุณวุฒิ และมีความพร้อมมากกว่าก็มีตั้งหลายท่าน จึงขาดการเตรียมการที่ดี

    นอกจากนั้น แม่นิดก็มาป่วยหนัก รูปภาพต่าง ๆ ที่ได้เคยขอให้ท่านเป็นผู้เก็บรวบรวมก็กระจัดกระจายไป ซึ่งถ้าสามารถหามาประกอบและพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้ ก็จะทำให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น เช่น รูปหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ต่าง ๆ เสกสังฆาฏิให้ รูปหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เสกพระเครื่องโดยให้ผมทูนพระที่ให้เสกไว้บนศีรษะ ในขณะที่ท่านกำลังเสกอยู่

    รูปที่หลวงปู่วงษ์ ฯ ให้กะเหรี่ยงนำเสลี่ยงมาหามผมเข้าวัดนาเลี่ยง รูปที่ผมในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุถ่ายคู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่น้ำตก ที่เมืองลับแล จ. อุตรดิตถ์ โดยต่างก็ถือไม้เท้าด้วยกัน ดูแล้วตลกดี เป็นต้น รูปดี ๆ อย่างนี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ดีกว่าข้อเขียนเป็นไหน ๆ ใครยังพอหามาให้ได้ก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง เพราะเคยอัดแจกกันไปไม่ใช่น้อย

    สำหรับผมนั้น เดิมไม่มีบ้านช่องเป็นของตนเอง ขณะนี้แม้จะมีแล้วก็กำลังต่อเติมอยู่ สิ่งของก็นำไปฝากบ้านคนอื่นเขาเอาไว้สามบ้านแปดบ้าน..หาไม่เจอ ไม่ทราบว่าอยู่ในกล่องไหนและอยู่ที่ไหนบ้าง ช่วยทีเถอะครับ นึกว่าทำบุญคราวนี้ไม่ทัน คราวหน้าก็ยังดี ถ้าได้ก็สุดสวยเลยครับ..นับว่าสมบูรณ์..!
    ตกลงหลวงพ่อ ฯ ให้พิมพ์หนังสือนี้เป็นปฐมฤกษ์หนึ่งหมื่นเล่ม ผมปวารณาออกสตางค์ค่าพิมพ์สองพันเล่ม ที่เหลือหลวงพ่อ ฯ ออก คงไม่สิ้นเปลืองเท่าไรเพราะผมทำเองเกือบทุกอย่าง..แฮ่ะ..แฮ่ะ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ตอนที่ ๙

    คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ

    เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ

    ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า “ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด”)

    ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ. ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท. ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ

    ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน

    ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า

    แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ ก็คงจะไม่มีปัญญา

    สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้ อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ

    ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร

    ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม

    (ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้ และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)

    ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง) ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า

    “คุณว่าจริงเร๊อะ” (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)
    ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง

    ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ) เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก

    เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน “หลวงปู่พล” เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ “หลวงปู่พล” อยู่เสมอ ๆ

    สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก

    ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น

    ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน

    แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก

    ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)

    คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า

    คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย

    ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ ไม่เบา
    อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า “รักเท่ากัน”

    ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า “แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด)” แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ทิพจักขุญาณ

    …….เรื่องที่ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ สามารถทายสิ่งของที่อยู่ภายในโดยมีสิ่งภายนอกปกปิดอยู่ เป็นเรื่องที่คุณตาสามารถท้าใครต่อใครให้มาพิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกโอกาส เรียกว่าถามปุ๊บก็จะตอบปั๊บ ไม่มีการรีรอหรือลังเลใจ ไม่ต้องหลับตา เพียงแต่ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ออกจะรำคาญ เพราะยังเด็กมาก และก็คงจะเบื่อละครับ และมีคนมาขอให้ทาย ขอให้พิสูจน์แบบนี้อยู่บ่อย ๆ จึงไม่รู้สึกสนุกเพราะถูกชวนเล่นซ้ำ ๆ กันอยู่อย่างนั้น

    แต่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ และรู้สึกสนุกกันจัง โดยเฉพาะคุณตา ไม่รู้จักเบื่อเลยที่จะชวนคุณหลานทั้งสองเล่นทายของในห่อ หรือทายว่าที่ห้องโน้นที่ห้องนี้มีอะไร ต้นไม้นี้มีผู้ใดสถิตย์อยู่

    บ้านหลังนี้บ้านหลังโน้นมีใครปกปักรักษาอยู่ ท่านชื่ออะไร ถ้าคุณหลานไม่รู้จักชื่อคุณตาก็สอนให้ถาม ซึ่งคุณหลานก็ตอบและทำตามอย่างเสียไม่ได้ เพราะตอนแรกก็ดีอยู่ แต่ตอนหลังเบื่อแล้วไม่เห็นสนุกตรงไหน แต่ก็ตอบถูกทุกครั้ง (เป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้ง) โดยไม่เคยผิดพลาด

    เท่าที่ผมสังเกต ผมรู้สึกว่าเวลามีผู้ใหญ่ไปพูดคุยกับ คุณจักร ฯ หรือคุณศาสน์ ฯ อากัปกิริยาของทั้งสองจะสำรวมและเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที คำพูดคำจานั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เกินเด็ก และด้วยท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อมที่แฝงไปด้วยอำนาจในตัว ทำให้ผู้ใหญ่กว่าที่เข้าไปพูดจาด้วยดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กไปเสียเอง

    แต่เมื่อปล่อยเขาเอาไว้ตามลำพัง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันซุกซนกันเหมือนกับเด็กธรรมดา ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันนั้นนั่นเอง แต่มักจะชอบเล่นด้วยกันเพียง ๒ คนมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเขาทั้งสองสามารถพูดจากันรู้เรื่องได้ดีกว่ากับเด็กอื่น ๆ (ผู้ใหญ่ด้วยครับ แฮ่ม…)

    เนื่องจากสามารถเห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่เห็น สามารถพูดคุยกับสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ด้วยกันพร้อม ๆ กัน เขารู้เขาเห็นด้วยตนเองทั้งสองคน เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย

    ผมจะเปรียบเทียบกับอะไรดีหนอ เหมือนนายแพทย์คุยกับนายแพทย์ ทหารคุยกับทหาร หรือตำรวจคุยกับตำรวจด้วยกันนั่นแหละ รู้และเข้าใจกันได้ในเวลาอันสั้น เขาจึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เขาจะหารือสอบถามกันเมื่อคนใดคนหนึ่งไม่เข้าใจ เมื่อได้รับการเตือนหรือการสั่งสอนจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น (ซึ่งเขาทั้งสองติดต่อได้) ถ้ายังไม่เข้าใจอีก บางครั้งเขาจึงจะมาถามกับคุณพ่อคุณแม่ ส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์สูง ๆ ที่เด็กในวัยเขาไม่เข้าใจ

    ในระยะแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็รู้สึกวิตกกังวลใจมากที่บุตรชายทั้งสองคนรู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น จึงกลัวว่าจะไม่ปกติธรรมดาเหมือนผู้อื่น และไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายกับบุตรหรือไม่ ในที่สุดก็สบายใจว่า ก็แค่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เท่านั้นเอง

    ครั้งหนึ่งคุณตา (พล.อ. ทวนทอง ฯ) มาเล่าให้ผมฟังว่า คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เคยต่อว่าต่อขานกันเล็กน้อยด้วยเรื่องการเล่นซ่อนหา เนื่องจากต่างคนต่างก็มีทิพจักขุญาณ ดังนั้น เมื่อใครไปซ่อนอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ได้โดยไม่ต้องไปเดินหา ทำให้การเล่นซ่อนหาระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ จะต้องมีสัญญาต่อกันเป็นพิเศษมากกว่าเด็กอื่น ๆ

    คือต้องสัญญากันว่าจะต้องเล่นกันแบบธรรมดา ๆ ที่ชาวบ้านเขาเล่นกัน ห้ามใช้ทิพจักขุญาณไม่งั้นหมดสนุกแน่ แต่แล้วไม่ทราบว่าใครผิดข้อตกลง อีกคนหนึ่งจึงหัวเสียบ่นพึมพำไปทั้งวันเลยว่าเล่นแบบนั้น (แบบใช้ทิพจักขุญาณ) ไม่เห็นสนุกเลย

    ส่วนอีกคนก็ทำหน้าเจื่อน ๆ (เหมือนเด็กที่เล่นโกงแล้วถูกจับได้แถมโดนฟ้องแม่นั่นแหละ) ท่านผู้อ่านลองนึกวาดภาพดูเด็กชายตัวเล็ก ๆ ๒ คน พูดจาต่อว่าต่อขานกันในเรื่องนี้อย่างหัวเสียจริง ๆ ซิครับ ว่าเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูและน่าทึ่งปานใด

    ความสามารถพิเศษของ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นี้ ทำให้ผมยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อ ฯ นำมาถ่ายทอดว่า วิชาต่าง ๆ ในกรรมฐาน ๔๐ นั้น สามารถทำได้ ปฏิบัติได้ ฝึกฝนได้และพิสูจน์ได้จริง

    สำหรับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ก็คงจะเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นหลานของท่านมีความสามารถเช่นนี้ ท่านจึงเชื่อว่าครูบาอาจารย์ของทั้งสอง คือ หลวงปู่พล ฯ ต้องเป็นพระสุปฏิปันโนแน่ ๆ เพราะ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เพียงแต่จำคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ แล้วนำมาปฏิบัติแบบเล่น ๆ กัน ก็ได้ทิพจักขุญาณและยังสามารถพูดคุยกับพระกับพรหมกับเทพ หรือกับสัตว์ก็ได้

    แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมคิดว่าในขณะนั้น ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใด เรียกว่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่างั้นเถิด แต่ท่านก็ไม่เคยปรามาสหรือดูถูกดูแคลน ได้สนับสนุนและกรุณาให้ผมกับทหารไปดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับหลวงพ่อ ฯ เสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด

    และแล้วในวันสำคัญที่ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ จะเชื่อถือและหมดความสงสัยข้องใจในหลวงพ่อ ฯ ของพวกเราอย่างสนิทใจก็มาถึง

    วันนั้นท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ นิมนต์หลวงพ่อ ฯ ไปฉันเพลที่บ้านของท่านที่ลาดพร้าว หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาไปบวงสรวงให้ด้วย มีแขกไปร่วมงานไม่มากนักไม่ถึง ๒๐ คน ส่วนใหญ่ใกล้ชิดกับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ รวมทั้ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ด้วย ซึ่งก็ไปคอยต้อนรับ แล้วก็แว่บไปเล่นซุกซนกันไปตามประสาเด็ก

    หลังจากพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว จังหวะที่หลวงพ่อ ฯ กำลังสนทนากับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนอยู่ที่ห้องรับแขก (โดยผมเองนั้นหลบมานั่งอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ถัดออกมา มีห้องโถงคั่นกลางระหว่างห้องรับแขกกับห้องรับประทานอาหาร) ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ได้ปลีกตัวออกมาจากห้องรับแขก และเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร นัยว่าเพื่อมาดูความเรียบร้อยในการจัดภัตตาหารสำหรับถวายหลวงพ่อ ฯ

    แต่ปรากฎว่า ท่านได้แอบทดสอบหลวงพ่อ ฯ โดยได้ให้คนไปเรียก คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เข้ามาพบท่านทีละคน แล้วท่านก็ซักถามแต่ละคนว่า ทั้งสองเห็นอะไรบ้างในตอนที่หลวงพ่อ ฯ ทำพิธีบวงสรวง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ตอบตรงกันว่า เห็นแสงเต็มไปหมด เห็นเทวดา เห็นพรหม และเห็นพระหลายองค์

    และมีพระอยู่องค์หนึ่งซึ่งทั้งสองติดใจเป็นพิเศษเพราะเกล้าผมมวย ซึ่งทั้งสองไม่เคยเห็นพระเกล้าผมมวยมาก่อน จึงรู้สึกแปลกตาไปกว่าองค์อื่น ๆ (ซึ่งต่อมาทราบว่าหลวงพ่อ ฯ ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ รวมทั้งสมเด็จองค์ปฐมด้วย และท่านก็มา)

    เวลาที่ซักถาม คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เป็นเวลาที่หลวงพ่อ ฯ บวงสรวงเสร็จแล้ว คุณตาเซ้าซี้ให้คุณหลานถามกับทุกองค์ที่มาว่าท่านชื่ออะไร เพราะคุณหลานยังเด็กไม่รู้จักชื่อพระและท่านที่มา คุณหลานก็ตอบว่าท่านกลับไปหมดแล้ว คุณตาก็เซ้าซี้อีกว่าลองดูอีกทีซิ ยังเหลือใครอยู่กับหลวงพ่อ ฯ บ้าง

    คุณหลานก็ชะเง้อมองไปที่ห้องรับแขก บอกว่ายังเหลือมีพระอยู่อีก ๑ องค์ ยืนอยู่ข้างหลังของหลวงพ่อ ฯ แต่คุณหลานไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร แต่ได้อธิบายรูปร่างหน้าตาให้ทราบ ผมกระซิบบอกคุณตาว่า เห็นทีจะเป็นหลวงปู่ปาน ฯ แน่ ๆ คุณตายังไม่เชื่อผม จึงให้คุณหลานถามให้ที คุณหลานก็ถามให้แล้วตอบคุณตาว่า “ท่านว่าท่านชื่อหลวงพ่อปาน อยู่วัดบางนมโค”

    คุณหลานขยายความอีกว่า พระองค์ที่ชื่อปาน ฯ นี้มาพร้อมกับหลวงพ่อ ฯ ตั้งแต่ต้น ผมเห็นคุณตายังทำท่าสงสัยอยู่อีก จึงได้ไปเอารูปพระเกจิอาจารย์หลายองค์ที่ผมมีอยู่ในรถมาให้คุณหลานดู คุณหลานชี้มั๊บไปที่รูปหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค แล้วบอกว่าพระองค์นี้แหละ และยังอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่ห้องรับแขก

    เมื่อซักถามคุณหลานจนสิ้นสงสัยแล้ว คุณตานั่งเงียบไปเลย และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณตาก็สิ้นสงสัยในหลวงพ่อ ฯ และสนใจอยากฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณตามคำสอนของหลวงพ่อ ฯ เพราะเกรงใจที่จะต้องไปคอยถามอะไร ๆ จากคุณหลาน และท่านก็สามารถฝึกได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วมากจนน่าอิจฉา และนอกจากจะฝึกเองได้แล้ว ท่านยังได้กรุณาเผื่อแผ่และสอนให้ผู้อื่นฝึกเช่นเดียวกัน โดยอุทิศบ้านของท่านให้เป็นสำนักสาขาหนึ่งของหลวงพ่อ ฯ เลยทีเดียว

    สำหรับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาอธิบายภายหลังว่า เป็นของเดิมที่ทั้งสองเคยฝึกมาก่อนแล้วในอดีตชาติ พอได้มาทบทวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถจะระลึกได้ แต่เมื่อเจริญวัยขึ้นก็จะเสื่อมถอยไปบ้าง แต่เขาทั้งสองจะอยู่ในศีลในธรรมตลอด คุณพ่อคุณแม่และคุณตาไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อถึงวัยกลางคนก็จะกลับมาคล่องเหมือนเดิมอีก

    เรื่องราวที่ผมเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ เกือบจะ ๒๐ ปีแล้ว และผมไม่ได้พบกับ คุณจักร ฯ คุณศาสน์ ฯ อีกเลย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของผม เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ยังจำได้ถึงท่าทางฉุน ๆ นิด ๆ ของคุณตา เมื่อถามคุณหลานว่าชาติก่อนตาเป็นอะไร แล้วคุณหลานตอบว่า ชาติก่อนคุณตาเป็นรุกขเทวดา ทำเอาคุณตาย้ำเสียงหลงว่า ห๊า…รุกขเทวดาที่อยู่ตามต้นไม้น่ะเหรอ คุณหลานก็ยืนยันว่าใช่

    คุณตาก็พาลหันรีหันขวาง พาลหันมาชี้มั๊บมาที่ผม แล้วถามว่า แล้วชาติก่อนคุณอาเป็นอะไร คุณหลานก็ได้ตอบให้คุณตาทราบ (ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับใครที่จะต้องรู้ รู้ไปก็ไลท์บอยว่างั้นเถิด แต่เป็นประโยชน์สำหรับผมเองที่จะต้องระมัดระวังมิให้ตกต่ำกว่าปัจจุบันและอดีตเป็นอันขาด)

    อนึ่ง ผมต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูง สำหรับท่านที่ผมได้กล่าวอ้างถึงมาแล้วหลายคน โดยที่ผมไม่ได้ไปกราบขออนุญาตก่อน และทุกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ สามารถอ้างอิงได้ และถ้าเรื่องที่ผมเขียนไม่น่าเชื่อถือหรือคิดว่าไม่เป็นความจริง ท่านที่อ่านและรู้จักกับท่านที่ผมเอ่ยนามมาแล้ว กรุณาไปสอบถามได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ งานนี้ผมเอาชื่อเสียงและชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงเป็นความอาญาครับ (ก็ติดตารางน่ะซีครับ ถามได้)

    สำหรับบางท่าน ผมก็จำชื่อเต็มของท่านไม่ได้ เช่น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็ต้องกราบขออภัยเป็นพิเศษ เพราะในครั้งกระนั้นคุณทั้งสองได้กรุณามาบอกชื่อกับผม และยังกรุณาบอกด้วยว่าท่าน (ผมไม่บอกว่าท่านไหน) ให้จดเอาไว้ด้วยนะคุณอา (โดยผมก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องจด แต่ก็จดให้ตามใจท่าน แต่บัดนี้พอจะเข้าใจแล้วครับ)

    ผมไม่อยากจะแก้ตัว แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องย้ายไปรับราชการที่แห่งใหม่อยู่เรื่อยไป ชนิดที่ต้องเรียกว่า ชีพจรเทอร์โบ (ไวเสียยิ่งกว่าลงเท้าอีกครับ) เพราะบางแห่งอยู่ได้เพียง ๔ เดือนกับ ๘ วันก็ยังเคย (แต่ให้ย้ายไปที่ดีกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ได้) หลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ เชื่อว่ายังอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเพราะฝากเอาไว้หลายแห่งด้วยกัน บัดนี้ จึงจำเป็นต้องเขียนเอาด้วยความทรงจำเท่านั้น แต่ก็ยังดีและมีไฟอยู่

    หมายเหตุ - โดย..คณะผู้จัดทำ "เว็บวัดท่าซุง"

    หลวงปู่พล ธมมปาโล คือ อดีตเจ้าอาวาส วัดหนองคณฑี ต.พุกร่าง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสังวรธรรมานุวัตร เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต ให้ความเคารพนับถือ ท่านได้ถึงกาลมรณภาพเมื่อ วันที่ ๒๒ พ.ย. ๒๕๓๔
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ตอนที่ ๑๐

    หลวงปู่สี ฉันทสิริ
    แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์


    ในบรรดาพระเดชพระคุณ พระสุปฏิปันโนทั้งหลายที่ผมเคยได้รู้จักและเกี่ยวข้องหรือเนื่องด้วยหลวงพ่อ ฯ ของพวกเรา พระคุณเจ้าองค์นี้นั้นผมมีความสนิทสนมด้วยน้อยที่สุด คือผมมีโอกาสได้พบได้นมัสการพูดคุยกับท่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ครั้งเดียวที่ว่านี้ เรียกหรือนับได้ว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ติดตามมาซิครับ ถ้าไม่จริงไม่เอาตังค์...!

    ในห้วงระยะเวลาระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘ เป็นช่วงระยะเวลาที่หลวงพ่อ ฯ ท่านต้องตระเตรียมงานต่าง ๆ มากมาย เกี่ยวกับการฉลองสมโภชงาน “ครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดหลวงพ่อปาน ฯ” พระอาจารย์ของท่านและปรมาจารย์ของพวกเรา

    ส่วนหนึ่งของแผนงานก็คือ จะมีการอาราธนานิมนต์หลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ต่าง ๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "พระเกจิอาจารย์" ที่มีชื่อเสียงให้มาร่วมในงานนี้ โดยมีรายการต่าง ๆ เพื่อให้ญาติโยมที่จะมากันมาก ได้โอกาสนมัสการและทำบุญกับพระสงฆ์เหล่านี้ และเพื่อมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกรูปหล่อเหมือนหลวงปู่ปาน ฯ ตลอดจนพระเครื่องต่าง ๆ ด้วย ฯลฯ เป็นต้น

    กำหนดการนี้อยู่กลางเดือนสิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งอยู่ในระหว่างเข้าพรรษาด้วย พระเดชพระคุณ ฯ ที่พวกเราต้องการจะนิมนต์มานี้ ล้วนเป็นพระที่มีชื่อเสียง (ลูกศิษย์หวง) การไปนิมนต์จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำได้ ระยะทางหรือก็ไกล แถมยังจะต้องมาค้างคืนอีกหลายคืน ใครจะมาต้องถือว่าสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งยังจะต้องลาสังคหะอีกด้วย

    ปัญหาแบบนี้ใครจะมีบารมีมากพอที่จะไปทำได้ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อ ฯ ดังนั้นภาระในการนี้จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อ ฯ โดยตรงที่จะต้องไปดำเนินการ (ให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย) สำหรับพวกผมก็คิดประเมินสถานการณ์กันว่า ๕๐/๕๐ หมายความว่าอย่างเก่งอาจจะสำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ แล้ว ท่านมีความมั่นใจมาก เพราะท่านพูดเสมอว่า งานนี้เป็นการสำคัญของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว

    หลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ทั้งหลายจะต้องมาแน่ ๆ และในการไปอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าเหล่านี้ หลวงพ่อ ฯ ก็ได้ชักชวนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้ไปร่วมนมัสการด้วยเป็นคณะใหญ่ จนกระทั่งได้เกิดเป็นตำนาน “ฤาษีทัศนาจร” และ “ล่าพระอาจารย์” ให้พวกเรารุ่นหลังได้อ่านกันสนุกสนานกันมาจนทุกวันนี้

    และปรากฎว่าได้สำเร็จจริงตามที่หลวงพ่อ ฯ ท่านว่าเอาไว้ ยกเว้นอยู่เพียง ๔ องค์ที่มาไม่ได้ เพราะเหตุจำเป็นจริง ๆ คือ หลวงปู่แหวน ฯ (องค์นี้พวกเราพิจารณากันเองด้วยสติปัญญาว่า ท่านชราภาพมากและสุขภาพไม่ดี จึงไม่นิมนต์) องค์ต่อมาคือ หลวงปู่ทืม ฯ องค์นี้เล่นลาตายเลยครับ ดีเหมือนกันไม่ต้องแก้ตัว อีกองค์คือ ท่าน ฯ วัดพระบาทตากผ้า ศิษย์ของท่านองค์หนึ่งป่วยหนักเข้าขั้นตรีทูต ถ้าท่านไม่อยู่ดูแลต้องม้วยมรณัง องค์สุดท้ายที่ไม่มาคือ หลวงปู่สี ฯ ไม่ยอมมาเพราะอาย อ่านตามมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าอายอะไร

    บรรดาพระสุปฏิปันโนทุกองค์ที่ได้มาและไม่ได้มาร่วมงานดังกล่าว มีอยู่เพียงองค์เดียวคือ หลวงปู่สี ฯ ที่หลวงพ่อ ฯ ไม่ได้พาคณะศิษย์ไปนมัสการ (เนื่องจากมีเหตุผลหลายประการ ซึ่งผมจะขอข้ามไป) ลูกศิษย์ฝ่ายทหารอากาศ มีพี่สาย (พ.อ.อ. สาย ศิริรัตน์ ทำงานอยู่ที่ บน.4 ตาคลี) เป็นต้น ได้เคยมาปรึกษาหารือกับผมเสมอ ๆ โดยขอให้ผมเสนอหลวงพ่อ ฯ ให้ชักชวนคณะศิษย์ไป แต่ผมทำเฉยเสีย ทั้งนี้เพราะผมนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าการใดสำคัญจำเป็นแล้ว หลวงพ่อ ฯ ท่านจะบัญชาลงมาเองทันที โดยไม่ต้องไปชวน หรืออาราธนาให้ลำบาก

    จากการที่ พี่สาย ฯ มาคอยตื๊อผมในเรื่องนี้ ผมจึงได้ทราบประวัติและความเป็นมาของ หลวงปู่สี ฯ พอสังเขปว่า หลวงปู่ ฯ ไม่ได้เป็นชาวอำเภอตาคลีโดยกำเนิด ท่านเป็นคนทางภาคอีสาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขา ท่านได้ไปปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไปแล้วกว่าครึ่ง หลวงปู่ ฯ จึงได้พยายามเทศนาสั่งสอนจนชาวบ้านจำนวนมากได้กลับตัวกลับใจหันมานับถือศาสนาพุทธอีก

    การกระทำของหลวงปู่ ฯ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ควบคุมพื้นที่นั้นมาก จึงได้วางแผนจะเข้าไปจับตัวหลวงปู่ ฯ โดยเข้าทำการปิดล้อมหมู่บ้านตามยุทธวิธีของเขา ปรากฎว่าพวกเขาหาตัวหลวงปู่ ฯ ไม่พบ ทั้ง ๆ ที่ระหว่างที่เข้าปฏิบัติการนั้น หลวงปู่ ฯ ก็ยืนอยู่ในป่าอ้อยใกล้ ๆ หมู่บ้านนั้นเอง ไม่ได้ไปไหน ท่านว่าพวกเขาแทบจะเดินชนท่านหลายครั้ง แต่ทำไมจึงไม่เห็นท่านก็ไม่รู้ (ไม่รู้ยันเลยนะครับหลวงปู่ ฯ แบบนี้เขาเรียกว่า รู้แต่ไม่ยอมบอก)

    สมัยนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่ได้โจมตีเฉพาะรัฐบาลเท่านั้น ยังได้โจมตีศาสนาและพระมหากษัตริย์ด้วยทุกวัน สามารถรับฟังได้ชัดเจนจากสถานีวิทยุเสียงปักกิ่ง ข่าวการประสงค์ร้ายต่อหลวงปู่ ฯ นี้ล่วงรู้ไปถึงหูพวกลูกศิษย์ที่เป็นทหารอากาศ จึงได้วางแผนไปรับตัวหลวงปู่ ฯ นำขึ้น ฮ. มาที่ตาคลี และต่อมาได้อาราธนาให้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ฟังว่ากว่าจะนิมนต์เอาตัวหลวงปู่ ฯ มาได้ ถึงกับต้องเอาราชการไปอ้างท่านถึงจำต้องยอม

    เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ผมไม่รับรอง แต่เมื่อ พี่สาย ฯ รับรอง ผมก็เชื่อ เพราะเราไม่เคยโกหกกัน เว้นแต่จะฟังมาผิด เพราะต่างก็ไม่มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในการนั้น ฟังเขามาเล่าต่อว่าอย่างนั้นเถิด แต่ถ้าใครยังติดใจก็ตามไปถามเอาจาก พี่สาย ฯ หรือ หลวงปู่ ฯ เองก็แล้วกันครับ
    หมายเหตุ : ในตอนจบนี้ "ผู้เขียน" เล่นมุขจนรับไม่ทัน บอกว่าให้ไปถาม "พี่สาย" หรือ "หลวงปู่" กันเอง จะไปถามได้ไงละครับ ในเมื่อ "พี่สาย" และ "หลวงปู่" ได้จากโลกนี้ไปนานตั้งหลายปีแล้ว หรือว่าใครจะกำหนดจิตถามกันเองก็แล้วกันนะคร๊าบบบ...!!!
    (จาก "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง")




    ผ้าสังฆาฏิหลวงปู่สี

    ก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ ผมเองก็ได้พยายามติดต่อขอประวัติของหลวงปู่ ฯ ที่เชื่อว่าที่วัดน่าจะมีเหลือ มิสเตอร์บัง ฯ (ร.ต.นที) บอกผมว่า พี่ประมวล (พ.อ.อ. ประมวล ราชอินทร์) น่าจะมี ผมก็รอคอยอยู่ เพราะถ้าได้มาก็จะเป็นประโยชน์ที่จะนำมาย่อพอสังเขป ไม่ต้องให้คนที่อยากรู้ต้องไปหาหนังสือหลาย ๆ เล่มมาอ่าน จึงจะได้ความครบสมบูรณ์

    รออยู่นานมิสเตอร์บัง ฯ ก็ยังไม่กลับ (ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ อยู่ในประเทศไทยนี่แหละ แต่กู่ไม่กลับ นัยว่ายุ่งกับธุรกิจถมดินอยู่จนท่อปัสสาวะอักเสบ) ผมจึงตัดสินใจไม่รอคอย เพราะเดี๋ยวหนังสือเล่มนี้ไม่ได้พิมพ์ งวดหน้าพี่จะแวะรับก็แล้วกันนะบังนะ งวดนี้พี่ไปก่อน คอยอยู่กับไอ้ตี๋เล็กก็แล้วกัน

    กลับมาเข้าเรื่องหลวงปู่สี ฯ ต่อไป ต่อมาเมื่อใกล้จะถึงกำหนดวันงานสมโภชครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ปาน ฯ ท่านเจ้าคุณศุภมัสสุ หรือพระอาจารย์เหม่ ฯ (คุณเลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม) ได้แจ้งให้ผมทราบว่า หลวงพ่อ ฯ ตามหาผม จะให้ไปหา หลวงปู่สี ฯ เพื่อนำสังฆาฏิไปแลก แล้วนำมาแจกจ่ายในงานตามโครงการของผม

    ทีแรกผมก็อุ่นใจ เพราะคิดว่าหลวงพ่อ ฯ จะนำไป ที่ไหนได้..พอหลวงพ่อ ฯ บอกว่าท่านไม่ไป จะให้ผมไปเอง ผมก็ร้องจ๊ากเลยครับ… นึกในใจว่าเวรกรรมของไอ้เป๋ ฯ ไม่มีทางสำเร็จหร๊อก !...

    แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้ คุณป้านนทา ฯ เลือกสังฆาฏิใหม่ให้ ๑ ผืน ก้มหน้างุด ๆ ออกมาชวนสมัครพรรคพวกกลุ่มทหารอากาศไปกันหลายคน ก็หวังพึ่งพิงพวกพี่ ๆ เขานี่แหละครับ บอกตรง ๆ ดุ่ยเด่ไปคนเดียวใครจะกล้า อุ่นใจว่าพวกพี่เขาเคยไปนมัสการอยู่บ่อยครั้ง ส่วนผมนั้นไม่เคยไปเลย จำได้ว่ามีน้อง ๆ ไปช่วยเชียร์กันหลายคน รุ่นเดอะที่ไปช่วยลุ้นก็มี แม่นิด ฯ กับพระอาจารย์เหม่ ฯ พอถึงวัดก็ตรงรี่เข้าไปที่กุฏีของหลวงปู่ ฯ

    หลวงพี่ ฯ (พระองค์ที่คุ้นเคยกับพวกเราที่เป็นทหารอากาศและดูแลหลวงปู่ ฯ อยู่) ก็ออกมาต้อนรับ และแจ้งให้พวกเราทราบว่า “คอยประเดี๋ยวนะครับ ท่านกำลังฟังวิทยุอยู่ ต้องรอให้ท่านฟังให้เสร็จเสียก่อน จึงจะเข้าไปพบและนมัสการได้”

    เออ…ก็ดีเหมือนกัน ผมคิดในใจ พอมีเวลาตั้งตัว คิดดังนั้นแล้วผมจึงได้เร่เข้าไปเจรจากับหลวงพี่ ฯ เป็นการหยั่งเชิงไปก่อนว่า ที่มานี้มีความประสงค์อย่างไร หลวงพี่ ฯ ก็ให้กำลังใจว่าคงจะสำเร็จ แต่เดี๋ยวเมื่อคุณได้พบแล้วก็ให้เรียนขอกับท่านเอาเองก็แล้วกัน ทางนี้ (หมายถึงระดับลูกศิษย์เท่านั้น) ได้ทราบเลา ๆ แล้วถึงความประสงค์ แต่ไม่มีใครบอกกับหลวงปู่ ฯ หรอก ไม่มีใครกล้า ต้องขอเอง

    อ้าว…แล้วกันหลวงพี่ ฯ ขนาดหลวงพี่ ฯ อยู่กับท่านแล้วยังไม่กล้าบอกท่านก่อน แล้วอย่างผมที่ไม่รู้จักกับท่านมาก่อนเลย จะทำยังไงนี่ ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ แล้วผมขอสารภาพอีกว่า สำหรับองค์อื่น ๆ แล้ว ผมชัวร์ป้าบเลยครับว่าสำเร็จ แต่ หลวงปู่สี ฯ นี่ไม่ป๊าดไม่ปู๊ดเลยครับ ทำท่าจะเป๋งลูกเดียว

    หาข่าวมาแล้วก็รู้สึกสำนึกเลยครับว่าถูกต้ม ไม่มีใครนำทางหรือนำร่องให้มาก่อนเลย พี่สาย ฯ นะพี่สาย ฯ ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นอยู่ในใจ เป็นทหารอากาศแท้ ๆ แต่ดันพาผมมาปล่อยเกาะ ถ้าเป็นทหารเรือจะไม่ต่อว่าเลย ผมเข้าไปซักถามพวกเราที่เป็นทหารอากาศเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ได้ความว่าไม่มีใครกล้ามาบอกหลวงปู่ ฯ ไว้ก่อน

    เวรนะเวร…ไม่น่าหลอกกัน ก็เมื่อตอนก่อนจะมา ผมถามแล้วก็พูดเสียแข็งขันว่าสบายมาก ผมก็นึกว่ามีผู้เก่งกล้าอาสารับภาระมาขอให้เรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมกายเตรียมใจแค่วางมาดเข้ามารับของที่ต้องการแล้วก็กลับได้ หนอยแน่…ก็แค่มากราบเรียนให้หลวงพี่ ฯ ทราบเท่านั้น ส่วนหลวงปู่ ฯ ไม่มีใครมาบอกไว้ก่อนเลย

    เอาไงดีวะ…ผมคิดในใจแล้วทำเถลไถลกลบเกลื่อนความไซ้ต์ใน เดินออกไปชมเครื่องรางของขลังที่ตู้กระจกที่ชานหน้ากุฏี ทำไก๋เช่ารูปหล่อเหมือนหลวงปู่ ฯ มา ๑ องค์ หูก็แว่ว ๆ ได้ยินเสียงเพลงอีสานอยู่ในห้องของหลวงปู่ ฯ คิดปลอบใจตนเองว่า เฮ้อ…พระองค์นี้คงไม่เท่าไหร่หรอก ยังติดฟังเพลงอยู่นี่ คงไม่มีอะไรหรอกน่า ผิว(ผิวะ)… ไม่ได้ก็ไม่เอา แน่ะ…อวดดีอีกเอ้า เออ…เสียงเพลงจบลงแล้วได้พบเสียทีจะได้เสร็จ ๆ

    ข้างหลวงพี่ ฯ กุลีกุจอกระวีกระวาดไปลาดเลา เอาหูแนบประตูกุฏีกระแอมกระไอ แล้วร้องบอกขออนุญาตให้โยมได้เข้าไปนมัสการ แล้วหลวงพี่ ฯ เองก็ผลุบเข้าประตูไป ไม่ถึงอึดใจประตูก็เปิดออกมา พวกเราก็ถลาเข้าไปกราบนมัสการ เห็นท่านนั่งชันเข่าอยู่ข้างหนึ่ง นุ่งสบงอยู่ตัวเดียว หน้าตาบึ้งตึงชนิดที่ว่า.. ไม่ว่าไทย ไม่ว่าฝรั่ง ไม่รับทั้งนั้น อย่าว่าแต่แขกเลยครับ

    ผมเข้าไปกราบแล้วถอยปรู๊ดออกมาหลบอยู่ข้างหลัง แม่นิด ฯ ภาวนา..พุทโธ ๆ ขอให้ หลวงพ่อ ฯ ช่วย หลวงพ่อ ฯ คะร๊าบ..ช่วยด้วยช่วยที นี่พระหรือเสือขอรับ นัยน์ตาลุกวาวขมึงทึงทีเดียวเจียวแหละ พวกเราทุกคนนั่งกันเงียบกริ๊บเลยครับ ฝ่ายหลวงปู่ ฯ ก็ออกงิ้วเลยครับ ตวาดแว๊ดมาด้วยเสียงอันดัง

    “พวกมึงมาทำไม หืม… โน่น ข้างนอกโน่น จะมาเอาวัตถุก็ไปเอาข้างนอก เขาหล่อรูปกูเอาไว้ขายเยอะ อย่างอื่นก็มี ไปไป๊… ออกไปข้างนอก พาไปข้างนอก ธรรมะไม่เอานี่..ลูกศิษย์ใครกัน..!”

    พูดจบก็โบกมือสั่งให้หลวงพี่ ฯ ปิดประตู หลังจากโบกมือไล่พวกเราแล้วก็หันหลังให้ นั่งเฉยอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จา พวกเราตกตะลึง..เสร็จ..เสร็จ..เสร็จแน่…! เริ่มต้นบรรยากาศก็แปรปรวนล้วนสลดแลสยดสยอง หลวงพี่ ฯ เข้าไปกราบเรียนอ้อนวอนว่า เป็นคณะศิษย์ของหลวงพ่อ ฯ มีธุระนำข่าวมาจากหลวงพ่อ ฯ ท่านจึงได้หันกลับมาอีกทีอย่างเสียไม่ได้ ตวาดเอ็ดอึงต่อไปว่า

    “ที่เฮาฟังอยู่นี่ บ่แม่นเพลง เป็นแหล่เทศน์ เคยฟังบ๋อ ฮื่อ…” ตอนท้ายยังทำเสียงฮื่อออกทางจมูกเหมือนกับแสดงความสมเพช จากนั้นก็ยังดุยังบ่นพึมพัม ดังบ้างค่อยบ้างต่อไปอีกหลายกระบุงโกย (เป็นภาษาอีสาน)
    แต่ผมไม่รับฟังแล้ว ภาวนา "พุทโธ" อย่างเดียว จิตจับอยู่ที่หลวงพ่อ ฯ และขอบารมีหลวงพ่อ ฯ ให้ช่วยด้วยลูกเดียว อะไร ๆ ที่ได้ล่วงเกินไปนั้น ลูกช้างมันโง่ กราบขออภัยให้ไอ้ลูกหมา (เอ๊ย…ไอ้หมาลูกคน) ด้วยเถิดคะร๊าบ ไอ๊หยา… น่ากลัวจิน ๆ

    เสียงดุค่อย ๆ เบาลง ๆ จนเงียบ แต่ผมก็ไม่ยอมลืมตา ใช้วิธีส่งกระแสจิตอย่างเดียวเท่านั้น รับได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แว่วได้ยินเสียง แม่นิดเจรจากับหลวงปู่ ฯ ว่าหลวงพ่อ ฯ ให้เอาสังฆาฏิมาแลกแล้วก็เงียบไป สักพักแม่นิดสะกิดบอกว่า หลวงปู่ ฯ เรียก จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น โอ๋ยโย่... เค้าเป๋... ลุจังโลย ซี้แหงเลี้ยว... ท่านจ้องหน้าผมเป๋ง ผมหลับหูหลับตาคลานเข้าไปกราบ แล้วพูดโดยไม่ยอมมองหน้าท่านว่า “หลวงพ่อฤาษี ฯ ให้เอาสังฆาฏิมาแลกครับ”

    ท่านก็รับสังฆาฏิที่ผมประเคนไปอย่างเสียไม่ได้ ไม่เต็มใจเอาเสียเลย แล้วเอาไปคลี่ออก เอาศอกทาบตามความยาววัดไปทีละศอก ๆ จนหมดความยาวของสังฆาฏิผืนนั้นแล้วร้อง “เช๊อะ...ไม่ได้เรื่อง” พลางโยนสังฆาฏิผืนนั้นลงกับพื้นอย่างไม่แยแส ดุเกรี้ยวกราดขโมงโฉงเฉงต่อไปอีก

    “คนสมัยนี้มันแย่ สังฆาฏิพระวินัยให้ยาว ๘ ศอก นี่ยาวเท่าไรเหอ...” แล้วท่านก็เอานิ้วจิ้ม ๆ ลงไปที่สังฆาฏิ

    ผมสั่นหัวตอบในใจว่าไม่ทราบครับ ตอนที่ท่านเอาศอกวัดก็ไม่ได้ดู จึงไม่ทราบว่าสั้นหรือยาวเกินไป ตอนเอามาก็ไม่ได้พิถีพิถันจริง ๆ ครับ ยอมรับผิดว่าชุ่ย เบิกมาจาก คุณป้านนทา แล้วก็แล้วกันไป ไม่นึกว่าจะละเอียดกันขนาดนี้ หลวงปู่ ฯ เห็นผมไม่พูด ก็เอาสังฆาฏิไปวัดให้ดูอีก อ้อ...ขาดไปหน่อย ผมคิดในใจ
    “แล้วจะเอายังไง” หลวงปู่ ฯ เค้นถามเสียงเครียด ท่าทางยังเหมือนกับอยากจะกินลาบเลือด และไม่ยอมลดราวาศอกให้เลย

    “ผมขออนุญาตเอาไปเปลี่ยนใหม่ก็แล้วกันครับ” ผมอึก ๆ อัก ๆ อยู่นานกว่าจะพูดออกไปได้ แล้วทำท่าจะหยิบเอาคืนมา แต่หลวงปู่ ฯ ท่านกลับเอามือกดผ้าไว้กับพื้นเฉยเสียงั้นแหละ ผมจึงหดอีก ความอึดอัดใจที่ได้รับทำให้เกิดความรู้สึกว่า นานเหมือนโกฏิปีเชียวครับ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเขาบุนนาค อยู่ใกล้ป่าใกล้ภูเขาอากาศออกจะเย็น ๆ แต่ผมร้อนจี๋เลยครับ เหงื่องี้ออกทั้งตัว หลวงพี่ ฯ ถลาเข้ามาช่วย
    “ให้โยมเขาแลกไปเถิดครับ เขาจะเอาไปให้คนทำบุญ” ท่านช่วยตะโกนอ้อนวอน แต่หลวงปู่ ฯ โบกมือห้าม แล้วก้มลงพูดเบา ๆ กับผม “นี่โยม..สังฆาฏิต้องยาว ๘ ศอกนะ จำไว้นะ...”

    เอ๊ะ...ผมหูฝาดหรืออย่างไร ทำไมเสียงของหลวงปู่ ฯ จึงกลับนิ่มนวลอะไรจะปานนั้น ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากท่าที่ก้มกราบอยู่ เอามือแคะหูทั้งสองข้างอย่างไม่เชื่อมัน และไม่เชื่อมั่น หวาดระแวงเต็มที่เลย เอาไงนี่...

    “เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลูกศิษย์มหาวีระ ฯ ต้องละเอียด ต้องรอบคอบ จำเอาไว้ให้ดี...”
    เสียงนุ่มนวลไม่มีแกมเหน่อลอยมาอีก ผมลุกพรวดขึ้นมานั่งพับเพียบพนมมือแต้เพื่อที่จะมองหลวงปู่ ฯ ให้เต็มตา อะไรกันนี่... เสือกลายเป็นพระไปแล้ว และกลายเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเสียด้วย ไม่มีท่าทางที่แสนจะดุดันหลงเหลืออยู่ต่อไปอีกเลย กลับตาลปัตรไปแล้ว เปลี่ยนบทไวยังกะวิกส์ ๐๗ แน่ะ..!

    <<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ผิดคาด

    .........หลวงพี่ได้โอกาส รีบตะโกนกราบเรียนเสียเสียงหลงทันที “อนุญาตให้โยมแลกไปนะหลวงปู่ ฯ “
    “เออ...พูดเบา ๆ ก็ได้ยิน !” หลวงปู่ ฯ บ่น ตอบเบา ๆ และสั้น ๆ นิ่ม ๆ พอให้ได้ยิน
    เมื่อได้ยินดังนั้น หลวงพี่ ฯ ก็เผ่นผลุงไปที่ราวตากผ้าตรงชานกุฏิทันที รวบเอาสังฆาฏิที่เราได้หมายตากันเอาไว้ก่อนหน้านั้นมาถวายทันที

    “ไม่ใช่ ๆ เอาไปไว้ที่เก่า” หลวงปู่ ฯ โบกมือห้ามอีก ผมก็ใจหายแว๊บอีก เปลี่ยนบทเป็นเสืออีกแล้วหรือไง โยมตามและตั้งตัวไม่ทันเลย หลวงพี่ ฯ ก็หน้าซีดเผือด ทุกคนคิดว่ารายการพลิกล็อคเกิดขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ใจคอตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ดูเหตุการณ์ต่อไป

    หลวงปู่ ฯ ค่อย ๆ ชันกายขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เดินกระย่องกระแย่งผ่านพวกเราเข้าไปในห้องนอนซึ่งอยู่ติดกัน ได้ยินเสียงรื้อของกุกๆ กักๆ อยู่เป็นนานสองนาน สลับกับเสียงกระแอมกระไอ ผมหันไปมองหน้าพวกเราทุกคน หน้าซีดจ๋อยเหมือนกันหมด แม่นิดฯ ที่ว่าผิวดำ หน้าขาวจ๋องไม่ต้องทาแป้งเลยครับ พวกเรากระซิบกระซาบกันเบาๆ ว่า ไม่รู้ว่าหลวงปู่ฯ เข้าไปทำอะไร จะกลับออกมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

    พักใหญ่ หลวงปู่ ฯ ก็กระย่องกระแย่งออกมา ถือห่อกระดาษเก่า ๆ ออกมาด้วย กลับมานั่งท่าเดิมและที่เดิม วางห่อกระดาษลงกับพื้น แล้วค่อย ๆ แก้เชือกห่อออกอย่างช้า ๆ พวกเราต่างพากันกลั้นหายใจลุ้นกันโดยไม่รู้สึกตัว ด้วยความที่อยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร เป็น “จีวรกับสบงและสังฆาฏิ” ครับ ครบชุดแต่เก่างั่กเลยครับ

    หลวงปู่ ฯ นำสังฆาฏิสีกรักแสนเก่าผืนนั้นออกมาคลี่ เอาศอกวัดให้ดูอีกครั้งเหมือนกับจะโชว์ให้ดู เพื่อยืนยันคำพูดของท่าน โอเคครับ ๘ ศอกพอดี (แต่ศอกของผมสั้นไปหน่อย) ท่านมองค้อน เอามือลูบคลำอยู่พักหนึ่ง แล้วนำสบงกับจีวรออกมาคลี่ให้ดูอีก ปรากฏว่าเป็นสบงกับจีวรที่ทำด้วยผ้าแพรไหมครับ ท่านเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ของชุดนี้เศรษฐีจีนสั่งทำและถวายให้ท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ ๔ และท่านได้เก็บตลอดจนนำติดตัวไปตลอดเวลา หันมาถามผมว่า

    “เอาไหม..?”
    “สุดแท้แต่หลวงปู่ ฯ จะกรุณาเถิดครับ” ผมตอบเบา ๆ
    “เอาไหม..?” ท่านถามย้ำอีก ผมเห็นว่าถ้าพูดให้เยิ่นเย้อต่อไปต้องอดแน่ ๆ จึงตอบไปอย่างม้าไม้ไร้พยศว่า
    “เอาครับ”
    “เออ…เอาไป” หลวงปู่ ฯ ก็ให้ง่าย ๆ
    “แล้วนี่..เอาไหม?” ท่านชี้มือไปที่สบงและจีวรแพรไหมนั้น
    “ไม่กล้าครับ” ผมตอบ
    “ทำไมไม่กล้า?” หลวงปู่ ฯ แกล้งสงสัย
    “หลวงพ่อฯ ท่านใช้ให้มาเอาแต่สังฆาฏิเท่านั้นครับ หลวงปู่ฯ จะแถมให้หรือครับ” ตอนนี้พอโล่งใจแล้ว ผมจึงเริ่มทะโมนตามนิสัยเดิม
    “ถ้าเอา..ก็ให้” ท่านพูดแล้วก็ผลักออกมาให้ข้างหน้า
    “ไม่เอาละครับ หลวงพ่อฯ สั่งมาแค่นี้” ผมกัดฟันตอบอย่างแสนเสียดาย ค่อยๆ ผลักคืนไป แต่อย่างว่าละครับ ไม่นอกครูไว้ก่อนเป็นดี

    “ไม่เอาก็เก็บ” ว่าแล้วหลวงปู่ฯ ก็บรรจงพับและห่อเข้าที่ แล้วเดินเอากลับไปเก็บไว้ในห้องตามเดิม
    เมื่อเสร็จจากการปราบพยศผมจนอยู่หมัดแล้ว หลวงปู่ฯ จึงเลิกรา แล้วเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าไปอ้อนกันได้ตามสบาย ส่วนผมนั้นเก็บปากเข้ากระเป๋าแล้วรูดซิบ ๓ ชั้นฝังดินปิดครั่งเลยครับ ฟังอย่างเดียว ไม่กล้าอ้อนไม่กล้าถาม ใจนั้นอยากกลับวัดท่าซุงลูกเดียว แต่ แม่นิดฯ ยังไม่ยอมเลิกรา พยายามนิมนต์ท่านให้ไปร่วม งานสมโภชครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงพ่อปานฯ ให้ได้ ท่านปฏิเสธเสียงหลงว่า
    “กูไม่ไป” แม่นิด ฯ ไม่ละความพยายาม ชักจูงอีกว่า
    “ ในหลวงเสด็จฯ นะเจ้าคะ” หลวงปู่ฯ ทำคอย่น สั่นหัวเดี๊ยะ
    “ในหลวง กูก็ไม่ไป กูอั้นเยี่ยวไม่ได้..ลำบาก..!”
    ก็น่าเห็นใจนะครับ เพราะในปี ๒๕๑๘ ที่ผมเล่าอยู่นี้ หลวงปู่สี ฯ อายุ ๑๒๗ ปีแล้ว (อายุหลวงปู่ ฯ นี่อาจจะไม่ตรงกับข้อเขียนของท่าน พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป ที่เขียนว่า ท่านมรณภาพเมื่ออายุได้ ๑๒๖ ปี ผมไม่ทราบว่าจำนวนไหนที่คลาดเคลื่อน แต่ขอเรียนว่าผมได้ยินท่านตอบกับ แม่นิด อย่างชัดเจนว่าท่านอายุ ๑๒๗ ปีแล้ว)

    แม้ท่านจะยังดูแข็งแรง แต่อวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือพังผืดมันหย่อนยานไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงอั้นปัสสาวะไม่ได้ ที่กุฎีของท่านตรงพื้นกระดานด้านหลังที่ท่านนั่งอยู่ จึงต้องเจาะร่องเอาไว้ ซึ่งพอประเดี๋ยวประด๋าวท่านก็ต้องหันไปจ๋องลงร่องเสียทีหนึ่ง
    แต่ แม่นิด ก็ไม่ละความพยายามเรียนท่านว่า จะจัดการให้สะดวกสบายเหมือนกับที่ท่านอยู่วัดของท่านเลยทีเดียว คราวนี้หลวงปู่ ฯ สะบัดหน้าพรืด พูดกระฟัดกระเฟียดว่า “กูไม่เอา..กูรู้จักอายเขา” ว่าแล้วก็หันหลังกลับ แซมเปิ้ลให้ดูอีก ๑ จ๋อง พวกเราฮากันเลยครับ

    เป็นอันว่าได้คำตอบแล้วนะครับว่า ทำไม หลวงปู่สี ฯ ไม่มางานครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของ หลวงพ่อปาน โสนันโท
    ส่วน แม่นิด นั้น เมื่อเห็นว่าท่านไม่ยอมรับนิมนต์แน่แล้ว จึงหันไปคุยเรื่องอื่นๆ หลายๆ เรื่อง แต่ที่ผมหูผึ่งก็คือเมื่อ แม่นิด ถามท่านว่า
    “หลวงปู่ ฯ รู้จักกับ หลวงพ่อปาน ฯ ไหมเจ้าคะ?”
    “ปานไหน?” หลวงปู่ ฯ ย้อนถาม
    “ หลวงพ่อปานฯ วัดบางนมโค เจ้าค่ะ” แม่นิด ยืด
    “กูไม่รู้จัก กูรู้จักแต่ ปานฯ วัดบางเหี้ย ปานฯ วัดบางเหี้ยนั่งเรือไม่ต้องพาย เรือวิ่งไปเอง” ว่าแล้วท่านก็หัวเราะชอบอกชอบใจ

    แม้คำตอบของหลวงปู่ ฯ จะทำให้เราผิดหวังอยู่บ้างที่ท่านกับปรมาจารย์ของเราไม่รู้จักกัน แต่ว่า หลวงปู่สี ฯ ท่านจะต้องมีอะไร ๆ ที่เนื่องด้วยกับหลวงพ่อฯ แน่ๆ เพียงแต่ท่านนั้นไม่เนื่องกับ หลวงพ่อปานฯ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่คำสนทนากันนี้ ทำให้เราท่านทราบข้อมูลกันมาอีกว่า พระเกจิอาจารย์สมัยนั้นแม้จะอยู่ห่างไกลกันสุดขอบฟ้า ยานพาหนะหรือก็ไม่ดีเหมือนปัจจุบัน แต่ก็ไปเจอะเจอกันและรู้จักกันได้อย่างอัศจรรย์ เพราะ หลวงปู่สีฯ อยู่อีสาน ส่วนบางเหี้ยก็คือบางบ่อในปัจจุบัน เลยบางพลีไปนิดเดียว ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช ให้เดินให้ตายก็ไม่ได้พบกัน

    เป็นไงครับ เรื่องที่ผมเล่าว่าเป็นวันเดียวที่ผมได้พบกับ หลวงปู่สี ฯ ก็จริง แต่เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ เห็นด้วยไหมครับ หรือจะเอาตังค์คืนดีครับ

    เรื่องของ หลวงปู่สี ฯ เนื่องจากขาดประวัติความเป็นมา ผมจึงกราบขอความกรุณาและขออนุญาตลอกเอาข้อเขียนของท่าน พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป ที่ได้เขียนเกี่ยวกับอภินิหารหรือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ฯ มาลงแทน ถ้าใครเคยอ่านแล้ว เบื่อแล้วก็ไม่ว่ากันนะครับ


    หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต


    ............เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ในวันหนึ่งหลวงพ่อได้มาแสดงธรรมะออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์เหมือนเช่นเคย และหลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมะออกอากาศเสร็จก็ได้มานั่งพักผ่อนสนทนากับข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ที่ห้องรับแขก ข้าพเจ้าจึงได้ฉวยโอกาสเล่าถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่สี ให้หลวงพ่อฟัง พอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ดังนี้

    “มีพ่อค้าชาวตาคลีกลุ่มหนึ่งไปกราบนมัสการ หลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อหลวงปู่แหวนทราบว่าเป็นพ่อค้ามาจากตาคลี ก็หัวเราะพูดว่า ท่านมีอาจารย์อยู่องค์หนึ่งอายุมากแล้วชื่อ หลวงปู่สี ขณะนี้อยู่ที่ตาคลีให้ค้นหาให้ดี เพราะท่านเก่งมากดังนั้นเมื่อผู้คนกลุ่มนั้นกลับมา ก็พยายามติดตามค้นหาในที่สุดก็ได้พบว่าหลวงปู่สี พำนักอยู่ วัดถ้ำเขาบุญนาค มีอายุชราภาพมากแล้วถึง ๑๒๑ ปี อภินิหารของหลวงพ่อสีในขณะนั้นที่ร่ำลือกันมากคือ ไม่มีใครถ่ายรูปหลวงปูสีติด หากไม่ขออนุญาตท่านเสียก่อน และชานหมากของหลวงปู่สีหากผู้ใดได้ไว้แล้ว พกพาติดตัวไปก็จะเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้”

    ข้าพเจ้าได้เล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า “กิตติศัพท์ของหลวงปู่สีดังกล่าว เมื่อได้รับฟังมาผมก็มิได้สนใจนัก จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นที่ในป่าหลังกองร้อยทหารสารวัตร (ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารสารวัตร และเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัยกองบิน ๔ ด้วย) ผมจึงชวนเรืออากาศโทสังวร สมหวัง รองผู้บังคับกองร้อย ฯ และเรืออากาศตรีครรชิต บัวอำไพ นายทหารสารวัตรซึ่งได้นั่งปรึกษางานอยู่กับผมลงไปดู ก็เห็นจ่าอากาศสารวัตร ๒ คน คนหนึ่งกำลังถือปืนตั้งท่าจะยิงไก่นัดต่อไป อีกคนหนึ่งยืนดู จึงตะโกนสั่งให้หยุดยิงและสอบถามว่าทำไมจึงขัดคำสั่งผู้บังคับกองร้อย ฯ

    (ข้าพเจ้าได้เคยสั่งให้ยิงปืนได้เฉพาะในสถานที่ที่จัดไว้ให้ยิงและยิงได้เฉพาะวัน เวลาที่ทางกองร้อย ฯ กำหนด) ซึ่งทั้ง ๒ คน ก็ยอมรับผิดและอธิบายสาเหตุให้ฟังว่าจ่าประสิทธิ์ ไปได้ชานหมากจากหลวงปู่สีมา เล่าให้จ่าชิตฟังถึงอภินิหารต่าง ๆ จ่าชิตได้ฟังก็ไม่เชื่อก็เกิดพนันกันขึ้น โดยจ่าประสิทธิ์ไปขอซื้อไก่ในกองบิน ๔ มา แล้วให้จ่าชิตยิง หากจ่าชิตยิงไก่ตาย จ่าชิตก็ได้ไก่ไป แต่ถ้าหากจ่าชิตยิงไก่ไม่ตายก็ต้องจ่ายเงินให้จ่าประสิทธิ์ แล้วให้จ่าประสิทธิ์เอาไก่ไป

    การยิงสัญญากันไว้ว่าจะยิง ๖ นัด ขณะนี้จ่าชิตยิงไปแล้ว ๓ นัด ยังไม่ถูกไก่ และยังมีสิทธิ์ยิงได้อีก ๓ นัด ผมจึงให้เรืออากาศโทสังวร และเรืออากาศตรีครรชิต ซึ่งเป็นมือปืน P.P.C. เหรียญเงินทั้ง ๒ คน ยิงไก่คนละนัดก็ไม่ถูกอีก ผมจึงให้คนโทรศัพท์ไปเรียก พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข มือปืน P.P.C. เหรียญทองมายิงในนัดสุดท้ายซึ่งก็ไม่ถูกไก่อีก (ในตอนนั้น พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข โมโหมากขอให้เอาเหรียญบาทไปตั้งที่ตอไม้ ๓ เหรียญ ก็ยิงถูกเหรียญกระเด็นไปทั้ง ๓ เหรียญ แต่ยิงไก่ตัวใหญ่โตซึ่งมัดติดกับต้นไม้ไม่ถูก)

    ผมจึงให้จ่าประสิทธิ์พาไปหาหลวงปู่สีในวันนั้น และพอไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็กล่าวตำหนิว่าพวกผมทำให้ปากท่านเจ็บไปหมด เพราะชานหมากไปผูกติดคอไก่ ท่านก็จะต้องคุ้มครองให้ไก่ และเมื่อเอาปืนไปยิงไก่ ลูกปืนมันไม่ไปถูกไก่แต่มันมาถูกปากท่านทุกนัด ผมและพรรคพวกที่ไปจึงต้องกราบขอขมาหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตามอบชานหมากมาให้แต่ขอสัจจะว่า อย่าได้นำชานหมากของท่านไปทดลองที่ไหนอีก”

    หลวงพ่อได้นั่งฟังข้าพเจ้า เล่าถึงหลวงปู่สีด้วยความสงบ พอข้าพเจ้าเล่าจบหลวงพ่อก็พูดว่า
    “คุณมนูญ ฉันบอกหลวงปู่สีเมื่อตะกี้นี้แล้วว่า ฉันจะไปหา หลวงปู่ดีใจมาก จะคอยต้อนรับอยู่ที่กุฏิ ไป เราไปกันได้เลย” ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ได้ฟังก็งงมาก เพราะหลวงพ่อก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ลุกไปโทรศัพท์ และโทรศัพท์ที่กุฏิหลวงปู่สีก็ไม่มี หลวงพ่อจะบอกกับหลวงปู่สีได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นเจตจำนงของหลวงพ่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขับรถพาหลวงพ่อไป

    เมื่อไปถึงกุฏิหลวงปู่สี (ตั้งอยู่หน้าถ้ำวัดเขาบุญนาค) ข้าพเจ้าก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลวงปู่สีซึ่งตามปกติท่านจะนุ่งสงบอยู่ตัวเดียว บัดนี้ท่านแต่งชุดใหญ่ครบเครื่องเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์ที่พร้อมจะเข้าพิธีในโบสถ์ มีเสื่ออย่างดีปูไว้เรียบร้อย พร้อมด้วยชุดน้ำชาและหมากพลู อีกทั้งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดอีก ๒-๓ รูป รวมทั้งเจ้าอาวาสมานั่งคอยรอรับหลวงพ่ออยู่พร้อมหน้า

    ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับหลวงปู่สี ข้าพเจ้าก็ได้แอบไปสอบถามท่านมหาองค์หนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่สีว่า “หลวงปู่สีทราบได้อย่างไร ว่าหลวงพ่อจะมา” ท่านมหาองค์นั้นก็ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ทราบ เห็นหลวงปู่นอนจำวัดอยู่ตามปกติ จู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วสั่งให้อาตมาคุมกวาดลานวัดและเช็ดกุฏิแล้วให้เตรียมน้ำชา หมากพลูโดยเร่งด่วน ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีพระผู้ใหญ่ระดับสูงมากมาหา พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เข้าไปนุ่งห่มจีวรใหม่เอี่ยม รอหลวงพ่อดังที่โยมเห็นนี้แหละ”

    เรื่องที่ข้าพเจ้าและพรรคพวกได้ประสบในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดจะพิสูจน์หรือหาเหตุผลใด ๆ ได้เลย นอกจากจะคิดกันไปว่า หลวงพ่อได้นัดพบกับหลวงปู่สีทางจิตเท่านั้น หรือท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่าอย่างไร? ...

    ________________________________________
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อภินิหารของหลวงพ่อและหลวงปู่สี

    (ชานหมากหลวงปู่สีห่อด้วยผ้าจีวร)
    ".......เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้ซื้อรถวอลโว่ใหม่ ๑ คัน ก็ได้นำไปให้หลวงพ่อเจิมให้ที่วัดท่าซุง ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่สีบ่อยๆ เข้าก็ได้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีมากขึ้น อาทิเช่นมีชาวไร่ข้าวโพดได้ ชานหมาก ของหลวงปู่สีไป และเกิดไปทำหายในขณะหักข้าวโพดในไร่ จะหาอย่างไรก็หาไม่พบเพราะดงข้าวโพดกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เนื่องจิตมีความเสียดายในชานหมาก และเคารพนับถือด้วยความจริงใจ ตอนกลางคืนก็ฝันว่า

    .......“หลวงปู่สีมาบอกว่าหากอยากได้ชานหมากให้เผาไร่ข้าวโพดเสีย แล้วจะพบเอง”พอรุ่งเช้าชาวไร่ข้าวโพดผู้นั้นก็จุดไฟเผาไร่ข้าวโพดทันที (ข้าวโพดในไร่หักหมดแล้ว) เมื่อไร่ข้าวโพดถูกไฟเผาราบเรียบหมดก็เห็นต้นข้าวโพดอยู่ ๒-๓ ต้นที่ไม่ไหม้ไฟจึงตรงเข้าไปดู ก็พบชานหมากของหลวงปู่สี ซุกอยู่โครข้าวโพดก็ดีใจมาก ตรงเข้าเก็บชานหมากหลวงปู่ไว้ แล้วนำไปเลี่ยมคล้องคอมาจนบัดนี้
    ________________________________________

    (ชานหมากที่เลื่ยมพลาสติกแล้ว)
    ".......อีกรายหนึ่งเป็นอาจารย์สตรี วัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการได้ชานหมากหลวงปู่สีไปก็นำไปใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ มีวันหนึ่งเดินกลับบ้านตอนพลบค่ำ ในระหว่างทางที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ก็มีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ๓ คน ก็เร่งฝีเท้าหนี คนทั้ง ๓ ก็เร่งฝีมือตาม พอวิ่งหนีก็ถูกวิ่งตาม ด้วยความหวาดกลัวจึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ คน ที่ตามมาหยุดชงักส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป

    ........อาจารย์สตรีวัยกลางคนผู้นั้นจึงกลับบ้านด้วยความปลอดภัย ด้วยชานหมากของหลวงปู่คุ้มกันภัยให้ และเมื่อตอนหลวงปู่ป่วย ข้าพเจ้าก็ได้ให้ลูกน้องพาหมอไปรักษา หากคราวใดหมอจะฉีดยาและหลวงปู่สีไม่ยอมให้ฉีด เข็มฉีดยาก็จะหักทุกครั้งไป เป็นต้น

    ........ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้นำรถวอลโว่คันใหม่ของข้าพเจ้าไปให้หลงปู่สีช่วยเจิมให้อีกด้วยคิดว่า “แม้หลวงพ่อเจิมให้แล้วก็ตามหากได้หลวงปู่สีช่วยเจิมทับลงไปอีกก็คงจะเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น”

    เมื่อหลวงปู่สีได้ทราบความประสงค์ว่า ข้าพเจ้าขอให้ช่วยเจิมรถให้ก็ทำพิธีเสกแป้ง แล้วถือแป้งเสกลงกุฏิไปหยุดยืนบริกรรมอยู่หน้ารถวอลโว่ โดยมีข้าพเจ้า ภรรยาและลูกน้องอีก ๓-๔ คนยืนพนมมือรถให้หลวงปู่เจิมรถ แต่การณ์กลับปรากฏว่าหลวงปู่สีเกิดเปลี่ยนใจ วางถ้วยแป้งเสกไว้ที่กระโปรงรถด้านหน้า โดยไม่ยอมเจิมให้เสียเฉยๆ มิหนำซ้ำเดินขึ้นบันไดไปบนกุฏิ แล้วนั่งทำน้ำมนต์อยู่พักหนึ่ง

    ก็ให้ พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ลูกน้องคนหนึ่งของข้าพเจ้าถือบาตรน้ำมนต์ลงบันไดตามหลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ทางด้านท้ายรถวอลโว่ของข้าพเจ้า แล้วก็ประพรมน้ำมนต์ไปทางด้านกระโปรงหลังรถ อีกทั้งมีการสวดให้ศีลให้พรอีกด้วย ต่อเมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จ หลวงปู่จึงเดินไปด้านหน้ารอหยิบถ้วยแป้งเสก แล้วเจิมรถให้ข้าพเจ้าจนเสร็จ ซึ่งก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจกับทุกผู้คนในที่นั้น เพราะตามปกติแล้ว หลวงปู่จะเจิมให้โดยไม่มีการรดน้ำมนต์เช่นนี้

    สำหรับเรื่องนี้ หลวงปู่สีได้เมตตาอธิบายให้ทุกคนหายข้องใจว่า “รถวอลโว่คันนี้ มีพระระดับสูงที่ญาณบารมีแก่กล้าได้ทำพิธีเจิมไว้ให้แล้วอีกทั้งได้จัดเทพถึง ๔ องค์ อยู่คอยพิทักษ์รถคันนี้ เมื่อสักครู่พอจะเจิมรถให้ เทพทั้ง ๔ ก็มาขอให้หลวงปู่รถน้ำมนต์ให้ก่อน จึงต้องให้น้ำมนต์เขาก่อนแล้วจึงเจิมรถให้ทีหลัง”

    ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี และซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาเมตตาส่งเทพมาคอยให้ความคุ้มครองป้องกันภัยให้ข้าพเจ้าตลอดเวลาถึง ๔ องค์ เช่นนี้ ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อผู้ใดก็ตาม ที่ได้เข้าพิธีต่างๆ กับหลวงพ่อแล้วก็พึงอุ่นใจได้ว่าหลวงพ่อจะช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ ให้โดยไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน

    ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าได้ขับรถวอลโว่คันนั้นพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ่อฝ้าย หัวหิน ระหว่างทางขณะที่รถวิ่งผ่านไปทางกำแพงแสน จ.นครปฐม ข้าพเจ้าซึ่งกำลังขับรถไปอย่างสบายๆ ด้วยความเร็วประมาณ ๘๐-๙๐ กม. ต่อชั่วโมงก็เห็นรถบรรทุกอ้อยสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็ว และทำท่าจะวิ่งชนจักรยานสองล้อของชาวบ้านที่ขี่อยู่ข้างทาง โดยผู้ขับสิบล้อมิได้คิดจะแซงหรือเบี่ยงหลบ จิตของข้าพเจ้าตอนนั้นบอกว่าคนขับสิบล้อคงหลับใน หากรู้สึกตัวเห็นจักรยานสองล้อ มันจะต้องหักหลบมาชนรถของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน

    พอจิตบอกข้าพเจ้าก็ถอนเท้าจากคันเร่ง เปลี่ยนเป็นเกียร์ ๒ และเหยียบเบรคอย่างแรงพร้อมทั้งเตรียมหักพวงมาลัยหลบ ก็พอดีรถสิบล้อคันนั้นหักหลบจักรยานพุ่งเข้าจะชนรถข้าพเจ้าดังที่คิด ข้าพเจ้าก็พยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่รถก็หาเลี้ยวไม่คงทื่อเข้าใส่รถบรรทุกที่ขวางลำรถข้าพเจ้าด้วยแรงเฉื่อย ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าและทุกคนในรถไม่มีผู้ใดตกใจเลย มองเห็นรถข้าพเจ้าและรถบรรทุกค่อยเข้าหากันเหมือนภาพสโลโมชั่น เสมือนจะหลบกันพ้นแต่ก็ไม่พ้นชนกันแบบสะกิดๆ จนได้

    เมื่อรถจอดสนิท ข้าพเจ้าก็สำรวจดูทุกคนในรถ ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บแม้แต่จะฟกช้ำดำเขียว ขัดยอก หรือเลือดตกยางออกเลย ก็โล่งใจจึงเปิดประตูรถลงไปเอาปืนจี้คนขับรถบรรทุกไม่ให้หนี แล้วสำรวจดูสภาพรถปรากฏว่า รถวอลโว่ของข้าพเจ้าชนบันไดรถบรรทุกขาดกระจุยหัวรถเข้าไปซุกอยู่ในใต้รถบรรทุก จนถึงกระจกหน้า ไม่สามารถจะถอยรถออกมาได้

    สักครู่รถคันหน้า ที่ล่วงหน้าไปก่อนเห็นรถของข้าพเจ้าหายไปไม่ตาม ก็ฉุกใจวนขับรถกลับมาดู ทุกคนหน้าซีดแข็งขาอ่อนบอกเห็นแต่ไกลว่าคงต้องมีการตายกันบ้างแน่ แม้ชาวบ้านที่วิดปลาอยู่ตามคูน้ำข้างทางที่รถชนกัน ก็พูดว่ารถชนกันเสียงสนั่นหวั่นไหว จนไม่กล้ามองคิดว่าต้องตายทั้งคันแน่

    เมื่อทุกคนในคณะของข้าพเจ้ามาพร้อม คนขับรถบรรทุกก็ยอมรับว่าตนผิดและขอไปตามเถ้าแก่เจ้าของรถมา และเมื่อเถ้าแก่มาก็พูดจาตกลงกันด้วยดี โดยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โดยไม่เกี่ยงงอน แต่เมื่อตรวจดูสภาพรถวอลโว่ของข้าพเจ้า เมื่อใช้แม่แรงยกรถสิบล้อออกแล้วเข็นรถออกมา ทุกคนก็แทบไม่เชื่อสายตากล่าวคือ ฝากระโปรงรถหน้าที่ยุบไป เพราะรับน้ำหนักรถบรรทุกสิบล้อ ซึ่งบรรทุกอ้อยเต็มกลับดีดคืนเข้าสู่สภาพเดิม มีเพียงสีถลอกนิดเดียว ไฟหน้าทุกดวงและกระจกหน้ารถซึ่งเป็นส่วนที่ชนกันอย่างประสานงา ไม่มีการแตกร้าวหรือแม้แต่ไส้หลอดไฟก็ไม่ขาด

    เมื่อเห็นสภาพรถแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถ (มากับพรรคพวกนักเลงไร่อ้อยพก ๑๑ มม. คนละ ๑ กะบอก) ก็ขอจ่ายค่าเสียหายให้ข้าพเจ้า ๒๐๐๐ บาท ด้วยความเต็มใจอีก ทั้งยังถามว่าข้าพเจ้าและครอบครัวจะกลับผ่านมาทางนี้อีกเมื่อไร จะมารอส่งด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกไป และตอนขากลับเขาก็มารอส่งข้าพเจ้ากันจริงๆ

    เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมานี้ ไม่น่าเป็นไปได้ในหลายๆ อย่าง อาทิเช่น รถวิ่งสวนกันด้วยความเร็ว และรถบรรทุกสิบล้อหักหลบมาชนแบบประสานงา กับรถของข้าพเจ้าในระยะกระชั้นชิด ซึ่งแม้ข้าพเจ้าจะแก้ปัญหากระทันหันด้วยวิธีการดังกล่าว เพียงแต่ทำให้รถข้าพเจ้าช้าลงไปบ้างเท่านั้น แต่รถสิบล้อที่วิ่งมาชนหาได้ลดความเร็วลงไม่ และสิ่งที่เป็นพยานสายตาปรากฏแก่สายตาก็คือ บันไดรถสิบล้อขาดกระจุย และหัวรถของข้าพเจ้ามุดเข้าไปอยู่ใต้รถบรรทุก จนต้องใช้แม่แรงยกรถบรรทุกขึ้นจึงจะสามารถเข็นรถของข้าพเจ้าออกได้

    แต่ปรากฏว่าทุกคนในรถของข้าพเจ้าปลอดภัย และรถของข้าพเจ้าก็มีสภาพปกติพร้อมที่จะวิ่งต่อไปได้ (มีสีถลอกตรงฝากระโปรงนิดหน่อย) อีกทั้งนักเลงบ้านไร่ซึ่งตามกิตติศัพท์ร่ำลือกันนักกันหนาว่าดุมาก กลับยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มิหนำซ้ำยังมาคอยส่งข้าพเจ้าให้ตอนขากลับเยี่ยงมิตรที่ดีอีกด้วยซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วด้วยพระบารมีของหลวงพ่อและหลวงปู่สี เมตตาคุ้มครองภยันตรายต่างๆ ให้นั่นเอง


    หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี ฯ


    ........เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับไปบ้านที่กองบิน ๔ ตาคลี นครสวรรค์ทุกครั้ง และก็ได้ไปแวะเยี่ยม หลวงปู่สี ฯ ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอ ๆ

    ในบางครั้งที่ไปก็เจอ คุณหมอโอ๊ค ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน ๔ (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่ หมอโอ๊ค จนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้ จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตาม หาก หลวงปู่สี ฯ ไม่ยอมให้หมอฉีดยาแต่หมอก็จะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมอโอ๊ค เองก็หนักใจเพราะไม่สามารถจะรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้นเมื่อ หลวงปู่สี ฯ มีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาส ฯ ก็คลานเข้าไปสอบถามว่า

    “หาก หลวงปู่สี ฯ มรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่อย่างไร?” ซึ่ง หลวงปู่สี ฯ ก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า

    “หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”
    ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่า หลวงปู่สี ฯ ได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสาม และหลวงพ่อ ฯ ก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น (ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพ หลวงปู่สี ฯ ไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่ง หลวงปู่สี ฯ นอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

    และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือ ร่างของ หลวงปู่สี ฯ ไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15 วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้ หลวงปู่สี ฯ ตลอดมา

    หลวงปู่สี ฯ ได้มรณภาพเมื่ออายุ ๑๒๖ ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้ง หลวงปู่สี ฯ และหลวงพ่อ ฯ จะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่ ฯ สิ้นลม หลวงพ่อ ฯ ก็รับทราบและเดินทางมาจัดการให้ได้ในทันที.
    ฯลฯ
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ตอนที่ ๑๑

    เสือหลวงพ่อปานฯ
    แห่งวัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ


    เก็บตก

    “ปาน วัดบางเหี้ย นั่งเรือไม่ต้องแจว เรือวิ่งไปเอง” นั้นเป็นเหตุจูงใจให้ผมอยากจะได้พบ ได้เจอะเจอพระเกจิอาจารย์ท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง ระยะนั้นเป็นระยะที่เรากำลัง “ตามล่าพระอาจารย์” ว่างั้นเถิด พระอาจารย์องค์ไหนที่ว่าเก่ง ๆ ก็จะพยายามไปหาข้อเท็จจริง ไปพิสูจน์เพื่อที่จะได้ทำตัวเป็นอีกาบอกข่าว ไปกราบเรียนให้หลวงพ่อ ฯ ท่านทราบ เผื่อจะเกี่ยวเนื่องกับท่าน จะได้ชวนหลวงพ่อ ฯ ให้พาไปนมัสการ


    ........จากการสืบเสาะจากท่านผู้รู้และจากหนังสือหนังหาที่เขาเขียนเล่าเอาไว้ จึงได้ทราบว่า หลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก เครื่องรางของขลังของท่านที่โด่งดังเป็นพิเศษก็คือ “เขี้ยวเสือ” ที่ท่านแกะสลักเป็นรูปเสือตัวเล็ก ๆ ว่ากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ขนาดตกลงไปในน้ำ ถ้าเอาเหยื่อ เช่น หมู ไปตก เสือที่แกะสลักนั้นก็จะคาบเหยื่อติดขึ้นมาทีเดียว แม่เจ้าโวย...อะไรจะปานนั้น...!!!

    ........ก็อย่างว่าแหละครับ ในสมัยนั้นผมชอบมากเรื่องฤทธิ์เดช สนุกยังกะเรื่องปลัดขิกของ หลวงพ่ออี๋ ฯ สัตหีบ ที่วิ่งตามเรือแม่ค้าปากจัด หรือเรื่อง ขรัวอีโต้ ฯ ลอยน้ำเลยทีเดียวเชียว แต่จากการสืบเสาะในที่สุดก็ทราบว่า ท่านมรณภาพไปนานแล้ว พอทราบเช่นนี้ความสนใจก็เลยหมดไป แม้แต่วัดบางเหี้ยก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เขาว่าอยู่แถวปากน้ำ (จ.สมุทรปราการ) แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไม่รู้แม้แต่วัดอยู่ที่ไหน ก็จบกัน ไม่สาวเรื่องและไม่ติดตามกันต่อไปอีก

    ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ผมย้ายไปรับราชการที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สมัยนั้นท่าน พล.ต.ต.ธวัชชัย ภัยลี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร ๑ เป็นสารวัตรใหญ่ ผมเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวน โรงงานและบ้านจัดสรรยังไม่ขึ้นเป็นดอกเห็ดเหมือนทุกวันนี้ การคมนาคมมีทางรถยนต์ คือถนนสายบางนา – ตราด ถนนเทพารักษ์ และถนนภายในตลาดบางพลีใหญ่เท่านั้น

    ในส่วนที่ติดกับถนนก็ไม่ใช่ว่าจะจอแจเหมือนทุกวันนี้ เรียกได้เลยว่าเปลี่ยวมาก มีผู้คนอยู่เป็นหย่อม ๆ พ้นจากถนนใหญ่เข้าไปจะมีหมู่บ้านอยู่เป็นระยะห่าง ๆ กัน ราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวนา แต่ละหมู่บ้านไม่มีถนน มีแต่คลองและคันนา ชาวบ้านใช้เรือเป็นพาหนะหลัก ถ้าจำไม่ผิดคลองที่มีชื่อเรียกมีจำนวนถึง ๑๐๖ คลอง

    คลองเล็กคลองใหญ่เหล่านี้สามารถลัดเลาะไปได้เป็นใยแมงมุม โดยทิศเหนือไปได้ถึง อ.จรเข้น้อย อ.ลาดกระบัง อ.มีนบุรี ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปถึงบางปะกง และอ.บ้านโพธิ์ (แปดริ้วหรือฉะเชิงเทรา) ทิศตะวันออก และตะวันตกเฉียงใต้ไปถึง ต.แพรกรักษา และต.บางปิ้ง อ.เมือง สมุทรปราการ

    และเป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อมีคนดีก็ต้องมีคนร้าย แต่กลุ่มแก๊งค์คนร้ายที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ก็ไม่มีแก๊งค์ไหนเกินกลุ่มโจรทางน้ำ ที่ผมขอเรียกว่า “สลัดน้ำจืด” ซึ่งมีอยู่ ๒ – ๓ กลุ่ม และเป็นพันธมิตรกัน พวกนี้นอกจากจะมีความช่ำชองพื้นที่ทางน้ำ ทางเรือแล้ว ยังมีนายทุนระดับเจ้าของโรงสี ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางคนสนับสนุนอีกด้วย ทำให้มีความเข้มแข็งไม่น้อย และยากยิ่งในการปราบปราม

    และต่อไปนี้เพื่อให้สามารถติดตามเรื่องได้โดยง่าย ผมจะขออนุญาตสมมติชื่อบุคคลเหล่านี้ให้เสียเลย จะได้ติดตามเรื่องได้โดยไม่สับสน ผมไม่กลัวมันหรอก แต่บางตัวยังไม่ตาย เพียงแต่อยู่ในคุก ดังนั้น ถ้าจะใช้ชื่อจริงก็เกรงว่าพวกมันจะรู้ไต๋ และวิธีการของผมมากกว่า

    และเพราะเชื่อว่า ในไม่ช้าก็จะต้องเจอกันอีกจนได้ เนื่องจากอาชีพมันบังคับให้ต้องพบปะกันเสมอ แต่อยู่กันคนละข้างมาโดยตลอด และคิดว่าสำหรับในคราวนี้ ผมก็จะไม่เล่าวิธีการทั้งของคนร้ายและของผมให้ละเอียดนัก ความจริงพิมพ์เอาไว้แล้วครับแต่ในตอนนี้ถือว่าเรื่องของเรื่องมันยังไม่จบเด็ดขาด จึงควรรอเอาไว้ก่อน (ท่านที่อยากรู้จริง ๆ ต้องรอไปงานศพของผม รับรองแจกแน่ เพราะผมได้สั่งการบุตรและภริยาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว)

    สลัดน้ำจืดเหล่านี้มีแก๊งค์ใหญ่ ๆ อยู่ ๔ แก๊งค์คือ แก๊งค์ไอ้เขียว ฯ แก๊งค์ไอ้แดง ฯ แก๊งค์ไอ้ขาว ฯ และแก๊งค์ไอ้หนูผี ฯ

    ไอ้เขียว ฯ นั้นเดิมเป็นหัวหน้าแก๊งค์ใหญ่ มี ไอ้แดง ฯ เด็กรุ่นหลังเป็นมือขวา ต่อมา ไอ้แดง ฯ แยกตัวออกไปและกลับเป็นกลุ่มแก๊งค์โจรลูกทุ่งที่ดังกว่าครูโจร (ครูโจรนะครับ ไม่ใช่ครูเพลง) ต่อมา ไอ้แดง ฯ ไปฉุดลูกสาวผู้ใหญ่บ้านมาเป็นเมียน้อย ทีนี้เมียของผู้ใหญ่บ้านก็ดันเป็นพี่สาวของ ไอ้หนูผี ฯ รุ่นเก๋าอีกคนหนึ่ง ไอ้แดง ฯ กับ ไอ้หนูผี ฯ ก็ต้องนับญาติกันไปโดยปริยาย

    โดย ไอ้หนูผี ฯ รับหน้าเสื่อเป็นสายคอยสืบข่าวและส่งข่าวของทางราชการให้กับ ไอ้แดง ฯ ตลอดจนรับติดต่อกับบรรดานายทุนที่ต้องการจะกำจัดคู่ต่อสู้ที่ขัดแย้งกันในเชิงการค้า เรียกว่า กินหัวคิวจากไอ้แดง ฯ อีกทอดหนึ่ง

    ในตอนที่ ไอ้แดง ฯ กำลังดังนั้น ไอ้เขียว ซึ่งเป็นปรมาจารย์วางมือแล้วครับ แต่หูตาของมันยังแพรวพราว ยังมีแหล่งข่าวเป็นตาสับปะรดอยู่ เรียกว่าใครเป็นใคร ไปทำอะไร ที่ไหน ไอ้เขียว ฯ จะต้องรู้เรื่องเป็นอย่างดี เพียงแต่เสือไม่กินเนื้อเสือกันเท่านั้น และ ไอ้แดง ฯ ก็นับว่าเป็นลูกเสือที่ ไอ้เขียว ฯ เคยฟูมฟักมาก่อน

    ที่ ไอ้เขียว ฯ ยังมีหูตาอยู่ ภายหลังที่ผมคุ้นเคยกับมันแล้วจึงได้ทราบหลักการของมัน อันที่จริงก็เป็นหลักการเก่าแต่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ คือ ไอ้เขียว ฯ จะไม่ยอมปล้นหรือฆ่าคนบ้านเดียวกันโดยไม่จำเป็น เรื่องปล้นนั้นยกให้ได้เลยว่ายังไง ๆ ไอ้เขียว ฯ ก็ไม่ทำ แต่เรื่องฆ่าอาจจะมีถ้าคิดตรงกัน

    ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่บ้านหรือละแวกใกล้เคียงบ้านของมัน ชาวบ้านแทบจะเรียกได้ว่ารักมันเสียด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันกับมันแล้วละก็ ไอ้เขียว ฯ จะอ่อนน้อม ยิ้มแย้มโอบอ้อมอารี มีมารยาทดีเสมอกับลูกบ้านของมัน แถมบางครั้งเมื่อปล้นคนบ้านอื่นมาได้มาก ๆ ไอ้เขียว ฯ จะซื้อของติดไม้ติดมือไปแจกชาวบ้านบ้านเดียวกับมันเสมอ ไม่ทราบว่ามันจะเอาอย่างโรบินฮู้ดหรืออย่างไร และไม่ทราบว่าหลักการของโจรผู้ดีเมืองอังกฤษไหงมาตรงกับหลักการของโจรลูกทุ่งอย่างไอ้เขียว ฯ ไปได้ แต่ก็นับว่าเป็นหลักการที่ใช้ได้ผล

    อีกแก๊งค์หนึ่ง คือ แก๊งค์ไอ้ขาว สำหรับไอ้ขาว ฯ นั้น ผมค่อนข้างจะรู้จักมันน้อย ทราบแต่ว่ากำลังเป็นดาวรุ่งอยู่เหมือนกัน แต่อยู่ทางบางบ่อ ว่ากันว่าฝีมือของไอ้ขาว ฯ จะสะอาด นิ่มนวล และผู้ดีกว่าแก๊งค์อื่น ๆ

    ในช่วงระยะเวลาที่ผมรับราชการอยู่ที่ สภ.อ.บางพลีนั้น มีคดีปล้นและฆ่าโดยสลัดน้ำจืดเกิดขึ้นมาก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคดีประจำวัน ประจักษ์พยานที่เป็นชาวบ้านส่วนใหญ่ปากปิดสนิท มีไม่กี่คนที่ยอมบอกเล่า แต่ถ้าจะให้สอบสวนกันอย่างเป็นทางการแล้ว เมินเสียเถิด เพราะชาวบ้านไม่เชื่อว่าพวกผมจะให้ความคุ้มครองเขาได้ ซึ่งผมก็เห็นใจเขา และยอมรับว่าตำรวจเราสมัยปัจจุบัน ยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนชาวบ้านน้อยเกินไป ซึ่งเป็นเพราะองค์ประกอบอะไร ๆ หลายอย่าง ซึ่งผมไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้

    การไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน ทำให้ผมสูญเสียเวลาและความเหนื่อยยากไปเปล่า ๆ หลายสิบคดี เรียกว่าเท่าที่พอจะสืบสวนได้ว่าใครเป็นใครแค่นั้นก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ตำรวจไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ไม่เห็นหนทางที่จะว่ากันตรง ๆ ตามตัวบทกฎหมายอีกต่อไปแล้ว ลืมได้เลย แต่หนทางที่เลือกก็ไม่ใช่ว่าง่าย เพราะเราไม่รู้เขาเลย มีแต่เขาที่รู้เราตลอด ผมให้ลูกน้องไปตามไอ้เขียว ฯ มาพูดคุยเพื่อหว่านล้อมให้มันเป็นพวก มิฉะนั้น ผมจะบีบ แหม...อยากให้เห็นท่าทางของไอ้เขียว ฯ จริง ๆ มันก้มลงกราบ น้ำตาคลอ นัยว่าตื้นตันที่ทางราชการให้ความสำคัญและไว้เนื้อเชื่อใจมัน มันยินดีจะรับใช้ทุกอย่างอย่างสุดหัวใจ

    เจ้านายของผมนั้นหลงเลยครับ ขนาดหาปืนให้ไอ้เขียว ฯ เอาไว้ใช้เป็นเขี้ยวเล็บสำหรับในการช่วยเหลือราชการของมัน ไอ้เขียว ฯ จะไปมาหาสู่ไม่เคยขาด มีสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาคนยากคนจน แต่ติดไม้ติดมือมาฝากไม่เคยขาด เมื่อเรือไอ้เขียว ฯ มาจอดที่ท่าน้ำบ้านผม เสียงเรือจะทำให้ผมต้องออกไปดูว่าใครมา พอไอ้เขียว ฯ เห็นผม ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่แต่ไกล ไอ้เขียว ฯ จะทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นถนนก้มลงกราบแต่ไกลเชียว ช่างนอบน้อมน่ารักเสียไม่มี

    แต่เมื่อเชื้อเชิญให้ขึ้นมาพูดคุยกันบนเรือนอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว ไอ้เขียว ฯ ไม่เคยคืบหน้าในเรื่องการหาข่าวเลยครับ มันจะปฏิเสธและเลี่ยงความรับผิดชอบไปได้อย่างสวยสดทุกครั้ง เรียกว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันรู้แต่ไม่ยอมบอก ก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ต้องทนคบกับมันต่อไปโดยที่มันจะรู้เราตลอด มันรู้พวกโจรด้วยกันโดยตลอด แต่เราไม่เคยรู้อะไรจากมัน

    ผมงี๊...อยากจะกระทืบมันให้คาตีน แต่เพราะความที่มันฉลาดพูด มันจึงเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้ง และทำให้ผมเกิดความท้อใจว่า งานปราบโจรครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้ามองเผิน ๆ ผมอาจจะดูเหนือกว่ามัน เพราะมันจะต้องพูดจาอ่อนน้อมกับผม เรียกผมว่า เจ้านาย ทุกคำ แต่ภายในผมรู้ดีว่ามันนั่นแหละที่เหนือว่าผม เขาเรียกว่า “เหนือกว่าในเชิงนักเลง”

    แม้ผมจะครุ่นคิดหาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเวลาและวารีไม่เคยเปิดโอกาสให้กับผมเลย จนกระทั่งในวันหนึ่ง ผมได้รับการยืนยันว่า ก่อนหน้าที่ผมจะเรียกไอ้เขียว ฯ มาขอความร่วมมือนั้น ไอ้เขียว ฯ รู้ตัวก่อนแล้ว ไม่ทราบว่าข่าวรั่วได้อย่างไร นอกจากที่มันจะรู้ตัวล่วงหน้าแล้ว มันยังทราบประวัติของผมพอสังเขป แถมยังได้เคยมีการวางแผนมาดูตัวผม ในงานของชาวบ้านแห่งหนึ่งที่ผมไปร่วมงานด้วยเป็นการล่วงหน้าอีกด้วย

    เรียกว่าไอ้นี่หัวเสธ ฯ หรือหัวหมอไม่เบา เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ทำให้ผมสามารถประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้องขึ้น และท่ามกลางความเวิ้งว้างของความหมดหวังก็ยังเห็นช่องทางเล็ก ๆ คือทำให้พอจะมีแนวทางนิดหน่อย และทำให้ผมประเมินได้ว่า ไอ้เขียว ฯ นั้นแม้จะยังไม่มีความจริงใจให้กับผม แต่ความสนใจที่มันมีต่อผมเป็นพิเศษมากกว่านายตำรวจคนอื่น ๆ เป็นจุดอ่อนของมัน ที่ผมมองว่ามันเกรงบารมีผมอยู่บ้าง

    ซึ่งแค่นี้ก็เป็นการเพียงพอสำหรับผมแล้วที่จะดำเนินการตามแผนต่อไป เพราะในเรื่องของใจนักเลงแล้ว ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่เกรงบารมีเราแล้วก็หมดหนทางที่จะซื้อใจกันต่อไป สู้เก็บเสื้อผ้ากลับไปนอนกกลูกกกเมียให้สบายใจดีกว่า สรุปว่าผมมีหนทางที่จะเอาใจซื้อใจไอ้เขียว ฯ ให้มาเป็นพวก แต่การดูใจซื้อใจกันต้องใช้เวลา แบบที่เรียกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ถ้ามัวรอเวลาและสร้างสถานการณ์ ราษฎรของผมถูกปล้นถูกฆ่าทุกวัน ผมรอไม่ได้ (จึงจำต้องเร่งสถานการณ์เสียเอง) ผมคิดว่างานของผมจะสำเร็จได้ก็โดยทำให้

    ๑. ไอ้เขียว ฯ บาดหมาง หรือขัดแย้งกับไอ้แดง ฯ
    ๒. ชาวบ้านเกลียดไอ้แดง ฯ

    แต่ทำอย่างไรล่ะครับ ทั้ง ๒ ประเด็นนี้ จึงจะเป็นจริงขึ้นมา ขอเว้นไม่กล่าวถึงวิธีการนะครับ ให้ทราบแต่เพียงหลักการ เอาเป็นว่าในที่สุดชาวบ้านก็เริ่มเกลียด ไอ้แดง ฯ เพราะ ไอ้แดง ฯ ไม่เว้นที่จะปล้นชาวบ้านในละแวกหมู่บ้านของตนเองอีกต่อไป ไอ้เขียว ฯ กับไอ้แดง ฯ ก็ขัดแย้งกันจน ไอ้แดง ฯเข้ามาลอบยิงถูก ไอ้เขียว ฯ ขาเป๋ไปข้างหนึ่งถึงที่บ้าน

    ทำให้ ไอ้เขียว ฯ ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานอีกต่อไป และไม่มีทางเลือกทางอื่น จำเป็นที่จะต้องเลือกผม (พอขาเป๋ด้วยกันแล้ว เข้ากันได้ดีเชียวครับ) เมื่อชนะใจ ไอ้เขียว ฯ ได้ซิง ๆ ทีนี้ข่าวโจรผมไม่ต้องเคี่ยวเข็ญติดตาม ไอ้เขียว ฯ จะรายงานให้ทราบทุกระยะ ใครเป็นใคร ประวัติอย่างไร ไปปล้นไปฆ่าใครที่ไหน ไม่ต้องถาม ไอ้เขียว ฯ เล่าเอง ก็ ไอ้เขียว ฯ จะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่อมันนั่นแหละที่เป็นหัวหน้าใหญ่
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ปราบจอมโจรสลัดน้ำจืด

    ...........เมื่อเหนือกว่าในเรื่องการข่าวและการปกครอง ทีนี้ผมก็สบาย สามารถสอยพวกของ ไอ้แดง ฯ ร่วงผล็อย ๆ เป็นใบไม้ร่วง และ ไอ้แดง ฯ ก็แทบจะหมดอิทธิพลอย่างสิ้นเชิงในเขตการปกครองของผม แต่ขึ้นชื่อว่าไอ้เสือ ฯ ไม่ใช่ม้าหรือหมานี่ครับ ไอ้แดง ฯ กลับไปสร้างอิทธิพลรอบนอกแถว อ. บางบ่อ กับ อ. ลาดกระบัง เรียกว่าฐานในอ่อน แต่ฐานนอกยังแข็งและมีแนวร่วมไม่น้อย

    เฉพาะที่ อ. ลาดกระบัง ไอ้แดง ฯ ได้ไอ้ผู้ใหญ่บ้านโจรกับไอ้สารวัตรใหญ่โจรสนับสนุน ที่ อ. บางบ่อ สารวัตรใหญ่เป็นรุ่นพี่ของผม ซึ่งท่านก็เกรงใจทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายโจรแกก็ไม่อยากยุ่ง ฝ่ายปราบโจรแกก็ไม่อยากยุ่ง วางตัวเป็นกลาง ใครให้เงินก็เอา ไม่ขัดใจคนให้ ตำรวจแบบนี้มีเยอะ แต่ก็เรียกว่ายังได้อาศัยมากกว่าที่ กิ่งอ. จระเข้น้อย (ลาดกระบัง)

    สำหรับฝ่ายผม เมื่อได้ ไอ้เขียว ฯ มาเป็นพวกทั้งกายและใจแล้วก็เรียกได้ว่าฐานในเราแข็ง เมื่อฐานในแข็งเสียแล้ว เราก็สามารถขยายฐานออกไปรอบนอกด้วยวิธีเดียวกัน อิทธิพลของ ไอ้แดง ฯ กับพวกก็หดสั้นลง ๆ

    ในที่สุด ไอ้ขาว ฯ บางบ่อก็เริ่มเดือดร้อน สมองโจรของมันคงจะคิดเช่นเดียวกันกับผม คือ เมื่อก่อนมันได้ ไอ้เขียว ฯ เป็นพันธมิตร มันสามารถอยู่สุขสบาย พอ ไอ้เขียว ฯ กลับกลายมาเป็นพันธมิตรกับผม พวกมันก็เดือดร้อน ยิ่งมีข่าวที่เจตนากระพือออกไปว่า ผมกับ ไอ้เขียว ฯ แน่นแฟ้นกันขนาดกำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน กลุ่ม ไอ้แดง ฯ กับ ไอ้ขาว ฯ รวมทั้ง ไอ้หนูผี ฯ ระส่ำระสายไปเลย

    ( ไอ้เขียว ฯ มีลูกสาวสวยครับ กำลังรุ่นกะเตาะสิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ ไอ้ผมก็เช้าถึงเย็นถึง เอาลูกเป็ดไปให้ไอ้เขียว ฯ เลี้ยงเป็น Sideline อาหารสัตว์ผมก็ส่งเสียให้ อะไรขาดเหลือผมก็ดูแล ไอ้เขียว ฯ เองผมก็เรียกว่า “พ่อเขียว ฯ” เมียไอ้เขียว ฯ ผมก็เรียก “แม่” ทุกคำ ไอ้เขียว ฯ กับนังเมียพูดยกย่องผมเสมอว่า ผมนั้นน่าจะมีอะไร ๆ ดี ๆ อยู่ในตัว เพราะก่อนหน้านั้น ไอ้เขียว ฯ ชัวร์มากเลยว่า ไอ้แดง ฯ ไม่มีวันที่จะกล้ามาวัดรอยเท้าเสือของมัน

    แต่ผมได้ทำนายและท้าพนันกับ ไอ้เขียว ฯ ไปว่า วันหนึ่งและเร็ว ๆ นี้ ไอ้แดง ฯ จะต้องคิดฆ่า ไอ้เขียว ฯ แน่นอน แต่ ไอ้เขียว ฯ จะไม่ตายและอาจจะพิการเหมือนกันผม และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ซึ่งไม่ทราบว่าอะไรทำให้ผมพูดทำนายไปเช่นนั้น แถมยังแม่นราวกับตาเห็นแน่ะครับ แบบนี้ใครถ้าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ซึ่ง ไอ้เขียว ฯ ก็เช่นกัน มันต้องยอมซูฮกผม

    ยิ่งไปกว่านั้น พอตกเย็นชาวบ้านชาวช่องที่นั่งเรือผ่านบ้านของ ไอ้เขียว ฯ จะเห็น อีนก ลูกสาว ไอ้เขียว ฯ นั่งอยู่ที่หัวบันไดท่าน้ำหน้าบ้านทุกวัน ชะเง้อชะแง้กระสับกระส่ายเหมือนกับจะรอคอยคนรัก เมื่อถูกถาม อีนกก็ว่ามันนั่งคอยผม เมื่อผมไปถึงบ้าน ไอ้เขียว ฯ อีนก ก็จะรื่นเริงเป็นพิเศษหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้ ข่าวนี้จึงเชื่อถือได้ว่า ในไม่ช้า ไอ้เขียว ฯ คงจะได้เป็นพ่อตาของผมแน่ ๆ

    แต่ความจริงแล้ว เรื่องนี้มันมีความจริงที่เป็นความลับซ่อนเร้นอยู่ ประเดี๋ยวจึงจะขยายความให้ฟัง ในตอนนี้ติดตามอ่านเรื่องแก๊งโจรสลัดน้ำจืดไปก่อน เรื่อง อีนก ลูกสาวแสนสวยของ ไอ้เขียว ฯ เอาไว้ก่อน เดี๋ยวมาน่า...ไม่ลืมหรอกครับ

    ฝ่ายผมซึ่งมี ไอ้เขียว ฯ เป็นพันธมิตร ทำสงครามกับ ไอ้แดง ฯ ซึ่งมี ไอ้ขาว ฯ กับ ไอ้หนูผี ฯ เป็นพันธมิตรอย่างไม่เลิกรา เรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเหงือกต่อเหงือก มันปล้นฆ่าพวกผม ผมปล้นฆ่าพวกมัน เอ๊ย...ไม่ใช่ ผมตามล่าตามจับพวกมันต่างหาก แหม...พูดเพลินไปหน่อย ผมเป็นตำรวจจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร ยิงกันไปยิงกันมาไล่ล่ากันเหมือนหนังไทย ตำรวจที่เคยซุกหัวเอาแต่นอนหลับทับหน้าที่จนหลังเป็นกระดานก็เริ่มตื่นตัว

    มือดี ๆ ทั้งจากโรงพักของผมเองและในละแวกใกล้เคียงมาอยู่กับผมหมด ฐานอำนาจของผมแน่นแฟ้นแข็งเปรี๊ยะ แต่ก็ยังล้มแก๊งโจรไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่วิสามัญไปแล้ว (นับสิบราย) อย่างมากก็เป็นลูกน้องและมือตีนของพวกมันเท่านั้น ตัวหัวหน้ายังไม่ได้แอ้มมัน แต่ก็เรียกว่าเราเริ่มเป็นฝ่ายรุกแล้ว

    ในที่สุด ไอ้ขาว ฯ ก็อดรนทนไม่ได้ มันเริ่มต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังกับผม ในทางบ้านเมืองเริ่มมีการร้องเรียนผมกับพวกว่า ตำรวจปฏิบัติการหฤโหด ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ ไอ้ขาว ฯ ช้ากว่าผมเป็นศตวรรษ เพราะผมได้เข้าพบและรายงานนายระดับสูง ๆ ให้ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับแผนการต่าง ๆ ที่จะล้มแก๊งโจรเอาไว้ก่อนแล้ว และได้รายงานให้ท่านทราบความคืบหน้าอย่างลับ ๆ ทุกระยะ

    อัยการจังหวัด มารับประทานอาหารที่บ้านของผมทุกอาทิตย์ ผมก็จะสอดแทรกสถานการณ์โจรในพื้นที่ให้ท่านได้รับความจริงอยู่ตลอดเวลา (สมัยนั้นการวิสามัญฆาตกรรมไม่ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้อง แค่พนักงานอัยการมาร่วมในการชันสูตรพลิกศพและเซ็นชื่อให้ก็จบแล้ว)

    ในท้องที่อ.บางพลี มีร้านอาหารอร่อย ๆ อยู่หลายร้าน คณะท่านผู้พิพากษา มักจะมารับประทานอาหารกลางวันกันบ่อย ๆ ผมก็จะไปร่วมและดูแลอย่างใกล้ชิด ท่านหัวหน้าศาล จึงได้ทราบเหตุการณ์เป็นอย่างดีจากผมล่วงหน้าเสมอ ว่าอะไรเป็นอะไร

    ท่านนายอำเภอ นั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกเย็นท่านจะรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านของผม และได้รู้เห็นการกระทำของผมทุกขั้นตอน ไม่ต้องเล่าให้เสียเวลาจนท่านไว้วางใจ ได้มอบการปกครองและดูแลกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอ.ส. ให้กับผมอย่างไม่เป็นทางการ

    สารวัตรใหญ่ ของผมท่านมีฐานะดี ค่าใช้จ่ายในการปราบโจรท่านเป็นผู้รับภาระทั้งหมด เรื่องรีดไถก็ไม่มีเลย ทำให้ชาวบ้านนิยมนับถือ และเป็นที่เชื่อถือของผู้หลักผู้ใหญ่ พูดคำไหนคำนั้น แบบนี้แล้วอะไรจะเหลือ หนังสือร้องเรียนเป็นบัตรสนเท่ห์จึงมาอยู่ในมือของผมหมด มีเวลาเตรียมการต่อสู้และแก้ไข

    และได้มีโอกาสพินิจพิจารณาจนพบว่า หนังสือร้องเรียนเหล่านี้มาจากแหล่งที่เดียวกัน ผู้เขียนมีการศึกษาสูงพอสมควร เขียนมีหลักมีเกณฑ์ แต่ที่น่าสงสัยก็คือ ทำไมจึงรู้เรื่องโจรได้ดีนักราวกับเป็นโจรเสียเอง ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้อีกที่โจรลูกทุ่งจะมีการศึกษาถึงระดับนี้ได้ ซึ่งผมก็เก็บความสงสัยนี้เอาไว้มาโดยตลอด

    การตามล้างตามล่าระหว่างผมกับแก๊งโจรดำเนินเรื่อยมา ระยะนั้นเองก็มีเรื่องฮือฮาเกิดขึ้น กล่าวคือ พวกเราตำรวจกระสากลิ่นเสือได้ข่าวว่า ไอ้ขาว ฯ จะข้ามถิ่นเข้ามาปล้นในเขต จึงได้จัดเวรไปดักซุ่ม ฯ ผมไปซุ่มรออยู่เสียหลายวันเสียเลือดให้ยุงกินเป็นขวด ไอ้ขาว ฯ ก็ไม่มาเสียเลือดให้ผม จึงสับเปลี่ยนให้อีกชุดหนึ่งซุ่มต่อไป

    พอผมกลับ ไอ้ขาว ฯ ก็เข้าปล้น ก็เหมือนหนังไทยอีกเช่นเคย วิ่งไล่ล่ากันด้วยเรือหางยาว เล่ากันว่า ไอ้ขาว ฯ ยืนซิ่งเรือหางยาวหนีตำรวจราวกับขับรถแข่งฟอร์มูล่าวัน การขับเรือหางยาวนั้น ถ้าขับซิ่งซิกแซกแล้วต้องยืนขับจึงจะคล่องตัว แต่มีจุดอ่อนตรงที่ว่าเป็นเป้าให้ฝ่ายติดตามยิงถูกได้โดยง่าย
    ปรากฎว่า ตำรวจยิง ไอ้ขาว ฯ ด้วยเอ็ม ๑๖ เป็นชุด กระสุนถูกเข้าที่กลางหลัง เสื้อที่สวมใส่อยู่ขาดกระจุยกระจาย ไอ้ขาว ฯ หัวทิ่มคาลำเรือที่เสือกหัวเกยอยู่ที่พงอ้อข้างคลอง
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    จุดจบจอมโจร

    ……ตำรวจพากันร้องไชโยโห่หิ้วลั่นคลองราวกับมีงานบวชนาค แต่แล้วก็ต้องเหวอรับประทาน หลังจากหลงดีใจอยู่ได้ไม่ถึงนาที เพราะปรากฎว่า ไอ้ขาว ฯ ลุกขึ้นมาได้ขับเรือหนีต่อไปอีก ส่วนตำรวจมัวแต่ดีใจจึงดับเครื่องเรือ ซึ่งกว่าจะสตาร์ทเครื่องเรือติด ไอ้ขาว ฯ ก็ไปลิบโลกแล้ว
    และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำให้ตำรวจตกใจเสียขวัญไม่ยอมตามกันต่อไปอีก นายตำรวจที่ไปด้วยเล่าว่า ได้หยุดเรือดูจุดที่ ไอ้ขาว ฯ ถูกยิง เห็นมีแต่เศษผ้าจากเสื้อลอยน้ำอยู่ ไม่มีร่องรอยโลหิตแม้แต่น้อย ได้เก็บเอาเศษเสื้อมาเป็นประจักษ์พยานด้วย

    ข่าว ไอ้ขาว ฯ หนังเหนียวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเพลี้ยลงไร่ลงนา ลือไปลือมา ไอ้ขาว ฯ แทบจะเหาะหนีตำรวจไปได้ และเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตำรวจชุดของผมท้อแท้พอควร ผมก็ได้พยายามปลุกปลอบให้ขวัญกำลังใจไปตามเรื่องตามราว โดยได้ทำพิธีตัดไม้ข่มนาม และพิธีโองการแช่งน้ำ โดยเอาน้ำไปเจิมลูกกระสุนปืนแล้วแช่งชักหักกระดูก ขอให้ผู้ที่ประพฤติชั่วแต่มีเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหนังยุ่ย ปรากฎว่าก็ได้ผลครับ…

    คือ…ลูกกระสุนปืนของผมหายหมดบ้าน ได้ความว่าลูกน้องมาขโมยไปหมด ก็จะเอาไปใช้ปราบโจรน่ะครับ ความจริงไม่ต้องขโมย ไม่ต้องขอก็จะให้ แต่ไม่ทราบว่าเขาถือเคล็ดอะไรว่าไม่ขลัง ต้องขโมยจึงจะขลัง และก็เป็นเรื่องตลกแต่ไม่ขำและหัวเราะไม่ออกครับ วิธีขโมยก็แปลกคือ ปีนขึ้นมาบนบ้านผมในตอนดึก ครั้นพอผมกระแอมเตือน เขาก็ร้องบอกเสียงดัง ๆ ว่าเขาชื่ออะไร และบอกด้วยว่าเข้ามาขโมยลูกปืนครับ

    แล้วก็ไม่ได้เข้ามาขโมยพร้อม ๆ กันนะครับ ผลัดกันเข้ามาเอา ผมเลยไม่ต้องนอนทั้งคืน รายหลัง ๆ ผมจึงเอามาไว้ที่ชานเรือนเลยครับ พอได้ยินเสียงกุกกัก ก็บอกไปดัง ๆ เลยว่า ลูกปืนวางไว้ที่ชานบ้าน ตามสบายนะ เขาก็ไม่ตอบอะไร แต่เสียงหัวเราะกันคิกคัก ๆ เฮ้อ…ชาวเอ๋ย ชาวบ้าน แต่ก็น่ารักดีนะครับ ขโมยแบบนี้ ก็เป็นอันว่าไล่ล่ากันต่อไปแต่ก็ไม่ได้ตัวซักที

    แต่แล้วในที่สุด ไอ้ขาว ฯ ก็สิ้นชื่อครับ มาติดสายไฟดักที่หลังบ้าน ไอ้เขียว ฯ มือขวากำสายไฟ มือซ้ายกำเอ็ม ๑๖ อยู่ในมือ เรียกว่า ปลาใหญ่ตายน้ำตื้นครับ ตรงที่ ไอ้ขาว ฯ มาตายน้ำตื้นจริง ๆ ครับ น้ำแค่เอวเท่านั้น ชื้น ๆ เปียก ๆ แบบนั้น โดนสายไฟแรงสูงอะไรจะไปเหลือ

    เมื่อได้รับรายงาน ผมก็นำหมอจากโรงพยาบาลไปด้วย เมื่อคณะของผมไปถึง ไอ้ขาว ฯ กำลังจะขาดใจตาย พอผมเห็นหน้า ไอ้ขาว ฯ ก็ตกใจ ปรากฎว่า ไอ้ขาว ฯ เป็นคน ๆ เดียวกับครูขาว ครูชั้นโทโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่งในเขตอ.บางบ่อ ที่ผมเคยรู้จักมาก่อน

    เคยสังเกตว่าเป็นครูที่หัวคิดออกจะทันสมัยเอียงซ้ายนิด ๆ หน้าตาดีเรียกว่ารูปหล่อ ท่าทางดี แต่งเนื้อแต่งตัวทันสมัย ตัดผมเผ้าสะอาดเรียบร้อย ไหงกลายร่างเป็นโจรไปได้

    ก่อนสิ้นลมหายใจประงาบ ๆ ไอ้ขาว ฯ ขอขมาผม รับสารภาพอยู่ในอ้อมแขนของผมว่า มันคือ ไอ้เสือขาว ฯ ที่ผมต้องการตัวนั่นเอง ที่มันต้องเป็นโจรนั้นเป็นเรื่องยาว แต่ไม่มีโอกาสเล่าให้ผมฟัง หนังสือร้องเรียนนั้นมันนั่นเองที่เป็นคนรจนาส่งไป ตอนที่มันสารภาพ ทั้งพ่อแม่พี่น้องของมันก็ล้อมรอบอยู่ มันให้ผมถอดสายสร้อยทองคำออกมาจากคอของมัน สายสร้อยนั้นมันให้แม่ แต่เครื่องของขลังมันยกให้ผม มันเล่าว่าเป็นของปู่ให้มัน เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ที่มันถูกยิงหลายครั้งแต่ไม่เข้าก็เพราะสิ่งนี้ ของสิ่งนั้นก็คือ “เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย” นั่นเอง

    จบเรื่อง ไอ้ขาว ฯ แล้วครับ อะไรนะ…ยังไม่จบ อ๋อ…ยังไม่จบ ยังค้างเรื่อง ลูกสาวไอ้เขียว ฯ ที่คนเขาลือกันว่า เป็นเมียน้อยของผมน่ะหรือครับ ความจริงมีอยู่ว่า…
    อีนก ลูกสาว ไอ้เขียว ฯ มันไม่มีอะไรกับผมหรอกครับ มันผูกสมัครรักใคร่อยู่กับ ไอ้พร วัยรุ่นคราวเดียวกัน ลูกน้องอยู่ในบ้าน ไอ้เขียว ฯ นั่นเอง และลักลอบได้เสียกันไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ผมบังเอิญไปพบความลับอันนี้เข้าโดยบังเอิญ ที่เพิงเลี้ยงเป็ดชายทุ่งหลังบ้าน ไอ้เขียว ฯ ซึ่งทั้งสองขอร้องให้ผมปกปิดความลับนี้ให้ด้วย ไม่งั้น ไอ้เขียว ฯ เอาตายแน่

    เพราะฉะนั้น ที่ อีนก ตั้งตารอคอยผมราวกับเป็นคนรักของมัน เพราะว่าเมื่อผมไปถึงบ้าน ไอ้เขียว ฯ ๆ ก็จะต้องหาข้าว หาปลา สุราอาหาร มาต้อนรับขับสู้ และก็จะต้องใช้ให้สองคนนี้ไปซื้อหา แต่ของที่ผมต้องการและเรียกหาให้ ไอ้เขียว ฯ ใช้คนไปซื้อหาให้นั้น ผมได้ซื้อติดเรือมาก่อนแล้ว และได้แวะเอาซุกไว้ข้าง ๆ เพิงวิมานของ ไอ้พร กับ อีนก ก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน

    พอผมเรียกจะเอา ไอ้เขียว ฯ ก็ต้องใช้ อีนก กับ ไอ้พร นั่นแหละ ให้เอาเรือไปซื้อ มันสองคนก็มีโอกาสออกไปจู๋จี๋กันที่วิมานเล้าเป็ดนั่นเอง กะเวลาพอสมควรแล้วก็หิ้วของกลับบ้าน ทำทีว่าไปซื้อมาจากตลาด ก็เท่านั้นเอง อีนก จึงระริกนัก เวลาผมไปบ้านพ่อของมัน เรียกว่าคอยเฝ้าเชียวแหละ แต่ไม่ได้รอจะระริกกับผมหรอกครับ มันรอจะระริกกะ ไอ้พร ต่างหาก

    ทีนี้จบแน่ละครับ อ้าว ๆ… ยังไม่จบ อ๋อ…ให้ต่ออีกนิดก็ได้ครับ ต่อมาเมื่อได้ “เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย” มาเป็นสมบัติแล้ว ผมก็ออกสืบหาแหล่งที่มา ในที่สุดก็ได้ความว่า เดิมอ.บางบ่อ อยู่ไม่ไกลจากโรงพักบางบ่อหรอกครับ สมัยก่อนต้องนั่งเรือไป สมัยนี้รถยนต์เข้าถึงแล้วและแถวนี้ตัวเหี้ยก็เยอะจริง ๆ สมกับชื่อบางนี้ เพราะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ชนิดนี้จริง ๆ

    ต่อมาจึงมีคนหัวใส ซึ่งเดิมประกอบอาชีพเป็นหมองู จับงูขายส่งไต้หวัน ก็ได้เสริมอาชีพจับเหี้ยขายด้วยครับ เพราะหนังของมันราคาสูงมาก นัยว่าร่ำรวยไปเลยทีเดียว และเนื้อเค็มที่ตากแห้งเรียกกันว่า เนื้อแดดเดียวตามร้านอาหารป่าดัง ๆ สมัยนั้น ที่ว่าเป็นเนื้อชั้นดีราคาแพงนั้น ไม่ใช่เนื้อวัวหรอกครับ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเหี้ยจากบางบ่อนี่เอง

    ชื่อบางเหี้ยนี้ฟังไม่เป็นมงคล นายอำเภอท่านหนึ่งจึงคิดเปลี่ยน เผอิญขณะนั้น ชาวบ้านขุดดินขายให้เขาเอาไปถมที่ บ่อดินที่ขุดเอาเนื้อดินไปแล้วจึงนำมาใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลา เกิดเป็นตำนานปลาสลิดบางบ่อมาจนทุกวันนี้

    เมื่อมีบ่อขุดจำนวนมากมาย นายอำเภอท่านนั้นจึงเอามาตั้งเป็นชื่อใหม่ไปเสียเลย พ้นเคราะห์ไปที ส่วนท้องที่ใกล้เคียงกัน เดิมชื่อเดียวกันแต่อยู่ในเขตอ. ลาดกระบัง กทม. ก็ถูกเรียกใหม่ให้เพี้ยนไปว่า จระเข้น้อย อันว่าจระเข้ตัวเล็ก ๆ หรือจระเข้น้อย ก็คือไอ้ตัวพรรค์อย่างว่านี่แหละครับ ไม่ใช่อื่น และไม่ได้แปลว่า มีจระเข้อยู่ไม่มาก

    ส่วนตำบลจระเข้ในเขตอ.บางพลี พอกทม.เขามีจระเข้น้อย บางพลีก็เลยต้องมีจระเข้ใหญ่ เพื่อยืนยันว่าเป็นจระเข้จริง ๆ นะ ไม่ใช่จระเข้แบบที่ลาดกระบัง อะไรทำนองนี้ โรงพักจระเข้ใหญ่เมื่อก่อนเป็นโรงพักเล็กนิดเดียว จะไปก็ต้องไปทางเรือ เดี๋ยวนี้โรงพักใหญ่โต บ้านเมืองก็เจริญขึ้นมากไม่รู้ว่าใครเป็นใครไปแล้ว ใครที่ผ่านไปทางนั้นและแวะเที่ยว จะเอ่ยอ้างว่าเป็นพวกของผมก็ไม่ขัดข้องนะครับ คนเก่า ๆ จะกุลีกุจอต้อนรับทีเดียวเชียว

    ที่บางพลีนี้ยังมี หลวงพ่อโต ฯ วัดบางพลีใหญ่ ว่ากันว่าเป็นองค์พี่ของ หลวงพ่อโสธร นะครับ วันดีคืนดี จู่ ๆ ปูนที่ปั้นเป็นรูปองค์หลวงพ่อก็เกิดนิ่มขึ้นมาเสียเฉย ๆ เหมือนกับเนื้อคน คือไม่ใช่นิ่มอย่างเดียว แต่ยืดหยุ่นได้ เขาจึงเรียกชื่อท่าน “หลวงพ่อโต ฯ เนื้อนิ่ม” ถึงปีจะมีงานเทศกาล “โยนบัว” เขาจะเอาหลวงพ่อ ฯ ขึ้นเรือแห่ไปตามคลอง ชาวบ้านจะเตรียมดอกบัวไว้นมัสการ โดยเมื่อเรือที่อัญเชิญหลวงพ่อ ฯ ผ่านไป ก็จะโยนบัวขึ้นไปบนเรือหลวงพ่อสูงเป็นภูเขาเลากา น่าชื่นใจความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยเราจริง ๆ

    นอกจากนั้น ที่บางพลีก็ยังมี หลวงพ่อเผือก ฯ วัดกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังไม่รู้เรื่อง วัดอยู่ที่ถนนสายที่แยกจากสายบางนา – ตราด บริเวณก.ม. ๑๒ ตัดมาออกอ.ประเวศน์นั่นแหละครับ

    อ้อ…สำหรับกลุ่มแก๊งค์สลัดน้ำจืด ต่อมาก็ถูกอัปเปหิเข้าไปอยู่ในคุกในตะรางกันหมด ไอ้แดง ฯ โดนเข้าไปราว ๆ ๑๒๐ ปี ต่อมาทำซ่าแหกคุกออกมาแล้วก็โดนจับอีก ไอ้เขียว ฯ กรรมเก่าสนอง โดนคดีปล้นเก่า ๆ ที่แปดริ้ว ติดคุกราว ๆ ๖๐ ปี ไอ้หนูผี ฯ ก็หมดน้ำยา เหลือแต่ขนมจีนจืดไม่เป็นท่า ส่วนผม ย้ายไปชมแสงสีที่พัทยา ครับ

    ความจริงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ.บางพลีที่ผมประสบมายังมีอีกหลายเรื่องที่คิดว่าสนุก แต่กลัวว่าหนังสือเล่มนี้จะพิมพ์ไม่เสร็จทันเวลา เอาไว้รวมเล่มในหนังสือแจกงานศพของผมก็แล้วกัน ที่ว่าสนุกเพราะเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง เช่น เรื่องเสือสะอิ้ง พ่วงรอด มือปืนพันศพจากเพชรบุรี ที่ใช้ผ้าถุงแม่เป็นเครื่องรางของขลัง แต่มาโดนผมพิชิต (จับเป็น) ที่นั่น

    มีเรื่องการทดลองเครื่องรางแขกอิสลามกับเครื่องรางของพวกเราชาวพุทธ มีเรื่องบ่อนแตกที่บ่อนไก่ของ พี่มาลัย วัดกิ่งแก้ว ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะเชื่อมโยงเกี่ยวพันไปถึงเรื่องไอ้เสือต้อย บึงกระโดน หรือ ต้อยใหญ่ มือปืนร้อยศพ ที่โดนผมพิชิตอีกเช่นกัน (จับตาย) ตี๋ใหญ่ (คนนี้คนอื่นจับครับ) และคนอื่น ๆ เรื่องอื่น ๆ ซึ่งคงจะต้องรอเอาไว้รวมกันในคราวเดียว ใครอายุมากแล้ว อยู่ไม่ถึงงานของผมก็ขออภัยด้วยนะขอรับพระเดชพระคุณ…

    ..............................................
    ขอขอบคุณท่านผู้เขียนและผู้มีส่วนสนับสนุนในการเผยแพร่หนังสือเล่มนี้ทุกท่าน

    ข้อมูลนี้นำมาจากเวบ

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=459

    ขออนุโมทนาที่ได้เผยแพร่สู่วงกว้างมากขึ้นด้วยครับ
    ขอบพระคุณที่มา:- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=39054
     
  13. amsuthon

    amsuthon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,459
    ผมไปต่อคิวทันตอน 7 โมงเช้าครับ ได้ร่วมบุญบูรณะโบสถ์กับหลวงพ่อ มา 1 เส้น กับลูกอมสมเด็จองค์ปฐม กับล๊อกเก็ตครับ
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,281
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง //หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมะ ๑๒/ครบรอบ ๓๐ ปี การมรณะภาพของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อ

    นายสยาม เมืองใหม่
    Oct 31, 2022
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    572949_0.jpg

    โค๊ด ที่อยู่ด้านขวามือข้างรูปพระปัจเจกพระพุทธเจ้า บนเหรียญพระปัจเจกพระพุทธเจ้า จัดสร้างโดย ร.ร.พระสุธรรมยานเถระ เป็น อักษรขอมไทย ตัว "วิ" ครับ

    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
    วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย
    พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม


    572950.jpg
    573242.jpg
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    102444.jpg 159846.jpg 159847.jpg 159852.jpg


    อักษร บนลูกปัดเงินใน "กำไลมหาลาภ" วัดท่าซุง เป็นอักษรย่อจาก "สังข์สุวรรณ"

    เป็นนามปากกาและนามสกุลของหลวงพ่อท่านครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UP01qQJ92akXwDD_ZnmnGEPMWsYRdWHirBhh6imKBplk.jpg
    ป้าเชิญ(ป้าอัญเชิญ มณีจักรผู้เขียนหนังสือบันทึกของชาโดว์) และ ป้านิภา คงสุข(ใส่เสื้อสีม่วงด้านขวาของภาพ)

    ฝันกลางวันที่เยอรมันตะวันตก
    โดย ป้าอัญเชิญ มณีจักร (ป้าชาโดว์)


    เสาร์ 25 มิถุนายน 2531 หลังจากเช้าแล้วออกเดินทางจากลูเซิร์น โดยผ่านน้ำตกไรน์ ข้าพเจ้านั่งง่วงนอนมากแบบฝืนตัวเองไม่อยู่เหมือนถูกบังคับ

    คุณทนงพูดอะไรไม่รู้เรื่องจับใจความไม่ได้รู้แต่ว่ารถแล่นเข้าถ้ำบ่อย เขาสร้างทางลัดไม่ต้องอ้อมเขา นั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นกำลังงีบอยู่ ตกใจใครนะตัวใหญ่ยืนข้างหน้าลืมตาดูเห็นว่ารถกำลังแล่นในอยู่ในอุโมงค์ที่ไหนไม่รู้ ผีคงมีเรื่องอยากให้ทราบล่ะมั้ง จึงหลับตาทำสมาธิมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง คือแค่อุปจารสมาธิ เห็นผีกราบหลวงพ่อท่านซึ่งนั่งเก้าอี้ข้างหน้าของข้าพเจ้า มีคุณโชติวุฒิกับผู้การสถาพรนั่งคั่นที่นั่งเดียว

    ถามท่านว่าเป็นใคร

    ท่านบอกว่าเป็น ฮิตเลอร์

    ท่านบอกว่าเวลานี้เยอรมัน มีอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและทันสมัยที่สุดในโลก ไม่ใช่รัสเซียหรืออเมริกา

    นึกแผ่ส่วนบุญที่ทำมาแล้วในอดีตชาติปัจจุบันและจะทำอีกจนกว่าจะถึงพระนิพพานให้ท่านโมทนา คุยกับท่านแบบเอาใจ(อทิสสมานกาย)ถามเองตอบเอง แต่ท่านยังอยู่ข้างหน้า ท่านพาไปดูอาวุธ

    ทีนี้ก็เหมือนฝันกลางวันยังรู้ตัวว่าในรถเราทำอะไรกันบ้าง แต่ไม่สนใจเท่านั้นเอง โดยอาวุธอยู่ใต้ดินใกล้ภูเขาแบบซอกเขา เพราะมันไม่ใช่เขาลูกเดียว ฝาปิดเปิดแบบอะไรดีเรียกไม่ถูก ลองเอามือ สองข้าง กางนิ้วออกแล้วเอานิ้วสอดเข้าชนกันสลับนิ้วหนีบนิ้วสองมือก็จะติดแน่น เวลาที่จะเปิดก็เลื่อนนิ้วออกจากกันแนวตรงนะ ไม่ใช่กระดกขึ้น อาวุธที่อยู่ในนั้นลอยขึ้นมา แต่ละอย่างไม่ใหญ่อย่างที่เราเคยเห็น

    ตอนนั้นรู้ว่ามีอะไรจำนวนเท่าไรด้วย แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้วเพราะเป็นความลับของเขาและคิดว่าเราไม่รู้จริงจึงไม่จดไว้

    ข้าพเจ้ายังถามฮิตเลอร์ว่า หนุ่มเยอรมันที่ขับเครื่องบินเล็กไปจอดที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโคว์โดยเรดาร์จับไม่ได้ ไปเอาแร่ที่ดาว......(อังคาร) นั่นใช่ไหม ?

    ท่านตอบว่าใช่

    หลวงพ่อท่านเคยเขียนในหนังสือ "จุไรท่องเที่ยวดวงดาวต่างๆ" ท่านเขียนบอกว่า สงสัย คือไม่พูดตรงๆเกรงคนจะบาป

    ข้าพเจ้าเชื่อว่าจริงแต่ไม่แน่ใจ วันนั้นฮิตเลอร์ว่า จริง

    ท่านจึงพาไปดูอาวุธลับ 2-3 อย่างเท่านั้น ไม่เห็นมีกระบอกปืน มีแต่ปุ่มๆกดเอา มีคนนั่งได้อย่างมาก 2 คนเช่นจานบิน บางอย่างไม่มีที่นั่งยังกับของเด็กเล่น แต่สะอาดมันเป็นวับเลย

    ถามท่านว่าทำไมไม่มีกระบอกปืน แบบที่เราเคยเห็นทั่วไป ท่านบอกว่าเขาใช้แสงเอา

    ตอนที่ลงทานอาหารกลางวัน หลวงพ่อท่านคุยกับผู้การสถาพร กับคุณโชติวุฒิว่า ท่านก็ง่วงนอนมาก ระหว่างที่นั่งรถ ฮิตเลอร์กับสตาร์ลินก็มาคุยกับท่านด้วยว่าอะไรบ้างข้าพเจ้าไม่ได้ฟัง เพราะพอลงจากรถได้ก็รีบๆเดินหาซื้อมีดตราตุ๊กตาคู่ รู้มาตั้งแต่เด็กว่ามีดของเยอรมัน คมดีมาก เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ พี่ชอด้วย มีขายไม่กี่อันตั้งใจจะซื้อ หลายๆอันฝากแม่บ้านทั้งหลาย ไม่ได้ขนาดเข้าไปนั่งโต๊ะอาหาร ยังรีบๆกินแล้วออกไปหาใหม่

    ร้านอาหารเมืองนอกถ้าไม่นั่งโต๊ะเขาไม่เสิร์ฟซะด้วย ดีที่ว่าร้านติดๆที่กินข้าว มีมีดขายรีบบอกกล่าวกัน ต้องแลกเงินเยอรมันอีกวุ่นวายน่าดูเหมือนกัน ผู้หญิงดูท่าจะซื้อกันทุกคน มีดที่วางไว้ในตู้หมดเลย เศรษฐีไทยเหมาเกลี้ยง มีด กรรไกร เป็นของกุลสตรีไทยมิใช่หรือ จะได้ช๊อปปิ้งที่เยอรมันก็ตรงระหว่างทางนั้นแห่งเดียว ร้านมีอยู่ 5-6 ร้าน เท่านั้น จ้ำเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ข้าพเจ้าได้รถเบนซ์ 2 คัน เป็นแบบนั่งธรรมดากับแบบสปอร์ตของวัยรุ่นเอาไว้คุยเล่นโก้ๆว่าไปเยอรมันทีเดียวซื้อเบนซ์ 2 คันเลย ( เราก็อย่าบอกเขาว่ารถใส่ตู้โชว์)

    วันนั้นนั่งรถระยะยาว อาหารเย็นระหว่างทาง ถึงแฟรงค์เฟิร์ตค่ำแล้ว เข้าที่พักอยู่นั่นคืนเดียว กว่าจะนอนได้ก็ดึกแล้ว รื้อกระเป๋า จัดกระเป๋า ทุกวันชำนาญแน่ทัวร์ครั้งนี้ พวกยุโรปเขาพิถีพิถันกันในเรื่องแต่งกาย ไม่เหมือนไปอเมริกา เราจึงต้องหล่อไว้บ้างไม่ให้ขายหน้าชาติไทย

    คืนนั้น ก่อนนอนสวดมนต์แบบย่อๆหน่อย เอาบทไหนดี กันหลอกผี สงสัยผีมีเยอะโรงแรมเก่าๆแบบนี้ เยอรมันนี่ตอนสงครามโลกตายกันมาก ผู้มีบุญคงไม่ค่อยมานอนต้องกันไว้ก่อน ให้ดีๆ หนักเข้า พุทโธ ดีกว่าง่ายดี ทำสมาธิขั้นถึงที่สุดแล้วแผ่ส่วนบุญให้หมดเลยมีมากจริงๆ อย่ามากวนให้นอนไม่หลับนะท่าน ไม่งั้นเอาคืนด้วย ขอให้เจ้าที่ช่วยหลับให้สนิทๆด้วย แถมด้วยคาถา "ภะสัมสัมวิสะเทภะ" ขับไล่ด้วย

    ต่อด้วยบทเมตตาอีกเผื่อเราไม่แข็งจริง คาถาเมตตาที่หลวงปู่ปานใช้เป็นประจำคือ "พระอะระหังสุคโต ภะคะวา นะเมตตาจิต" หลวงพ่อท่านบอก

    คืนนั้นหลับสนิทไม่ฝันด้วย ตื่นตามเวลาคือตี 5 กว่าๆ พอดีกับที่ตั้งใจไว้ก่อนหลับ เข้าห้องน้ำล้างหน้าแต่งตัวจัดกระเป๋า แล้วเข็นออกไปไว้หน้าห้อง ลงไปทานอาหารเช้าตามเวลานัด หลวงพ่อท่านและพระติดตามไปฉันที่ห้องอาหารของโรงแรมทุกเช้าเหมือนกัน ที่นั่งเป็นชุดๆจำกัด ผู้หญิงจึงไม่เหมาะจะเข้าไปใกล้ จึงไม่ค่อยได้ยินว่าหลวงพ่อท่านคุยอะไรบ้างเรื่องในอดีตชาติ

    ท่านเคยพูดก่อนเดินทางว่า ท่านไปยุโรปจะฟื้นอดีต ข้าพเจ้ากับพี่ชอคิดกันว่า ท่านคงหมายถึงไปโปรดพวกบริวารเก่าที่เคยเกิดร่วมกันในอดีตชาติที่ยังตกค้างอยู่ เพราะชาตินี้ท่านลาพุทธภูมิแล้ว ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกนะ

    เช้านั้นท่านฉันสร็จไปนั่งที่เก้าอี้หมู่ คอยเวลารถไปรับที่ห้องรับแขกของโรงแรม ข้าพเจ้าเดินย่อตัวผ่านท่านจะไปดูของขายเผื่อจะมีถูกใจบ้าง ท่านเรียกเข้าไปหาถามว่าเมื่อคืนฝันว่าไงบ้าง ฝันของท่านหมายความถึงเห็นผี เห็นเทวดา ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า เมื่อคืนไม่ฝันเจ้าค่ะ หลับสนิท ฝันตอนกลางวันเมื่อวานนี้

    ท่านให้เล่าให้ฟัง จึงเรียนท่านว่า ฮิตเลอร์พาไปดูอาวุธลับ มีอะไรบ้าง พูดหมด

    ถามท่านด้วยความสงสัยว่า รถถังของเขาคันไม่ใหญ่แล่นบนดิน ปีนเขาได้ ลอยได้ด้วย

    ท่านว่า ใช่แล้ว ลอยได้สูง 100 เมตร ท่านว่าเห็นถูกต้อง สงสัยที่ข้าพเจ้าไปกับฮิตเลอร์ ท่านก็คงไปด้วยเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นท่าน ท่านเห็นเรา

    สรุปเห็นตรงกันแสดงว่า ฝันกลางวันเป็นความจริง แต่ไม่ควรพูดเปิดเผยเป็นความลับของเขา

    จากที่สงสัยว่าปืนเขาไม่เป็นกระบอก ไม่มีกระสุนนั้นอีกเกือบปี ข้าพเจ้าดูทีวีเห็นข่าวอเมริกาทดลองยิงเครื่องบินเร็วกว่าเสียงด้วยแสงอะไรไม่รู้ลืม เห็นกดปุ่มเป็นควันแล่นออกไปเร็วมาก เป็นสายบนท้องฟ้า อ้อ..แบบนี้เองเยอรมันเขามีเก็บซ่อนไว้ตั้งนานแล้ว ฮิตเลอร์ว่าเยอรมันมีอาวุธเก่งที่สุดในโลกเป็นจริงอีก


    (จากหนังสือ "บันทึกของชาโดว์ เล่ม 3" หน้า 6-8)
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    681404.jpg 681403.jpg 681406.jpg

     
  19. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,806
    8.jpg
    9.jpg

    ผมรบกวนเรียนสอบถามพี่วรรณนิดนึงนะครับ _/|\_ ผมสะดุดตากับแหวนพระที่พี่วรรณสวมใส่อยู่อ้างอิงจากในโพสต์ #12176 นี้นะครับ [^‿^] เป็นแหวนพระรุ่นใดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านครับ? ใช่แหวนจักรพรรดิ รุ่นใหม่ ของทางวัดท่าซุงหรือเปล่าครับพี่วรรณ?

    … พอดีผมกำลังมองหาแหวนพระ ขนาด เบอร์ 53 ถึง เบอร์ 62 ซึ่งมีมวลสารและพิธีสร้างเสกเข้มขลังดีๆไว้สวมใส่บูชาครับ… รบกวนพี่วรรณช่วยตอบข้อสงสัยของผมนิดนึงนะครับ (^ ^) ขอบพระคุณครับ _/\_


    ขอแสดงความนับถืออย่างสูง คารวะ.gif
    Ray
     
  20. amsuthon

    amsuthon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,459
    ที่วัดยังมีให้บูชาไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...