ซักซ้อมการปล่อยวางเพื่อวาระสุดท้ายของจิต

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 กรกฎาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,505
    ค่าพลัง:
    +26,338
    IMG_8604.jpeg

    โอวาทเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๖

    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพต้องไปยังมณฑลพิธีหน้าศาลาการเปรียญวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ตั้งแต่ก่อน ๗ โมงเช้า เนื่องเพราะว่าตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ผู้เป็นเจ้าของงาน และท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ลงไปรออยู่ก่อนแล้ว

    งานนี้ความจริงกระผม/อาตมภาพต้องทำการบวงสรวง นอกจากเพื่องานสืบชะตาหลวง ๘๖ ปีของตุ๊พ่อสิงห์แล้ว ยังต้องขออนุญาตหล่อพระด้วย แต่เนื่องจากว่าเสียงไม่อำนวยให้ จึงขอให้ทางวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ เปิดเสียงบวงสรวงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงแทน ก็แปลว่าหลังจากที่ออกจากวัดมา ๓๐ ปี นี่เป็นครั้งที่สองที่เปิดเสียงของหลวงพ่อฤๅษีฯ ในการบวงสรวง

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการบวงสรวงเพื่อขออนุญาตสร้างเกาะพระฤๅษี ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ นั้น กระผม/อาตมภาพก็เปิดเสียงบวงสรวงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านตามปกติ แต่มีเสียงด่ากรอกหูมาว่า "พวกแกใช้ข้าจนตายแล้ว ยังจะใช้ต่ออีกหรือวะ..?!"

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระผม/อาตมภาพก็ใช้เสียงตนเองในการทำบวงสรวงตลอดมา แต่ว่างานนี้ไปไม่รอดจริง ๆ เพราะว่าญาติโยมที่ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่นี้ อาจจะไม่ได้ยินเสียงไอ เสียงจาม เนื่องเพราะว่าเจ้าหน้าที่มีการตัดต่อขัดเกลาเสียงเสียก่อน แต่ถ้าหากว่าให้ไปบวงสรวงสดแบบนั้น ก็มีหวังได้ขายหน้าเขาแน่นอน..!

    เมื่อเสร็จพิธีการบวงสรวงเรียบร้อยแล้ว ก็มาทำการปลุกเสกวัตถุมงคลภายในศาลาการเปรียญ ซึ่งนอกจากตุ๊พ่อสิงห์ ท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัยแล้ว ก็ยังมีหลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) จากที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จังหวัดสกลนคร มีพระปลัดเอกลักษณ์ ปญฺญาคโม จากวัดพุทธพรหมยาน จังหวัดฉะเชิงเทรา

    เสร็จสรรพเรียบร้อย ปรากฏว่าทางด้านพิธีกรก็คือพระครูปลัดฟลุก (พระครูปลัดธีร์นวัช ญาณสิทฺธิวาที) ก็ได้ส่งไมโครโฟนให้กระผม/อาตมภาพสนทนาธรรมกับญาติโยม ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้แต่โบกมือลา เพราะว่าไม่ไหว ต้องให้ท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัยและตุ๊พ่อสิงห์ท่านว่าแทน ตนเองได้แต่นั่งเป็นเนื้อนาบุญอย่างเดียว

    จนกระทั่งได้เวลา ก็เริ่มพิธีสืบชะตาหลวง ซึ่งพิธีสืบชะตานี้ทำได้ทั้งตัวบุคคลและสถานที่ ถ้าหากว่าทำเผื่อคนเป็นจำนวนมาก ก็เรียกว่า "พิธีสืบชะตาหลวง" ถ้าทำเฉพาะตน ก็เรียกว่า "พิธีสืบชะตา"

    เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็ต้องขอตัวออกเดินทางเลย โดยที่ฉันเพลด้วยข้าวกล่องบนรถ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าต้องไปตรวจประเมินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบของคณะสงฆ์ภาค ๑๓ ตั้งแต่จังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ซึ่งต่อเนื่องกันหลายวัน โดยเฉพาะวันพรุ่งนี้ ต้องตรวจประเมินที่จังหวัดตราด ซึ่งถ้าวิ่งจากวัดอุทยานไปก็ไม่หนี ๕ ชั่วโมง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบเดินทางกลับเสียก่อน แล้วมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนกลางทางแบบนี้

    สำหรับในเรื่องของพิธีสืบชะตาหลวงนั้น ทำเพื่อตุ๊พ่อสิงห์ท่าน ซึ่งเจริญอายุมาถึง ๘๖ ปีแล้ว จะว่าไปแล้ว พระภิกษุสายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ที่จะเจริญอายุมาถึง ๘๐ ปีนั้นหาได้น้อยมาก เท่าที่ผ่านมา ก็มีหลวงปู่ทองเทศ ฐิตธมฺโม ของวัดท่าซุงที่อายุยืนถึง ๑๐๓ ปี หลวงปู่ท่านเมื่อเกษียณอายุแล้วก็มาบวชที่วัดท่าซุง โดยมอบเงินส่วนตัว ๓,๐๐๐ บาท ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อเอาไว้ บอกว่า "ถ้ากระผมตาย ขอให้หลวงพ่อช่วยทำศพให้ด้วย" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านรับเงินเอาไว้แล้วยังหัวเราะว่า "ไม่รู้ใครจะได้เผาใครก่อน ?" สรุปว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมรณภาพก่อน หลวงปู่ทองเทศยังอายุขัยยืนยาวมาอีกหลายปี

    รุ่นหลัง ๆ นี้ ก็มีตุ๊พ่อสิงห์ที่อายุกาลผ่านวัยถึง ๘๖ ปี ตามมาด้วยเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย ซึ่งปีนี้เจริญอายุ ๘๑ ปีแล้ว ของท่านอื่นก็ยังอยู่ในระดับ ๗๐ กว่าปี หรือว่าถ้าอย่างกระผม/อาตมภาพก็ ๖๐ กว่าปี ก็ต้องถือว่าเป็นชาติที่กระผม/อาตมภาพอายุยืนที่สุดก็แล้วกัน เนื่องเพราะว่าก่อน ๆ นี้ ส่วนใหญ่ ๔๐ กว่า ๕๐ ปี ก็มักจะเสียชีวิตไปก่อน

    เนื่องจากว่าสร้างกรรมปาณาติบาตจากการเป็นทหารเอาไว้ทุกชาติ ต้องออกไปรบราฆ่าฟันกับข้าศึก แม้ว่าจะไม่มีความโกรธแค้นกันเป็นการส่วนตัว แต่ว่าการไปทำลายชีวิตผู้อื่น เศษกรรมใหญ่นี้เมื่อมาถึง ก็ทำให้เป็นบุคคลอายุสั้นพลันตาย แม้แต่ในชาตินี้ก็ได้รับการต่ออายุมาหลายวาระแล้ว ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะยืนหยัดไปได้สักเท่าไร เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหน้าที่ยังไม่หมด

    วันนี้ท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัยได้นิมนต์ให้ไปร่วมงานที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ท่านบอกว่า "จะถวายสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเอาไว้ในพระพุทธศาสนา" กระผม/อาตมภาพเรียนถวายท่านเจ้าคุณหลวงตาว่า "กระผมถวายไปหมดแล้วครับ ตามโบราณนิยม ถ้าหากว่าสร้างอะไร ก็จะประกาศถวายเอาไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นประโยชน์แก่สงฆ์ที่มาจากจตุรทิศ ที่กระผมรีบถวายก็เพราะว่ากลัวว่า ถ้ามัวแต่ช้าอยู่ งานใหม่จะเพิ่มขึ้นมา ชิงถวายไปให้รู้ว่างานนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันว่าจบกัน" เล่นเอาท่านเจ้าคุณหลวงตาถึงกับหัวเราะ บอกว่า "ไม่เคยรู้ว่ามีเรื่องอย่างนี้อยู่ด้วย ก็เพิ่งจะคิดมาทำ เพราะว่าไม่แน่ใจในเรื่องอายุขัยของตนเอง"

    ดังนั้น..ในส่วนนี้ญาติโยมทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ประมาท เพราะว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านสุขภาพก็ชำรุด โดยเฉพาะท่านใดก็ตามที่ติดตามหลวงพ่อวัดท่าซุงมามาก รบทัพจับศึกมามาก อาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็หนักหนาสาหัสเป็นธรรมดา ถ้าหากว่ารับไม่ไหว ถึงแม้ว่าไม่อยากจะตาย ก็คงจะต้องตายอย่างไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้..!

    อย่าว่าแต่พวกเราทั้งหลายนั้น ไม่ได้เห็นว่าความตายเป็นของน่ากลัว หากแต่ว่าความตายนั้นเป็นปกติธรรมดา ซึ่งไม่ว่าสัตว์โลกทั้งหลาย เกิดมาเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น ไม่มีใครที่สามารถล่วงพ้นไปได้ เพียงแต่ว่าการเกิดนั้นใช้เวลาแค่ ๙ เดือน ๑๐ เดือน แต่ว่ากว่าจะตายใช้เวลาหลายปี จึงดูเหมือนกับว่ามีคนเกิดมากกว่าคนตาย แต่ความจริงคนเกิดกับคนตายนั้นมีเท่ากัน ก็คือใครเกิดมาคนนั้นก็ตาย

    แต่ว่าก่อนที่จะตายนั้น เราเองได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้เท่าไร ? ถ้าหากว่าสร้างคุณงามความดีเอาไว้มาก มีความพร้อมมาก ก็เหมือนกับคนที่พร้อมในการเดินทางไกล แม้ว่าจะไปไกลแค่ไหน เครื่องอำนวยความสะดวกสบายก็เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว จึงไม่ได้หวั่นไหวในการเดินทาง ท่านที่ไม่มีความพร้อม ก็จะต้องหวั่นไหว แล้วขณะเดียวกัน ก็อาจจะไม่แน่ใจ ไปจนถึงกลัวตายไปเลยก็มี..!

    เรื่องพวกนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องซักซ้อมตนเองอยู่เสมอ ว่าถ้าเราตายลงไปในวันนี้ คนที่เรารักมีหรือไม่ ? ของที่เรารักมีหรือไม่ ? สิ่งที่เราห่วงใยมีหรือไม่ ? ถ้าหากว่าตอบออกจากใจจริงว่ามี แต่ว่าเราสามารถที่จะตัดละไปเดี๋ยวนี้ได้หรือไม่ ? ถ้ากำลังใจของท่านสามารถที่จะทิ้งทุกอย่างไปได้ในฉับพลันทันที ไม่มีสิ่งหนึ่งประการใดคาใจอยู่ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านนั้นควรแก่การที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    แต่ว่าการที่ท่านทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่นั้น ก็จะอยู่ในลักษณะของการทำดี เพราะรู้ว่าดีถึงทำ ละชั่ว เพราะรู้ว่าชั่วถึงละ แต่ว่าไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วแล้ว กำลังใจในลักษณะนี้ ก็จะทำให้ท่านสามารถที่จะผ่ากลาง ซึ่งเป็นช่องนิดเดียวเท่านั้น ให้สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วนไปได้

    ถ้าท่านไม่สามารถที่จะผ่ากลางหลุดจากตรงนี้ไปได้ อย่างไรเสียก็ให้ตะเกียกตะกายรักษาศีล เจริญภาวนา หมั่นพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทั้งของร่างกายเราเอง ทั้งของร่างกายคนอื่น ทั้งของร่างกายสัตว์อื่น ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุทั้งหลาย
    เมื่อเห็นชัดเจนแล้ว พยายามถอนความยึดมั่นถือมั่นออกมา ท่านเองก็สามารถที่จะตัดหนทางการเวียนว่ายตายเกิดอันยาวนานในวัฏสงสารนั้น ให้เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าหากว่าล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ ก็ถือว่าท่านทั้งหลายได้กำไร และสมกับความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว
    ....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...