สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    2535#ห้องเก็บธูปเทียนไม้ขีดไฟ ของวัด เป็นที่จำวัดคือห้องส่วนตัวของสามเณร เตียงไม้กระดานถูกเผาสึกรอบจีวร รอบร่างลงไปถึง 1-2 นิ้ว จีวรไม่ไหม้ไฟ ไฟลุกท่วมรอบตัวสูงถึง3เมตร <ผู้ดับเพลิง>ต้นเพลิงเกิดจากสามเณรตัวน้อยอายุ10ขวบผู้นั่งสมาธิจนหลับคาเทียนที่จุดไว้ที่ริมหน้าต่าง!

    2536#ผู้ที่กล่าววาจาไม่ดีและให้สึกเณรเพราะดื้อและกำลังเสียคน หลังจากนั้นเจ้าอาวาสผู้กล่าวไม่ดีนั้นก็ถูกโจรสังหารคากุฎี
    #เณรกว่า50รูป ดื้อมากๆโดยเฉพาะรุ่นพี่ๆ ไม่ทำตามน่วม! จับมัดมือมัดเท้าโยนแม่น้ำมูลก็มี ปั้มหัวใจกันแทบตาย!

    #ปี35,36เสียงร้องอันโหยหวนของสตรีเพศ จะดังเสมอตั้งแต่ท้ายวัดจนถึงกลางวัดเวลากลางคืน เป็นที่สยองขวัญแก่บุคคลที่ได้ยินโดยเฉพาะแก่สามเณรผู้ดื้อนั้นและเด็กวัด
    #ปี54จึงเป็นปีที่สะอึกสะอื้นดีใจของสตรีนั้น

    #เป็นเด็กชั้นประถมศึกษา ที่มีนิสัยประหลาดไม่ชอบชื่อของตนเองและเปลี่ยนชื่อเรียกเล่นเรียกรองของตนเอง เวลาเพื่อนและชาวบ้านเรียก เพราะไม่ชอบใจ! (โจ๊กจ๊ากกว๊ากเพ่ย ผู้เป็น#เต้ย#เป็นใคร) (เปิดประตูเข้าไปในโบสถ์แล้วเจออะไร?)


    #ตั้งชื่อ#ลูกอาทิตย์ #มารดาเพ็ญศรี

    #ก็ว่ากันไป มโนกันไปก็มี แต่ไม่ใช่วาระ




    #อดีต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2024
  2. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    IMG_6483.jpeg
     
  3. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    IMG_6481.jpeg IMG_6491.jpeg

    #ความสามารถผู้นำทางจิตวิญญาณ สร้างนักรบชะฮีดได้เพียงคำพูดไม่กี่คำ(แต่ไม่เอาดีกว่า ตายเป็นเบือแน่!)(….ตั้งแต่ฆ่าตัดหัวฯลฯ)

    ปัญหาที่เกิด! เกิดจากการหว่านแหไม่เป็น เพื่อที่จะลบล้างความผิดพลาด ที่เจ้าลัทธิเคยก่อไว้

    แต่ดันไปโฟกัสผิด กันระนาว ผู้ที่รู้และสามารถที่สุด ก็ตั้งอุเบกขาธรรม ตามกาล

    ถ้าจะฟันให้เละ! มันจบตั้งแต่นานแล้ว จะชนะสัทธรรมปฎิรูป เอาแบบสวยงาม ก็ต้องอัญเชิญพระสัทธรรมทรงเสด็จ

    ไม่ต้องพึ่งพาอสัทธรรมหรือธรรมเหล่าอื่น! มาจัดการ

    เพราะนี่คือวิถีพุทธวิถีธรรม

    IMG_6492.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2024
  4. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    IMG_7155.jpeg
    การเปิดเผยการมีอยู่ในสถานะของพระสัทธรรม อันข้าพเจ้าได้ทำการน้อมการเสด็จ นำมาเปิดเผยด้วยการปฎิบัติบูชาแด่พระธรรมอันยิ่งแล้ว ขอพระธรรมจงรับการปฎิบัติบูชา อันเป็นภาระหน้าที่ในการพิจารณา แทงด้วยปัญญาของข้าพเจ้า แล้วน้อมนำมาแสดงแก่มหาชนเหล่าพุทธบริษัท ๔ ทั้งหลายฯ เพื่อประโยชน์สุขของเหล่าเวไนยสัตว์ในตลอดทุกทิวาราตรีกาล นับแต่กาลบัดนี้ลุล่วงไป อันยาวนานเป็นอจิณไตยสืบไป

    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย

    ท่านผู้มีปฏิสัมภิทาญาณอันจะสามารถน้อมนำพระสัทธรรมอันบริสุทธิคุณ และทรงคุณประโยชน์สุขมาสู่ท่านสาธุชนทั้งหลายนั้นได้ ประกอบกับเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ที่กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับ พระพุทธศาสนาในปัจจุบันในไม่ช้า

    จากปี ๒๕๕๔ ดังที่ข้าพเจ้าจะแสดงอรรถาธิบายต่อไป เพื่อเอื้อเฟื้อเกื้อกูลยังประโยชน์ความเจริญในพระสัทธรรมแก่ท่านมหาชนทั้งหลาย เพื่อการเตรียมการ อันพึงจะมีมาถึง ในกาลข้างหน้า ถึงการอุบัติธรรม ของผู้มีบุญอันเป็น สหชาติธรรม ของเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายฯ อันข้าพเจ้าจะอธิบายอรรถาธิบาย สาธยาย ดังต่อไปนี้

    {O}ผู้เห็นธรรมมีเพียง ๓ สถานะ{O}เท่านั้น (เป็นเรื่องอจินไตยหากจะกล่าวถึงการกำเนิดของพระธรรมคัมภีร์)
    " ผู้เห็นธรรม๑ คือเห็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เห็นโดยตรง" ซึ่ง"พระธรรมแม่บท"โดยปฎิสัมภิทาญาน"
    " ผู้เห็นธรรม๒ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงด้วยพระประสงค์ให้เห็นตามด้วยพระทศพลญาน
    " ผู้เห็นธรรม๓ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สืบทอดจารึกตีพิมพ์กันมาด้วยความเพียรพยายาม ด้วยสภาวะบุญอันเข้าถึงในอดีตชาติที่สั่งสมการพิจารณาใคร่ครวญปฎิบัติมาดีแล้ว

    (๐) อญฺญาสิ วต โภ (๐)
    การสังคายนาด้วยพระปฎิสัมภิทานั้นผู้ตรัสรู้สัจจะโดยตรงซึ่งนวังคสัตถุศาสน์มิใช่การท่องจำทรงจำโดยมุขปาฐะ อาจจะไม่คุ้นเคยกันเพราะยังไม่ทราบว่าปฎิสัมภิทา๑๖คืออะไร? กันแน่!
    #ความสำคัญของอรรถกถาของอรหันต์พระปฎิสัมภิทาปฐมสังคายนา ทุติยะ,ตะติยะฯ
    #ย่อให้สั้นโดยพิสดาร
    [จักเกิดความเข้าใจในทันที]
    [เห็นหายนะของเหล่าโมฆะบุรุษอลัชชีได้ชัดเจนในทันที]
    #ญานในพระนิพพานคืออรรถปฎิสัมภิทา
    #{พระสัทธรรม}พระธรรมราชาทรงตรัสรู้ทรงเปิดประตูพระนิพพาน
    #กล่าวพระปริยัติสัทธรรมสู่การรู้แจ้ง
    #เมื่อรู้แจ้งจึงได้พระนิพพาน
    #พระสัทธรรม
    #ญานในพระนิพพาน
    #ญานมีวิมุตติรสเป็นสภาวะเป็นวิมุตติญานทัสสนะ
    #วิมุตติญานทัสสนะสู่นิรุตติญานทัสสนะ
    #นิรุตติญานทัสสนะสู่อรรถกถาญานทัสสนะ
    #อรรถกถาญานทัสสนะสู่ธรรมฐิติญานทัสสนะ
    #ธรรมฐิติญานทัสสนะสู่ผัสสนญานทัสสนะ
    เมื่อผัสสนญานทัสสนะกระทบสฬายตนะด้วยอายตนะ๑๒
    การฟังพระธรรม จนเป็นสัญญาที่มั่นคง คือ ทรงจำ พร้อมดัวยปัญญา ความเข้าใจ จนเป็นปัจจัย ให้สติปัฏฐานเกิด


    “ในการเข้าถึง วิมุตติญานทัสสนะ ซึ่ง ธรรมทิฐิญานทัสสนะ (สกานิรุตติ พระมหาปกรณ์ สุทธิมาคธี)แล้วบัญญัติ นิรุตติญานทัสสนะ ลงมาสู่ อรรถกถาญาน วกมาเป็นธรรมทิฐิญานทัสสนะ(พยัญชนะปฎิรูป มาคธี)ตามขั้นตอน ดังนี้”

    #ที่สุดแห่งปฐมภูมิ{จากองค์พระสัทธรรมโดยตรง}
    ถ้าได้เป็นพระอรหันต์มีกองวิมุตติ หรือ พระปฎิสัมภิทา ก็จะได้เห็น พระมหาปกรณ์ โดยสกานิรุตติ ”สุทธิมาคธี“ก่อนถูกถ่ายทอดลงมาเป็น ภาษาบาลี ”มาคธี“

    ทรงนามตามลักษณะ”ทองอณู,ทิพย์สุวรรณ,ทิพย์วิเศษบริสุทธิธรรม“แม้ในการสังคายนาครั้งหลัง ก็มีการถวายลักษณะ“สุทธิธัมมา ปวัตตันติ”


    อรรถกถาอรรถปฏิสัมภิทาธรรมปฏิสัมภิทา
    นิรุตติปฏิสัมภิทาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณุทเทส ว่าด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔
    บัดนี้ ญาณในการละ ในการเจริญและในการกระทำพระนิพพานให้แจ้งย่อมประกอบด้วยอริยมรรคอริยผล ฉะนั้น ท่านจึงยกเอาปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อันพระอริยบุคคลนั่นแหละจะต้องได้ ขึ้นแสดงต่อจากผัสสนญาณนั้น.
    แม้ในปฎิสัมภิทา ๔ นั้น อรรถะคือผลธรรมอันเกิดแต่ปัจจัย ย่อมปรากฏดุจทุกขสัจจะ และเป็นธรรมอันใครๆ จะพึงรู้ได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น ท่านจึงยกอรรถปฏิสัมภิทาญาณ ขึ้นแสดงก่อน, ต่อแต่นั้นก็ยกธรรมปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพราะอรรถะนั้นเป็นวิสัยแห่งธรรมอันเป็นเหตุ, ต่อแต่นั้นจึงยกเอานิรุตติปฎิสัมภิทาญาณ เพราะอรรถะและธรรมทั้ง ๒ นั้นเป็นวิสัยแห่งนิรุตติ, และต่อจากนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณนั้น ท่านก็ยกเอาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพราะเป็นไปในญาณแม้ทั้ง ๓ เหล่านั้น.

    [อธิบายคัมภีรภาพ ๔ อย่าง]
    บรรดาคัมภีรภาพทั้ง ๔ นั้น พระบาลี ชื่อว่าธรรม. เนื้อความแห่งพระบาลีนั้นนั่นแล ชื่อว่าอรรถ. การแสดงพระบาลีนั้นที่กำหนดไว้ด้วยใจนั้นชื่อว่าเทศนา. การหยั่งรู้พระบาลีและอรรถแห่งพระบาลีตามเป็นจริง ชื่อว่าปฏิเวธ.
    ก็เพราะในปิฎกทั้ง ๓ นี้ ธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธเหล่านี้ อันบุคคลผู้มีปัญญาทรามทั้งหลายหยั่งลงได้ยากและมีที่ตั้งอาศัยที่พวกเขาไม่พึงได้ ดุจมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลาย มีกระต่ายเป็นต้นหยั่งลงได้ยากฉะนั้น, เพราะฉะนั้น จึงจัดว่าเป็นคุณลึกซึ้ง. ก็แลบัณฑิตพึงทราบคัมภีรภาพทั้ง ๔ ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ แต่ละปิฎก ด้วยประการฉะนี้.

    [อธิบายคัมภีรภาพอีกนัยหนึ่ง]
    อีกอย่างหนึ่ง เหตุ ชื่อว่าธรรม, สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความรู้ในเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา. ผลแห่งเหตุ ชื่อว่าอรรถ สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความรู้ในผลแห่งเหตุ ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทา.๑- บัญญัติ อธิบายว่า การสนทนาธรรมตามธรรม ชื่อว่าเทศนา. การตรัสรู้ชื่อว่าปฏิเวธ.
    ก็ปฏิเวธนั้นเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ คือความรู้รวมลงในธรรมตามสมควรแก่อรรถ ในอรรถตามสมควรแก่ธรรม ในบัญญัติตามสมควรแก่ทางแห่งบัญญัติ โดยวิสัยและโดยความไม่งมงาย.๒-
    บัดนี้ ควรทราบคัมภีรภาพทั้ง ๔ ประการในปิฎกทั้ง ๓ นี้แต่ละปิฎก เพราะเหตุที่ธรรมชาติหรืออรรถชาติใดๆ ก็ดี อรรถที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงให้ทราบ ย่อมเป็นอรรถมีหน้าเฉพาะต่อญาณของนักศึกษาทั้งหลายด้วยประการใดๆ เทศนาอันส่องอรรถนั้นให้กระจ่างด้วยประการนั้นๆ นี้ใดก็ดี ปฏิเวธคือความหยั่งรู้ไม่วิปริตในธรรม อรรถและเทศนานี้ใดก็ดี ในปิฎกเหล่านี้ ธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธทั้งหมดนี้ อันบุคคลผู้มีปัญญาทรามทั้งหลาย มิใช่ผู้มีกุศลสมภารได้ก่อสร้างไว้ พึงหยั่งถึงได้ยากและมีที่พึ่งอาศัยไม่ได้ ดุจมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้นหยั่งถึงได้ยากฉะนั้น.

    “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก
    รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก
    ละเอียดเป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวงเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิทหากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเราข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เราจะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”

    {O} ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต {O}
    ๑) มังสจักษุ ๑) ทิพยจักษุ ๒) ปัญญาจักษุ ๔) พุทธจักษุ ๕) สมันตจักษุ
    จักษุมี ๒ อย่าง คือ มังสจักษุ ๑ ปัญญาจักษุ ๑.
    ในจักษุทั้ง ๒ นั้น ปัญญาจักษุมี ๕ อย่าง คือ พุทธจักษุ ๑, สมันตจักษุ ๑, ญาณจักษุ ๑, ทิพยจักษุ ๑, ธรรมจักษุ ๑.
    คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อตรวจดูสัตวโลก ได้เห็นแล้วแลด้วยพุทธจักษุ๑- ดังนี้ ชื่อว่าพุทธจักษุ.
    คำนี้ว่า สัพพัญญุตญาณ เรียกว่าสมันตจักษุ๒- ดังนี้ ชื่อว่าสมันตจักษุ.
    คำนี้ว่า ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว๓- ดังนี้ ชื่อว่าญาณจักษุ.
    คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ เราได้เห็นแล้วแล ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ๔- ดังนี้ ชื่อว่าทิพยจักษุ.
    มรรคญาณเบื้องต่ำ ๓ นี้มาในคำว่า ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ไม่มีมลทิน เกิดขึ้นแล้ว๕- ดังนี้ ชื่อว่าธรรมจักษุ.

    #การตรัสรู้ สัจจะนี้มี ๒ อย่าง คือ โดยการตรัสรู้ ๑ และโดยอรรถแห่งสัจจะนั้น ๑.
    ส่วนสัมโพธินั้นมี ๓ อย่าง คือ สัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ปัจเจกสัมโพธิญาณ ๑ สาวกสัมโพธิญาณ ๑.
    ในบรรดาสัมโพธิ ๓ อย่างนั้น ชื่อว่า สัมมาสัมโพธิ เพราะรู้ คือตรัสรู้ธรรมทั้งปวง โดยชอบด้วยพระองค์เอง. มรรคญาณที่เป็นปทัฎฐานของสัพพัญญุตญาณ และสัพพัญญุตญาณที่เป็นปทัฏฐานของมรรคญาณ ท่านเรียกว่าสัมมาสัมโพธิญาณ
    ด้วยเหตุนั้น ท่านพระอานนทเถระจึงกล่าวว่า พระนามว่า พุทฺโธ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระสัพพัญญู ไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งสัจจะทั้งหลายเอง ในธรรมทั้งหลายที่พระองค์ไม่เคยได้ยินมาในกาลก่อน เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมเหล่านั้น และถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย ดังนี้.
    แท้จริง ความเป็นผู้ชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย มีการตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้เป็นอรรถ. ชื่อว่าปัจเจกสัมโพธิ เพราะตรัสรู้ด้วยตนเองทีเดียวเป็นส่วนตัว. อธิบายว่า ไม่ได้ตรัสรู้ตามใคร ได้แก่ ตรัสรู้สัจจธรรมด้วยสยัมภูญาณ.

    ความจริง การตรัสรู้สัจจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้เป็นไปอยู่ด้วยพระองค์เองทีเดียว โดยเป็นสยัมภูญาณ ชื่อว่ามีผู้ตรัสรู้ตาม เพราะเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้สัจจธรรมของสัตว์ทั้งหลายหาประมาณไม่ได้.
    ก็การบรรลุสัจจะนั้นของเหล่าสัตว์ผู้หาประมาณมิได้เหล่านี้ ย่อมไม่เป็นเหตุแห่งการตรัสรู้สัจจธรรมของสัตว์แม้คนเดียว. ชื่อว่าสาวก เพราะเกิดในที่สุดแห่งการฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา. การตรัสรู้สัจจธรรมของพระสาวกทั้งหลาย ชื่อว่า สาวกสัมโพธิ.

    ก็การตรัสรู้ ๓ อย่างแม้นี้ของพระโพธิสัตว์ ๓ จำพวก พึงทราบว่า ยังการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการมีสติปัฏฐานเป็นต้นให้บริบูรณ์ เพื่อถึงที่สุดแห่งปฏิปทาที่จะมาถึงตามลำดับของตน (รอความบริบูรณ์แห่งบารมีของตน) เพราะเว้นโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนั้น การตรัสรู้นอกนี้จะมีไม่ได้.


    "จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเถิดว่า"
    องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาทรงจำแนกพระธรรมคำภีร์คำสั่งสอนออกมาเป็นทางสายกลางสายเดียวไม่มีแปลกแยกเป็นอื่น ผู้ที่ถือพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยปฎิสัมภิทาญานได้ "เปรียบเสมือนผู้ถือแท่งทองชมพูนุช"เป็นแม่แบบ เป็น"รัตนมหาธาตุ"ย่อมสามารถมองล่วงรู้เห็นว่า ทองคำแท่งใดปลอมปน วัสดุอื่นตามได้อย่างละเอียด ว่ามีเหล็กบ้าง ตะกั่วบ้าง เป็นต้น ถ้าถึงกาลเวลานั้น คือมีผู้สามารถรวมรวมการแตกแยกของนิกายทั้งหมดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไร ด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ตอนนั้นจักรวรรดิธรรม ก็จะพร้อมเรียกชื่อ นิกาย อันมีนามแท้"ดั้งเดิม" อันเป็นนามที่แท้จริงของพระศาสนา เหมือนกับสมัยพุทธันดรก่อนๆ นั้นแล

    พระธรรมคำสั่งสอนอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ดีแล้ว ทรงจำแนกสั่งสอน นั้นไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลางและบั้นปลายในที่สุดนั้น เป็นความจริงอันเห็นตรงตาม ยอมรับศรัทธากันในพระพุทธศาสนานี้โดยเฉพาะ
    พึงเข้าใจเถิดว่า. ในยุคนี้ ผู้ที่แสดงพุทธภาษิต แค่เพียงภาษิตเดียว ก็ยังไม่สามารถแสดงได้เทียบเทียมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพและพระอรหันต์ผู้ที่อยู่ในสารคุณ ให้ผู้รับฟังได้เข้าใจแจ่มแจ้งเข้าถึงวิมุติได้เลยแม้สักผู้เดียว (เมื่อผู้เสวยวิมุติแสดงธรรม ธรรมนั้นย่อมเป็นวิมุตติ)

    {โปรดเล่าเรียนศึกษาพระสัทธรรมด้วยความเคารพ}

    #เสขะปฎิสัมภิทา

    IMG_7159.jpeg IMG_7160.jpeg IMG_7161.jpeg IMG_7162.jpeg




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2024 at 10:52
  5. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
  6. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    IMG_7046.jpeg IMG_7045.jpeg IMG_7049.jpeg IMG_7048.jpeg




    #ลัทธิไม่เอาพระพุทธเจ้าเสด็จไปดาวดึงส์โปรดพระพุทธมารดา
     
  7. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    IMG_7250.jpeg IMG_7259.jpeg IMG_7260.jpeg

    #การตรัสรู้สัจจะ ไม่ใช่การร่ำเรียนโดยอาการถือเอาด้วยการท่องจำแบบมุขปาฐะหรือศึกษาจดจำจากพระปริยัติที่จารจารึก


    #ในมหาทวีปทั้ง ๔ จะมีผู้รู้และเข้าใจในเรื่องราวนี้ตามความเป็นจริง อย่างตรงไปตรงมามากสักเพียงใดกันนะ
    #หมายถึงภพชาติที่ถูกอวิชชาครอบงำ
     
  8. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    IMG_7261.jpeg IMG_7262.jpeg IMG_7263.jpeg

    นวังคสัตถุศาสน์หายไปไหน! ธาตุก็ส่วนธาตุ ปริยัติก็ส่วนปริยัติ รู้ก็ส่วนรู้ เรียนก็ส่วนเรียน ปฎิบัติก็ส่วนปฎิบัติ ปฎิเวทหรือ อปฎิเวทก็เป็นผลและไม่ปรากฎผลก็ส่วนของปฎิเวท

    #ปัจจุบันเอามาวิสัชนาแบบรวมฮิตเมดเลย์

    นี่แหละ! ยิ่งมั่วยิ่งดัง!ยิ่งยึดยิ่งติดที่ตัวบุคคล ไม่ใช่ที่ธรรมแท้
     

แชร์หน้านี้

Loading...