ตอบคำถามเรื่องเด็กอภิญญาอายุ 13 จากกระทู้เรื่องแรงบุญแรงกรรม ใครว่าไม่มีจริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sasiriya, 22 พฤษภาคม 2008.

  1. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสามเณร 7 ขวบ ยังบรรลุอรหันต์
     
  2. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751
    ยังอยู่ค่ะ ยังไม่ได้หายไปไหน

    ก่อนอื่นคงต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในบทความของผู้เขียน

    ซึ่งถ้าเทียบกับของท่านอื่น ๆ คงจะถือได้ว่าบทความที่ผู้เขียนเขียนขึ้นนั้น ค่อนข้างด้อยด้วยภูมิปัญญาทางธรรมชนิดเทียบผู้อื่นไม่ติดเสียด้วยซ้ำ

    แต่เมื่อได้รับการต้อนรับอย่างมากมายก็ถือว่าเป็นความน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
    ที่อย่างน้อยบทความนี้สามารถเป็นประโยชน์ทางธรรมและการดำเนินชีวิตกับทุกท่านได้บ้างไม่มากก็น้อย

    และต้องขอขอบคุณทีมงานเวปพลังจิตที่เมตตาช่วยแก้ไขตัวอักษรให้แลดูน่าอ่าน ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

    ผู้เขียนก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มีภูมิปัญญา ความเป็นผู้รู้ทางธรรมอะไรมากมาย แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

    จุดประสงค์ที่เขียนและนำมาลงให้ทุกท่านได้อ่าน ก็ไม่ได้คาดหวังเพื่อสร้างกระแสใด ๆ ทั้งสิ้น

    แต่เมื่อชีวิตของตัวเองบังเอิญเดินไปสะดุดกับสิ่งต่าง ๆ ที่ใคร ๆ คิดว่าไม่น่าจะมีจริง

    ซึ่งจริง ๆ มีจริง ก็เลยอยากจะเผยแพร่เล่าสู่กันฟัง
    หวังเพียงอาจมีกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่อ่านแล้วจะได้หันมาดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทในกรรมทั้งหลายทั้งปวง มุ่งมั่นสร้างกุศลกรรมดีเพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดที่มีแต่ความทุกข์ในโลกใบนี้ ไปสู่พระนิพพานในที่สุด

    และจะได้ทราบว่าสิ่งที่ใคร ๆ คิดว่ามันไม่มีจริง อย่างน้อยก็มีผู้หญิงคนนี้หนึ่งคนหล่ะที่มีโอกาสได้เจอะได้เจอมาแล้วหลายหลาก ซึ่งหากมีโอกาสก็คงจะกลับมาเล่าให้ทุก ๆ ท่านได้อ่านได้รับรู้กันด้วยชื่อเรื่องที่มีสัญญลักษณ์ประโยคประจำตัวที่ต้องลงท้ายว่า....ใครว่าไม่มีจริง เสมอๆ ยังไงก็อย่าลืมคอยมองชื่อเรื่อง.....ใครว่าไม่มีจริง by sasiriya


    เรื่องต่อไปแล้วเข้ามาอ่านให้กำลังใจกันบ้างนะคะ

    ตอนนี้พยายามรวบรวมบันทึกข้อมูลทั้งหมดเก็บไว้ให้น้องเขาอ่านด้วยตัวเองที่ทุก ๆ ท่านโพสเข้ามา คงใช้เวลาหน่อยค่ะ

    อยากให้ทุก ๆ ท่านที่กำลังมีความทุกข์ รวบรวมสติ ทำใจให้นิ่ง อย่าไปตื่นกับความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะความทุกข์มันไม่ได้มาจากไหนหรอกค่ะ มันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ

    เมื่อเรารู้ว่าชีวิตเกิดมาพร้อมกรรมเป็นที่ตั้งแล้ว ก็วางเฉยกับมันซะ ระหว่างที่ยังไม่สามารถหาทางแก้ไขได้อย่างทันทีทันใด ก็พยายามค่อย ๆ ผ่อนหนักเป็นเบา อย่าเอาใจไปดิ้นรน มันจะยิ่งทุรนทุรายกับทุกข์หนักขึ้น สวดมนต์ ทำบุญ สร้างกุศล นั่งสมาธิ แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรต้นเหตุแห่งทุกข์ไปเรื่อย ๆ ก่อน

    ก็เปรียบเสมือนเงินต้นยังไม่มีคืน ก็ทยอยจ่ายดอกเบี้ย เพื่อให้สถาณการณ์เบาขึ้นไปพลาง ๆ การเจริญสมาธิกรรมฐานเป็นการสร้างมหากุศลเกิดพลังบุญที่มหาศาล จริงอยู่ แต่ต้องทำด้วยจิตที่นิ่งพอ ไม่ใช่สมาธิแต่ท่านั่ง ใจไปอยู่ไหน

    อันนี้ทำไปก็ได้ผลน้อยนัก จึงเป็นที่มาที่ต้องดับที่ต้นเหตุแห่งกรรม หากว่านพืชไปเรื่อยวันละเม็ดสองเม็ด วันใดเล่าจึงจักเต็ม เพราะทุกท่านคงต้องยอมรับว่าทุกท่านไม่สามารถปฎิบัติให้เกิดผลเท่าเทียมกันได้ด้วยจิตที่นิ่งบ้างไม่นิ่งบ้าง

    บังเอิญในบทความผู้เขียนรีบไปหน่อยเลยชี้แจงรวบรัดตัดความไม่ค่อยละเอียด จึงทำให้บางท่านเกิดความสงสัยสับสน บางท่านลูกสาวผู้เขียนก็ให้ไปปฎิบัติสมาธิเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่สถานที่และระยะเวลา

    ตามแต่ละกรณีของกรรมเวรของผู้นั้น และตามแต่ที่เจ้ากรรมนายเวรต้องการ ซึ่งตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจว่า ในโลกของวิญญาณหรืออีกมิติ เขาก็เหมือนมิติมนุษย์เรานี่แล มีทั้งคนดี คนไม่ดี


    คนดีเวลาเราทำอะไรผิด แค่ขอโทษคำเดียวเขาก็อภัยให้แล้ว แต่คนไม่ดี ขอโทษก็แล้ว ชดใช้ค่าเสียหายให้แล้วยังไงก็ไม่เลิกอาฆาตราวีก็มี

    เมื่อได้สัมผัสจริงแล้วทำให้รู้ว่า ถ้าเรานั่งทำบุญเหวี่ยงแห จริงอยู่กุศลเกิดแน่นอน แต่จะปลดพันธนาการกรรมได้ช้าหรือเร็ว เราไม่สามารถกำหนด เสมือนเราไม่รู้ใจเขานั่นเอง

    ก็ตั้งหน้าทำกันต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะพอใจ แต่ถ้าเราสามารถรู้แบบที่ผู้เขียนยกมาเรารู้ว่าเขาต้องการเท่าไหร่ ให้ไปเสร็จก็จบตามความต้องการของเขา มันจบเร็วกว่าตรงเป้าหมายกว่าเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมหัศจรรย์มากมาย

    หลายท่านอาจสงสัยอีกว่าถ้านั่งสมาธิทำไมที่บ้านไม่ได้หรือ ทำไมต้องไปที่วัด หรือห้ามซ้ำที่

    ลูกสาวผู้เขียนเคยบอกว่า อยากนั่งอยู่ที่บ้านที่เดียวก็ได้นะ แต่ผลที่เกิดพลังกุศลมันต่างกันชนิดเทียบไม่ติด ก็คงต้องว่ากันไปตามเขาเพราะผลมันเห็นกันมามากแล้วว่าจริง และลืมไม่ได้เลย

    ที่ผู้เขียนต้องขอขอบคุณท่านกัลยาณมิตรทุก ๆ ท่านที่ทรงความเป็นผู้รู้ ที่ได้เข้ามาช่วยตอบสนทนาธรรมกับท่านผู้อ่าน

    ฉะนั้นในคำตอบของท่านผู้รู้ทุกท่านผู้เขียนถือเป็นคำตอบเอกฉันท์ตามนั้น คงไม่มีอะไรที่ต้องตอบคำถามซ้ำ เพราะคำตอบเหล่านั้นล้วนมากด้วยภูมิปัญญาแห่งการเป็นผู้รู้ทางธรรม ที่ผู้เขียนเองหามีไม่

    อย่างไรก็ดี ขอท่านผู้รู้กรุณาเข้ามาให้ธรรมกับเพื่อน ๆ กัลยาณมิตรต่อไปด้วยนะคะ

    น้องฝากบอกว่าจะพยายามอ่านให้ครบทุกข้อความและตอนปิดเทอมค่อยมาคุยกันนะคะ ตอนนี้ลืม ๆ เรื่องน้องเขาไปก่อนบ้างก็ดีค่ะ เพราะอะไรที่เราตั้งใจจดจ่อมากไปก็อาจเข้าสู่สภาวะตึงเครียดกระวนกระวายได้เหมือนกัน

    ฝากบทความเรื่องแรกที่ผู้เขียนเคยลงไว้เมื่อหลายเดือนก่อนไว้สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน ไว้ลองอ่านเล่น ๆ ช่วงรอน้องปิดเทอมกันไปก่อนก็แล้วกันนะคะ

    ท้ายนี้ขอให้ท่านกัลยาณมิตรทุกท่านเจริญด้วยบุญ เจริญด้วยกุศล เจริญในธรรมกันยิ่ง ๆ ขึ้นนะคะ สาธุค่ะ (แล้วจะมาใหม่นะคะ โชคดีทุกท่านค่ะ)

    *********************************************************************
    นรก...ใครว่าไม่มีจริง

    ภาพวาดและเรื่องเล่าในเมืองนรก ที่ทุกท่านรวมทั้งผู้เขียนเห็นจนชินตามาตั้งแต่เด็ก แม้จะเป็นภาพที่แลดูน่ากลัว น่าสยดสยองเพียงใดก็ตามแต่ใจผู้เขียนก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่แต่งเติมสีสันให้แลดูน่ากลัว เพื่อเป็นเครื่องอุทาหรณ์เตือนใจมนุษย์ให้ละอายและเกรงกลัวต่อบาปเพียงเท่านั้น หาใช่เรื่องจริงไม่ และก็คิดเช่นนี้เสมอมา จนกระทั่งเวลาผ่านไป จนผู้เขียนได้มีโอกาสเจอะเจอกับสิ่งเหลือเชื่อทางนิมิตมากมาย ซึ่งทุกนิมิตที่พบเจอ กลับกลายเป็นเรื่องจริงทุกเรื่อง แตกต่างกันตรงที่เวลาที่เกิดหลังจากนิมิต ช้า-เร็วเท่านั้น ที่กำหนดเวลาไม่ได้ แม้กระทั่งเรื่องราวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวผู้เขียนเลย แต่มันก็เกิดขึ้นจริง และมีผู้รับรู้รอบข้างจำนวนหนึ่งที่คอยเป็นสักขีพยาน คอยร่วมพิสูจน์สิ่งที่เกิดขึ้นจากนิมิตของผู้เขียนด้วยทุกครั้ง........


    เกือบสามสิบปีที่ผ่านมาที่ผู้เขียนเคลือบแคลงใจมาโดยตลอดว่า เป็นไปได้อย่างไร เหลือเชื่อ ถ้ารวบรวมเรียงร้อยถ้อยความกว่า 80 เรื่องราวเสียด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาคงจะใช้คำว่า ฟลุ๊ค ไม่ได้เสียแล้ว จนกระทั่งผู้เขียนได้มีโอกาสพบเจอกัลยาณมิตรที่มากด้วยญาณทัสสนะ และครูบาอาจารย์ที่นับถือได้ให้คำชี้แนะให้ผู้เขียนลองปฎิบัติสมาธิอย่างถูกต้องและจริงจังดู ท่านว่าจะได้รู้ว่าที่คิดว่าฟลุ๊คน่ะ แท้จริงมันเป็นอย่างไร จากนั้นผู้เขียนก็หมั่นฝึกปฎิบัติสมาธิเรื่อยมาจวบจนทุกวันนี้ และวันนี้สิ่งที่ผู้เขียนคิดเสมอว่า นรก อาจจะมีจริง แต่คงไม่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างภาพวาดจินตนาการหลอกเด็กเป็นแน่แท้ ผู้เขียนคงต้องปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่แล้ว

    เพราะคืนหนึ่งหลังจากที่ทำสมาธิเป็นปกติวิสัย ก็ได้นิมิตเห็นสถานที่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ใด เห็นแต่คนชายหญิงใส่ชุดสีขาวยืนเข้าแถวเรียงรายยาวสุดสายตา บังเอิญผู้เขียนซึ่งเหมือนไปยืนมองเขาอยู่ห่าง ๆ แถว สายตาเหลือบไปเห็นคนที่ผู้เขียนรู้จักและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันด้วย เขายืนต่อแถวอยู่

    ใจก็สงสัยว่าเขาจะเข้าแถวไปขึ้นรถไปเที่ยวที่ไหนกันหนอ เลยคิดส่งเสียงร้องถามคนที่รู้จัก ซึ่งเสียงที่พูดออกไปมันออกไปโดยที่ผู้เขียนมิได้อ้าปากพูดเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นได้ว่าพอจิตเราคิดกระแสเสียงมันก็ออกไปโดยที่เราไม่ต้องพูดเหมือนในโลกมนุษย์

    ผู้เขียนถามเขาว่ากำลังจะเข้าแถวขึ้นรถไปเที่ยวไหนกันหรือ ขอไปเที่ยวด้วยคนได้ไหม ว่าแล้วเขายังไม่ทันตอบเพียงแค่หันหน้ามามองผู้เขียน

    ผู้เขียนก็รีบเดินเข้าไปต่อแถวกับเขาเสียแล้ว ( เขายังไม่ได้เชิญเลยนะเนี่ย เกือบไปแล้ว) พอต่อแถวได้เท่านั้น ก็มีชายร่างใหญ่ รูปร่างกำยำผิดมนุษย์ สูงใหญ่ โผล่มาจากไหนไม่ทราบ เดินเข้ามาประชิดตัวผู้เขียน ชนิดหน้าจะชนหน้ากันอยู่แล้ว ถ้าอยู่ในมิติจริงของมนุษย์เรา ผู้เขียนคงช็อค หมดสติไปแล้วเป็นแน่ ดีนะที่อยู่ในนิมิตที่เกิดจากการทำสมาธิ สติมันเลยยังคงอยู่ ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า.

    ในเมื่อ ส่วนศีรษะของชายผู้นั้นไม่ใช่ศีรษะหน้าตาเหมือนมนุษย์เรา ถ้าจะพูดกันภาษาชาวบ้านแล้ว ก็เรียกได้ว่า อสูร ชัด ๆ น่าเกลียดน่ากลัวสุดเกินคำบรรยายเท่าที่ผู้เขียนเคยพบเจอมา ดีว่าสติยังคงดีอยู่

    ก็ได้แต่จ้องหน้าเขา เขาก็จ้องหน้าผู้เขียนเข้ามาชิดจนหน้าเกือบจะชนกัน
    ชนิดถ้าเป็นมนุษย์ด้วยกันใกล้ขนาดนี้ประหนึ่งคงรักกันเสียเต็มประดา
    พลันกระแสเสียงของอสูรท่านนั้นก็เปล่งออกมาก้องกังวาน ว่า " เจ้าคิดจะแอบลงไปดูเรื่องราวในนรกภูมิเรอะ " เสียงย้ำแต่ประโยคนี้นับครั้งไม่ถ้วน

    พร้อมก้าวเข้ามาชิดตัวผู้เขียนทีละก้าว ผู้เขียนก็ถอยหลังหนีทีละก้าวเช่นกันโดยไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น (แต่ตอนนี้คิดในใจ อพิโถ...แค่เห็นหน้าก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว จะมาย้ำถามอะไรกันหนอ ไม่มีคำตอบจากสวรรค์ทั้งสิ้น เพราะฉันไม่รู้เลยว่าเขาเข้าแถวกันเพื่อรอเรียงหน้ากระดานไปทัวร์นรกภูมิกัน )
    น่าสะพรึงกลัวชนิดเกิดมาไม่เคยพบเจอ เขาก้าวไล่ผู้เขียนจนผู้เขียนถอยหลุดออกมาจากแถว ได้สักระยะ ชายศีรษะอสูรจึงหายไป.....


    พร้อมกับภาพตรงนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเหมือนกำแพงสถานที่ใดสักที่หนึ่ง ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาเป็นแน่ เพราะทั้งกำแพงยาวสุดสายตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแผดเผาลุกโชน เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ดับรู้สิ้น เสียงภาพผู้คนที่อยู่ภายในกำแพงเพลิงที่เห็นอยู่ลิบ ๆ นั้นต่างดิ้นทุรนทุรายโหยหวนกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานท่ามกลางเปลวเพลิง แค่นี้ก็ไม่อยากเห็นภาพอื่นต่ออีกแล้ว ช่างน่าสะพรึงกลัว น่าเวทนาเหลือเกิน สุดคำบรรยายแล้ว พลันภาพก็เปลี่ยนไปหยุดอยู่ที่.

    ชายคนหนึ่ง รูปร่างเหมือนคนเราปกตินี่แหละ นั่งอยู่บนที่นั่งคล้ายบัลลังภ์สูงเหนือศีรษะคนสักสองเท่าตัวเห็นจะได้ แต่ผู้เขียนไม่เห็นหน้าของท่าน เพราะทั้งกายศีรษะจรดปลายเท้าของท่านเปล่งรัศมีแสงสีทองเจิดจ้าออกมา จนผู้เขียนไม่สามารถมองเห็นหน้าตาท่านได้ เพียงแต่รับรู้ด้วยจิตได้เท่านั้นว่าท่านคือ พญายมราช นั่นเอง


    แล้วทุกอย่างก็คืนสู่สติดังเดิม หลังจากนิมิตเรื่องราวนี้ผู้เขียนได้ปรึกษาครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนเคารพ ท่านว่า ที่ผู้เขียนเห็นนั้นก็เป็นจริงอยู่ คนที่จะตกลงไปยังอบายภูมิมิใช่คนธรรมดาทั่วไปที่สร้างบาปสร้างกรรมหรอก แม้นุ่งขาวอยู่อย่างที่เห็นก็หาพ้นไม่หากตกอยู่ในความประมาทแห่งชีวิต และการที่เราเห็นหน้าคนที่รู้จักชัดเจนต่อแถวรอลงไปอยู่ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิต แสดงว่า เขาเปิดให้ช่วยบุคคลผู้นั้นยังคงพอมีหนทางแก้ไขให้พ้นกรรมจากการต้องลงไปนรกภูมิในกาลเบื้องหน้าด้วย ให้หมั่นบอกบุญให้เขาร่วมอนุโมทนา สร้างบุญสร้างกุศลให้มาก ๆ จะได้ไม่ต้องลงไปในนั้น ยังพอมีทาง.

    วันนี้ สำหรับตัว ผู้เขียนคงคิดแบบสมัยเด็ก ๆ ไม่ได้อีกแล้ว ว่า นรก สวรรค์ เป็นแค่เรื่องเล่าหลอกเด็ก หรือกล่าวคำว่า ไม่มีจริง

    ผู้เขียนขอเล่าเรื่องนี้ไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเพื่อนมนุษย์ให้พึงระวัง พึงสำรวมกรรม มิได้เจตนาอวดอ้างสิ่งใดหรือเพื่อผลประโยชน์อันใด ก็เป็นเพียงนิมิตเรื่องหนึ่งในจำนวนทั้งหมดที่อยากนำมาถ่ายทอดเพื่อให้เพื่อนมนุษย์ได้หมั่นสร้างกุศลกรรมกันไว้ให้มากยิ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องไปเข้าแถวต่อคิวไปเที่ยวทัวร์นรกภูมิแบบที่ผู้เขียนได้บังเอิญมีโอกาสเห็น

    หากผู้ใดอ่านแล้วสร้างกุศลกรรมมากขึ้น ผลแห่งกุศลอันเกิดจากบทความนี้ทั้งหมดผู้เขียนขอน้อมนำถวายเป็นกุศลแด่ท่านพญายมราช และท่านผู้คุมเมืองนรกทุกท่านเพราะถ้าไม่ใช่ท่านเปิดโอกาสให้ผู้เขียนเห็น ก็คงไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับนรก มาเขียนเล่าให้ทุกท่านได้รับรู้เช่นกัน
    กฎแห่งกรรมไม่เคยละเว้นผู้ใด
    ไม่ว่าด้วยเพียง วจีกรรม ...มโนกรรม...กายกรรม..

    .....เป็นสิ่งที่พึงจำ ! ….สาธุ !
    ศศิริยะ



    หนังสือ ปาฏิหาริย์ แรงบุญ แรงกรรม...ใครว่าไม่มีจริง โดย ศศิริยะ
    http://palungjit.org/showthrea...129821&page=30
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  3. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751
    *********************************************
    ข้างล่างถัด ๆ ลงมามั้งคะ หรือไม่กระทู้เก่ามันก็คงไปที่ชอบ ๆ แล้วล่ะค่ะ สาธุ อย่าไปหาเลยค่ะ เสียเวลา เพราะลงให้อ่านใหม่แล้วไงคะ โชคดีค่ะ

    ศศิริยะ


    หนังสือ ปาฏิหาริย์ แรงบุญ แรงกรรม...ใครว่าไม่มีจริง โดย ศศิริยะ
    http://palungjit.org/showthrea...129821&page=30
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  4. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751
    มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจในความทุกข์ของตัวเองกันหรอกค่ะ เพราะทุกคนก็มีทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะต่างกันก็แค่หนัก เบา ตามแรงกรรมเท่านั้น แม้ผู้เขียนเองก็ใช่ว่าจะไม่มีทุกข์เช่นกัน เกิดมาร้อยชาติพันภพ สร้างกรรมใดมากี่ชาติกี่ภพก็ไม่รู้ ทำใจยอมรับและกล้าที่จะเผชิญกับมันด้วยสติ ปล่อยวาง ละการยึดติดในทุกสรรพสิ่งให้ได้นั่นแล คือทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง................ศศิริยะ.............



    หนังสือ ปาฏิหาริย์ แรงบุญ แรงกรรม...ใครว่าไม่มีจริง โดย ศศิริยะ
    http://palungjit.org/showthrea...129821&page=30
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  5. a_sitt

    a_sitt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +189
    อนุโมมทนาบุญครับคุณศศิริยะและลูกสาว ขอให้ช่วยเหลือในบุคคลที่ควรช่วยเหลือตามกำลังของตน อย่าทนฝืนหรือพยายามให้เกินขอบเขตของสิ่งที่กำหนดกรรมของแต่ละบุคคลแต่ละดวงจิต นะครับ ขอขอบคุณแทนผู้ทุกข์ยากจากวงเวียนกรรมที่แต่ละคนสร้างเอง ขอให้ลบล้างกรรมดำ สร้างกำลังกรรมขาวให้บริสุทธิ์นะครับ
    ****ว่างจากทุกสิ่ง จะพบความเต็มในสิ่งที่ว่าง****
     
  6. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751
    ขอตอบอีกนิด การที่ผู้เขียนไม่เขียนวิธีแก้ไขกรรม เพราะมันไม่มีประโยชน์ใด ๆ ที่จะนำไปทำตามในกรณีใกล้เคียง เพราะอย่าที่บอกแต่ละคนก็แต่ละกรรม สร้างกรรมมาต่างกัน การใช้กรรมจึงต่างกัน หากนำไปปฎิบัติตามก็คงไม่เกิดเห็นผลใด ๆ กับชีวิต เสียเวลาเปล่า ๆ ค่ะไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากบุญที่ไปสะสมไว้ให้ตนเองอาจจะในชาติต่อไปแค่นั้นค่ะ จึงไม่อยากเล่าลงบทความให้สับสนกัน ............ศศิริยะ................




    หนังสือ ปาฏิหาริย์ แรงบุญ แรงกรรม...ใครว่าไม่มีจริง โดย ศศิริยะ
    http://palungjit.org/showthrea...129821&page=30
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  7. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    แย่เลยน้องสาวคนสวย

    ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ผมเองก็มีทุกข์มาตั้งแต่จำความได้
    เช่นเดียวกะทุกๆคน

    แต่ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ผมไม่ใส่ใจกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะใช้แนวความคิดที่ว่า ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ค่อยๆทยอยชดใช้กรรมไปเรื่อยๆ ตายเมื่อไหร่ก็สบายเมื่อนั้น

    แต่ตอนนี้ผมเริ่มมีทุกข์แล้ว นิดหน่อย

    ทุกข์ของผมคือ ผม กลุ้มใจแทนน้องสาวคนนี้ คนที่หลายๆคนฝากความหวังไว้กับเธอ ว่าเธอจะช่วยแนะวิธีแก้ไขกรรมอกุศลของแต่ละคนแต่ละกรรม


    ทั้งที่น้องเค้าก็ยังเด็กยังวัยรุ่น น่าจะได้เที่ยวเล่นสนุกสนานเหมือนกับเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกันในช่วงปิดเทิร์ม เปิดเทิร์มก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน

    เชื่อเหอะ น้องเค้าอดไม่ได้หรอกที่จะช่วยคนที่มีปัญหา ช่วยทั้งๆที่ตัวเองก็มีภาระที่ต้องทำหลายๆอย่าง ทั้งในฐานะลูกของพ่อแม่ ในฐานะนักเรียน และในฐานะเยาวชนของชาติคนหนึ่ง

    บอกตรงๆว่า ถ้ายื่นภาระในฐานะ โอเปอร์เรเต้อติดต่อกะเจ้ากรรมในเวรของหลายๆคนนี่ จะหนักเกินไปสำหรับเด็กในวัยเรียนคนนึงมั๊ย



    .....แต่น้องเค้าสวยนะ ^3^"
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ครอบครัวของคุณเจ้าของเรื่องนับว่าเป็นสัญญาเก่าเชื่อมต่อมิติมาได้อีกแบบหนึ่ง เมื่อสมัยเด็กๆ ยายผีป่าก็ฝันทำนองเดียวกันกับลูกสาวของคุณเจ้าของเรื่องนะคะ แต่ทีนี้ทางพวกผู้ใหญ่เกรงว่าเราจะอายุสั้น เลยทำพิธีแก้ให้เป็นเหมือนเด้กทั่วไป คือใช้ชีวิตกับการเรียน การเล่น และทำงานแบบคนทั่วไปที่เขาต้องใช้ชีวิตในความจริง แต่ว่าเมื่อมันเป็นสัญญาเก่ามันก็จะสะกิดเตือนเรา ทำให้เราเป็นไป ไม่ต่างจากคนมีองค์นะคะ น้องเขามีของเก่าและมีสัญญาเก่าที่ยังตัดกันไม่ขาดมันเลยทำให้เป็นเด็กพิเศษอีกประการหนึ่ง

    เมื่อคุณมาเปิดเผยเรื่องนี้ แน่นอนมีผู้ที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากคุณและน้องเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาผจญกับมันเกิดจากอะไร แก้ไขได้ไหม แก้ไขอย่างไร เขาทุกข์ใจจึงหวังว่าสิ่งที่เป็นความสามารถพิเศษของลูกสาวคุณจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้พวกเขาได้ อย่าลืมว่าคนเราทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้นการเปิดตัวครั้งนี้ คุณกับลูกสาวต้องกล้าเสียสละมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนโดยมีคุณธรรมเป็นตัวยึดเกาะ

    ส่วนฝ่ายที่กล่าวติง เตือน และจับตามองในสังคมเวบ สังคมรอบข้าง เพื่อนบ้าน ย่อมมีแน่นอน ขอให้คุณและลูกสาวมีจุดยืนของตัวเอง และรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณสองคนต้องการและมุ่งหวังให้เป็นไปได้อย่างลุล่วงนั้นคืออะไร

    ยายผีป่าไม่ได้อ่านจนทุกหน้าเพราะมีงานที่ต้องทำนะคะ

    หวังว่าคงมีโอกาสได้สัมภาษณ์น้องเขามาลงในนิตยสารพลังจิต.คอม สักวันนะคะ ขอบคุณ

    ทวดยายผีป่าเล่าว่า หากขึ้นมาจากเมืองบาดาลแล้วไม่บำเพ็ญเพียรสร้างบุญปารมีต่อ จะต้องตายหรือหายไปอย่างไร้ร่องรอยนะคะ

    ขอให้นำสิ่งที่ได้มาจากมิติสัมผัสสัญญาเก่านั้นๆ มาใช้อย่างเกิดประโยชน์ต่อการสานต่อทิพยปารมีนะคะ และระมัดระวังด้วยเรื่องปัจจัย เพราะมันทำร้ายคนมากมาย เมื่อใครมอบให้เพื่อเป็นการตอบแทน หากน้องเขาไม่มีรายได้ ขอให้รับไว้เพื่อยังตนพอประมาณ อย่าลืมแบ่งไปทำบุญด้วยนะคะ
     
  9. ธนาวุฒิ

    ธนาวุฒิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +47
    คุณศศิริยะผมมีพี่สาวปัญญาอ่อน ถูกภรรยาผมทุบตี่เป็นประจำ เพราะปากไม่ดีชอบด่าผู้อื่น จะแก้กรรมได้อย่างไร กรุณาติดด่อที่ T.081-4394735 K.วุธ
     
  10. ธนาวุฒิ

    ธนาวุฒิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +47
    ถึงคุณ nuttadet กรุณาส่งCD มาที่ 41/14 หมู่10 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม.10230 ธนาวุฒิ หงห์สง่ากุล
     
  11. greta

    greta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +160
    อยากเจอน้องบ้าง

    ได้อ่านบทความของคุณแม่แล้วน่าสนใจมากค่ะ
    อยากให้ได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งของดิฉันซึ่งมีปัญหามากมาย
    ในการดำเนินชีวิต เพื่อจะได้รู้และหาทางแก้ไขให้ถูกต้องและตรงจุด
    ถ้ามีโอกาสได้เจอน้องสัก 5-10 นาที ก็จักเป็นพระคุณมากค่ะ

    nata_greta@yahoo.com
     
  12. moojoi

    moojoi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    สวัสดีค่ะ คือหนูเองเพิ่งมาศึกษาทางธรรมได้ไม่นาน แล้ะไม่ได้เคร่งครัดอะไรมากมาย หนูรู้สึกว่าจิตใจยังร้อนๆ ไม่นิ่งสักที moojoi_5@hotmail.com อีเมลล์ของหนูค่ะ รบกวนแอดแล้วมาคุยกันนะคะ
     
  13. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    อันว่าผู้มีฤทธิ์ มีอภิญญา หรือคุณวิเศษนั้น มีมามากมายตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล แต่หากเป็นผู้ประมาทในธรรม ก็คงจะต้องเนิ่นช้าเนิ่นนานและเสื่อมจากการบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะไม่ได้พิจารณาธรรมเนืองๆดังที่พระ พุทธองค์ได้ทรงสอนแก่ภิกษุทั้งหลายให้เข้าถึงหัวใจของศาสนา คือ การละอัตตา หรือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ของตนทั้งหลาย ฉะนั้น ผู้มีฤทธิ์ มีอภิญญาทั้งหลาย หากยังเป็นผู้รู้สึกพอใจในการใช้อภิญญาโดยไม่รู้จักกาลอันควร ก็ถือว่ายังประมาทในธรรมอยู่ ความต่างกันระหว่างผู้มีอภิญญาฝ่ายโลกียะและฝ่ายโลกุตตระนั้น ต่างกันที่การ รู้จักสำรวมใจและการปล่อยวาง กล่าวคือ ฝ่ายโลกียะนั้นจะมักใช้อภิญญาพร่ำเพรื่อ อยากรู้อยากเห็น จนเผลอไปเป็นผู้วิเศษ มีคนนับหน้าถือตาโดยไม่รู้ตัว และฝ่ายโลกุตตระนั้น จะสำรวมด้วยการปล่อยวาง ละวางความยึดมั่นแม้ในความมีอภิญญาของตน ด้วยตระหนักว่า ผู้มีฤทธิ์อภิญญาและไม่ใช้ฤทธิ์อภิญญานั้นประเสริฐกว่า ประเสริฐกว่าเพราะเป็นผู้ไม่ประมาทในธรรม
    สิ่งที่อาตมาได้แสดงมาในเบื้องต้นนี้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้กับผู้ปฏิบัติ ไม่ให้มุ่งไปในเรื่องอภิญญา 5 แต่ควรมุ่งอภิญญาข้อที่ 6 คืออาสวักขยญาณ (ความหลุดพ้น) เสียก่อน เพราะเหตุว่าพระพุทธองค์เองก็มักจะติเตียนในเรื่องการใช้ฤทธิ์ว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ทรงสรรเสริญในเรื่องการแสดงธรรมให้ ผู้อื่นฟังธรรมและรู้เห็นตามธรรมจน แจ่มแจ้งในธรรมนั้น แม้แต่ในการเทศนาธรรมสอนแก่ภิกษุทั้งหลาย พระองค์จะทรงเริ่มต้นด้วยการให้ภิกษุทั้งหลายรู้จักปล่อยวาง โดยน้อมใจภิกษุทั้งหลายในเบื้องต้นให้เห็นด้วยปัญญาว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนั้น ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ จึงไม่มีตัวตนใดๆที่เรา จะพึงไปยึดมั่นถือมั่น ต่อจากนั้นก็จะทรงสอนให้ภิกษุสลัดจากความยินดีในกาม และปลีกวิเวกเพื่อสัมผัสความสงบอันประณีตในสมาธิหรือองค์ฌานไปโดยลำดับ ซึ่งเป็นโลกุตตระสมาธิหรือโลกกุตตระฌาน อันถึงพร้อมด้วยปัญญาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่มีตัวตนไปตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่มุ่งทำฌานโดยขาดปัญญาอย่างที่เป็นอยู่โดยมากในหมู่นักปฏิบัติธรรม ในปัจจุบัน ซึ่งสุดท้ายผู้มีฤทธิ์อภิญญาทั้งหลายหากจะปรารถนาความหลุดพ้น ก็ต้องวางฤทธิ์อภิญญา ของตน จึงจะเข้าสู่กระแสของมรรคผลได้ เพราะการเข้าสู่มรรคผลนั้น ต้องเริ่มจาก “การให้” กล่าวคือ การให้ อัตตาออกไปจากใจของตน และบุคคลจะเป็นผู้ให้อันชอบโดยแท้ได้นั้น ต้องเริ่มต้นจาก “การปล่อยวาง” ไม่ใช่ “การให้” เพื่อจะ “เอา” แต่จะต้องเป็น “การให้” เพื่อขัดเกลากิเลสในใจของตน

    ที่มา http://209.85.175.104/search?q=cach...สรรเสริญ+การแสดงธรรม&hl=th&ct=clnk&cd=2&gl=th
     
  14. BATIOHM

    BATIOHM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +115
    สาธุครับ อยากพบลูกสาวพี่จังครับ อยากให้มาสอนผมบ้าง (จะได้หลุดพ้นซะที)
     
  15. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751
    ************************************************
    ขอบพระคุณในคำชี้แนะ และความห่วงใยจากหลาย ๆ ท่านมา ณ ที่นี้นะคะ อย่างที่บอกข้างต้นว่าไม่ได้มีจุดประสงค์สร้างกระแส หรือเปิดตัวน้องเค้าเพื่อแอบอ้างในผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากให้คติธรรม ให้ทุกท่านได้มีกำลังใจที่จะทำ สร้าง ปฎิบัติกันต่อไปอย่างไม่ท้อใจแม้ยังไม่เห็นผลแห่งการสร้างกรรมดีกับตนเองแต่อย่างใดก็ตาม เพราะมนุษย์เรามักคิดว่า ทำไมชีวิตทำบุญสร้างกุศลมาก็เยอะ แต่ชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นหรือพ้นจากทุกข์เลย หากได้รับรู้รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครสักคน ว่านามธรรมเหล่านี้มันมีจริงนะ อย่างน้อยจะได้มีกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้และเผชิญในกรรมนั้นต่อไปอย่างมีความสุขมีจุดหมายปลายทาง ลด ละ เลิกการเดินทางไปในเส้นทางที่ผิด ๆ ได้ แต่เมื่อกระแสกลายมาเป็นความเชื่อมั่นในตัวน้องเขาแบบนี้แทนที่ เมื่อวานผู้เขียนเองได้รวบรวมข้อความทั้งหมดจากทุกๆท่านให้น้องเขาดูคร่าว ๆ แล้ว ผู้เขียนเองเลี้ยงลูกมาแบบให้เขามีความกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจในทางที่ถูกด้วยตัวเองมาตั้งแต่เขาเล็ก ๆ อยู่ในสังคมความเป็นอินเตอร์มาตั้งแต่อนุบาล เคารพในความคิดซึ่งกันและกัน เลยให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจเอง เขาบอกโอเคเฉพาะกิจเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ในช่วงเวลาที่กำหนด อาจไม่ครบทุกท่านแต่เขาจะพยายาม ส่วนกรณีที่อยากพบอยากคุยสนทนาธรรมธรรมดาหรือปัญหาที่ไม่หนักหนา คงต้องไว้ทีหลังนะคะ ก็ถามเขาค่ะว่ามีหลายท่านชี้แนะ ขอทราบเรื่องเขาจะเก็บค่าตอบแทนไหม เรื่องนี้บอกแล้วค่ะว่าไม่ใช่อาชีพ ไม่ได้สร้างกระแสหลอกลวงใคร เฉพาะกิจช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น น้องเขาบอกว่า ขอไม่เรียกร้องใด ๆ แต่ถ้าใครจะเอ็นดูเขา จะให้อะไรเขาหรือไม่ให้เขาๆก็ไม่ว่า ไม่ขัด และไม่สนใจกับปัจจัยเหล่านั้นเพราะคงต้องไปทำบุญตามปกติวิสัยของเขาอยู่แล้ว ตัวผู้เขียนเองก็มิได้ข้องเกี่ยวใดๆ เขาบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือหากเขาได้มีโอกาส"ให้"กับผู้อื่น มันทำให้หัวใจเขาพองโต มีความสุขมากกว่าได้รับสิ่งอื่นใดจากผู้อื่นอยู่แล้วค่ะ เขาว่าแม้เงินเพียง 1 บาทหากได้รับจากผู้ให้ เขาก็ถือว่ามีค่ามากที่สุด เพราะไม่ได้แปลว่ามีค่าเป็นเงินมากน้อย แต่เป็นค่าจากจิตใจที่ดีของคนที่อยากจะให้เขา มันมากกว่าค่าของเงินเป็นไหน ๆ เขาว่าอย่างนั้นค่ะ คงต้องเคารพความคิดของน้องเขาตามนั้น ก็คงช่วงปิดเทอมนะคะ อย่างที่บอกจะพยายามติดต่อกลับไปพร้อมให้เบอร์โทร หรือน้องเขาอาจดูให้ทางอีเมลล์แทนการพบตัวในบางท่าน เพราะเขาดูได้ค่ะ แบบไม่ต้องทราบชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดใด ๆ ทั้งสิ้น ขอแค่เห็นหน้า ภาพของคนที่ต้องการทราบปัญหา หรือภาพสถานที่ๆคุณอยากทราบปัญหา และคำถามของคุณเท่านั้น ฉะนั้นเราอาจจะไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามอะไรกันเลยก็ได้ค่ะ เพราะน้องเขาไม่เคยถามใครเลย ไม่ต้องแปลกใจนะคะ เรื่องธรรมดา ขอบคุณในความห่วงใยจากทุกท่านที่มอบให้น้อง ไม่ต้องเป็นห่วงน้องเขานะคะ เด็กก็คือเด็ก เขาใส จริงใจ ชัดเจนตามวัยเขาอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรเลิศเลอจนต้องเป็นที่ประลองวิชาจากบางกลุ่มคนตามที่หลายท่านห่วงใยมา ผู้เขียนมั่นใจค่ะว่าคงไม่มีใครคิดไม่ดีกับเด็กนอกจากให้ความเอ็นดูเขาในสิ่งที่เขาทำมากกว่าค่ะ ส่วนเรื่องเรียนไม่ต้องห่วงค่ะ น้องเขามีแค่ตัวกับหัวใจไปโรงเรียนตั้งแต่เล็ก ไม่เคยท่องหนังสืออ่านหนังสือ ผลการเรียนเขาก็อยู่ระดับแถวหน้ามาโดยตลอด เพียงแต่ช่วงสอบผู้เขียนไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องอื่น ๆ เท่านั้นเองค่ะ เรื่องเที่ยวปิดเทอมก็สบาย ๆ ค่ะ น้องเขาไม่ชอบเที่ยวมาแต่ไหนแต่ไร อุเบกแต่เยาว์วัยแล้วกระมังคะ สบาย ๆ ค่ะ
    และต้องขอขอบคุณทีมงานพลังจิตทุก ๆ ท่าน ที่ให้ความสนใจอยากจะสัมภาษณ์น้องเขา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ทางธรรม ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับน้องเขาค่ะ เขาบอกโอเค ค่ะ ไว้จะส่งเบอร์โทรไปให้ทางหมายเลขของคุณ tamsak ตามที่โชว์ไว้ที่หน้า บก.หนังสือพลังจิตก็แล้วกันนะคะ ปิดเทอมค่อยโทรนัดหมายกัน ยินดีให้ความร่วมมือทางธรรมค่ะ ดีเหมือนกันค่ะ คนที่สนใจมีคำถามในตัวน้องเขาจะได้อ่านทีเดียวไม่ต้องตอบซ้ำเยอะ ๆ ค่ะ
    ( อีกนิด....ท่านที่มีปัญหาเคสอัมพฤกอัมพาต เส้นเลือดแตกตีบ น้องเขาบอกว่า การที่จะแก้ไขให้พ้นกรรม คงต้องอาศัยบุคคลๆคนนั้นอยู่ในสภาวะที่สามารถยืดหยุ่นกรรม ที่อาจดีขึ้นหรือแย่ลงได้ด้วย คือสามารถที่จะแก้ไขให้พ้นกรรมได้ หากเป็นโรคทางกายสังขารปัจจุบัน ไม่ใช่โรควิบากกรรมที่มาจากกรรมเก่า คงต้องเยียวยาให้ท่านผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่ดี ณ ขณะนั้นให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้เพียงนั้นค่ะ ถึงแม้ว่าอาจเกิดจากกรรมเก่า แต่เมื่อเจอกันเมื่อสายเสียแล้ว เหมือนสายยางฉีกขาดไปแล้ว น้ำที่ไหลก็ไม่สามารถไหลเข้าสู่สภาวะปกติได้ร้อยเปอร์เซนต์หายเป็นปกติดังเดิม นอกจากอาจทำให้ความทรมานในกรรมนั้น ๆลดลง ขอให้ทำความเข้าใจกันตามนี้ เข้าใจค่ะว่าคนเราเวลามีทุกข์มันสาหัสไม่ว่าเรื่องใด ๆ จะพยายามช่วยเท่าที่สามารถนะคะ )
    เวลาทุกข์มา ขอให้ทุกท่านตั้งสติไว้ให้มั่น พอสติมาปัญญามันก็เกิด หากสติเตลิดมันจะยิ่งเกิดปัญหา
    สาธุ !
    .....ศศิริยะ.....




    หนังสือ ปาฏิหาริย์ แรงบุญ แรงกรรม...ใครว่าไม่มีจริง โดย ศศิริยะ
    http://palungjit.org/showthrea...129821&page=30
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ทุกคนมีกรรมเป็น ของตนเอง

    แม่ กับ ลูก คู่นี้ จะทำอะไร ก็ เป็น สิ่งที่เขา ทั้งสอง เลือกเเล้ว

    ทุกอย่างเป็นไปตาม สิ่งที่ผู้นั้น ตัดสินใจ

    ผู้อื่น ก็ คือ ผู้อื่น


    กฎแห่งกรรม ก็ ยังคง ผล เช่นเดิม มิเคยเปลี่ยนแปลง


    ผู้ยืนอยู่ บน ยอดเขา ย่อม มองเห็น ตีนเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2008
  17. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ผู้ที่ปฏิบัติ ดี ชอบ ย่อมมองเห็น ว่า ใคร เป็น อะไร และ คิดอะไร

    ผู้ที่ปฏิบัติ ดีชอบ ย่อม มองเห็น เเละ ปล่อยวาง เป็น

    เมื่อ เห็น สิ่งที่ เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป

    หากไม่ถึงที่สุด ของ บารมี

    บารมี ย่อม เสื่อม เมื่อ ถึง กาล

    จงถอย ออกมา และ ยืนดูห่างๆ เป็นพอ
     
  18. มะลิแก้ว

    มะลิแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +356
    ขอรบกวนด้วยคนนะค่ะ ไว้น้องเค้าปิดเทอมเมื่อไหร่ อยากขอคำแนะนำด้วยค่ะ
    รบกวนด้วยนะค่ะ ms_sirinat@yahoo.co.th

    ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ทุกข์มากมาย เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาวัดทุกข์ เห็นเพื่อน ๆ บางคนในนี้ เค้าเผชิญมากกว่าเราอีก เรื่องของเราดูเด็กไปเลย คิดว่าทุกข์มากทุกข์น้อยก็อยู่ที่ใจเรา (ตอนมีสติมันก็จะทำใจได้แบบนี้ค่ะ)
    แต่หากว่าเราได้มีโอกาสได้เจอผู้ที่เค้าเห็นเรา มากกว่าที่เราเห็น ที่เราจะได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เราควรจะแก้ไขกับอะไร ๆ ไปได้บ้าง มันน่าจะดีกว่า
    อยากมีโอกาสได้พบ หรือได้คุยนะค่ะ 081-295-1525 ขอบคุณที่ให้โอกาสค่ะ
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870


    เมื่อ ไม่รู้จัก พรหมวิหาร 4

    ก็ จง เข้า ไป ดำเนิน การตาม จิตตนเอง
     
  20. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    "จงถอย ออกมา และ ยืนดูห่างๆ เป็นพอ"

    ชัดมะ ชัดมะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...