เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรัชกาลที่ ๑

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 2 มิถุนายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถาม : หนังสืออ่านเล่นของหลวงพ่อมีเขียนประวัติศาสตร์ที่เป็นรัชกาลที่ ๑
    ตอบ : อันนั้นเกี่ยวกับประวัติของสมเด็จพระปฐมบรมราชชนก ท่านปู่ทองดีก็มาลูกชายคือ รัชกาลที่ ๑ ก็ทองด้วง

    ถาม : แล้วไล่ ๆ มาก่อนหน้านั้นไกลเหมือนกันนะคะ
    ตอบ : จริง ๆ แล้วท่านจะเป็นเจ้าคุณพระพินิจอักษรนะ คราวนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะตามประวัติศาสตร์ที่เขารับรองเป็นพระอักษรสุนทร เท่านั้น คราวนี้ตำแหน่งมากกว่านั้นไม่ได้บอกไว้ หลวงพ่อท่านไปควักมาจนได้

    ถาม : แม่มาตอนไหนครับ ก็ตอนนั้นก็กรุงแตกแล้ว ?
    ตอบ : ก็กรุงแตกแล้ว เสร็จแล้วอพยพไปอยู่พิษณุโลก แล้วไปรับราชการอยู่หัวเมืองอื่นก็ได้ยศขึ้นมาใหม่

    ถาม : ตอนที่รัชกาลที่ ๑ ขึ้นครองราชย์ ไม่ไปรับกลับมาเหรอครับ ?
    ตอบ : ก็น่าจะรับนะ แต่ว่าตามประวัติตอนนั้นพูดถึงแต่พระเอกแล้วซิ (หัวเราะ) กฤษดาภินิหารอันมิอาจจะบดบังไว้ พระรองหรือพ่อแม่พระเอกก็เลยเงียบไปเลย

    ถาม : แล้วอย่างเรื่องที่มีซินแสมาดูรัชกาลที่ ๑ กับพระเจ้าตากสินว่าเป็นกษัตริย์ทั้งสองคนนั้น เรื่องจริงหรือเปล่าครับ หรือว่าเรื่องแต่ง ?
    ตอบ : อ่านดูเหมือนอย่างกับจริงนะ แต่คราวนี้ว่าซินแสอย่างนั้นมันยอดมนุษย์จริงๆ เลย

    ถาม : นี่แสดงว่าเขารู้จักกันมาตั้งแต่หนุ่มๆ งั้นซิครับ ?
    ตอบ : ก็ต้องอย่างนั้น ส่วนใหญ่สมัยก่อนนี่เรียนวิชาหาความรู้อะไร สำนักไหนดีก็ไปเรียนสำนักนั้น ดีไม่ดีก็ผูกสมัครรักใคร่เป็นเพื่อนกันมานานแสนนานเสียแล้วด้วยซ้ำไป

    ถาม : ก็เหมือนกับประวัติศาสตร์มาเจอกันตอนกู้กรุง กู้ได้แล้วด้วยซ้ำนี่ครับ ถึงค่อยกลับมาอยู่ด้วย น่าจะมั้ง...เอ๊ะ ! แต่แปลกนะครับ ทำไมไม่เห็นประวัติศาสตร์เขียนไว้เลยว่าก่อนหน้านั้นรัชกาลที่ ๑ ท่านไปอยู่ไหน หายไปเลย ?
    ตอบ : คนเขียนมันตามไม่ทัน ส่วนใหญ่มันจะมีนักจด นักจดนี่เขาเรียกอาลักษณ์ จดเป็นหมายเหตุคราวนี้กรุงศรีฯ มันกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ตัวเองไม่รู้จริงว่าอยู่ไหน ถ้ามั่วไปเดี๋ยวโดนคนรุ่นหลังด่าเขาก็ต้องมีจรรยาบรรณของเขาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเขียนเชียร์เฉพาะพวกของตัวเองก็เหอะ

    ถาม : ถึงว่าครับ หาประวัติของรัชกาลที่ ๑ ไม่มีเลย มามีตอนก็แบบมาเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว
    ตอบ : โผล่มาเป็นอะไร ....เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก

    ถาม : นั่นซิครับ ผมก็แปลกนะครับ ทั้งๆ ที่พระเจ้ากรุงธนฯ ท่านแบบมีมือดีอยู่ใกล้ตัวเยอะมากเลย แล้วคนนี้ไม่รู้มาจากไหน กลับมาใหญ่กว่าคนที่กู้บ้านกู้เมืองมาด้วยกัน
    ตอบ : จริง ๆ สมัยนั้นท่านจะมีทหารเอกคู่พระทัยอยู่ ๑๐ คนด้วยกัน มีอย่างพระยาศรีสิทธิสงคราม, พระยาสามเมืองระย่อ, พระยาพนอราชบาท, พระยาไพรีพินาศ, พระยาพิฆาตไพรี, พระยาพิชัยสงคราม อย่างนี้จะมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ คนด้วยกัน แล้วก็ ๑๐ คนนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการกู้ชาติของท่าน ถ้าหากไม่มี ๑๐ คนนี้คงสำเร็จยากนะ ลำพังตัวเองนี่ฟาดกันเหงือกแห้งแน่เลย คงไม่ใช้เวลาแค่ ๗-๘ เดือน

    ถาม : อ้าว ! อย่างนี้รัชกาลที่ ๑ ท่านมาแล้วท่านมาเป็นใหญ่เลย คนที่อยู่ด้วยไม่เขม่นเหรอ ?
    ตอบ : สมัยนั้นท่านเป็นอยู่แล้วล่ะ ก็อยู่ ๑ ในจำนวน ๑๐ คนนี่แหละ

    ถาม : อ้อ.......
    ตอบ : คือรัชกาลที่ ๑ ท่านเป็น “พระยาศรีสิทธิสงคราม” อุตส่าห์ขึ้นให้เป็นคนที่่ ๑ แล้วมันยังไม่สงสัยอีก

    ถาม : (หัวเราะ) ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)
    ตอบ : ตำแหน่งพระยาศรีสิทธิสงครามนี่ สืบต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ ก็ยังมีอยู่นะ รู้สึกพระยาศรีสิทธิสงครามคนสุดท้ายที่รู้จัก....อาจจะมีหลังจากนั้นอีก แต่ว่าคนสุดท้ายที่รู้จักก็คือ “พระยาศรีสิทธิสงคราม” ที่ตายตอนกบฎวรเดช เป็นกองหลังคอยยันกำลังของฝ่ายรัฐบาลไว้ ไปตายแถวปากช่อง นั่นแหละพระยาศรีสิทธิสงคราม ชื่อดิ่น นามสุกล ท่าราบ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นปู่ของคุณสุรยุทธ จุลานนท์ ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิดนะ เป็นชาวเพชรบุรี ท่ารายอยู่เพชรบุรี

    ถาม : แล้วทำไมถึงเป็นราชวงศ์จักรีล่ะครับ ?
    ตอบ : ก็ “จักรี” เขาใช้เครื่องหมาย กงจักรกับตรีศูลไง โบราณนี้เขาออกเสียง “ก.” แทน “ต.”

    ถาม : ท่านก็ไล่ราชวงศ์กลับไปถูกนี่ครับว่ามาจากสุโขทัยเหมือนกัน
    ตอบ : ถึงเวลาก็ต้องสาวประวัติกลับ แต่คราวนี้ว่า ก็ในเมือ่ตั้งเมืองใหม่ ปราบดาภิเษกใหม่ก็ต้องนับเป็นต้นราชวงศ์ใหม่ อย่างของอยุธยาก็มี ราชวงศ์ปราสาททอง, ราชวงศ์บ้านพลูหลวง, ราชวงศ์สุพรรณภูมิ

    ถาม : จริง ๆ ก็เชื้อสายเดียวกันทั้งนั้นเลย
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่า ของจีนเขาบอกไว้ว่าเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน เขามีบรรพบุรุษคนเดียวกัน

    ถาม : กรุงศรีอยุธยา สภาพบ้านเมืองที่ถูกเผามันเหมือนกับสภาพบ้านเมืองของสุโขทัย ทีนี้ไม่แน่ใจว่าสุโขทัยนี่จะโดนเผาเหมือนกับกรุงศรีอยุธยาหรือเปล่า ?
    ตอบ : สุโขทัยสมัยนั้นจะเป็นเมืองหน้าด่าน จากสุโขทัยเมืองหลักลงมาก็จะเป็นพิษณุโลก สุโขทัย สมัยนั้นจะเป็นเมืองชะเลียง เมืองศรีสัชชนาลัย เมื่อทางหัวเมืองทางเหนือเวลาโดนตีไล่มา จากเชียงใหม่ลงมาเลย จากเชียงใหม่ไล่เลาะลงมา ถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ก็ทิ้งเมืองหนี ไอ้ทิ้งเมืองหนีถึงเขาไม่เผา มันก็กลายเป็นเมืองร้างมันก็ปรักหักพังพอๆ กันนั่นแหละ

    สมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านถึงได้ชะลอพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือลงมาตั้งพันกว่าองค์ เอามากรุงเทพพันกว่าองค์ องค์ไหนที่สำคัญหรือมีลักษณะงดงามก็แจกจ่าย ให้วัดโน้นวัดนี้ เป็นพระประจำพระอุโบสถบ้างประจำวิหารบ้าง ที่เหลือทั้งหมดก็ระเบียงไปวัดโพธิ์เข้าไปดูเถอะหลายร้อยองค์เรียงเป็นแถวเลย บางทีเห็นรูปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เขาถ่ายรูปพระพุทธรูปเป็นแถวยาวเหยียด นั่นแหละระเบียงวัดโพธิ์ เพราะวัดโพธิ์เขาถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑

    พระที่สำคัญ ๆ ที่เอามาสมัยนั้นที่มีอยู่ก็อย่าง “พระพุทธเทวปฏิมากร” ซึ่งปัจจุบันนี้ประจำพระอุโบสถอยู่ แล้วก็หลวงพ่อนาคปรก ชื่ออะไรนะ จำชื่อไม่ได้ ใช้คำว่า “อุรัคอาสน์อำไพ” คือว่า “อาสนะงูที่สวยงาม” จะเป็นพระนาคปรากที่สวยที่สุดในประเทศไทยเลย ไปดูได้ แล้วก็มี “หลวงพ่อโลกนาถ” เป็นพระพุทธรูปยืนหล่อด้วยสำริดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็อยู่นั่น (วัดโพธิ์หมดเลย) วัดโพธิ์แทบทั้งนั้น “หลวงพ่อพระนอน” นี่ไม่แน่ใจว่าปูนหรือโลหะ แต่หลวงพ่อพระนอนนี่คงสร้างขึ้นทีหลัง

    ถาม : วัดโพธิ์นี่รัชกาลที่ ๑ อีกเหรอ ?
    ตอบ : ก็ท่านสร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาล วัดอื่น ๆ ก็ได้ไปเยอะอย่างหลวงพ่อโตศรีศากยมุณี วัดสุทัศน์ นี่ก็มารุ่นนั้น

    ถาม : จำได้แล้วครับ เข้าไปเห็นครั้งแรกไม่รู้ทำไมต้องร้องไห้น้ำตาไหล (หัวเราะ)
    ตอบ : ไม่นึกว่าจะมีพระใหญ่และสวยอย่างนี้มาก่อน

    ถาม : ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)
    ตอบ : ฉลาดมาก ในกรุงเทพพระดี ๆ ซ่อนอยู่เยอะต้องไปตามแบบเดียวกับที่ปิดเทอมที่แล้วพาเด็ก ๆ ไปตามแคะพระจากเชียงใหม่ไล่ทีละวัดทีละองค์ เขาไม่รู้หรอกว่ามี เราก็บอกว่าตรงนั้น ๆ มี แล้วก็ไปดูไปกราบกัน ที่แน่ ๆ คือคุณ ส.ท.สมาชิกสภาเทศบาลเชียงใหม่แท้ ๆ ถามมันมันไม่รู้หรอก เจริญมาก (หัวเราะ) ปล่อยให้คนต่างบ้านต่างเมืองอย่างเราพาไป มันน่าเตะจริง ๆ



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กันยายน 2013
  2. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ขอแก้ให้ท่านเจ้าของกระทู้นิดนึงครับ คาดว่า ไม่ท่านผู้ถอดเทปฟังคลาดเคลื่อน ก็ ท่านผู้พิสูจน์อักษรคงจะอ่านผิด

    ท่านเจ้าคุณศรีสิทธิสงคราม คนสุดท่าน ท่านชื่อเดิมว่า ดิ่น นามสกุล ท่าราบ ครับ (ไม่ใช่ท่าราย นะครับ)

    ท่านเป็นชาวเพชรบุรีโดยกำเนิด เกิดที่ตำบลท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี อันเป็นที่มาของนามสกุลท่านนั่นหละครับ ราว ๆ สมัย ร.5 ได้กระมังครับ

    เพราะท่านสอบได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อ ด้านการทหารที่ ก๊อตลิซเทอเฟลเดอร์ ประเทศเยอรมันครับ

    ซึ่งโรงเรียนการทหารนี้ สถาปนาโดย พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮ่ม ที่ 2 ของเยอรมันครับ (สมัยก่อนยังเป็นปรัสเซีย อยู่)

    โรงเรียนนี้ มีพระบรมวงศานุวงศ์ รวมไปถึง ลูกหลานข้าราชบริพารไปเรียนกันเยอะมาก

    เพื่อนร่วมรุ่นของท่านก็มี เจ้าคุณพระยาพหลพลหยุหเสนา( พจน์ พหลโยธิน) , เจ้าคุณพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) , พันเอกพระอินทรสรศัล (สะอาด แพ่งสภา บิดาของ คุณสรศัลย์ แพ่งสภา) ฯลฯ

    ซึ่งเพื่อนในรุ่นของท่านส่วนมาก เป็นผู้นำการปฏิวัติ ปี พ.ศ. 2475 ครับ

    แต่ท่านเจ้าคุณศรีสิทธิสงคราม ท่านมาถอนตัวก่อนการปฏิวัติจะเริ่มขึ้นครับ ตำแหน่งในขณะนั้น ท่านเป็น เสธ.กองทัพที่ 1 ครับ (สมัยก่อน กองทัพของประเทศไทยจะแบ่งเป็น 2 กองทัพ ครับ)

    ท่านเสียชีวิต ที่ สถานีรถไฟบ้านหินลับ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ครับผม

    ท่านมีบุตรสาว 2 คน คนแรก เป็นมารดาของท่าน อดีตนายกฯ สุรยุทธ์ ส่วนบุตรสาวคนเล็กเพิ่งเสียไปเมื่อไม่นานมานี้เองครับ รู้จักกันในฉายา จิ๋ว บางซื่อ หรือ พญ.โชติศรี ท่าราบ นั่นเองครับ


    อยากรู้รายละเอียดต้องลองไปอ่านในหนังสือ กำศรวลพระยาศรีฯ ดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...