ทุกข์.....ธรรมะของหลวงปู่เทศก์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Kob, 14 ตุลาคม 2005.

  1. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    ทุกข์

    จงตั้งใจฟังธรรมเทศนา จะอธิบายหัวข้อธรรมที่ว่าคนเราต้องการพ้นจากทุกข์ แต่ไม่หาเหตุที่จะพ้นจากทุกข์ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาเฉพาะตัวของเราก็อยากจะพ้นจากทุกข์อย่างเดียว ดิ้นรนกระเสือกกระสนหาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ มันพ้นไม่ได้หรอก คนเราเกิดขึ้นมาทุกคนใครจะพ้นจากทุกข์ในโลกอันนี้ไม่มี ถึงพระพุทธเจ้าเองหรือสาวกทั้งปวงก็เหมือนกัน วิบากขันธ์ยังอยู่ตราบใดไม่พ้นทุกข์ตราบนั้น ที่ท่านพ้นจากทุกข์เพราะท่านรู้เรื่องรู้เหตุของทุกข์นั้นต่างหาก แต่ถึงขนาดนั้นกองทุกข์ก็ยังมีอยู่ร่ำไป ทุกข์เพราะขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้านี้ยังมีอยู่ตราบใดแล้วก็ไม่พ้นจากทุกข์ตราบนั้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ล้วนแต่เป็นกองทุกข์ ท่านพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะปัญญาของท่านเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดรู้เท่าของเรื่องขันธ์ห้าๆ เป็นของติดตามอยู่ตราบใดแล้ว กองทุกข์ก็ยังไม่พ้นอยู่ตราบนั้น ท่านพิจารณาเห็นเหตุแห่งกองทุกข์เกิดจากขันธ์ห้าทุกข์ทั้งหลายหมดในโลกนี้ ถ้ามีขันธ์ห้าตราบใดแล้ว มันต้องทุกข์อยู่ตราบนั้น เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาสามัญต้องการพ้นจากทุกข์คือ ต้องการผล ไม่ต้องการเหตุ เหตุให้เกิดทุกข์คือความทะเยอทะยานดิ้นรนได้แก่ตัณหาอย่างทุกวันนี้แหละ ขอให้คิดดูว่าความหนาวเกิดจากอะไร ความหนาวที่สัมผัสถูกต้องร่างกาย ความเยือกเย็นกระทบกระเทือนร่างกายเป็นเหตุให้เราเดือดร้อนทนทุกข์ทรมานอยู่เดี๋ยวนี้ ใครจะพ้นจากทุกข์ได้ ความอยู่ไม่สุขสบายนั้นเรียกว่าทุกข์ ความทุกข์นั้นทุกคนก็พากันดิ้นรนอยากจะพ้นจากทุกข์ เช่น หาผ้ามานุ่งมาห่ม หาเครื่องอบอุ่นมาบำรุงบำเรอเพื่อให้พ้นจากทุกข์ มันพ้นที่ไหนเล่า ผ้าไม่ใช่มันเกิดเอง ไม่ใช่ของทิพย์ มันต้องหาเงินหาทองมาซื้อ คนที่มีเงินมีทองซื้อก็เข้าใจว่าได้ง่ายสบาย คนไม่มีเงินไม่มีทอง หาเงินกว่าจะได้ก็ลำบากตรากตรำพอแรงแล้ว ขณะที่หาเงินนั้นฝ่าอุปสรรคขัดข้องหลายอย่างหลายประการ ซื้อมาแล้วมานุ่งมาห่มปกป้องความเย็นความร้อน แล้วความเย็นความหนาวอันนั้นมันหายไปไหนเล่า มันก็ยังอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ว่าพออบอุ่นไปได้ชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีใครหายได้สักคนเดียว หาผ้ามาเท่าไรก็หามาเถอะ อาตมาเคยถูกหนาวมาแล้วห่มผ้า ๔-๕ ผืนก็ห่มไปเถิดไม่อุ่นหรอก ต้องนอนผิงไฟ นอนผิงไฟก็ยังไม่อุ่นอยู่นั่นแหละ อันที่ว่าป้องกันความเย็นความหนาวนั้นป้องกันไม่ได้หรอก หากไม่หมดฤดูกาลของมันๆ ก็ยังหนาวเยือกเย็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่คราวนี้พอหนาวหมดฤดูกาลของมันแล้วก็ไปหาร้อน ความร้อนนั้นทำยังไงๆ มันก็ไม่หายอีกเหมือนกัน อาบน้ำก็แล้วพัดลมก็แล้ว ตากอากาศก็แล้ว มันก็ยังร้อนอยู่นั่นแหละ หาเครื่องทำให้มันเย็นเอาพัดลมมาเป่ามันก็ยังร้อนอยู่อย่างนั้นร่ำไป ที่พูดนี้ว่าแต่เย็นกับร้อนเป็นทุกข์ คราวนี้ อย่างแก่ อย่างเจ็บ อย่างป่วยอาพาธ ด้วยประการต่างๆ ก็เป็นทุกข์อีก ถ้ามีเงินมีทองก็ยังค่อยยังชั่วหน่อย พอแก้ไขบำบัดให้บรรเทาไป ไม่ใช่หายนะ บรรเทานะชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ ในชั่วชีวิตนี้จะเจ็บป่วยอยู่อย่างนั้นนับไม่ถ้วน หายไปแล้วเจ็บมาอีก หายอย่างนี้ก็ไปเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด หมดเงินเปลืองทองไปมากมาย ความเจ็บป่วยนี้เรียกว่าเป็นบางครั้งบางคราว ความเฒ่าทำยังไงๆก็ไม่หาย แม้แต่หมอเองก็แก่ก็เฒ่า หมอเองก็แก่ชรา ความแก่ความเฒ่าความชำรุดทรุดโทรมไม่มีใครทำให้หายได้สักคนเดียว ผลที่สุดคือความตาย ต้องตายด้วยกันหมดทั้งนั้น ต่างแต่ว่าตายก่อนหรือตายหลัง นี่คือความทุกข์อีกเหมือนกัน ทุกข์เพราะหิวกระหายประจำวัน วันหนึ่งๆนั้น รับประทานตั้ง ๒-๓ มื้อ หิวกระหายอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พอหายจากรับประทานในวันหนึ่งๆ ในมื้อหนึ่งๆ เข้าใจว่าอิ่มหนำสำราญอยู่เป็นสุข คิดดูว่ากว่าจะได้รับประทานวันหนึ่งมิใช่ของง่ายเพราะมิใช่ของเกิดเองเป็นเองต้องหาเงินหาทองมาซื้อมาแลกเปลี่ยนถึงจะได้รับประทาน ทุกข์นี้เราไม่ค่อยจะคิดถึงยิ่งเป็นแม่ครัวด้วยแล้วโอ้โฮยบางทีทำอาหารมากๆ จนเหนื่อยไม่อยากรับประทานด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุจำเป็นมันต้องทำ นี้ก็เป็นทุกข์อันหนึ่งเหมือนกัน อธิบายเรื่องทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เรานอนมากก็เป็นทุกข์ ยืนมากก็เป็นทุกข์ เรานอนเข้าใจว่าได้ความสุขสบาย แท้ที่จริงบำบัดทุกข์เท่านั้นแหละ บำบัดนั้นหมายความว่าให้มันหายไปชั่วคราวในเมื่อนอนครั้งแรก บางทีนอนหลับๆ มันก็พลิกตัวไปเพราะเหตุที่มันเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้นั้นคนเราต้องการอยากจะพ้นจากทุกข์ถ่ายเดียวไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมากมายถึงแม้ในปัจฉิมชาติ เมื่อเป็นสิทธัตถะราชกุมารก็อุตส่าห์บำเพ็ญเพื่อความพ้นจากทุกข์ ทำทุกรกริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา กว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้ถึงเหตุของมัน พอพระองค์รู้เรื่องรู้เหตุของทุกข์คือความทะเยอทะยานอยาก ก็เลยเอามาประกาศแก่พุทธบริษัท ความทะเยอทะยานอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ยิ่งทะเยอทะยานเท่า ไหร่ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น เปรียบเหมือนกับเชือกรัดขาหมู ธรรมดาเขาผูกหมูต้องเอาเชือกผูกขา หมูมันก็ดิ้นรนใหญ่เชือกก็รัดจนหนังขาด เนื้อขาด เอ็นขาด จนกระทั่งถึงกระดูกนั่นแหละเพราะความดิ้นรน ตัวไหนถ้ามันไม่ดิ้นรนเลยคือนอนสบายเสียมันก็ไม่เจ็บขา แต่เขาผูกหมูไว้เพื่ออะไร ผูกไว้เพื่อฆ่ากิน คือนอนท่าความตายนั่นเอง คนเราถ้าดิ้นรนเท่าไหร่ก็ยิ่งรัดเข้ายิ่งเดือดร้อนมากเข้า ถ้าไม่ดิ้นรนแล้วคราวนี้นอนท่าความตายก็ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ไม่มีอะไรเป็นสรณะคอยแต่วันตายเท่านั้น พระพุทธองค์เมื่อครั้งยังเป็นพระสิทธัตถะราชกุมาร พระองค์ดิ้นรนจนกระทั่งรอดตาย พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา จนคนทั้งหลายเข้าใจว่าพระองค์ตายแล้ว จึงประสบหนทางพ้นทุกข์ ซึ่งได้แก่การพิจารณาเห็นเหตุ คือตัวสมุทัย เรื่องความทุกข์ต่างๆ พระองค์ไม่แก้หรอก พระองค์แก้เหตุของทุกข์ต่างหาก ที่จริงพระองค์สอนพวกเรา แต่สอนเท่าไรพวกเราก็ไม่เข้าใจ สอนพวกเราให้เห็นทุกข์และเหตุของทุกข์ เราก็อยากพ้นจากทุกข์อย่างเดียว ไม่เข้าใจถึงเรื่องเหตุของมัน จึงต้องทนทุกข์เวทนาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นทุกๆคนขอให้พากันพิจารณาถึงเรื่องทุกข์ คนใดถ้าหากไม่เห็นทุกข์ด้วยตนเองแล้วมันจะเห็นทางพ้นจากทุกข์ได้ที่ไหน ไม่ว่าคนในชาติศาสนาใดๆ คนมีวิชาอาคมหรือคนฉลาดเฉลียวต่างๆจะเป็นชาติไหนๆก็เอาเถอะหรือศาสนาใดๆก็เอาเถอะ ธรรมแท้คือทุกข์ ถ้าตกลงถึงทุกข์ที่สุดต้องได้ประสบการพ้นจากทุกข์ คือทุกข์แค้นแสนสาหัสก็ยอมเสียสละเพื่อทุกข์นั้น ยอมสละหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ความยอมสละจึงกลายเป็นความสุข คนเรากลัวตายจึงไม่พ้นจากทุกข์ ถ้าไม่กลัวตายยอมสละเสีย แล้วต่อสู้มันจนถึงที่สุด เห็นความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญย่อมประสบสุข เหมือนกับคนสู้เสือ ธรรมดาเห็นเสือทีแรกต้องกลัว เมื่อเข้าเผชิญหน้าจริงๆจังๆไม่กลัวแล้ว คราวนี้ไม่มีอะไรกำปั้นก็สู้กับเสือ ในผลที่สุด ต้องได้รับผลประโยชน์ในการต่อสู้อันนั้น ความทุกข์ทรมานใครๆก็ไม่อยากเห็นมัน แต่ไม่ยอมเสียสละก็เลยไม่ได้พบความสุข ภาษากัมมัฏฐานท่านเรียกว่า ทำจนกระทั่งเหนือตาย ท่านว่าอย่างนั้นทำจนกระทั่งเหนือจึงได้พ้นจากตาย คือต้องกล้าหาญต่อสู้เต็มที่ ทำอะไรนิดๆหน่อยๆกลัวเป็นทุกข์ นั่งเจ็บนิดหน่อยก็ไม่ได้ พอนานหนักเข้าเดี๋ยวนั่งเหนื่อยเดี๋ยวนั่งง่วงนอน เดี๋ยวนั่งสัปหงกลงนอนเสีย เคยตัวคราวนี้ พอนั่งหลับตาทำกัมมัฏฐานสักนิดหน่อยสัปหงกแล้ว นั่งหลับตาสักนิดหน่อยพอจะเป็นสมาธิภาวนาก็ง่วงคิดถึงการนอน เอาเถิด พักเอาไว้เสียก่อนเถิด ทีหลังค่อยทำ มาวันหลังเท่าเก่านั่นแหละ พอนั่งเวลาใดถึงเวลานั้นก็ถึงเวลานั่งสัปหงกของเก่านั่นแหละ ความง่วงนอนของเก่านั่นแหละ เดี๋ยวก็เจ็บเมื่อยของเก่า ความเจ็บ ความเมื่อย ความสัปหงก ถ้าหากว่าเราทำจนทะลุปรุโปร่งหรือล่วงเลยอันนั้นไป ตายเป็นตาย ไหนก็จะต้องตายแล้ววันหนึ่งนั่นแหละ ตายกับภาวนาดีกว่า ตายเวลานี้ดีกว่า เดี๋ยวก็หายจากความสัปหงก ความง่วง ความเมื่อย อันนั้น นั่นเรียกว่าต่อสู้เลยความตายไป นี่อธิบายให้ฟังถึงเรื่องความตาย ถึงเรื่องทุกข์ ทุกข์คนเราไม่ต้องการ ต้องการแต่จะแก้ทุกข์อย่างเดียว ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันกับพวกเรา ท่านมาพิจารณาถึงเหตุของทุกข์คือความทะเยอทะยาน ถ้าไม่ทะเยอทะยาน ทุกข์มันก็อยู่อย่างนั้น ทุกข์เป็นเหตุให้ทะเยอทะยาน ทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่ใจเป็นสัมผัสต่างหาก ทุกข์มันเกิดจากสัมผัสอายตนะต่างหาก ครั้นเมื่อละความอยาก แล้วสัมผัสก็ไม่มี ความทุกข์ก็เลยหายว่างปลอดโปร่งเลยเป็นใจ ใจไม่มีทุกข์ก็เลยหมดจากทุกข์ มันอยู่ตรงนั้นแหละตรงที่แก้ได้ อาตมาเคยอธิบายให้ฟังหลายครั้งหลายหนแล้ว จิตผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่งอันนั้นแหละเป็นตัวเหตุ เมื่อไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่งมันวางเฉยเสีย ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย อันนั้นเป็นตัวใจ จิตและใจอันเดียวกันนั่นแหละแต่มีลักษณะต่างกัน จิตผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่งนั่นแหละที่เป็นเหตุให้ยุ่งเหยิงเดือดร้อนวุ่นวายมาก เมื่อสติเข้าไปคุมจิตเลยไม่คิดไม่ปรุงไม่แต่ง ไปเก็บตัวปรุงตัวแต่งซึ่งมันเป็นเหตุเท่านั้น มันก็วางความปรุงความแต่งความนึกคิดต่างๆ เข้าไปถึงใจ ใจคือตัวกลาง สิ่งทั้งปวงหมดถ้าเป็นตัวกลางเชาเรียกใจ ใจคนก็ชี้เข้ามาตรงหน้าอก ความเป็นกลาง คือว่าไม่คิดส่งไปมาหน้าหลังไม่คิดอดีตอนาคต ไม่คิดเป็นบาปเป็นบุญ มันอยู่ตรงกลางๆ มันจะมีอะไรเล่าคราวนี้เหลือแต่ใจหมดทั้งตัว คนเรามีใจอันเดียวเท่านั้น นอกจากใจแล้วไม่มีเลย ผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่งเรียกว่าจิต ผู้อยู่เป็นกลางๆ เรียกว่า ใจ เราพิจารณาเราปฏิบัติธรรมะก็ปฏิบัติตรงนี้แหละ ตรงเอาสติไปกำหนดให้รู้จักจิตนั่นแหละ ละจิตได้ปล่อยวางจิตได้ เข้าถึงใจนั่นแหละเป็นอันว่าถูกต้องในธรรมวินัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2005
  2. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    ขอมอบสิ่งดีๆ ให้แก่เพื่อนๆ คะ ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ....ขอขอบคุณคุณน้ำตาลที่ทำเพลงบรรเลงเพลงนี้ให้คะ

    ขอบคุณทุกๆท่านที่มาอ่านธรรมะที่ kob ให้ และร่วมอนุโมทนาบุญ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ นะคะ......



    [music]http://palungjit.org/attachments/a.39262/[/music]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2005
  3. endu

    endu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    ค่าพลัง:
    +5,847
    เพลงบรรเลงเพลงนี้เพราะมากค่ะเหมาะกับเน้อหาในทู้นี้ค่ะ วันนี้น้ำตาลลาคุณกบไปนอนก่อนนะคะ
     
  4. kanawuta

    kanawuta Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณครับ ได้อ่านแล้วก้รุสึกสงบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...