ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]




    <TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป
    <!-- Main -->[SIZE=-1]อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป[/SIZE]

    [SIZE=-1]จากข่าวดังที่เกิดขึ้นและมีผลต่อเนื่องมาหลายวัน ในการที่โจรใจบาปเที่ยวไปขูดลอกทองของพระพุทธรูปโบราณต่างๆ หลายองค์ หลายวัด เป็นที่สะเทือนใจแก่ชาวพุทธเป็นยิ่งนัก ต่างพากันสาปแช่งโจรบาปที่ยังจับตัวไม่ได้นั้น ผมเลยนำเรื่อง “อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป” มาให้อ่านกันคลายเครียดสักหน่อยก่อน เรื่องมีความว่า[/SIZE]

    [SIZE=-1]ในกาลหนึ่ง พระเจ้ามหารถราช ผู้เสวยสมบัติในสักกราชาวดีนคร ท้าวท่านเป็นสัมมาทิฐิบุคคล มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับ พระเจ้าปัญจาลราช กษัตริย์กรุงปัญจาลราชนคร ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิบุคคล คือไม่นับถือพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทั้งสองเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย[/SIZE]

    [SIZE=-1]ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชได้ส่งผ้ารัตนกัมพลผืนหนึ่ง ไปถวายพระเจ้ามหารถราช พระเจ้ามหารถราช ทอดพระเนตรเห็นผ้ารัตนกัมพล แล้วจึงตรัสว่า “สหายเราส่งผ้าอันมีค่ามากมาให้เรา เราก็ควรจัดส่งแก้วอันประเสริฐไปให้ตอบแทนพระสหาย” ดังนี้ พระเจ้ามหารถราช จึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่งใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใดไปเป็นการตอบแทน เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆจะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย ทรงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำ ตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้าลงไปในแผ่นทองคำนั้น ด้วยชาตหรคุณมีขนาดองค์ประมาณ 1 ศอก แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภา เพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช [/SIZE]

    [SIZE=-1]ก่อนที่จะส่งราชทูตไป พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉัน เป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรม มิได้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฐิด้วยเถิด" [/SIZE]

    [SIZE=-1]อธิษฐานเสร็จแล้วเสด็จลงน้ำประมาณพระศอ (พระพุทธเจ้าอยู่บนเรือ ท่านจึงลงไปในน้ำซึ่งต่ำกว่า) เพื่อส่งรูปพระพุทธเจ้านั้นไปยังเมืองปัญจาลนคร ในขณะนั้น บรรดาแก้วอันเกิดในมหาสมุทรมีสีต่างๆ ก็ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อบูชาพระพุทธรูปนั้น พื้นน้ำงามวิจิตรด้วยแก้ว 7 ประการ ประหนึ่งพื้นแห่งภาชนะทอง ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้นเหนือพื้นน้ำ พญานาคทั้งหลายก็ได้พานาคบริษัทออกจากนาคพิภพ ขึ้นมาสักการบูชาด้วยสุคันธมาลา เทวดาทั้งหลายก็เรี่ยรายดอกไม้ทิพย์ลงมาจากอากาศ เมื่อราชทูตไปถึงกรุงปัญจาลนครแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าปัญจาล แล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์ ให้ทรงทราบโดยตลอด ท้าวเธอทรงโสมนัสปรีดาในเครื่องบรรณาการเป็นยิ่งนัก ได้เสด็จออกพร้อมจตุรงค์เสนารับสั่งให้ชาวเมือง ประโคมแตรสังข์ กังสดาล แล้วเสด็จไปยังท่าน้ำ ถวายนมัสการสักการบูชา แล้วเสด็จลงไปในน้ำประมาณพระศอ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปแล้วทรงยินดี แล้วทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะ [/SIZE]

    [SIZE=-1]ด้วยอำนาจความศรัทธาของพระเจ้าปัญจาลราช และด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเจ้ามหารถราช พระพุทธรูปนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ เปล่งรัศมี 6 ประการจับพื้นปฐพี ตลอดจนถึงพรหมโลก กลบแสงแห่งอาทิตย์ กลบแสงรัศมีเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ณ กาลนั้น ในคราวนั้นพระอินทร์ ได้เสด็จลงมาถวายนมัสการพร้อมด้วยเทพบริษัท มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นหมู่มนุษย์ พระเจ้าปัญจาลราชเห็นปาฎิหาริย์เช่นนั้น ทรงโสมนัสยินดียิ่งนักได้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพระมณเฑียร แล้วบูชาด้วยประทีปธูปเทียนชวาลา ทรงแสดงองค์เป็นอุบาสก ในพุทธศาสนา[/SIZE]

    [SIZE=-1]ในเวลาต่อมา พระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้ในศาลาไม้บุณนาค แล้วรับสั่งให้ชาวเมืองพากันมาปิดทองพระพุทธรูป ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์กำเนิดเป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าว จึงตัดสินใจอำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่ง แล้วนำไปซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่เมื่อทองไม่พอจึงรำพึงว่า "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน เพื่อสิ่งนี้ " ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้า แสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์ เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้ จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา ครั้นเมื่อได้ศัสตราวุธแล้ว พระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ จนเกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป พระอินทร์จึงได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วกลับกลายเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากรว่า “ ท่านจักได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์ในอนาคต” แล้วพระอินทร์ก็กลับสู่วิมาน [/SIZE]

    [SIZE=-1]พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอันมโหฬาร[/SIZE]

    [SIZE=-1]นี่คือเรื่องราวของ “อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป” ที่แสดงเรื่องหนึ่งเท่านั้น อานิสงส์การปิดทองพระพุทธรูปอื่นๆ มีอีกหลายประการ แต่ยังไม่เจอเรื่องโทษของการลอกทองพระพุทธรูป ไม่รู้จะมีอย่างไร ต้องตกนรกขุมไหน แต่ที่แน่ๆ ผลของการกระทำย่อมเป็นไปตามกรรมแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ท่านทั้งหลายไม่ต้องวิตกไปจนเครียด ในเรื่องร้าย ยังมีเรื่องดีอยู่เสมอ ข่าวการลอกทองพระพุทธรูปนี้ เกิดขึ้นเพียง 2-3 วัด แต่จะเป็นการกระตุ้นให้วัดต่างๆ ทั่วประเทศ วางมาตรการในการรักษาพระพุทธรูป วัดและโบราณสถานอื่นๆทั่วไป และให้ความสำคัญต่อการทำนุบำรุงเสนาสนะ วัดวาอารามมากขึ้น ไม่เปิดโอกาสให้ มิจฉาชีพ ได้หากินแบบมักง่าย เช่นนี้ต่อไป[/SIZE]


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&group=28
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ฐานคู่เสริมบารมี มั่นคง นักเอย
    ทั้งดำรงลาภยศ นานา
    โบราณจารย์วางกลไว้ ยิ่งแล้ว
    ควรหาเก็บไว้ เป็นบุญ แห่งตน


    พันวฤทธิ์
    16/7/51


    พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ฐานคู่ อ.ประถมอาจสาคร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PB010342.JPG
      PB010342.JPG
      ขนาดไฟล์:
      626.3 KB
      เปิดดู:
      90
    • PB010346.JPG
      PB010346.JPG
      ขนาดไฟล์:
      588.9 KB
      เปิดดู:
      82
    • PB010347.JPG
      PB010347.JPG
      ขนาดไฟล์:
      577.9 KB
      เปิดดู:
      76
  3. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ขอนำคำกลอนจากหนังสือเสียงสะท้อนจากกลอนธรรมมาเล่า ตอนที่ 4 ครับ


    ฤดูฝนพรรษาฟ้าชุ่มฝน
    พุทธศาสนิกชนมนหรรษา
    จะได้ปลูกคุณธรรมฉ่ำอุรา
    เป็นสัมมาจารีศรีมงคล

    ในฐานะชาวพุทธพิสุทธิ์ศักดิ์
    ควรยิ่งนักน้อมใจในเหตุผล
    พระสั่งปรามห้ามไฉนใฝ่กมล
    เพียรฝึกฝนงดจริงทุกสิ่งไป

    ที่ทรงสอนอ่อนรับปฏิบัติ
    อดทนหัดประพฤติยึดมั่นได้
    เพื่อเป็นธรรมสุจริตสนิทใจ
    มิชอบทำตามนิสัยทุจริต

    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ
    ธรรมย่อมสิงรักษาผาสุขสนิท
    อย่าให้ฤดูจำพรรษาคร่าชีวิต
    สู่ทางผิดเสียประวัติชาติมนุษย์

    (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)

    สาธุครับ
     
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>ศีล ๕ บริสุทธิ์ สุดประเสริฐ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

    </TD></TR><TR><TD>แม้ทำสมาธิไม่เป็น ภาวนาไม่เป็น แต่ศีล ๕ บริสุทธิ์ เป็นสิ่งประเสริฐสุดในการปฏิบัติธรรม
    ศีลมากก็ไร้ค่า ถ้าศีล ๕ ไม่มี
    ท่านที่ทะนงตัวว่ามีศีลมากๆ เป็นกอบเป็นกำ
    แต่ถ้าหากมองข้ามศีล ๕ ยังละเมิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่งอยู่
    ก็ไม่เกิดผลประโยชน์อันใด เพราะเหตุว่าที่มีกายใจ
    ที่จะรองรับคุณธรรมเบื้องสูงขึ้นไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดี <DD>ศีล ๕ ละกิเลสทางกาย <DD>กิเลสไม่ใช่เรื่องที่เราจะละได้ <DD>กิเลสที่ละได้คือละการไม่ทำ ละการไม่พูด <DD>แต่ความรู้สึกทางใจนี่ตั้งใจละเองไม่ได้ <DD>การละกิเลสทางกาย ก็คือ ศีล ๕ ข้อ

    ขอขอบคุณ
    คัดลอกบทความนี้จาก >>ClickHere<<


    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>พลิกกิเลสให้เป็นธรรม (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)</TD></TR><TR><TD>กิเลสที่มีอยู่ในจิตในใจของเรานั้น อย่าไปพยายามละแต่ต้องมีสติปัญญา กำหนดพิจารณาให้รู้ว่า เรามีกิเลสตัวใด ในเมื่อเรารู้ว่า เรามีกิเลส โลภ โกรธ หลง เราพยายามใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม อย่าปล่อยให้โลภ โกรธ หลง มันพาเราไปทำบาปทำชั่ว ที่เราจะป้องกันอำนาจของกิเลส โลภ โกรธ หลง ไม่ให้พาเราไปทำบาปทำชั่ว เราต้องยึดศีล ๕ เป็นหลัก <DD>เรายังมีกิเลส โลภ โกรธ หลง มากน้อยเพียงใด <DD>พยายามดูจิตของเราให้มันรู้ว่ามีกิเลสตัวไหน <DD>ในเมื่อเรารู้แล้ว เราจะใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์อย่างไร <DD>จึงมีความยุติธรรม หรือเป็นไปเพื่อความสันติสุขในสังคมมนุษย์
    ถ้าหลง หลงในคุณงามความดี
    ถ้าโกรธ โกรธความชั่ว ความไม่ดี ความบาป
    ถ้าโลภ โลภในการสร้างคุณธรรมให้มีให้เกิดขึ้นในจิตในใจ
    ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา
    สร้างพลังสมาธิปัญญาให้แก่กล้า


    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    คัดลอกบทความนี้จาก >>ClickHere<<
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>จิตที่เผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงเฉพาะหน้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)</TD></TR><TR><TD><DD>ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔ เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ คือ เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ของสายการบิน Lauda Air ของประเทศออสเตรีย ตกที่ อ.ด่านช้าง จ.กาญจนบุรี ผู้โดยสารและพนักงานเสียชีวิตหมดทั้งลำ ๒๓๓ ศพ ผู้มีชื่อเสียงในสังคมชั้นสูงของเมืองไทยก็เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้หลายท่าน เช่น รองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เจ้านายฝ่ายเหนือ ฯลฯ เหตุการณ์ครั้งนั้นก็สร้างความสะเทือนใจและความหวาดหวั่นในมรณภัยที่มาอย่างกระทันหันสำหรับหลายคนศิษย์ผู้หนึ่งก็เกิดความกลัวภัยเช่นนี้มาก จึงมาเรียนถามจากหลวงพ่อว่า <DD>"หลวงพ่อครับ ถ้าเรานั่งอยู่ในเครื่องบิน แล้วรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก จะภาวนาให้จิตสงบได้อย่างไร เพราะปกติที่ฝึกอยู่ จิตก็ไม่เคยสงบได้อย่างรวดเร็วสักครั้ง ต้องใช้เวลาและช่วงเครื่องบินจะตกนี่เรามีเวลาไม่มาก" <DD>หลวงพ่อตอบว่า "จิตที่ฝึกภาวนาอยู่เสมอ เมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าเกิดขึ้น มันจะรวมอย่างรวดเร็ว" หลวงพ่อยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดกับท่านเองว่า <DD>"เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ ขณะที่เดินทางโดยรถยนต์จาก จ.อุบลราชธานีกลับมาโคราช พอถึงโค้งด่านเกวียนเกิดพลิกคว่ำไปหลายตลบ ขณะรถพลิกไปนั้น จิตได้รวมอย่างรวดเร็วและเกิดเป็นความสว่างลอยเด่นอยู่ แลเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง พอเราพลิกไปตลบสุดท้ายก็กลับมาตั้งอยู่ในสภาพปกติ แต่หลังคาโป่งแหลมขึ้นไปเป็นจั่วเลย ก็ถามตัวเองว่าพวกนี้เขาตายกันหมดหรือเปล่า แล้วเราล่ะยังอยู่หรือตายไปแล้ว พอดีมีผู้เดินทางไปด้วยคนหนึ่งก็รู้สึกตัวขึ้นมา ก็ร้องบอกว่า หลวงพ่อหัวแตก เลือดไหลเต็มไปหมด หลวงพ่อจึงเอามือลูบคลำศีรษะดู มือแดงฉานไปหมด นึกเอะใจลองดมดู จึงได้หัวเราะกันลั่นเพราะคิดว่าเลือด นั้นที่แท้คือน้ำหมากเพราะในรถที่นั่งไปมีกระโถนหมากวางขนาบหลวงพ่อข้างหน้าใบหนึ่ง ข้างหลังใบหนึ่ง พอรถพลิกคว่ำน้ำหมากก็หกรดศีรษะพอดี"
    ขอขอบคุณ

    คัดลอกบทความนี้จาก >>ClickHere<<

    <DD>




    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=700 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>[FONT=BrowalliaUPC, AngsanaUPC]บุญอยู่ที่เจตนา[/FONT] </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม : </TD><TD align=left width=600>เวลานำของไปถวายพระ แต่พระไม่ได้ฉันอาหารนั้นผู้ถวายจะได้บุญเต็มที่ไหม ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อพุธ : </TD><TD align=left width=600>ผู้ถวายจะได้บุญเต็มที่หรือไม่นั้น อยู่ที่ความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของเรา แม้แต่ว่า ถ้าเรานำของไปถวายพระแล้ว ยังระแวงสงสัยในพระว่า พระองค์นั้นจะบริสุทธิ์หรือไม่ บุญที่เราทำลงไปก็ไม่ได้อย่างเต็มที่ <DD>การจะทำบุญจะได้บุญมากหรือน้อยก็อยู่ที่เจตนา ของเราบริสุทธิ์สะอาด ถ้าเราให้แต่คนยากจน มุ่งเพื่อความสงเคราะห์ ให้ผู้ทรงศีลทรงธรรม มุ่งเพื่อความบูชาให้แก่พระสงฆ์ มุ่งเพื่อให้ผู้ที่ทำกิจเพื่อพระศาสนา <DD>เจตนาของเราบริสุทธิ์ เมื่อทำบุญลงไปแล้ว ถึงแม้ว่า พระไม่ได้ฉัน ท่านเพียงแต่รับ เราก็ได้บุญอย่างเต็มที่แล้ว </DD>
    ขอขอบคุณ


    คัดลอกบทความนี้จาก >>ClickHere<<

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ;ปรบมือขอบคุณครับ (ได้ความรู้เพิ่มอีก 1 อย่างครับ)


    แล้วถ้าเป็นพิมพ์ เกศทะลุซุ้ม ก็น่าจะตีความหมายเป็นเกี่ยวกับด้านสติปัญญาหรือเปล่าครับ โปรดชี้แนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    เกศทะลุซุ้ม มีไว้ ให้ตรอง
    แม้สิ่งใดหมายปอง คาดไว้
    อาจได้มาเชยชม ยิ่งแล้ว
    ดั่งได้ภรรยา มีทรัพย์พร้อม นั่นแฮ..

    พันวฤทธิ์
    16/7/51

    [​IMG] [​IMG]


    </B>
    พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ..เนื้อหาครบสูตร..พิมพ์ช่างหลวงวิจารณ์เจียรนัย..(เกศทะลุซุ้มหมายถึงทำการใดจะสำเร็จเหนือความคาดหมายเสมอ)..

    http://www.amataamulet.com/web/board/boardview.asp?strBoardID=372&strCatID=22
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2008
  10. กุ้งมังกอน

    กุ้งมังกอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,181
    พรุ้งนี้เช้าวันพระ ขอโอนเงินร่วมทำบุญ 500 บาทเข้าทุนนิธิสงเคราะสงฆ์อาพาธ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ //

    เช้าวันที่ 18/07/51 เวลา แปดโมงเช้ากว่า โอนทำบุญ 500 บาท เรียบร้อยครับ.
    ขออนุโมทนาบุญครับ ท่านพี่ทุกๆคนและผู้ร่วมบุญทุกท่าน สาธุ สาธู สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  11. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ขอนำคำกลอนจากหนังสือเสียงสะท้อนจากกลอนธรรมมาเล่า ตอนที่ 5 ครับ

    ตาจงดูหูจงฟังตั้งสำนึก
    เพื่อรำลึกพุทธองค์ผู้ทรงค่า
    ค่าแห่งธรรมสูงเด่นเป็นปรัชญา
    ให้โลกหล้าเรียนรู้เทิดบูชิต

    อาสาฬหบูชาท่านว่าไว้
    พระรัตนตรัยปรากฏบทกิจ
    พุทธองค์ทรงแสดงธรรมคมความคิด
    สานุศิษย์ซึ้งรสบทพระธรรม

    ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร
    เสมือนทูตชี้ทางสร้างจิตฉ่ำ
    อัญญาดกณฑัญญะพระจดจำ
    บรรลุล้ำฉ่ำซึ้งซึ่งรสแล้ว

    ธรรมย่อมถึงซึ่งผู้รู้สงบ
    จักบรรจบจิตใจดั่งใยแก้ว
    ปฏิบัติทุกยามต้องตามแนว
    ใจผ่องแผ้วปราศจากทุกข์สุขร่วมเย็น

    ทุกวันนี้ถ้ามีธรรมชี้นำโลก
    ไม่ต้องโศกเศร้าหมองตัวทุกข์เข็ญ
    ตราบมนุษย์มีธรรมได้บำเพ็ญ
    เราจะเห็นโลกสวยด้วยเมตตา

    อาสาฬหบูชาเวียนมาถึง
    รำลึกซึ้งพุทธธรรมเลิศล้ำค่า
    ทำบุญเวียนเทียนฟังธรรมนำปัญญา
    แสวงหาโมกขธรรมนำชีวิต

    (ภู. ภัทรชนน)

    สาธุครับ
     
  12. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันที่ 15/07/51 เวลา 17.34 ผมได้โอนเงินผ่าน ATM.
    ร่วมทำบุญ 200 บาท ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับผู้ที่จะไปวัดในสุดสัปดาห์นี้ <TABLE width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD width="100%">
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD width="100%">ถึงพี่ๆน้องๆและเพื่อน เห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาบอกต่อ
    เมื่อวันเสาร์ได้ดูรายการ จุดเปลี่ยน เค้าไปสำรวจสิ่งของต่างๆที่บรรจุอยู่ในถังสังฆทานที่พวกเราเคยซื้อและนำไปถวายพระ ซึ่งส่วนมากจะใช้ไม่ได้หรือบางอย่างก็ไม่ใช้ เช่นผ้าขนหนูผืนเล็กๆเท่ากับผ้าเย็นหรือผ้าอังสะที่บางมากๆ เครื่องดื่มชนิดชงอย่างเช่นน้ำขิงผง ในกล่องบรรจุจะมีแค่ 1 ซอง เป็นต้น
    ทางรายการจึงทำแบบสอบถามพระสงฆ์(จากหลายๆวัด)เลย
    ได้10อันดับสิ่งของถวายสังทาน คือ
    1.อุปกรณ์เครื่องเขียน ได้แก่สมุด ปากกาไ ม้บรรทัด เป็นต้น

    2.ใบมีดโกน ที่เป็นแบบด้ามเหล็ก

    3.ผ้าไตรจีวร

    4.หนังสือที่มีประโยชน์ เช่น หนังสือสวดมนต์ หนังสือที่เกี่ยวกับธรรมะ หนังสือทางวิชาการ และสารคดีที่ให้ความรู้

    5.รองเท้าแตะ สีดำรูปแบบตามความเหมาะสม

    6.ยารักษาโรคที่ใช้กันทั่วๆไป เช่น แก้ปวด แก้ไข้ ยาลดกรด เป็นต้น

    7.ผ้าขนหนูเนื้อดีๆ ขนาดเหมาะสม สีเหลืองนะจ๊ะ

    8.อุปกรณเกี่ยวกับไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์

    9.อุปกรณ์ทำความสะอาดเช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น แปรงขัดพื้น เป็นต้น

    10.ยาสระผม (ใช้สำหรับสระหนังศรีษะและตอนโกนผม)

    คิดว่าครั้งต่อๆไปจะถวายสังฆทานเราควรจะเลือกสิ่งของที่ถวายพระแล้วท่านได้ใช้กันเนอะ

    ปล.แค่ส่งต่อหรือบอกต่อก็ได้บุญแล้ว สาธุจ้า
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะอันเกี่ยวเนื่องกับอาสาฬหบูชา



    ลองพิจารณาดู ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 มีดังนี้
    1.การไม่รู้จักทุกข์
    2.การไม่รู้เหตุแห่งทุกข์
    3.การไม่รู้ความดับทุกข์
    4.การไม่รู้วิธีดับทุกข์
    นี้ละเรียกว่า อวิชชา ที่สมบูรณ์ที่แท้จริง เป็นมูลเหตุของกิเลสทั้งหลาย

    อริยสัจ 4 ข้อที่ 1. กล่าวถึงทุกข์ แยกได้เป็นสอง ดังนี้
    1. ความทุกข์โดยธรรมชาติ คือ สังขารทั้งหลาย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นตัวทุกข์ เช่นความเจ็บไข้ได้ป่วย ความหิวกระหาย ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ซึ่งเป็นตัวทุกข์ตามธรรมชาติ เมื่อมีสังขารย่อมเป็นไปอย่างนั้น มากบ้างน้อยบ้างตามฐานะหรือตามกรรม ของแต่ละบุคคล

    2. ความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา หรืออุปทานขันธ์ เช่นความผิดหวัง การพลัดพลาดจากของรัก ความเศร้าโศกเสียใจ ความพิไลรำพัน การคร่ำครวญ ความหุดหิดลำคราญใจ การไม่ย่อมรับสภาพของความเป็นจริงของโลกธรรม 8 (4 คู่ เจริญและเสื่อม) ในฝ่ายของความเสื่อม คือ
    1.เมื่อมีลาภ ก็ย่อมมี เสื่อมจากลาภ
    2.เมื่อมียศ ก็ย่อมมี เสื่อมจากยศ
    3.เมื่อมีสรรเสริญ ก็ย่อมมี นินทา
    4.มีสุข ก็ย่อมมี ทุกข์
    จึงเกิดความกดดันและความเคียด จนวิปลาส หรือเป็นบ้าได้

    อริยสัจ 4 ข้อที่ 2. กล่าวถึงเหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ การขาดสติปัญญา เป็นความไม่รู้จึงไปยึดมั่นถือมั่นเริ่มจาก(อวิชชา) กลายเป็นนิสัย กลายเป็นสันดาน กลายเป็นอนุสัย โดยไม่รู้ตัว ยึดมั่นในขันธ์ทั้งทั้ง 5 เรียกว่า อุปทานขันธ์ (ยึดสังขาร ยึดวิญญาณ ยึดนามรูป ยึดสฬายตนะ ยึดผัสสะ ยึดเวทนา มั่นว่า เป็นตัวเป็นตนของตน) ถ้าจะกล่าวตามหลักการได้ว่า เหตุแห่งทุกข์ก็จะเริ่มต้นจาก อวิชชา เป็นไปตามกระบวนการของ ปฏิจสมุทปบาท ทั้ง 12 ดังนี้

    1.เพราะอวิชชา เป็นปัจจัยจึงเกิด สังขาร
    อธิบายความ เพราะขาดสติ ขาดปัญญาแจ้งชัด ในสติปัฏฐาน 4 ในไตรลักษณ์ ในมรรคมีองค์แปด ในอริยสัจ 4 จึงเกิดอุปทานขันธ์ ยึดมั่นในสังขารของขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวตนของตน

    2. เพราะสังขาร เป็นปัจจัยจึงเกิด วิญญาณ
    อธิบายความ เพราะยึดมั่นถือมัน สังขารในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวตนของตน เป็นปัจจัย ก็ย่อมสำคัญมั่นหมายยึดมั่น ความรู้แจ้ง(วิญญาณ)ที่ปรากฏขึ้นกับสังขารขันธ์ของขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวตนของตน

    3. เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป
    อธิบายความ เพราะมีความหมายมั่น ว่าความรู้แจ้งเป็นตัวตนของตน เป็นปัจจัย ก็ย่อมเกิดความรู้สึกขึ้นชัดเจน(นามรูป)(ความรู้สึก เกิดหลังจากการได้รู้ ก็คือรู้ก่อนจึงค่อยเกิดความรู้สึกเต็ม)ว่าเป็นตัวของตัวของตนจริงๆ

    4. เพราะนามรูป เป็นปัจจัยจึงเกิด สฬายตนะ 6
    อธิบายความ เพราะความรู้สึกชัดว่าเป็นตัวของตัวของตนจริงๆ( นามรูป) เป็นปัจจัย จึงเกิด
    1.เมื่อไปรู้สึกที่ตา ก็สำคัญมั่นหมายว่า ตา ของฉัน
    2.เมื่อรู้สึกที่หู ก็สำคัญมั่นหมายว่า หู ของฉัน
    3.เมื่อรู้สึกที่จมูก ก็สำคัญมั่นหมายว่า จมูก ของฉัน
    4.เมื่อรู้สึกที่ลิ้น ก็สำคัญมั่นหมายว่า ลิ้น ของฉัน
    5.เมื่อรู้สึกที่กายก็สำคัญมั่นหมายว่า กาย ของฉัน
    6.เมื่อรู้สึกที่ใจ ก็สำคัญมั่นหมายว่า ใจ ของฉัน

    5. เพราะสฬายตนะ 6 เป็นปัจจัย จึงเกิด ผัสสะ
    อธิบายความ เพราะความสำคัญมั่นหมายรู้สึกว่า ตาของฉัน หูของฉัน จมูกของฉัน ลิ้นของฉัน กายของฉัน ใจของฉัน (สฬายตนะ 6) เป็นปัจจัย รูปที่ปรากฏที่ตาเห็น ก็สำคัญมั่นหมายว่า ฉันเห็น เสียงที่ได้ยินก็สำคัญมั่นหมายว่า ฉันได้ยิน จมูกที่ได้กลิ่นก็สำคัญมั่นหมายว่า ฉันได้กลิ่น กายที่สัมผัสก็สำคัญมั่นหมายว่า ฉันสัมผัส ใจที่คิดก็สำคัญมั่นหมายว่า ฉันคิด สรุป ผัสสะทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้น ก็สำคัญมั่นหมายว่า อยู่ที่ตัวตนของฉันทั้งหมด

    6. เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิด เวทนา
    อธิบายความ เพราะสำคัญมั่นหมายว่าผัสสะที่ปรากฏทั้งหมดเป็นตัวตนของฉัน เป็นปัจจัย ก็สำคัญมั่นหมายในผัสสะที่ปรากฏทำให้ ตัวของฉันเป็นสุข หรือตัวของฉันเป็นทุกข์ หรือตัวของฉันเฉย

    7. เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงเกิด ตัณหา
    อธิบายความ เพราะตัวของฉันเป็นสุข หรือตัวของฉันเป็นทุกข์ หรือตัวของฉันเฉย เป็นปัจจัย จึงเกิดความอยากให้ตัวของฉันสุข เกียดความทุกข์ และหลีกจากความชื่อเบื้อ อยากได้ความสุขมากๆ เรื่อยๆ และตลอดไป อยากได้ อยากปรนเปรอ ขันธ์ทั้ง 5 ให้เกิดสุขเวทนาอยู่เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด

    8. เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงเกิด อุปทาน
    อธิบาย เพราะความอยากสุขเกลียดทุกข์ เป็นปัจจัย จึงเกิดการปรุงแต่งเพื่อแสวงหา สร้างวิมาน บางคร่าวก็ลมๆ แล้ง บางก็มีเหตุผลที่เป็นไปได้ ระดมความคิดความรู้ที่มีอยู่ปรุงแต่งอย่างมากมาย จนเกิดความเคียด หรือดิ้นรนทางอารมณ์ จนเกิดพอดี อุปทานขึ้นมา ก็เพื่อสนองความอยากหรือตัณหานั้นเอง

    9. เพราะอุปทาน เป็นปัจจัย จึงเกิด ภพ
    อธิบายความ เพราะ เกิดการคิดปรุงแต่งแสวงหาเพื่อสนองความอยากของตน เป็นปัจจัย จึงเกิดการพูด การกระทำ ก็คือ ภพ ไม่ว่าจะหยาบ หรือละเอียดอ่อนหวาน ก็เพื่อสนองตัณหาของตนนั้นเอง

    10. เพราะภพ เป็นปัจจัยจึงเกิด ชาติ
    อธิบายความ เพราะการพูด การกระทำ ไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียดอ่อนหวาน ก็เพื่อสนองตัณหาของตนเอง เป็นปัจจัย จึงเกิด ของฉันอย่างชัดเจนและหนักแน่น เช่น ร่างกายของฉัน รถของฉัน บ้านของฉัน ลูกของฉัน ทุกอย่างที่ฉันได้รับมาหรือแสวงหามาล้วนเป็นของฉัน ซึ่งก็คือชาติ

    11. เพราะชาติ เป็นปัจจัยจึงเกิด ชราและมรณะ
    อธิบายความ เพราะ ทุกอย่างที่ฉันได้รับมาหรือแสวงหามาล้วนเป็นของฉัน เป็นปัจจัยจึงเกิด การเสื่อมสลายการทรุดโทรมหรือการสูญสิ้นจากสิ่งที่ว่าเป็นของฉันย่อมปรากฏขึ้นเพราะทุกอย่างล้วนตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ คือ
    1.อนิจจัง ความไม่เที่ยงความแปรเปลี่ยน
    2.ทุกขัง ความตั้งอยู่ไม่ได้ ความไม่สามารถคงทนอยู่ได้
    3. อนัตตา ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่ถาวร ความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
    ซึ่งเมื่อถึงตรงนี้ความทุกข์ลักษณะได้ปรากฏขึ้นกับสิ่งที่ล้วนเป็นของฉัน ค่อยๆ กัดกินด้วยความแก่ความชรา ความเสื่อมความ ทรุดโทรม ความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือความรักความใคร่ที่ไม่คงทน เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจนขึ้น จนถึงที่สุดคือ ความพลัดพลาดจากของรัก เช่นการตายจาก การสูญหาย

    12. เพราะชราและมรณะ เป็นปัจจัยจึงเกิด ทุกข์โสกปริเทวะ
    อธิบายความ การตายจาก การสูญหาย การพลัดพลาดจากของรัก เป็นปัจจัย จึงเกิด ความทุกข์ที่มากมาย เช่นการร้องให้คล่ำครวญลำพัน การตีอกชกตีตัวเองด้วยความเสียใจ ความเคียด ความซึมเศร้า ความเศร้าหมอง การที่ไม่สามารถดำรงสติอยู่ได้หรือความวิปลาส ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวร เพราะการพลัดพลาดจากของรัก

    อธิบายเพิ่ม เมื่อปฏิจสมุทปบาท เกิดแต่ละรอบ ก็จะเก็บอนุสัยกิเลสสืบเนื่องกลายเป็นสันดานหรือเป็นนิสัย สืบต่อกันไม่สิ้นสุด จะเกิดชาติหน้าหรือไม่ ก็อยู่ที่การสืบต่อของอนุสัยกิเลสนี้ละ ถ้าอนุสัยนั้นดับ สิ้นจนเด็ดขาด หรือ อวิชชานั้นดับอย่างเด็ดขาด ไม่มีการสืบต่ออีก กิเลสต่างๆ ก็ไม่มี ก็คือพระอรหันต์ จะไม่มีคำว่าเกิดชาติหน้าต่อไป

    อริยสัจ 4 ข้อที่ 3. กล่าวถึงความดับทุกข์ ก็คือปฏิจสมุทปบาท ที่เป็นฝ่ายดับ ดังนี้ เมื่อมี สติสัมปัญญะปัญญาแจ้งชัด ในสติปัฏฐาน 4 ในไตรลักษณ์ ในมรรคมีองค์แปด ในอริยสัจ 4 ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายดับก็ปรากฏขึ้น ก็คืออุปทานขันธ์ดับ
    1.เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ
    2.เมื่อสังขารดับ วิญญาณก็ดับ
    3.เมื่อวิญญาณดับ นามรูปก็ดับ
    4.เมื่อนามรูปดับ สฬายตนะก็ดับ
    5.เมื่อสฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
    6.เมื่อผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
    7.เมื่อเวทนาดับ ตันหาก็ดับ
    8.เมื่อตันหาดับ อุปทานก็ดับ
    9.เมื่ออุปทานดับ ภพก็ดับ
    10.เมื่อภพดับ ชาติก็ดับ
    11.เมื่อชาติดับ ชรามรณะก็ดับ
    12.เมื่อชรามรณะดับ ทุกข์โสกปริเทวะก็ดับ

    อริยสัจ 4 ข้อที่ 4. วิธีการดับทุกข์ มีการปฏิบัติดังนี้
    ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 คือ 1.พิจารณากายในกาย 2.พิจารณาเวทนาในเวทนา 3.พิจารณาจิตในจิต 4.พิจารณาธรรมในธรรม
    ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด อริยะมรรคมีองค์ ๘ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑
    วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความ
    ตั้งจิตไว้ชอบ ๑
    และที่สุดมีสติเท่าทันเป็นปัจจุบันมีปัญญาเห็นแจ้งในไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายดับก็มีขึ้น




    http://vichadham.com/patija01.html
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    จดหมายเหตุ หลวงพ่อกัสสปมุนี

    หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้ายค่าย จ.ระยอง เกิดที่กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อประจงวาส ต่อมาเปลี่ยนเป็นประยุทธิ วรวุธิ นามสกุลอาภรณ์สิริ บิดาท่านคือพระพาหิรรัชฏพิบูลย์(ประวัติ อาภรณ์สิริ) นามมารดาคือนางพาหิรรัชฏพิบูลย์ สมัยเป็นฆราวาส ท่านได้สมรสกับนางประชุมศรี อาภรณ์สิริ มีบุตรชาย2 คน บุตรหญิง 2 คน
    หลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ต่อมาจึงได้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยเลือกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือก จนจบชั้นม.6
    เพราะเหตุที่ภาษาอังกฤษของหลวงพ่อกัสสปมุนีอยู่ในขั้นดีมาก เมื่อเรียนจบ ท่านจึงเข้าทำงานที่บริษัทวินเซอร์ของอังกฤษ แต่บิดาท่านให้ย้ายออกมาทำที่กรมสรรพากร ซึ่งท่านก็อนุโลมตามใจบิดาท่านด้วยแรงกตัญญู ซึ่งท่านก็ได้เจริญในหน้าที่การงานและทางโลกด้วยดียิ่งตลอดมา จนกระทั่งได้รับการโอนย้ายไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบอันมีเกียรติยิ่ง แต่ท่านขอไม่รับ เพราะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมและเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย ท้ายสุด ท่านก็ได้ขอลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุถึง 3 ปี
    หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านบวชเมื่ออายุ ๕๒ ปี สมัยที่ยังไม่บวชท่านทำงานอยู่ฝ่ายสรรพสามิต ท่านจะดื่มเหล้าเก่ง ตอนหลังท่านเห็นโทษของการดื่มเหล้า และเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงได้ลาออกจากราชการ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยได้โอนบ้านที่ดินและทรัพย์สินให้กับครอบครัวท่านจนหมดสิ้น จากนั้นท่านได้ไปฝากตัวอยู่กับสมเด็จ พระวันรัต (ต่อมาทรงได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช วัดโพธิ์ ท่าเตียน) โดยเป็นอุบาสก นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลอุโบสถอย่างเคร่งครัด ในที่สุดจึงได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ แม้บวชได้เพียงพรรษาเดียว หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้ออกธุดงค์ ไปบำเพ็ญเพียรภาวนา อยู่บนยอดเขาภูกระดึง อันแสนจะหนาวเหน็บ (เดือน พ.ย. ๒๕๐๖) หลังจากนั้นถัดมาอีกเพียง พรรษาเดียว ท่านก็ได้จาริกแสวงบุญ ไปบำเพ็ญภาวนาในแดนไกล คือเมือง ฤาษีเกษ ประเทศอินเดีย เมืองนี้เป็นที่ชุมนุม ของโยคี ฤาษี มุนีไพร ผู้ทรงตบะและฤทธาอันแก่กล้ามากมาย ต้องเก่งจริงๆ ถึงจะอยู่ได้อย่างสันติอิสระ...

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เมื่อหลวงพ่อกัสสปมุนีลากรถไฟขึ้นเขาด้วยพลังจิต!!!!!

    เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อออกพรรษา ปวารณาปี พ.ศ. ๒๕๐๗ แล้ว หลวงพ่อฯ ก็ได้เดินทางไปยังประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๘ พ.ย. ๒๕๐๗ โดยสายการบิน ซี.พี.เอ. ร่วมกับคณะทัศนาจรแสวงบุญ ซึ่งมีทั้งพระ และฆราวาส อาทิเช่น ท่านเจ้าคุณราชปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดยะลา ท่านเจ้าคุณสิริสารโสภณ เจ้าคณะอำเภอยะลา หลวงพ่อทิม วัดช้างไห้ ผู้สร้างพระเครื่อง หลวงพ่อทวด อันลือลั่นไปทั่วประเทศ และท่านเจ้าคุณ ญาณวิริยาจารย์ วัดธรรมมงคล ซอยปุณณวิถี พระโขนง ซึ่งเป็นศิษย์เอก พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฝ่ายฆราวาสก็มี นายเอื้อ บัวสรวง ธ.บ. และ เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต นายน่วม นันทวิชัย นายกพุทธสมาคม สิงห์บุรี จุดมุ่งหมายของคณะจาริกแสวงบุญ คือจะพากันไปนมัสการ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธคุณ และ เพื่อปลงธรรมสังเวช หลวงพ่อกัสสปนั้น ต้องการจะเดินทางต่อไป เพื่อไปจำศีลภาวนาที่เมือง
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้เข้าพรรษา ตื่นใส่บาตรตอนเช้า ในขณะที่ใส่บาตร นึกถึงคำที่พี่ใหญ่รองประธานที่ปรึกษาของทุนนิธิฯ สอนว่า เวลาใส่บาตรให้นึกถึงพระองค์ใดองค์หนึ่งที่เรานับถือมาร่วมโมทนาบุญและเป็นพยานบุญกับเราด้วย เผื่อเวลาตายไปแล้ว ยืนงงๆ ต่อหน้าพระยายมราช เผื่อมีการซักถามเรื่องการทำความดี ถ้าเรานึกไม่ออก ท่านจะได้มาปรากฏตัวช่วยเราว่า ไอ้นี่เคยใส่บาตรกับพระสงฆ์เมื่อวันนั้น วันนี้ มันยังเรียกฉันมาโมทนาบุญให้มัน และให้ฉันเป็นพยานให้ ไอ้นี่มันเป็นลูกศิษย์ฉันๆ เอามันไปเสวยบุญก่อน...วันนี้เลยนึกถึงพระแก้วมรกต ให้ท่านโมทนาบุญและเป็นพยานบุญให้ กลับมาบ้าน นอนเล่นเพลินๆ เลยกำหนดลมเล่นจนเกิดลมสบาย เลยพาลให้นึกถึง การทำกรรมฐานอย่างง่ายๆ หลวงพ่อฤาษีฯ จึงขออนุญาตนำมาลงให้อ่านกัน

    วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ<O:p</O:p
    มีท่านพุทธสาสนิกชนมากท่าน ได้มีจดหมายมาขอวิธีปฎิบัติกรรมฐานแบบง่ายๆ เพื่อฝึกด้วยตนเอง อาตมาจึงเขียนวิธีการฝึกกรรมฐานด้วยตนเองขึ้น เป็นแบบฝึกในหมวดสุกขวิปัสสโก คือ ฝึกแบบง่ายๆ ขอให้ท่านผู้สนใจปฎิบัติตามนี้<O:p></O:p>
    สมาธิ<O:p></O:p>
    อันดับแรก ขอท่านผู้สนใจจงเข้าใจคำว่า สมาธิ ก่อน สมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่น หมายถึงการตั้งใจแบบเอาจริงเอาจังนั่นเอง ตามภาษาพูดเรียกว่า เอาจริงเอาจัง คือตั้งใจจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นอย่างเคร่งครัด ไม่เลิกล้มความตั้งใจ<O:p></O:p>
    ความประสงค์ที่เจริญสมาธิ<O:p></O:p>
    ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือ ต้องการให้อารมณ์สงัดและเยือกเย็น ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการ และความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อยากให้พ้นอบายภูมิ คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน อย่างต่ำ ถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์และต้องการเป็นมนุษย์ชั้นดี คือ<O:p></O:p>
    1. เป็นมนุษย์ที่มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่อายุสั้นพลันตาย<O:p></O:p>
    2. เป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วยไฟไหม้ โจรเบียดเบียน น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายให้เสียหาย<O:p></O:p>
    3. เป็นมนุษย์ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาท ไม่ดื้อด้านดันทุรังให้มีทุกข์เสียทรัพย์สินและเสียขื่อเสียง<O:p></O:p>
    4. เป็นมนุษย์ที่มีวาจาไพเราะ เมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง<O:p></O:p>
    5. เป็นมนุษย์ที่ไม่มีอาการปวดประสาท คือปวดศีรษะมากเกินไป ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    รวมความโดยย่อก็คือ ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการ เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ ทรัพย์ไม่มีอะไรเสียหายจากภัย 4 ประการ คือ ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วม และเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ประสงค์ให้เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์<O:p></O:p>
    บางท่านก็ต้องการไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดาหรือนางฟ้าที่มีร่างกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่และสมบัติเป็นทิพย์ไม่มีคำว่าแก่ ป่วย และยากจน (ความปรารถนาไม่สมหวัง) เพราะเทวดาหรือนางฟ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย มีความปรารถนาสมหวังเสมอ<O:p></O:p>
    บางท่านก็อยากไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมีความสุขและอานุภาพมากว่าเทวดาและนางฟ้า<O:p></O:p>
    บางท่านก็อยากไปนิพพาน<O:p></O:p>
    เป็นอันว่าความหวังทุกประการตามที่กล่าวมาแล้วนั้นจะมีผลแก่ทุกท่านแน่นอน ถ้าท่านตั้งใจทำจริงและปฏิบัติตามขั้นตอน<O:p></O:p>
    แบบที่บอกว่าปฏิบัติแบบง่ายๆ นี้ถ้าปฎิบัติได้ครบถ้วน ท่านจะได้ทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่นานนักจะช้าหรือเร็วอยู่ที่ท่านทำจริงตามคำแนะนำหรือไม่เท่านั้นเอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อารมณ์ที่ต้องการในขณะปฎิบัติ<O:p></O:p>

    สำหรับอารมณ์ที่ต้องการในขณะปฎิบัติ ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เวลานั้นต้องการอารมณ์สบาย ไม่ใช่อารมณ์เครียด เมื่อมีอารมณ์เป็นสุขถือว่าใช้ได้ อารมณ์เป็นสุขไม่ใช่อารมณ์ดับสนิทจนไม่รู้อะไร เป็นอารมณ์ธรรมดาแต่มีความสบายเท่านั้นเอง ยังมีความรู้สึกตามปกติทุกอย่าง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เริ่มทำสมาธิ<O:p></O:p>

    เริ่มทำสมาธิใช้วิธีง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระ ใช้เครื่องแต่งกายที่ท่านแต่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯ เป็นต้น เพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯ เป็นต้น เพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัวความสำคัญจริงๆ อยู่ที่ใจ ให้คุมอารมณ์ใจให้อยู่ตามที่เราต้องการก็ใช้ได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อาการนั่ง<O:p></O:p>
    อาการนั่ง ถ้าอยู่ที่บ้านของท่านตามลำพัง ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย จะนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งห้อยเท้าหลังจากที่ท่านบูชาพระแล้ว เสร็จแล้วก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและหายใจออก คำว่า กำหนดรู้ คือหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ถ้าต้องการให้ดีมากก็ให้สังเกตด้วยว่า หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้น ขณะที่รู้ลมหายใจนี้ และเวลานั้นจิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่นเข้าแทรกแซง ก็ถือว่าท่านมีสมาธิแล้ว การทรงอารมณ์รู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก โดยที่อารมณ์อื่นไม่แทรกแซง คือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลานั้น จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตาม ชื่อว่าท่านมีสมาธิแล้ว คือตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ภาวนา<O:p></O:p>

    การเจริญกรรมฐานโดยทั่วไปนิยมใช้คำว่าภาวนาด้วย เรื่องคำภาวนานี้อาตมาไม่จำกัดว่าต้องการภาวนาอย่างไร เพราะแต่ละคนมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน บางท่านนิยมภาวนาด้วยถ้อยคำสั้นๆ บางท่านนิยมใช้คำภาวนายาวๆ ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านจะพอใจ อาตมาจะแนะนำคำภาวนายาวๆ ทั้งนี้ก็สุดแต่ท่านจะพอใจ อาตมาจะแนะนำคำภาวนาอย่างง่าย คือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บูชาพุทธคุณ

    ถ้าจะเทียบก็เปรียบแสงมาส่องเกล้า
    ไสวราวเอาฟ้ามาเปิดเผย
    ติดคุกแคบแอบมุ่นด้วยคุ้นเคย
    ก็สุดเอ่ยเฉลยคำเมื่อธรรมมา

    เหมือนบ้าใบ้ไร้ตามาก่อนเก่า
    วันวันเศร้าเฝ้าออกแรงแสวงหา
    กองขยะคุ้ยสิ้นด้วยชินชา
    ทั้งโรยล้าหน้าหม่นก็ทนไป

    พระเอาตามาประทานแก่คนบอด
    รักษารอดตลอดสายจนหายไข้
    พระปรานีที่สุดนี้มีเกินใคร
    จะจดจำพระองค์ไว้ไม่ลืมเลือน


    พนมปั้นอัญชลีนี้พอหรือ
    สองมือไหว้ช่างง่ายดายอะไรเหมือน
    พระคุณใหญ่ต่อให้คืนเป็นดาวเดือน
    เสมอเลื่อนหนี้สินด้วยดินดาน


    ถ้าร้อนใจใคร่บูชาตถาคต
    พระสั่งสอนให้สลดในสังขาร
    เข้าจับใจให้รู้ดูนานนาน
    กระทั่งผลาญอุปาทานจนลาญเรียง


    จึงเอาใจใสแล้วเป็นแก้วเก้า
    มาขานกล่าวบูชาให้เต็มเสียง
    พระสอนมาข้านี้มีพอเพียง
    จะลำเลียงถวายองค์พระทรงธรรม


    [​IMG]


    จากเวบไซด์ของ "ดังตฤณ" ที่น่าเก็บไว้ใน favorites
    http://dungtrin.com/1stsati/index.html
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สาธุแก่คนทำดีและปฏิบัติดี ตามคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    พันวฤทธิ์
    18/7/51

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พิมพ์พระประธาน ฐานแซม องค์ที่ 1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงพ่อโต วัดป่ามะม่วง สุโขทัย พระดี ชื่อดี ที่บรมครูศรีสัชนาลัย (หลวงปู่ใหญ่) อธิษฐานจิตไว้ หาได้ก็เก็บไว้ให้ดี ของจริงองค์ไม่ใหญ่มาก เท่าพระขุนแผนบ้านกร่าง แค่เนื้อก็กินขาดแล้ว สวยจริงๆ ครับ

    [​IMG]

    เอื้อเฟื้อภาพโดย

    http://www.sukhothai.go.th/data/buddha_14.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...