พระยามาธิราชอีกหนึ่งชาติได้เป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย lotte, 23 พฤศจิกายน 2004.

  1. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    พระยามาธิราช(หัวหน้าสวรรค์ชั้นยามา )อีกหนึ่งชาติได้เป็นพระพุทธเจ้า
    แต่ท่านก็เสด็จลาพุทธภูมิเสียก่อน อาจารย์คนเมืองบัวบอกว่าท่านบำเพ็_มานานแล้ว เข้าอารมณ์พระนิพพานมานานเลยเลยเบื่อการเกิด ท่านเต็มไปด้วยปฏิสัมภิทา_าณ ถ้าท่านไม่ลาท่านจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 6 นับจากพระศรีอาริย์ไปอีก 7 องค์ ครับ
     
  2. Star Platinum

    Star Platinum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +1,152
    ท่านเป็นนิตยโพธิสัตว์ไม่ใช่หรือครับ? ผมเคยได้ยินว่านิตยโพธิสัตว์จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เพราะได้รับคำทำนายจากพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเหมือนกันครับ:)
     
  3. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    888
    ค่าพลัง:
    +1,937
    ก็เรื่องของท่านน่ะครับ
    สงสัยไป ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา


    แต่อย่างไร ผมก็ต้อง อนุโมทนา ด้วยคน
     
  4. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    พระนิตยโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำทำนายไว้ก็จริงครับ แต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆที่ทำนายพระโพธิสัตว์คนนั้นๆ ว่าในอนาคตจะได้จะเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่านั้นๆ อันนี้หมายถึงว่าถ้าพระโพธิสัตว์คนนั้นทำต่อไป จนบารมีเต็ม ไม่ได้ลาไปเสียก่อน ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามนั้นๆ ตามพุทธทำนายครับ
     
  5. witt

    witt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +551
    ไปถามผู้รู้มาว่า พระนิตยโพธิสัตว์ ลาไม่ได้ ถ้าลาได้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าทำนายผิดสิครับ

    คำว่า นิตย หรือ นิตย์ แปลว่า เที่ยง,ยั่งยืน, เสมอ, เป็นประจำ

    พระนิตยโพธิสัตว์ ยังไง ยังไงก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าครับผม

    ถ้าเป็นพระอนิตยโพธิสัตว์ ท่านยังไม่ได้รับคำทำนาย ท่านมีสิทธิ์ที่จะลาได้ครับผม
     
  6. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    ผมไปถามผู้รู้ที่สุดมาครับ ท่านบอกว่าลาได้ครับ

    ผมขอยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวนี่แหละครับ หลวงพ่อฤาษีไงครับ ท่านทำมาตั้ง 16 อสงไขย ท่านก็ยังลาได้ ท่านบอกท่านอยากท่านลาก็เลยลา แต่ถ้าท่านจะทำต่อก็คงจะอีกไม่นานล่ะครับ

    เรื่องที่พุทธภูมิลาได้หรือลาไม่ได้เนี่ย เป็นความต้องการของพุทธภูมิแต่ละบุคคลครับ พุทธภูมินี่มีเวลาบารมีเต็มเหมือนกัน บารมีในที่นี้คือบารมีในการเบื่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อบารมีตัวนี้เต็ม ก็อาจจะถึงเวลาลาพุทธภูมิ ส่วนมากจะเป็นในช่วงปลายๆ ถ้าเป็นในช่วงต้นๆคงจะลากันไปหมดแล้ว แต่ถ้าบารมีตัวนี้เต็มแล้ว แต่อยากจะทำต่อไปก็ไม่เป็นไร เป็นความต้องการของพุทธภูมิแต่ละคน

    นี่ก็คือเพียงความคิดของผม ยกเว้นประโยคแรก คุณ witt ก็อย่าเชื่อเสียทั้งหมด คุณ witt ปรารถนาที่จะเป็นพระปัจเจก คุณ witt ก็ลองศึกษาทางนี้ไปเรื่อยๆ จนคุณ witt ก็จะค้นพบความจริงนี้ได้ด้วยตัวเองครับ
     
  7. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ... ความรู้ใหม่ครับ.... อ.ไก่ บอกว่า หลวงพ่อฤาษี คือ ร.5 จริงๆครับ

    ...แต่ พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็น ร.4 นะครับ พ่อ ร.5.........

    (เรื่องนี้ก็ได้แต่ฟังแล้วเอามาเล่า เปลี่ยนแปลงได้ ตามคนบอก เพราะคนฟัง ไม่รู้ โอย.. เซ็งเลยผม)
     
  8. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    พอดีไปค้นเจอ-เลย-ขอแสดงความคิดเห็นด้วยครับ.
    .....ผมขอถามว่าระหว่างพระสัพพัญญุตญาณ ของพระพุทะเจ้า-กับของสาวก อันไหนจะแน่นอนกว่ากันคับ
    .....พระนิยตโพธิสัตว์ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์แล้วว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมไม่เป็นอย่างอื่นยังไงก็ต้องได้เป็นพระพุทธเจ้า
    .....ถ้าไม่ลาแล้วจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ใครๆก็ว่าได้ครับ มันจะประเสริฐได้อย่างไร แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจะรอให้พระพุทธเจ้าพยากรณ์ทำไม
    .....มีในพระบาลี หรือในพระไตรปิฎกมั้ยครับที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์แบบนี้
    .....มีแต่แบบนี้ไม่ใช่หรอครับ...พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า “ ทีปังกร ” เสด็จมาประทับยืนที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ด้วยประสาทมีวรรณะ ๕ ชนิด ประหนึ่งว่าเปิดอยู่ซึ่งสีหบัญชรแก้วมณี ทอดพระเนตรเห็นสุเมธดาบสนอนบนหลังเปือกตมทรงดำริว่า “ ดาบสนี้ กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จหรือไม่หนอ ” ทรงส่งพระอนาคตังสญาณ ใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า “ ล่วงไปสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ” ยังทรงประทับยืนอยู่นั่นแหละแล้วทรงพยากรณ์ด้วยพระดำรัสว่า “ พวกท่านจงดูดาบสผู้มีตบะกล้านี้ ซึ่งนอนอยู่บนหลังเปือกตม ” ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ เห็นแล้วพระเจ้าข้า ” จึงตรัสว่า “ ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า นอนแล้วความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า “ โคดม ” ก็ในอัตภาพนั้นของเขา นครนามว่า “ กบิลพัสดุ์ ” จักเป็นที่อยู่อาศัย พระเทวีทรงพระนามว่า “ มายา ” เป็นพระมารดา พระราชาทรงพระนามว่า “ สุทโทธนะ ” เป็นพระราชบิดา พระเถระชื่อว่า “ อุปติสสะ ” เป็นอัครสาวก และเถระชื่อโกลิตะ เป็นอัครสาวกที่สอง พุทธอุปัฎฐากชื่อว่า “ อานนท์ ” พระเถรีนามว่า “ เขมา ” เป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่า “ อุบลวรรณา ” เป็นอัครสาวิกาที่สอง
    เขามีญาณแก่กล้าแล้ว ออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑลจักตรัสรู้ที่โคนต้น “ อัสสัตถพฤกษ์"
    .....พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสคำที่ไม่เป็นจริงเลย ถ้าทรงพยากรณ์ว่าจะได้เป็นถ้าไม่ลา.ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้ว่า คนนั้นจะลาหรือไม่ลา เลยพยากรณ์แบบไม่แน่ใจ..คนที่มีญาณที่ไม่แน่นอนอย่างนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรอกครับ เพราะพระญาณของพระพุทธเจ้านั้นแน่นอน หนึ่งไม่เป็น สอง


    ปัญหาที่ ๒ ถามถึงความเป็น พระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า
    "ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู คือรู้ทุกสิ่งจริงหรือ? "
    " ขอถวายพระพร จริง แต่ว่าความรู้ความเห็นของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ปรากฏอยู่เป็นนิจ คือเป็นของเนื่องด้วยการนึก พระพุทธเจ้าทรงนึกอยากรู้สิ่งใด ก็รู้สิ่งนั้นสิ้นเท่านั้น"
    " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญู เพราะถ้าความรู้สิ่งทั้งปวง เพราะถ้าความรู้สิ่งทั้งปวง ยังเป็นของต้องแสวงหาอยู่ "
    " ขอถวายพระพร มีข้าวเปลือกอยู่ ๑๐๐ เกวียน บุคคลตักออกคราวละ ๕ ทะนาน ๔ ทะนาน ๓ ทะนาน ๒ ทะนาน จิตที่เป็นไปในขณะลัดนิ้วมือเดียว อันกำหนดข้าวเปลือกว่ามีเท่านั้น ๆ ก็ถึงซึ่งความสิ้นไป"
    จิตของผู้ที่ยังไม่ได้อบรม
    บุคคลเหล่าใดยังมีราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา กิเลสอยู่ ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา จิตของบุคคลเหล่านั้นก็เกิดช้า เป็นไปช้า เพราะไม่ได้อบรมจิต เหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่ที่มีแขนง เกี่ยวกระหวัดรัดรึงหุ้มห่อ รกรุงรัง ให้ขาดแล้ว ก็ดึงมาได้ช้าฉันนั้น อันนี้เป็น จิตดวงที่ ๑
    จิตของพระโสดาบัน
    จิตดวงที่ ๒ นั้นได้แก่จิตของพระโสดาบัน คือพระโสดาบันทั้งหลาย ผู้พ้นอบายภูมิแล้ว ผู้ถึงความเห็นแล้ว ผู้รู้แจ้งพระพุทธศาสนาแล้วมีอยู่ จิตของพระโสดาบันทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดไว เป็นไปไวในที่ทั้ง ๓ ( คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ) แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในชั้นสูงขึ้นไป เพราะยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง ข้อนี้เหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่แล้ว ลิดข้อลิดปมทั้ง ๓ ข้อ แต่ยังไม่ได้ตัดยอดเบื้องบนให้ขาด ให้หายรุกรัง ก็ดึงมาได้ช้าฉะนั้น
    จิตของพระสกิทาคามี
    จิตดวงที่ ๓ นั้น ได้แก่จิตของพระสกิทาคามี คือจิตของสกิทาคามี ผู้มีราคะ โทสะ โมหะ น้อยเบาบางลงมากนั้น ย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็ว ในฐานะทั้ง ๕ แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในชั้นสูงขึ้นไป เปรียบเหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้ง ๕ ให้ขาดแล้ว ก็ดึงมาได้ไวหน่อย แต่ว่าเมื่อข้างปลายยังรกรุงรังอยู่ ก็ยังดึงมาได้ช้าเพราะเบื้องบนยังรุงรัง อันเปรียบเหมือนยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูงฉะนั้น
    จิตของพระอนาคามี
    จิตดวงที่ ๔ ได้แก่จิตของพระอนาคามีที่ละสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำได้ขาดแล้ว จิตของพระอนาคามีย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็ว ในฐานะทั้ง ๑๐ แต่เกิดช้า เป็นไปช้าในชั้นสูงขึ้นไปเพราะยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง เหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้ง ๑๐ ให้เกลี้ยงเกลาดีแล้ว ก็ดึงมาได้เร็วเพียง ๑๐ ปล้องเท่านั้น พ้นจากนั้นยังดึงมาได้ช้าฉะนั้น
    จิตของพระอรหันต์
    จิตดวงที่ ๕ ได้แก่จิตของพระอรหันต์คือจิตของพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวกิเลสทั้งหมดแล้ว ย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็วในวิสัยของสาวก แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในภูมิพระปัจเจกพุทธเจ้าที่สูงกว่า เปรียบเหมือนบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้งปวงให้ตลอดลำแล้ว ก็ดึงมาได้เร็วฉันนั้น
    จิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    จิตดวงที่ ๖ ได้แก่จิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีอาจารย์ ก็เกิดได้เร็ว เป็นไปเร็ว ในภูมิของตนเท่านั้น แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในภูมิของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเพราะภูมิของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น เป็นของใหญ่ เปรียบเทียบเหมือนบุรุษผู้ไม่กลัวน้ำ ก็ว่ายข้ามแม่น้ำน้อยได้ตามสบาย แต่พอไปถึงน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แลไม่เห็นฝั่งก็กลัวก็สะดุ้ง ก็ช้า ก็ไม่อาจข้ามไปได้ฉะนั้น
    จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
    จิตดวงที่ ๗ ได้แก่จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้ทรงทศพลญาณ จตุเวสารัชชญาณ ประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ ชนะไม่มีที่สิ้นสุด มีญานไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมเกิดรวดเร็วเป็นไปรวดเร็วในสิ่งทั้งปวงเพราะจิตบริสุทธิ์ในสิ่งทั้งปวงแล้ว
    " ขอถวายพระพร ลูกศรที่ไม่มีข้อ มีปมที่เกลี้ยงเกลา ไม่มัวหมอง อันนายธนูยกขึ้นสู่แล่งธนู อันไม่คดโก่ง อันเลี่ยงสุขุมเป็นอันดีแล้วยิงไปที่ผ้าฝ้าย หรือผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ลูกศรนั้นจะทะลุไปได้ช้า หรือว่าจะข้องอยู่ที่ผ้าประการใด ? "
    " อ๋อ...ไม่ช้า พระผู้เป็นเจ้า ลูกศรนั้นต้องทะลุไปได้อย่างรวดเร็ว"
    " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ความคิดของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ทะลุปรุโปร่งไปในสิ่งทั้งปวงได้รวดเร็วฉะนั้น
    ขอถวายพระพร จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ได้ล่วงเลยจิตทั้ง ๖ ไปแล้ว จึงเป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นจิตรวดเร็ว เป็นจิตหาเครื่องเปรียบมิได้ ด้วยคุณอันคณานับมิได้ เพราะเหตุที่จิตของพระพุทธเจ้า เป็นจิตบริสุทธิ์รวดเร็วนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ได้ จิตของพระพุทธเจ้าในเวลาทรงทำยมกปาฏิหาริย์นั้น เป็นไปรวดเร็วนักไม่มีใครอาจชี้เหตุการณ์ได้ มหาบพิตร ปาฏิหาริย์เหล่านั้น เมื่อเทียบกับจิตของพระสัพพัญญูทั้งหลายแล้ว ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่ง เพราะพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า เนื่องด้วยการนึกด้วยจิตนั้น พอนึกก็รู้ได้ตามประสงค์"
    อุปมาเหมือนผู้ยกสิ่งของ
    " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษยกของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่วางอยู่ที่มือข้างหนึ่งมาไว้บนมืออีกข้างหนึ่ง หรืออ้าปากพูด กลืนอาหาร ลืมตา หลับตา คู้แขน เหยียดแขน อันนับว่าเร็วอยู่แล้ว แต่ยังช้ากว่าพระสัพพัญญุตญาณ คือพอพระพุทธเจ้าทรงนึกก็รู้ได้ทันที ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เป็นพระสัพพัญญูด้วยเหตุเพียงนึกเท่านี้"
    " ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อยังนึกหาอยู่ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นพระสัพพัญญู ขอนิมนต์ชี้แจงให้โยมเข้าใจตามเหตุการณ์อีกเถิด "
    อุปมาเหมือนบุรุษผู้มั่งคั่ง
    " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษผู้หนึ่ง เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีเครื่องกินมาก มีเงินทองมาก มีเครื่องปลื้มใจมาก มีธัญชาติ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวสาร งา ถั่ว ฟักแฟง แตงเต้า เนยใส น้ำมัน นมข้น นมสด นมส้ม น้ำผึ้ง น้ำอ้อย อยู่มาก เวลามีแขกมาหา ซึ่งเป็นผู้ควรต้อนรับด้วยอาหาร อาหารก็ทำเสร็จแล้ว ยังแต่จะต้องคดข้าวออกจากหม้อเท่านั้น บุรุษนั้นจะเรียกว่า เป็นผู้มีทรัพย์มาก หรือจะเรียกว่าไม่มีทรัพย์มาก ด้วยเหตุเพียงเวลาคดข้าวจากหม้อเท่านั้นหรืออย่างไร ?"
    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าอย่างนี้ ถึงในราชมณเฑียรของพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม ถ้านอกเวลาก็ต้องรอเวลาอาหารสุก ไม่ต้องพูดถึงในบ้านเรือนของคฤหบดี "
    " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ พระสัพพัญญุตญาณอันเนื่องด้วยการนึกของพระพุทธเจ้านั้น พอถึงก็รู้ได้ตามประสงค์ "
    อุปมาเหมือนต้นไม้ที่มีผล
    " ขอถวายพระพร ต้นไม้ที่มีผลดกเต็มต้นยังไม่มีผลหล่นลงมาเลย เมื่อรอเวลาผลหล่นลงมา จะเรียกว่าต้นไม้นั้น ไม่มีผลได้หรือไม่? "
    " ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะต้นไม้นั้นเนื่องด้วยการหล่นแห่งผล พอผลหล่นลงคนก็เก็บเอาได้ตามประสงค์ "
    " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระสัพพัญญุตญาณก็เนื่องด้วยการนึกของพระพุทธเจ้า พอนึกก็รู้ทันที "
    " ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงนึกก็รู้ได้ทันทีอย่างนั้นหรือ? "
    " อย่างนั้น มหาบพิตร คือพระเจ้าจักรพรรดิพอทรงนึกถึงจักรแก้ว จักรแก้วก็มาปรากฏทันทีฉันใด พระพุทธเจ้าพอนึกก็รู้ทุกสิ่งฉันนั้น ขอถวายพระพร"
    " ข้าแต่พระนาคเสน โยมตกลงรับว่าพระพุทธเจ้าเป็น พระสัพพัญญู แน่ละ "
    ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องโปรดให้พระเทวทัตบรรพชา "
    ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าพระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณา เป็นผู้แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายอย่างนั้นหรือ ? "
    " อย่างนั้น มหาบพิตร "
    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเทวทัต ใครบวชให้ ขอจงว่าไปตามจริง ? "
    " ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าทรงบวชให้พร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระอุบาลี "
    " ข้าแต่พระนาคเสน พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ เพราะคฤหัสถ์ หรือ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี ทำสังฆเภทไม่ได้ ทำได้แต่เฉพาะภิกษุ ผู้ยังเป็นภิกษุอยู่ตามปกติ ยังร่วมกับสงฆ์ได้อยู่ อยู่ในเสมาอันเดียวกันกับสงฆ์เท่านั้น "
    " ถูกอย่างนั้น มหาบพิตร พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ "
    พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า
    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทำสังฆเภทได้รับกรรมอย่างไร ? "
    " ขอถวายพระพร ผู้ทำสังฆเภทต้องตกนรกอยู่ตลอด ๑ กัป "
    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระตถาคตเจ้าทรงทราบหรือไม่ว่า พระเทวทัตบวชแล้วจักทำสังฆเภท แล้วจักไปตกนรกอยู่ตลอดกัป ? "
    " ขอถวายพระพร ทรงทราบ "
    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า
    " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าทรงทราบ คำที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาแสวงหาประโยชน์ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ก็ผิดไป ถ้าไม่ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญู ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ มีสองแง่ ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้สิ้นสงสัย พระภิกษุมีความรู้ดังพระผู้เป็นเจ้า ในภายหน้าโน้นจักหาได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงกำลังปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้ "
    ทรงใช้วิธีผ่อนหนักเป็นเบา
    " ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาจริง เป็นพระสัพพัญญูจริงเป็นพระสัพพทัสสาวี คือเห็นทุกสิ่งจริง เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงเล็งดูคติของพระเทวทัตด้วยพระสัพพัญญุตญาณ อันประกอบด้วยพระมหากรุณา ก็ได้ทรงเห็นว่า พระเทวทัตถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็จักทำบาปกรรมอันจักให้ไปตกนรก เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หลายกัป และทรงทราบว่า กรรมของพระเทวทัตจักไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักมีสิ้นสุดได้ เมื่อบรรพชาแล้ว ก็จักทำกรรมเพียงให้ตกนรกอยู่ ๑ กัปเท่านั้น ทรงเห็นอย่างนี้ จึงได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยอำนาจพระมหากรุณา"
    " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าทุบตีพระเทวทัตแล้วทาน้ำมันให้ ผลักให้ล้มแล้ว ดึงแขนให้ลุกขึ้นฆ่าแล้วชุบชีวิตให้ เพราะให้ทุกข์ก่อนแล้วจึงให้สุขต่อภายหลัง "
    อุปมามารดาบิดาโทษบุตร
    " ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าทรงทำอย่างนั้นจริง ข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา เหมือนมารดาบิดาเฆี่ยนตีบุตรแล้ว ให้ประโยชน์ทีหลังฉันใด พระตถาคตเจ้าก็ทรงทำฉันนั้น พระเทวทัตถ้าจักไม่ได้บรรพชา ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ก็จักทำบาปกรรม อันจักให้ไปตกนรกอยู่หลายแสนกัป เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทราบอย่างนี้ จึงได้ทรงพระกรุณาให้บรรพชา ได้ทรงทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบา ด้วยทรงเล็งเห็นว่า เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในศาสนาของเราแล้วทุกข์ก็จักมีที่สิ้นสุด "
    อุปมาบุรุษผู้มีอำนาจ
    " มหาราชเจ้า เปรียบประดุจบุรุษผู้มีกำลังทรัพย์ ยศ ศักดิ์ ญาติวงศ์ รู้ว่าญาติหรือมิตรจะต้องได้รับพระราชอาญาหนัก ก็ช่วยให้เบาตามความสามารถของตนฉันใด สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงให้บรรพชาช่วยให้หนักเป็นเบา ด้วยอำนาจศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณฉันนั้น "
    อุปมาเหมือนหมอผ่าตัด
    " อีกอย่างหนึ่ง หมอผ่าตัดย่อมตัดโรคที่หนัก ๆ ออกเสียทำให้เบาลง ด้วยอำนาจยาอันแรงกล้าฉันใด พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงโปรดให้บรรพชาทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบาด้วยกำลังยา คือพระธรรม อันประกอบด้วยพระมหากรุณาฉันนั้น ขอถวายพระพร เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทำพระเทวทัตผู้จะได้รับทุกข์มาก ให้ได้รับทุกข์น้อย จะได้บาปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ ? "
    " ไม่ได้บาปอย่างใดเลย พระผู้เป็นเจ้า "
    " ขอถวายพระพร เหตุการณ์ข้อนี้ มหาบพิตรจงรับไว้ตามความจริงว่า พระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา เพราะทรงพระมหากรุณาแท้ ๆ "
    อุปมาเหมือนผู้จับโจร
    " อีกประการหนึ่ง เมื่อมีผู้จับโจรมาถวายพระราชาให้ลงพระราชอาญา พระราชาก็ตรัสสั่งให้นำไปตัดศีรษะ แต่มีผู้ที่ได้รับพรจากพระราชาทูลขอชีวิตไว้ ให้ตัดเพียงมือและเท้าเท่านั้นผู้ที่ขอชีวิตไว้นั้น จะได้บาปอย่างไรหรือ ? "
    " ไม่ได้บาปอย่างไรเลย พระผู้เป็นเจ้า "
    " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าทรงพระกรุณาให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยทรงพิจารณาเห็นว่า เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาแล้ว กรรมของพระเทวทัตก็จักมีที่สิ้นสุด ในเวลาที่พระเทวทัตจะถึงมรณะ ก็ได้เปล่งวาจานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยคำว่า "
    ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล้ำเลิศ ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลักษณะแห่งบุญอันคูณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก " ดังนี้ " ด้วยอานิสงส์เพียงเท่านี้ "
    ขอถวายพระพร กัปที่ยังเหลืออยู่นี้ แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน พระเทวทัตได้ทำสังฆเภทให้ส่วนแรก จักไปตกนรกอยู่ตลอด ๕ ส่วนพ้นจากนรกแล้ว จักได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "อัฏฐิสสระ" ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทรงทำสิ่งที่ควรทำต่อพระเทวทัตแล้วหรือ ? "
    " ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ชื่อว่าทรงประทานสิ่งทั้งปวงแก่พระเทวทัตแล้ว ข้อที่พระตถาคตเจ้าได้ทรงทำให้พระเทวทัต ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ชื่อว่าได้ทรงทำสิ่งทั้งปวงให้พระเทวทัตแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้ชื่อว่า ไม่ได้ทรงกระทำ "
    " ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าจะได้บาป เพราะเหตุที่พระเทวทัตทำสังฆเภทแล้วไปทนทุกข์อยู่ในนรกบ้างหรือ ? "
    " เปล่าเลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเทวทัตไปตกนรกด้วยกรรมของพระเทวทัตเอง พระพุทธเจ้าจะได้บาปมาแต่ไหน "
    " ขอถวายพระพร แม้เหตุการณ์ดังนี้ ก็ขอมหาบพิตรจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้ให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ "
    อุปมามารดาบิดาผู้ให้กำเนิด
    " ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือมารดาบิดาทำให้บุตรเกิดขึ้นมาแล้ว ก็กำจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสีย มีแต่ทำให้เป็นประโยชน์ ทำให้บุตรเติบโตขึ้น แต่เมื่อบุตรเติบโตขึ้นแล้ว บุตรก็ได้ทำบาปกรรมไว้ มารดาบิดาจะพลอยได้รับบาปกรรม ที่บุตรกระทำนั้นหรือไม่ ? "
    " ไม่ได้รับเลย พระผู้เป็นเจ้า มารดาบิดาผู้เลี้ยงบุตรให้เติบโตขึ้นนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการคุณมากแท้ แต่บุตรจักได้รับโทษแห่งบาปกรรมที่เขาทำด้วยตนเองต่างหาก "
    " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าก็เสมอกับมารดาบิดา ที่ได้ให้พระเทวทัตบรรพชา ก็เพราะทรงพระมหากรุณา เหตุอันนี้ขอจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ "

    ที่มา-- http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-25-10.htm
     
  9. เดี่ยว7

    เดี่ยว7 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +10
    หลวงพ่อฤาษีลาพุทธภูมิปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ไปแล้วครับ(อันนี้ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว)
    ส่วนเสด็จพ่อ ร.5 เป็นพระโพธิสัตว์คนละองค์ครับ ตอนนี้ท่านยังอยู่ที่ดุสิต ยังไม่ได้ลงมาสร้างบารมีอีก
    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็คือหลวงพ่อปาน พระอาจารย์ของหลวงพ่อฤาษี ซึ่งจะได้มาเป็นพระธรรมราชาต่อจากพระรามเจ้า
    เสด็จพ่อ ร.4 ท่านเป็นพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งครับ ท่านสร้างคุณูปการมากมายในทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย แต่ท่านพลาดเรื่องเดียวซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่เหลือเกิน นั่นคือการทำสังฆเพศ(แยกสงฆ์เป็นมหานิกายและธรรมยุติ) เลยกลายเป็นอนันตริยกรรม ทำให้ท่านต้องลงไป...........(ตอนนี้ท่านก็ยังอยู่ที่.....อยู่ครับ)
    การสร้างบารมีของพุทธภูมินั้นเป็นเรื่องปกติในการขึ้นหรือลง(สวรรค์,นรก)
    และอีกประการหนึ่งบารมียังน้อยอยู่ประกอบกับมารคอยเล่นงาน จึงเป็นเหตุ
    ในเมืองไทยนั้นก็มีมากมายที่พลาดท่าแก่มาร แต่กำลังใจของท่านเหล่านั้นมีสูง
    [​IMG]
     
  10. เดี่ยว7

    เดี่ยว7 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +10
    หลวงพ่อฤาษีท่านยังไม่ได้รับการพยากรณ์ครับ ท่านถึงลาได้ ส่วนบารมีที่ท่านเคยสร้างมาถึง 16 อสงไขย์นั้น ตัวกระผมเองเคยสงสัยเหมือนกันจนได้คำตอบจากพระผู้รู้ท่านหนึ่งว่า การสร้างบารมีนั้นถ้าสร้างบารมีเดิมๆถึงแม้จะนานเป็นหลายอสงไขย์ แต่สร้างบารมียังไม่ครบ(ต้องไปศึกษาบารมีของพระโพธิสัตว์ที่จะต้องสร้างอีกทีครับ)
    การพยากรณ์นั้นดูที่บารมีในการสร้างครบหรือใกล้หรือยัง และดูที่ระยะเวลาในการสร้างด้วยครับ
    เป็นคำตอบที่ผมได้มาจากพระผู้รู้ครับ ลำพังตัวผมเองคงมิบังอาจไปล่วงเกินพระอรหันต์ได้ถ้าข้อมูลไม่ตรงตามความเป็นจริงแล้ว(ก็เสี่ยงครับ)
    และที่สำคัญที่สุดก็คือท่านยังไม่ได้รับพยากรณ์ ถ้าพยากรณ์แล้วลาไม่ได้เลยครับ (นี่ละครับที่ท่านลาได้ถึงแม้จะสร้างมาหลายอสงไขย์)
     
  11. เดี่ยว7

    เดี่ยว7 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +10
    ยังไม่ลาครับ พระยามาธิราช ลาไม่ได้ครับมาไกลแล้วและยังอยู่ในการพยากรณ์ของพระพุทธองค์ด้วยในอนาคตกาลวงศ์
    ถึงจะเบื่อยังงัยก็ถือเป็นภาระหน้าที่ไปแล้วครับ นี่แหล่ะหัวอกของพุทธภูมิ ก็ต้องสร้างบารมีต่อไป
     
  12. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    เคยอ่านเจอมั้ยครับ ระหว่างคำให้พรกับคำพยากรณ์ แม้เพียงคำให้พรถ้าไม่อาจสำเร็จหรือมีเหตุเป็นไปไม่ได้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงตรัส ดังมีเรื่องมาว่า...
    ......
    .....
    เมื่อพระพุทธเจ้าแก้กรรมอุปฆาตกรรมให้ทารก
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เรื่องอายุวัฒนกุมาร [๘๘]
    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยทีฆลัมพิกนคร ประทับอยู่ ณ กุฎีในป่า๑- ทรงปรารภกุมารผู้อายุยืน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อภิวาทนสีลิสฺส" เป็นต้น.
    [​IMG]
    ____________________________
    ๑- กุฏิกศัพท์ แปลว่า กระท่อม ก็มี คำว่า อรญฺญกุฏิกายํ คงเป็นกระท่อมที่เขาสร้างไว้ในป่า ไม่ใช่สถานที่ประทับยั่งยืน เป็นที่ประทับชั่วคราว.

    พราหมณ์ ๒ สหายออกบวช
    ได้ยินว่า พราหมณ์ ๒ คนชาวทีฆลัมพิกนคร บวชในลัทธิภายนอก บำเพ็ญตบะสิ้นกาล ๔๘ ปี. บรรดาพราหมณ์ ๒ คนนั้น คนหนึ่งคิดว่า "ประเพณีของเราจักเสื่อมเสีย, เราจักสึก" ดังนี้แล้ว จึงขายบริขารตบะที่ตนทำไว้แก่คนเหล่าอื่น ได้ภรรยาพร้อมด้วยโค ๑๐๐ ตัวและทรัพย์ ๑๐๐ กหาปณะ ให้ตั้งไว้เป็นกองทุน. ครั้งนั้น ภรรยาของเขาคลอดเด็ก.
    ส่วนสหายของเขานอกจากนี้ไปสู่ต่างถิ่นแล้ว ก็กลับมาสู่นครนั้นอีกนั่นแล. เขาได้ยินความที่สหายนั้นมา จึงได้พาบุตรและภรรยาไปเพื่อต้องการเยี่ยมสหาย, ครั้นถึงแล้วให้บุตรในมือของมารดาแล้วก็ไหว้เองก่อน. แม้มารดาให้บุตรในมือของบิดาแล้วก็ไหว้. สหายนั้นกล่าวว่า "ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืน" แต่เมื่อมารดาบิดาให้บุตรไหว้แล้ว สหายนั้นได้นิ่งเสีย.

    พราหมณ์ถามเหตุที่สหายไม่ให้พรแก่บุตร
    ลำดับนั้น เขากล่าวกะสหายนั้นว่า "ผู้เจริญ ก็เพราะเหตุไร? เมื่อผมไหว้ ท่านจึงกล่าวว่า ' ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืน.' ในเวลาที่เด็กนี้ไหว้ ไม่กล่าวคำอะไรๆ?"
    สหาย. พราหมณ์ อันตรายอย่างหนึ่งของเด็กนี้มีอยู่.
    พราหมณ์. เด็กจักเป็นอยู่ตลอดกาลเท่าไร? ขอรับ.
    สหาย. ๗ วัน พราหมณ์.
    พราหมณ์. เหตุเป็นเครื่องป้องกัน มีไหม? ขอรับ.
    สหาย. เราไม่รู้เหตุเป็นเครื่องป้องกัน.
    พราหมณ์. ก็ใครพึงรู้เล่า? ขอรับ.
    สหาย. พระสมณโคดม, ท่านจงไปสำนักของพระสมณโคดมนั้น แล้วถามเถิด.
    พราหมณ์. ผมไปในที่นั้น กลัวแต่การเสื่อมแห่งตบะ.
    สหาย. ถ้าความรักในบุตรของท่านมีอยู่, ท่านอย่าคิดถึงการเสื่อมแห่งตบะ จงไปสำนักของพระสมณโคดมนั้น ถามเถิด.

    พราหมณ์ไปเฝ้าพระศาสดา
    พราหมณ์นั้นไปสู่สำนักของพระศาสดาไหว้เองก่อน. พระศาสดาตรัสว่า "ท่านจงมีอายุยืน" แม้ในเวลาที่ปชาบดีไหว้ ก็ตรัสแก่นางอย่างนั้นเหมือนกัน ในเวลาที่เขาให้บุตรไหว้ได้ทรงนิ่งเสีย. เขาทูลถามพระศาสดาโดยนัยก่อนนั่นแล. แม้พระศาสดาก็ทรงพยากรณ์แก่เขาอย่างนั้นเหมือนกัน.
    ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นไม่แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ จึงเทียบเคียงมนต์ของตนกับพระสัพพัญญุตญาณ. แต่ไม่รู้อุบายเครื่องป้องกัน.

    พระศาสดาตรัสบอกอุบายป้องกัน
    พราหมณ์ทูลถามพระศาสดาว่า "ก็อุบายเครื่องป้องกันมีอยู่หรือ? พระเจ้าข้า."
    พระศาสดา. พึงมี พราหมณ์.
    พราหมณ์. พึงมีอย่างไร?
    พระศาสดา. ถ้าท่านพึงอาจเพื่อทำมณฑปใกล้ประตูเรือนของตน ให้ทำตั่งไว้ตรงกลางมณฑปนั้น แล้วปูอาสนะไว้ ๘ หรือ ๑๖ ที่ ล้อมรอบตั่งนั้น ให้สาวกของเรานั่งบนอาสนะเหล่านั้น ให้ทำพระปริตร ๗ วันไม่มีระหว่าง. อันตรายของเด็กนั้นพึงเสื่อมไป ด้วยอุบายอย่างนี้.
    พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์อาจทำมณฑปเป็นต้นได้. แต่จักได้สาวกของพระองค์อย่างไร?
    พระศาสดา. เมื่อท่านทำกิจเท่านี้แล้ว เราจักส่งสาวกของเราไป
    พราหมณ์ทูลรับว่า "ดีละ พระโคดมผู้เจริญ" แล้วทำกิจนั้นทั้งหมดใกล้ประตูเรือนของตนแล้ว ได้ไปยังสำนักของพระศาสดา.

    พวกภิกษุไปสวดพระปริตร
    พระศาสดาทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป. ภิกษุเหล่านั้นไปนั่งในมณฑปนั้น. พราหมณ์สามีภริยาให้เด็กนอนบนตั่งแล้ว. ภิกษุทั้งหลายสวดพระปริตร ๗ คืน ๗ วันไม่มีระหว่าง. ในวันที่ ๗ พระศาสดาเสด็จมาเอง.
    เมื่อพระศาสดานั้นเสด็จไปแล้ว. พวกเทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว.
    ก็อวรุทธกยักษ์ตนหนึ่งบำรุงท้าวเวสวัณ ๑๒ ปี เมื่อจะได้พรจากสำนักท้าวเวสวัณนั้น ได้กล่าวว่า "ในวันที่ ๗ จากวันนี้ ท่านพึงจับเอาเด็กนี้" เพราะฉะนั้น ยักษ์ตนนั้นจึงได้มายืนอยู่. ก็เมื่อพระศาสดาเสด็จไปในมณฑปนั้น เมื่อพวกเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน. พวกเทวดาผู้มีศักดิ์น้อยถดถอยไป ไม่ได้โอกาส หลีกไปตลอด ๑๒ โยชน์ ถึงอวรุทธกยักษ์ก็ได้หลีกไปยืนอย่างนั้นเหมือนกัน.

    เด็กพ้นอันตรายกลับมีอายุยืน
    แม้พระศาสดาได้ทรงทำพระปริตรตลอดคืนยังรุ่ง. เมื่อ ๗ วันล่วงแล้ว อวรุทธกยักษ์ไม่ได้เด็ก. ก็ในวันที่ ๘ เมื่ออรุณพอขึ้นเท่านั้น, สองสามีภรรยานำเด็กมาให้ถวายบังคมพระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า "ขอเจ้าจงมีอายุยืนเถิด."
    พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ก็เด็กจะดำรงอยู่นานเท่าไร?
    พระศาสดา. ๑๒๐ ปี พราหมณ์.
    ลำดับนั้น ๒ สามีภรรยาขนานนามเด็กนั้นว่า "อายุวัฒนกุมาร" อายุวัฒนกุมารนั้นเติบโตแล้ว อันอุบาสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเที่ยวไป.

    การกราบไหว้ท่านผู้มีคุณทำให้อายุยืน
    ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู ได้ยินว่า อายุวัฒนกุมารพึงตายในวันที่ ๗ บัดนี้ อายุวัฒนกุมารนั้น (ดำรงอยู่ ๑๒๐ ปี) อันอุบาสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเที่ยวไป เหตุเครื่องเจริญอายุของสัตว์เหล่านี้ เห็นจะมี."
    พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้"
    จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย อายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่, ก็สัตว์เหล่านี้ไหว้ท่านผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญด้วยเหตุ ๔ ประการ, พ้นจากอันตราย ดำรงอยู่จนตลอดอายุทีเดียว" ดังนี้แล้ว
    เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

    อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
    จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ.
    ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญแก่
    บุคคลผู้กราบไหว้เป็นปกติ ผู้อ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญ
    เป็นนิตย์.

    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิวาทนสีลิสฺส คือ ผู้ไหว้เป็นปกติ ได้แก่ผู้ขวนขวายกิจคือการไหว้เนืองๆ.
    บทว่า วุฑฺฒาปจายิโน ความว่า แก่คฤหัสถ์ผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ แม้ในภิกษุหนุ่มและสามเณรบวชในวันนั้น, ก็หรือแก่บรรพชิตผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ในท่านผู้แก่กว่าโดยบรรพชาหรือโดยอุป สมบท (หรือ) ในท่านผู้เจริญด้วยคุณ.
    สองบทว่า จตฺตาโร ธมฺมา ความว่า เมื่ออายุเจริญอยู่, อายุนั้นย่อมเจริญสิ้นกาลเท่าใด, ธรรมทั้งหลายแม้นอกนี้ ก็เจริญสิ้นกาลเท่านั้นเหมือนกัน ด้วยว่าผู้ใดทำกุศลที่ยังอายุ ๕๐ ปี ให้เป็นไป, อันตรายแห่งชีวิตของผู้นั้นพึงเกิดขึ้นแม้ในกาลมีอาย ุ ๒๕ ปี, อันตรายนั้นย่อมระงับเสียได้ ด้วยความเป็นผู้กราบไหว้เป็นปกติ. ผู้นั้นย่อมดำรงอยู่ได้จนตลอดอายุทีเดียว. แม้วรรณะเป็นต้นของผู้นั้น ย่อมเจริญพร้อมกับอายุแล.
    นัยแม้ยิ่งกว่านี้ ก็อย่างนี้แล.
    ก็ชื่อว่าการเจริญแห่งอายุ ที่เป็นไปโดยไม่มีอันตราย หามีไม่.
    ในเวลาจบเทศนา อายุวัฒนกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับอุบาสก ๕๐๐ แล้ว, แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

    เรื่องอายุวัฒนกุมาร จบ.
    --------------------------
    .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘
     
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านค่ะ

    เรื่องของพระยามาราธิราชหรือพญามาร
    โดย น้ำใส
    [​IMG]

    พระยามาราธิราช หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า พญามาร เป็นเทวดาฝ่ายมิจฉาทิฐิ หรือฝ่ายมารอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีสำหรับสวรรค์ชั้นนี้แบ่งออกทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ก็คือ ฝ่าย เทพกับฝ่าย มาร มีเขตแดนกั้นระหว่างกลาง ไม่มีการไปมาหาสู่กัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่บุกรุกล่วงล้ำดินแดนกัน สำหรับฝ่ายเทพ เทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ปกครองดูแลความเรียบร้อยและร่มเย็นเป็นสุข คือ ท้าวปรนิมิตเทวราช

    ส่วนฝ่ายมาร ก็มีผู้ปกครอง คือ ท้าวปรนิมตรสวัตตีมาราธิราชมีกายขาวคล้ายก้อนเมฆ ส่วนพญามารชั้นรอง ๆลงไปนั้นมีกายหม่นเป็นลำดับจนกระทั่งสีดำในที่สุด



    [​IMG]

    ในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงเรื่อง พญามารได้ลงมารังควานการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ หรือการบรรลุธรรมของพระสาวกทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมารก็ยังมาเกี่ยวข้องอีกหลายคราวจนถึงมาทูลอาราธนาให้ปรินิพพาน เราเคยศึกษาเรื่องราวของพญามารในด้านลบมามาก ลองมาดูด้านความดีของท่านบ้างในสมัยองค์สมเด็จพระพุทธกัสสะปะสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 3 ในภัทรกัปป์) ถึงกับยอมสละชีวิตตนเอง เพื่อการสร้างมหาทานบารมีนั้น


    อดีตชาติของพระยามาราธิราช
    เมื่อครั้งพระกัสสะปะได้เป็นพระพุทธเจ้า ในแผ่นดินมนุษย์ มาราธิราช เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินั้น ชื่อว่าโพธิอำมาตย์ เป็นอัครเสนาบดีของพระเจ้า กิงกิสสะมหาราชเป็นที่ใกล้ชิดและไว้วางพระทัยมาก พระราชาองค์นี้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเข้า นิโรธสมาบัติ ทรงเสวย วิมุตติสุข อยู่ครบ ๗วัน ภายใต้ต้นไทยใหญ่และใกล้ที่พระองค์จะออกจากนิโรธสมาบัตินั้นแล้วพระองค์จึงทรงพระดำริว่า ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการตัดหน้าเป็นอันขาดในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆหากผู้ใดได้ถวายทานก็จะบังเกิดเป็นผลานิสงส์ ผลบุญมากมายมหาศาลล้ำเลิศยิ่งกว่าอื่นใด บัดนี้เราจะเป็นผู้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนใครและมิให้ใครเกี่ยวข้องด้วย


    ครั้นแล้วองค์มหาราชจึงทรงประกาศให้ชาวเมืองได้รู้ทั่ว ๆ กันว่า ถ้าหากผู้ใดไปถวายทานก่อนพระองค์แล้วผู้นั้นจะต้องถูกลงอาญาในสถานหนักประกาศแล้วก็ให้ตั้งกองรักษาการณ์ในที่ใกล้ต้นไทรใหญ่นั้นฝ่ายโพธิอำมาตย์เสนาบดีถึงแม้จะทราบการประกาศของพระราชาก็ตามแต่ ก็ยังมีความพยายามอย่างแรงกล้าด้วยศรัทธาอันเที่ยงแท้ที่จะถวายทานแด่พระพุทธเจ้าโดยไม่เกรงกลัวพระอาญาและไม่กลัวว่าจะเป็นนักโทษประหาร

    ในวันรุ่งขึ้นเขาและภรรยาก็ถืออาหารที่เป็นไทยทานมาคนละห่อตรงเข้าไปยังบริเวณต้นไทรใหญ่ หมายที่จะเข้าไปถวายทานให้จงได้พวกทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็รีบออกมาห้ามปรามทันทีโดยมิยอมให้เสนาบดีได้เข้าไปในที่นั้นและด้วยใจเป็นห่วงเกรงว่าจะต้องถูกลงอาญาฝ่ายเสนาบดีคิดอยู่แต่ในใจว่าถ้าหากว่าเราจะเสแสร้งแกล้งบอกว่าพระราชาใช้ให้มาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จเข้าไปในวังเราก็จะไม่ถูกทหารเหล่านี้ขัดขวางอีกต่อไป แต่ข้อนั้นมันมิเป็นการบังควรที่เราจะต้องกล่าวเท็จเช่นนั้นเพราะว่าเราทั้งสองตั้งใจแน่วแล้วว่าจะต้องถวายทานแด่พระพุทธเจ้าให้จงได้ดังนั้นเราก็ควรจะกล่าวแต่ความเป็นจริงถึงแม้จะตายก็เอาเถิด

    เสนาบดีจึงบอกแก่เหล่าเสนาทหารนั้นว่าไม่ต้องห้ามเราหรอกเราจะเข้าไปถวายทานแด่พระพุทธองค์เพราะตั้งใจมาแล้วก็ต้องถวายให้จงได้ถึงแม้ว่าท่านจะห้ามอย่างไรก็ไม่ทำให้เราเปลี่ยนความตั้งใจนั้นได้แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะห้ามปรามสักเท่าใด เสนาบดีก็ไม่เปลี่ยนใจยังรักษาสัจจะที่จะต้องถวายทานแด่พระพุทธองค์ให้ได้โดยไม่กลัวอาญาใดๆทั้งสิ้นเหล่าเสนาต้องกรูกันเข้ามาจับตัวท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลังนำไปถวายพระราชาทันที เมื่อพระราชาทรงทราบว่าผู้รู้ทำเสียเองก็ทรงพระพิโรธยิ่ง ทรงรับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะในทันที
    ฝ่ายพระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ด้วยญาณทิพย์ของพระองค์ว่า โพธิเสนาบดีนั้นมีศรัทธาอย่างมากล้นต่อพระองค์ จึงทรงพระกรุณาเนรมิตเป็นพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ที่ในพระวิหารส่วนพระองค์ก็เสด็จไปในบานประหารปรากฏพระวรกายให้เห็นแต่เพียงส่วนตัวของเสนาบดีเท่านั้น
    ดูก่อนเสนาบดีท่านทำถูกต้องแล้วจงให้มีศรัทธามั่นด้วยเถิด อย่าได้อาลัยในชีวิตของท่านเลยเพราะเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ย่อมจะมีการแตกดับสลายตัวลงไปได้ทุกขณะแล้วไทยทานของท่านที่ตั้งใจนำมาจงถวายให้กับเราเถิด
    เสนาบดียิ่งได้สดับในถ้อยวาจาของพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงดำรัสมานั้นก็ยิ่งมีความปลาบปลื้มปิติเป็นล้นพ้นจนกระทั่งจับเข้าไปถึงขั้วหัวใจด้วยความซาบซึ้งจึงได้รีบนำเอาห่ออาหารของตนและของภรรยาน้อมเกล้าทูลถวายพระพุทธองค์ด้วยใจศรัทธาอย่างสุดซึ้งและแล้วก็กล่าวคำปรารถนาต่อพระพุทธองค์ไว้ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้ที่เป็นที่พึ่งของสรรพ!ชีวิตของข้าพเจ้าได้สละแล้วด้วยอำนาจแห่งผลบุญทานในครั้งนี้จงกลายเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตข้างหน้าด้วยเถิด
    พระกัสสปพุทธเจ้าทรงลูบศีรษะเสนาบดีด้วยความเมตตาและทรงพยากรณ์ในโชคชะตาและประสาทพรให้กับเสนาบดีอย่างดียิ่ง

    ท่านปรารถนาในสิ่งใดเล่า ขอให้สิ่งนั้นจงพลันสำเร็จเถิดสิ่งที่ท่านปรารถนานั้น ก็จะได้รับผลโดยสมบูรณ์สำเร็จได้โดยการอุบัติขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างเรา ในอนาคตเบื้องหน้าโน้นสมกับความตั้งใจที่มีจิตมุ่งมั่นในทุกประการ

    จากนั้นเสนาบดีก็ถูกเพชฌฆาตประหารชีวิต ตามคำบัญชาของพระราชาเมื่อวิญญาณออกจากร่าง พลันก็ได้ไปบังเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตชั่วระยะหนึ่งก็จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอยู่อย่างนี้อีกหลายชาติและมีจิตมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีทุกชาติไป
    กระทั่งในชาติที่มาเป็นพญามารในสวรรค์ชั้นที่ ๖นี้ก็เนื่องด้วยจากอำนาจแห่งบุญและกรรม ที่ได้ทำไว้นั้นมีก้ำกึ่งกันอยู่ด้วยการที่มีจิตริษยาในศาสนาของพระโคดมที่ได้เสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตนทั้ง ๆ ที่ตนได้กระทำกิจบำเพ็ญตนพากเพียรเสริมสร้างบารมีมาก่อน และก็มากมายเสียด้วยแต่ทำไมเล่าพระโคดมของเราจึงได้ตัดหน้าลงมาก่อนจึงมีจิตริษยาเฝ้าติดตามเป็นมารประจญด้วยอาการและกิริยาต่าง ๆ แต่มิได้เป็นบาปหนักเพราะไม่ได้ล่วงเกินแต่ประการใด ได้แต่เกะกะระราน ขัดขวางความสะดวกในด้านต่าง ๆแต่ละวิถีทางอยู่อย่างนั้นตลอดมา จนกระทั่งหลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จปรินิพพาน ผ่านไปแล้วได้ประมาณสัก ๒๐๐ปีเห็นจะได้ ก็ยังมีเรื่องราวของมารผู้นี้ขึ้นมาอีกจนได้

    เมื่อพระเจ้าธรรมาโศกราชกษัตริย์ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นชมภูทวีปพระองค์ทรงมีศรัทธาต้องการที่จะสร้างสถูปเจดีย์ใหญ่แห่งชมภูทวีปถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เป็นการชูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา เมื่อสร้างเสร็จก็จัดงานฉลองอย่างมโหฬารมีกำหนดงานนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ที่ได้ใช้ความสามารถและพากเพียรมาช้านาน

    ในงานนี้ยังกลัวว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมา จากพญามาราธิราชผู้ที่มีฤทธิ์เดชมากมายมหาศาลเนื่องด้วยยังมีจิตผูกพันในการิษยาอยู่อย่างมิรู้จักเลิกเพื่อที่จะขจัดขัดขวางมิยอมให้ศาสนาของพระพุทธโคดมนี้ มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
    พระเจ้าธรรมาโศกราช จึงต้องอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายให้ช่วยป้องกันความเดือนร้อนและอันตราย
    ในครั้งนี้ ที่จะเกิดมีขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพระสงฆ์ทั้งหลายก็ไม่มีอำนาจที่จะต้านทานไว้ได้จำจะต้องนิมนต์พระอุปคุตเถระแต่เพียงผู้เดียวที่จะปราบมารได้ ตามพระพุทธทำนาย

    โปรดติดตามเรื่องราวระหว่างพระอุปคุตเถระและพญามาร ใน link ต่อไปนี้..

    http://www.watcharathath.com/modules.php?name=News&file=article&sid=101&mode=thread&order=1&thold=0

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  14. Los Gatos

    Los Gatos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +85
    เท่าที่ทราบจากพระสุปฎิปันโนสองท่าน (ได้ฟังจากลูกศิษย์ไกล้ชิดอีกที)

    พระเจ้าปเสนธิโกศลท่านกำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ในปัจจุบันเป็นพระมหากษัติย์ของเราในตอนนี้นั่นเอง ท่านเป็นหน่อพุทธางกูรที่ได้รับการพยากรณ์แล้ว

    และอีกหลายท่านที่มีการพูดถึงว่าใครคือผู้ใดบ้าง แต่ดิฉันไม่ขอพูดมากไปกว่านี้

    ปล ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เพราะก็ฟังมาอีกที
     
  15. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เห็นด้วยครับ ลาไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นหนึ่งไม่เป็นสองแน่ ถ้าใครมีหลักฐานที่หลวงพ่อฤาษีเคยบอกว่าพระยามารลาพุทธภูมิ บอกผมหน่อย เท่าที่ผมอ่าน ตอนท่านไปพบกัน ก็ไม่เห็นจะพูดเรื่้องลาพุทธภูมิเลย
     
  16. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    คุณ lotte เดี๋ยวนี้หายไปไหน ผมอยากอ่านโครงการ big project ของท่านนะ
     
  17. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    ลาบ้าอะไร พระพุทธเจ้าทำนายแล้วจะลาอะไร สงสาร "ชาวพุทธ" อาจารย์ "เก่งๆ" เยอะเหลือเกิน
     
  18. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    ถ้าท่านไม่ได้เป็นแสดงว่าพระพุทธเจ้าทำนายผิดเหรอครับ คุณคิดว่าคนเมืองบัวกับพระพุทธเจ้าใครรู้จริงกว่ากัน อีกอย่างถ้าท่านไม่เป็นแล้วใครจะเป็นเหรอครับ "คนเมืองบัว" เป็นเหรอครับ :)
     
  19. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    กระทู้ไหนก็แล้วแต่ ไครก็แล้วแต่ ถ้าบอกว่านิตยโพธิสัตว์ สามารถลาได้คนนั้นมั่ว 100 เปอร์เซ็นต์ครับ
     
  20. Chumphon Chanjit

    Chumphon Chanjit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +390
    กะทู้นี้อ่านแล้วได้ความรู้เยอะเลย ดีจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...