พระพุทธเจ้าในพุทธศาสนา นิกายเถรวาทและมหายาน!!

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ทรัพย์พระฤาษี, 17 กันยายน 2008.

  1. ทรัพย์พระฤาษี

    ทรัพย์พระฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนามหายาน

    พระพุทธศาสนามหายาน ได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ อันเป็นผลของการรวมตัวกันของนิกายต่างๆ ในฝ่ายมหาสังฆิกะ ตั้งเป็นลัทธินิกายใหม่ เพื่อจะปรับปรุงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทันสมัยทันเหตุการณ์ สามารถที่จะแข่งขันกับศาสนาพราหมณ์และฮินดู ซึ่งเริ่มกลับมาเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง
    การปรับปรุงคำสอนของมหายานนั้น เป็นไปในสองแนว คือ แนวคิดที่ให้คนทุกคนปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ โดยมีพระบรมโพธิสัตว์เป็นที่พึ่ง และแนวแห่งการอธิบายพุทธธรรมโดยวิธีทางตรรกวิทยาและปรัชญา อันลึกซึ้งไพศาล

    ความหมายของพระพุทธเจ้า

    ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามหายานได้กล่าวถึงยาน ๓ ประการเพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้น อันได้แก่ สาวกยาน ปัจเจกยาน และโพธิสัตวยาน
    โดยที่สาวกยานหมายถึง ยานของพระสาวกที่มุ่งสู่อรหัตภูมิ ซึ่งรู้แจ้งในอริยสัจ ๔
    ปัจเจกยาน หมายถึง ยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งด้วยตนเอง แต่ไม่อาจแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่นได้
    โพธิสัตวยาน หมายถึง ยานของพระโพธิสัตว์ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง ประกอบด้วย พระมหากรุณาในสรรพสัตว์ ก้าวล่วงอรหัตภูมิ จึงกล่าวได้ว่าโพธิสัตวยานเป็นการสร้างเหตุอันมีพุทธภูมิเป็นผล หรือกล่าวได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในนิกายมหายานนั้นคือพระโพธิสัตว์ที่ได้สร้างบารมีมาด้วยการช่วยสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์นั่นเอง
    มหายานในยุคหลังได้แสดงไว้ว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถือกำเนิดมาจากองค์อาทิพุทธะซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ประถม และพระโพธิสัตว์ก็ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ก็ดี ย่อมเกิดจากพระอาทิพุทธเจาทั้งสิ้น

    ประเภทของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธศาสนามหายานได้แบ่งประเภทของพระพุทธเจ้ามหายานออกเป็น ๓ ประเภทคือ พระอาทิพุทธเจ้า พระฌานิพุทธเจ้า และพระมานุษิพุทธเจ้า
    พระอาทิพุทธเจ้านั้นหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ประถม เป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าอื่นๆ รวมทั้งพระโพธิสัตว์และสรรพสิ่งต่างๆ เป็นผู้เกิดเองไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
    พระฌานิพุทธเจ้า เกิดขึ้นจากอำนาจฌานของพระอาทิพุทธเจ้า เป็นอุปปาติกะ ไม่ต้องมีบิดามารดาผู้ให้กำเนิด พระฌานิพุทธเจ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ แต่สถิตอยู่ในแดนพุทธเกษตร
    พระมานุษิพุทธเจ้าคือ พระพุทธเจ้าที่เสด็จมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์
    ถ้าหากมองให้ลึกลงไปแล้วพบว่า พระอาทิพุทธเจ้า พระฌานิพุทธเจ้า และพระมานุษิพุทธเจ้า ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะต่างถือกำเนิดจากอาทิพุทธเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นการแปลงรูปให้เหมาะกับการสั่งสอนสัตว์โลกเท่านั้น

    ตรีกาย

    ในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมกล่าวถึงกายของพระพุทธเจ้าว่ามี ๒ คือ นิรมานกายและพระธรรมกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป มหายานได้พัฒนากายที่ ๓ ขึ้นมา เรียกว่า สัมโภคกาย ซึ่งเป็นกายทิพย์
    ๑. นิรมาณกาย คือ กายที่ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนมนุษย์ทั่วไป มหายานเชื่อว่า พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลกในสภาวะนิรมาณกายนี้ เพราะถูกเนรมิตจากสัมโภคกาย
    ๒. สัมโภคกาย คือกายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะที่เป็นทิพย์ อยู่ชั่วนิรันดร์กาล
    ๓. ธรรมกาย มหายานหมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะ เป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ด้วยอำนาจสัมผัส ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด
    กายทั้ง ๓ ของพระพุทธเจ้า ตามหลักสอนของมหายาน จึงมีความเป็นอันเดียวกัน แตกต่างกันเพียงสภาวะของการแสดงออก โดยนิรมาณกายนั้นเป็นการนิรมิตตน มาจากสัมโภคกาย และสัมโภคกายเป็นการนิรมิตตนมาจากธรรมกาย ถือว่าเป็นสภาวะอมตะนิรันดร และไม่อยู่ในการอธิบายใดๆ ทางโลกียวิสัย

    โพธิสัตวจริยาเพื่อการบรรลุพุทธภูมิ

    โพธสัตวจริยาเพื่อการบรรลุพุทธภูมิ หมายถึงทางดำเนินของพระโพธสัตว์ผู้ต้องการมุ่งต่อพุทธภูมิ โดยประพฤติตามหลักคำสอนที่เรียกว่า โพธสัตวมรรค มีดังนี้คือ
    ๑. บารมี ๖ หมายถึงคุณธรรมเป็นเหตุให้ถึงฝั่ง คือความสำเร็จต่างๆ ที่บุคคลได้ตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ คือ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยบารมี ฌานบารมี ปัญญาบารมี
    ๒. อัปปมัญญา ๔ คือการอบรมจิตให้มีคุณสมบัติอันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ทำให้คุณสมบัติเหล่านี้แผ่ไปในสรรพสัตว์ทั้งปวงไม่มีประมาณ
    ๓. มหาปณิธาน ๔ คือ ความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งพระโพธิสัตว์จะต้องมี คือ
    ๓.๑ เราจะต้องโปรดสัตว์ทั้งหลายให้หมดสิ้น
    ๓.๒ เราต้องทำลายกิเลสให้สิ้น
    ๓.๓ เราจะศึกษาพระธรรมทั้งหมดให้เจนจบ
    ๓.๔ เราจะต้องบรรลุพระพุทธภูมิให้จงได้
    ๔. คุณสมบัติ ๓ ประการคือ
    ๑. หลักมหาปัญญา เป็นผู้รู้แจ้งในสุญญตาทั้ง ๒ คือ บุคคลสุญญตาและธรรมสุญญตา พิจารณาเห็นความว่างในบุคคลและธรรม ไม่ตกอยู่ในอำนาจกิเลส
    ๒. หลักมหากรุณา คือ มีจิตใจกรุณาต่อสัตว์ไม่มีขอบเขต
    ๓. หลักมหาอุบาย คือต้องมีอุบายอันชาญฉลาด ในการแนะนำอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ให้เข้าถึงธรรม

    ประเภทของพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งสู่พุทธภูมิ

    คำว่า
     
  2. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
     
  3. วุ่นวือ

    วุ่นวือ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +11
    อนุโมทนานะ ครับ ที่นำสิ่งดีๆ มาฝากไม่ว่าจะนับถือนิกายไหน ต้นกำเนิดที่แท้จริงก็มาจากองค์พระพุทธเจ้า ที่ได้เผยแผ่หลังธรรมเพื่อนมนุษย์ที่มีกิเลจตัณหาทุกคน ให้หลุดพ้นจากบ่วงขอกิเลจ หลักธรรมของทุกนิกายจึงสอนให้ทุกคนกระทำดีละเว้นความชั่ว
     
  4. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    นะโมอามิตตาพุทธ
    阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛阿弥陀佛保佑我的全家和身边的朋友们

    อนุโมทนา


    <O:p

     
  5. G@cKt

    G@cKt Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +94
    พุทธศาสนาไม่ว่าจะนิกายใดๆ อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างตรงพิธีกรรม ซึ่งมีรากฐานจากความแตกต่างทางด้านวิถีชีวิต สภาพภูมิประเทศ หรือความเชื่อดั้งเดิม

    แต่อย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาทุกนิกายต่างมีแก่นสาระสำคัญสูงสุดที่เหมือนกัน คือ นิพพาน

    เราทุกคนในฐานะที่ๆได้ขึ้นชื่อเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว เราควรมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน มีใจรวมเป็นหนึ่ง เพื่อดำรงสืบทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่กับโลกเราไปตราบนานเท่านาน

    อนุโมทนาคับ อามีทอฟอ
     
  6. ทรัพย์พระฤาษี

    ทรัพย์พระฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    เปรียบเทียบแนวความคิดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

    ในพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน



    สำหรับในหัวข้อนี้จะได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวความคิดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าของทั้งสองนิกายในแง่มุมต่าง ๆ โดยจะเน้นเปรียบเทียบหลัก ๕ ประเด็นหลัก คือประเด็นที่เกี่ยวกับประเภท จำนวน การสร้างบางมี เรื่องกาย และเรื่องพุทธภาวะหลังปรินิพพาน ซึ่งจะได้สรุปแนวความคิดในแต่ละประเด็นของแต่ละนิกาย แล้วทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างในประเด็นนั้น ๆ ไปตามลำดับ
    ๑. การเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องประเภทของพระพุทธเจ้า
    พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีแนวความคิดในเรื่องประเภทของพระพุทธเจ้าอยู่ว่า พระพุทธเจ้านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ตามระยะเวลาของการสร้างบารมี ระดับของปัญญา ศรัทธาและความเพรียรของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์โดยที่
    พระพุทธเจ้าประเภทแรกเรียกว่า พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาในการสร้างบารมีอยู่ ๒๐ อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป เป็นพระพุทธเจ้าประเภทที่มีปัญญาแก่กล้าแต่มีศรัทธาน้อย
    ประเภทที่ ๒ เรียกว่า พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาในการสร้างบารมีอยู่ ๔๐ อสงไขยอีกหนึ่งแสนมหากัป เป้นพระพุทธเจ้าประเภทที่มีศรัทธาแก่กล้าและมีปัญญาปานกลาง
    และในประเภทที่ ๓ เรียกว่าพระวิริยาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาในการสร้างบารมีอยู่ ๘๐ อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป เป็นพระพุทธเจ้าประเภทที่มีความเพียรแก่กล้าแต่มีปัญญาน้อย
    พระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีแนวความคิดในเรื่องประเภทของพระพุทธเจ้าอยู่ว่า พระพุทธเจ้านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ตามสภาวะแห่งการเกิดขึ้น เพื่อความเหมาะสมของการสั่งสอนเวไนยสัตว์ โดยที่
    พระพุทธเจ้าประเภทแรกเรียกว่า พระอาทิพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เกิดขึ้นมาเองก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด จะหาเบื้องต้นและเบื้องปลายมิได้ เป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าประเภทอื่น ๆ ทั้งหมด เป็นผู้ให้กำเนิดพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งมวลที่บังเกิดมีอยู่ในสากลจักรวาลนี้
    ส่วนประเภทที่ ๒ เรียกว่า พระฌานิพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เกิดมาจากอำนาจฌานของพระอาทิพุทธเจ้า ทำหน้าที่โปรดเวไนยสัตว์และปกครองดินแดนที่ชื่อว่า พุทธเกษตร
    และในประเภทที่ ๓ เรียกว่า พระมานุษิพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ถือกำเนิดมาจาพระฌานิพุทธเจ้า โดยแสดงตนออกมาในรูปของมนุษย์ธรรมดาและอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายในเร่งปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท
    ๒. การเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องจำนวนของพระพุทธเจ้า
    พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีแนวความคิดในเรื่องจำนวนของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมานั้น มีมากมายยิ่งนัก จนกระทั่งมีคำอุปมาไว้ว่า มีมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรทั้งสี่ คือมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะนับประมาณได้ แนวความคิดเรื่องจำนวนของพระพุทธเจ้าในฝ่ายเถรวาทดังกล่าวนี้ เป็นแนวความอันชัดเจน หลักฐานยืนยันอยู่ในคัมภีร์หลายแห่ง
    พระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีแนวความคิดในเรื่องจำนวนของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้านั้นมีอยู่เป็นจำนวนมากจนไม่อาจจะคิดคำนวณได้ เปรียบประดุจจำนวนเม็ดทรายในคงคานที อันใคร ๆ ไม่อาจจะคิดคำนวณเป็นปริมาณเม็ดได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าเหล่านี้ สถิตอยู่ ณ พุทธเกษตรในทิศต่าง ๆ แม้ปัจจุบันก็ยังทำหน้าที่สั่งสอนสรรพสัตว์อยู่ตลอดเวลา
    ๓. การเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องการสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
    พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีแนวความคิดเรื่องการสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า สรุปได้ว่า บุคคลผู้จะเป็นพุทธเจ้าจะต้องสร้างสมบุญบารมี ตามหมวดธรรมที่เรียกว่า พุทธการกธรรมหรือบารมี จนครบถ้วนเต็มบริบูรณ์ทั้ง ๓๐ ประการ ซึ่งระยะเวลาระหว่างการสร้างบารมีเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น ๓ ขั้นตอน คือ
    ๑. ขั้นตอนที่คิดปรารถนาพุทธภูมิ แต่ยังมิได้เปล่งวาจา
    ๒. ขั้นตอนของการสร้างบารมีพร้อมด้วยการเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ แต่ยังมิได้รับพุทธพยากรณ์
    ๓. และขั้นตอนตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จนถึงการสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อบุคคลใดสร้างสมบารมีจนครบ ๓๐ ทัศ อันประกอบด้วยขั้นตอนทั้ง ๓ โดยบริบูรณ์แล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงพุทธภูมิบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
    พระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีแนวความคิดเรื่องการสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า สรุปได้ว่า บุคคลผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องดำเนินวิถีชีวิตตามหลักคำสอนที่เรียกว่า โพธิสัตวมรรค อันประกอบด้วยบารมี ๖ อัปปมัญญา ๔ มหาปณิธาน ๔ และคุณสมบัติ ๓ ซึ่งการที่ฝึกฝนอบรมให้คุณธรรมเหล่านี้มีวามเต็มเปี่ยมนั้น จะต้องใช้ความเพียรและความอดทนอย่างยิ่งยวด เป็นระยะเวลาอันยาวนาน เมื่อบารมีอันเกิดจาการปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่พุทธภาวะเป็นพระพุทธเจ้า
    ๔. การเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องกายของพระพุทธเจ้า
    พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีแนวความคิดในเรื่องกายของพระพุทธเจ้าว่า กายของพระพุทธเจ้านั้นแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท
    ๑. เรียกว่า นิรมาณกาย หมายถึง ส่วนที่เป็นกายมนุษย์ธรรมดา ซึ่งยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ สามารถสูญสลายไปเมื่อถึงกาลอันควร
    ๒. เรียกว่า กายธรรมหรือธรรมกาย หมายถึงคุณธรรมหรือพระธรรมคำสอนแห่งองค์พระพุทธเจ้า ซึ่งกายในส่วนนี้ ย่อมไม่มีวันสูญสลายไปเมื่อใดที่พุทธศาสนิกชนประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ ย่อมสามารถที่จะสัมผัสกับพระกายในส่วนนี้ได้ตลอดไป
    พระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีแนวความคิดในเรื่องกายของพระพุทธเจ้าว่ากายของพระพุทธเจ้านั้น แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
    ประเภทแรก นิรมาณกาย หมายถึงกายของพระพุทธเจ้า ที่ยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ ยังมีการเกิด แก่ เจ็บและตายเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป นิรมาณกายนี้มหายานเชื่อว่า เป็นการเนรมิตขึ้นมาจากสัมโภคกาย เพื่อเป็นอุบายในการสั่งสอนสัตว์โลก
    ประเภทที่ ๒ คือ สัมโภคกาย หมายถึง กายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า กายนี้จะไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะที่เป็นทิพย์ชั่วนิรันดร์สามารถแสดงตนให้ปรากฏแพระโพธิสัตว์ได้ และสามารถรับรู้คำอ้อนวอนสรรเสริญจากผู้ที่เลื่อมใสได้ สัมโภคกายนี้เองที่เนรมิตตนลงมาเป็นนิรมาณกายในโลกมนุษย์เพื่อการสั่งสอน ดังนั้น แม้ในปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าที่เคยอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ทุก ๆ พระองค์ ก็ยังดำรงอยู่ในสภาวะแห่งสัมโภคกายนี้มิได้สูญหายไปไหน
    ส่วนกายประเภทที่ ๓ ก็คือ ธรรมกาย อันหมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะเป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ทั้งไม่มีจุดกำเนิดและผู้สร้าง ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง แม้จักรวาลจะว่างเปล่าปราศจากทุกสิ่ง แต่ธรรมกายจะยังดำรงอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด มหายานชื่อว่า ธรรมกายนี้เองที่แสดงตนออกมาในรูปของสัมโภคกายบนภาคพื้นสวรรค์ และสัมโภคกายก็จะแสดงตนออกมาในรูปของนิรมาณกายทำหน้าที่สั่งสอนสรรสัตว์ในโลกมนุษย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...