จุดหมาย...สุดท้าย พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยาราม

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 22 กันยายน 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">
    จุดหมาย...สุดท้าย พระทองคำไตรมิตร

    [22 ก.ย. 51 - 21:39]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]



    วันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2551 เวลา 17.30 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ


    ทรงเป็นประธานในพิธีถอดพระเกตุมาลาพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยาราม ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปประดิษฐานยังพระมหามณฑป

    “ระยะทางระหว่างวิหารหลังเดิม กับพระมหามณฑป 80 เมตร...ถึงจะสั้น แต่การเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำ ต้องไม่มีความเสี่ยงแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว”

    ภิญโญ หาญศีลวัตร กรรมการการเคลื่อนย้ายองค์พระ ฝ่ายเทคนิค บอกขั้นตอนการทำงานมี 2 ช่วง หลักๆ คือ เตรียมงาน กับการเคลื่อนย้าย

    ภิญโญ บอกว่า หลวงพ่อทองคำ สุโขทัยอายุ 700 ปี ถือว่าค่อนข้างหนักมาก ความบอบบางจากเนื้อที่เป็นทองคำ ผนวกกับองค์พระมีส่วนประกอบทั้งหมด 9 ชิ้น ก่อนย้ายต้องใช้เทคนิคเข้าเฟรม เข้ากรอบทุกส่วนเอาไว้ เพื่อไม่ให้เคลื่อน ขยับได้

    “องค์หลวงพ่อทองคำ จะหุ้มด้วยพลาสติก พันผ้าดิบ พอกปูนปลาสเตอร์ จากนั้นจะฉีดโฟมหุ้มองค์พระอีกชั้นหนึ่ง”

    การเคลื่อนย้ายจะผ่านรางเกือบทั้งหมด จุดไหนจะต้องยกขึ้นลงก็จะใช้เครนไฮดรอลิก 100 ตัน กับ 200 ตัน
    เครน 100 ตัน ตัวแรก...เผื่อเอาไว้รับน้ำหนักองค์พระรวมกับเฟรมหุ้มทั้งหมด คงไม่เกิน 20 ตันแน่ๆ ขณะที่เครน 200 ตัน เผื่อเอาไว้รับน้ำหนักองค์พระเพื่อยกขึ้นจากพื้น ที่รวมความสูงองค์พระ บวกกับจังหวะยกเข้าประตูพระมหามณฑป

    “เครนขนาดใหญ่เวลาการเคลื่อนที่ ค่อนข้างนิ่มนวล...จะไม่แกว่ง”

    เหตุผลสำคัญที่ใช้ราง ไม่ใช่รถเทรลเลอร์ ก็เพื่อลดความเสี่ยง ไม่ให้ องค์พระได้รับการกระทบกระเทือน เพราะหากใช้รถยก อาจจะเกิดการแกว่ง ทำให้องค์พระขยับได้
    ตามเทคนิค ระบบรางรับน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน ขณะที่หลวงพ่อทองคำหนัก 5 ตัน...เผื่อไว้ถึง 4 เท่าตัว
    จุดเริ่มเคลื่อนย้าย...จะใช้ไฮดรอลิก ยกองค์พระจากฐานเดิมลงสู่ราง เคลื่อนผ่านออกมาทางด้านหน้าวิหารหลังเก่า เข้าไปด้านหน้ามหามณฑปหลังใหม่ จากนั้นก็ใช้ไฮดรอลิกยกขึ้นวางขนานกับฐาน แล้วใช้เครนยกเข้าสู่ฐานอีกทอดหนึ่ง

    ระบบทั้งหมดนี้ จะเสร็จในวันที่ 21 ตุลาคม เพื่อส่งงานต่อให้ผู้ควบคุมงาน วันที่ 23 ตุลาคม จะเริ่มเคลื่อนย้ายจริงตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อให้องค์พระไปถึงมณฑปภายในช่วงเย็น
    “หลวงพ่อทองคำ เคลื่อนถึงหน้าประตูพระมหามณฑปแล้ว จะยกขึ้นจากรางขึ้นสู่ฐานใหม่ได้ ยังต้องใช้เวลาอีกเกือบ 1 อาทิตย์...เกือบสิ้นเดือนตุลาคม จึงจะวางหลวงพ่อทองคำบนฐานได้อย่างสมบูรณ์”

    ภิญโญ ย้ำว่า นอกจากความผิดพลาดที่จะต้องไม่เกิดขึ้น ยังต้องมีรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง

    มูลค่าหลวงพ่อทองคำมหาศาล ด้วยน้ำหนัก 5,500 กิโลกรัม ในการเคลื่อนย้ายครั้งนี้ มีการประเมินราคาประกันภัย เป็นวงเงิน 5,000 ล้านบาท

    ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมาย ระยะทางแค่ 80 เมตร ยังใช้ เวลาเตรียมการนานหลายเดือน เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต...จึงถือว่าน่าทึ่งมากทีเดียว

    “เดิมที...องค์หลวงพ่อทองคำ หุ้มปูนเอาไว้ อาจมีน้ำหนักมากถึง 8-9 ตัน เชื่อมั่นว่าไม่มีการถอดแยกชิ้นมาแน่นอน...ล่องแพตามน้ำมาถึงพระนครก็ชักลากขึ้นฝั่ง มาตั้งไว้ที่วิหารในวัด”

    ทัศนะของภิญโญ เทคโนโลยีสมัยหลายร้อยปีก่อน การเคลื่อนย้ายแนวราบน่าจะใช้ไม้สอด ชักลากมาเรื่อยๆ หากจะยกขึ้นลงที่สูง ไม่มีเครน ก็ใช้ระบบรอก

    ตามบันทึกในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่สอง กล่าวถึงพระพุทธรูปทองคำว่า...

    “กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทองมีมีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันรวม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม...”

    กลางเมืองสุโขทัยที่ปรากฏในจารึกหมายถึงวัดมหาธาตุ เป็นศูนย์กลางทางศาสนา สังคมของสุโขทัยในอดีต โดยเฉพาะศาสนามีความรุ่งเรืองมากในสมัยพระยาลิไท
    พระเทพภาวนาวิกรม เจ้าคุณธงชัย รองเจ้าอาวาส วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร (วัดสามจีน) เขตสัมพันธวงศ์ บอกว่า กลางกรุงสุโขทัยทุกวันนี้ แท่นฐานที่วางพระพุทธรูปยังมีอยู่ เห็นเป็นซาก พอดีกับพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ เหมือนเป็นพระพุทธรูปคู่บารมีพระมหากษัตริย์ยุคสุโขทัย
    การเคลื่อนย้ายจากสุโขทัยมาถึงพระนคร จึงมีทางเดียวคือ ใส่แพล่องมาตามลำน้ำเจ้าพระยา ขึ้นบกที่วัดพระยาไกร

    ผ่านหลายยุคสมัย วัดพระยาไกรกลายเป็นวัดร้าง เหลือพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ กว้าง 6 ศอก สูง 7 ศอก กับพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ซึ่งนำไปประดิษฐาน ที่วัดไผ่เงินโชตินาราม

    ช่วงที่บริษัทอิสท์เอเซียติกได้มาเช่าที่ทำกิจการ ได้จัดรถบรรทุกคันใหญ่อัญเชิญพระพุทธรูปปูนปั้นมาไว้ที่วัดสามจีนเดิม หรือวัดไตรมิตร

    ขณะเดินทาง...ผ่านสายโทรศัพท์ สายไฟฟ้า รถราง ก็ต้องเอาไม้ค้ำให้สูง เพื่อให้พ้นพระเกตุมาลา ถึงที่หมายได้อย่างไม่มีอุปสรรค การอัญเชิญลงจากรถก็สะดวก ปราศจากการกระทบกระแทก

    ขณะนั้นโบสถ์ วิหารที่มีอยู่ก็เก่าแก่ จะพังมิพังแหล่ จึงอัญเชิญพระปูนปั้นให้ไปประดิษฐานอยู่ข้างเจดีย์เก่าโบราณ มีเพียงเพิงมุงสังกะสีกันแดดฝน

    ครั้งนี้...นับเป็นการเดินทางครั้งที่สองของหลวงพ่อทองคำ

    หลายครั้งหลายครา...หลายวัดได้รับอนุญาตให้นำพระปูนองค์นี้ไปเป็นพระประธาน แต่ก็มีเหตุให้ติดขัดทุกครั้งไป
    วัดช่อแฮ จังหวัดแพร่ ท่านเจ้าคุณพระวีรธรรมมุนี (ไสว ฐิตวีโร) ขอแล้ว แต่ก็ติดขัดไม่สามารถอัญเชิญไปได้...
    บางรายขัดข้อง ขาดแคลนพาหนะที่จะนำไป บางรายพร้อมที่จะนำไป แต่เมื่อวัดขนาดองค์พระ เทียบความสูงสะพานรถไฟก็ต้องยกเลิกไป เพราะนำไปไม่ได้
    วัดบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ตกลงให้กันแล้ว ฝ่ายวัดบ้านบึงมาดูองค์พระ ก็ติว่า... “ท่าน ไม่งาม” ไม่สมกับเป็นพระประธาน เปลี่ยนใจ...ไม่เอา

    วันเวลาผ่านไปนาน 20 ปี...เรือนรับรองแขกเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรกำลังก่อสร้าง ก็คิดกันว่า เมื่อไม่มีใครเอาพระปูน ก็จะย้ายขึ้นประดิษฐานไว้ที่นี่

    การเคลื่อนย้ายพระปูนปั้นตอนนั้น มีน้ำหนักหนักกว่าพระทองคำไม่ใช่น้อย แนวราบใช้เทคนิคเคลื่อนไหลไปตามท่อเหล็ก วางรองใต้องค์พระแล้วก็ดันกันมาทีละนิดๆ...ท่อที่ผ่านไปแล้ว ก็เอามาใส่ต่อด้านหน้าไปเรื่อยๆ

    วันที่ 25 พฤษภาคม 2498 ฤกษ์ขนย้ายกันแบบชาววัด...ชาวบ้าน กว่าพระปูนปั้นจะถึงประตูเรือนรับรองก็บ่ายเย็น

    ถึงขั้นที่จะยกขึ้นไปไว้บนชั้นสอง มีการบอกกล่าวขอขมาโทษ ที่อาจจะล่วงเกินหลวงพ่อบ้าง เพราะเป็นของใหญ่...ของหนัก กล่าวเสร็จ นายช่างก็ใช้เชือกโอบรอบองค์พระสอดใต้ฐานทับเกษตร รวบเชือกเป็นสาแหรกขึ้นไปเบื้องพระเศียร ติดรอก และขอสำหรับกว้าน

    ปรากฏว่า ไม่ทันยกได้คืบ เชือกก็ขาด...เหนื่อยกันมาทั้งวัน แถมโพล้เพล้แล้ว เป็นอันว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

    คืนนั้น...ฝนตกทั้งคืน ท่านเจ้าคุณวีรธรรมมุนี เจ้าอาวาสนิมิตว่า มีกุลสตรีโบราณสูงศักดิ์ แต่งกายราวกับนางกษัตริย์สมัยโบราณ ประคองพานใส่สังวาลย์ เพชรมาถวาย

    “ท่านก็บอกไปว่า ของดีมีค่าสงฆ์ไม่ควรรับ แต่สตรีนางนั้นก็บอกว่าให้รับไว้ ต่อไปในภายภาคหน้าสังวาลย์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อวัดไตรมิตร”

    เจ้าอาวาสตกใจตื่น นึกขึ้นว่าการได้ของดีในฝันจะเป็นนิมิตไปเกี่ยวกับพระปูนที่พยายามขนย้ายกันเมื่อกลางวันหรือเปล่า

    รุ่งเช้า...ไปดูองค์พระ ปรากฏว่ามีรอยร้าวของปูน เนื้อลึกข้างในเป็นทองปิดด้วยรัก การเดินทางครั้งที่สามของหลวงพ่อปูนปั้น จึงเป็นจุดกำเนิดของหลวงพ่อทองคำ สุโขทัย วัดไตรมิตร

    อีกไม่กี่วันนี้ หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร จะเคลื่อนย้ายอีกครั้ง จุดหมาย...

    พระมหามณฑป ที่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกคน

    เจ้าคุณธงชัย บอกว่า มหามณฑปสร้างขึ้นเพื่อถวายในหลวง เกิดในสมัยรัชกาลที่ 9 ยุคสมัยที่พระมหากษัตริย์ครองราชย์นานที่สุดในโลก ไม่เฉพาะบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ไทย...คุณค่ามหามณฑปพระทองคำยังถือเป็นมรดกโลก

    แม้ว่าจะเป็นระยะทางสั้นๆ...เพียง 80 เมตร แต่เชื่อมั่นได้ว่า จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อทองคำ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=104955
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2008
  2. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    "วัดไตรมิตร"
    งามวิจิตรหลวงพ่อทองคำ




    [​IMG]

    หลวงพ่อทองคำ หรือพระพุทธสุวรรณปฏิมากร


    ถนนเยาวราชนั้น ได้ชื่อว่าเป็น "ถนนสายมังกร" โดยส่วนหัวของมังกรนั้นอยู่ที่บริเวณ"วงเวียนโอเดียน" หรือ "ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ" ท้องมังกรก็อยู่ในบริเวณที่ช่วงกลางๆของถนนที่เต็มไปด้วยร้านทอง และร้านอาหารสารพัดอย่าง ส่วนหางมังกรนั้นก็อยู่บริเวณสุดถนนเยาวราชใกล้กับสี่แยกวัดตึก

    "วัดไตรมิตรวิทยาราม" พระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ถือเป็นวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนหัวของมังกร เดิมเป็นวัดโบราณชื่อว่า "วัดสามจีน" เนื่องจากเชื่อว่าผู้ที่สร้างวัดเป็นชาวจีนกลุ่มแรกๆที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทย ในจำนวนนั้นมีชาวจีน 3 คนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวยเป็นเจ้าสัว มีจิตศรัทธาร่วมใจกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น จึงเรียกว่าวัดสามจีน แต่ภายหลังจากที่มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ วัดสามจีนก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดไตรมิตรวิทยารามอย่างในปัจจุบัน​


    [​IMG]
    แบบจำลองพระมหามณฑปหลังจากสร้างเสร็จสมบูรณ์ ​


    ภายในวัดมีพระอุโบสถที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2490 แทนพระอุโบสถเดิมที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากระเบิดเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพระอุโบสถทรงจัตุรมุข หลังคาสามชั้น มีชานรอบพระอุโบสถ บานประตู หน้าต่างเขียนลายรดน้ำสวยงาม ภายในประดิษฐาน "พระพุทธทศพลญาณ" พระประธานของวัดไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ปูนปั้นลงรักปิดทอง

    แต่พระพุทธรูปที่โดดเด่นของวัดไตรมิตรฯ ที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างก็มีความศรัทธาชื่นชมนั้น ก็คือ "หลวงพ่อทองคำ" หรือ "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" พระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระวิหารของวัด หลวงพ่อทองคำนั้นมีความสำคัญตรงที่เป็นพระพุทธรูปทองคำองค์แรกของไทยที่ได้รับการบันทึกไว้ใน The Guinness Book of World Record ปีค.ศ.1991 ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยขนาดขององค์พระนั้นมีขนาดหน้าตักกว้าง 6 ศอก 5 นิ้ว หรือมากกว่า 2.50 เมตร ความสูงจากพระเกตุมาลาถึงฐานทับเกษตร (ฐานที่รองรับพระพุทธรูป) 7 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว หรือประมาณ 3.04 เมตร 10 ฟุต น้ำหนักประมาณ 5.5 ตัน และที่สำคัญคือสร้างด้วยทองคำแท้ มีมูลค่าสูงกว่า 21 ล้านปอนด์ ตามที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือกินเนสส์บุ๊ค เมื่อปี พ.ศ.2533 มาจนถึงตอนนี้เมื่อราคาทองพุ่งกระฉูด ฉันเชื่อว่ามูลค่าย่อมสูงขึ้นกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่า

    [​IMG]
    พระอุโบสถวัดไตรมิตร ​


    เชื่อกันว่าหลวงพ่อทองคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุกลางเมืองสุโขทัย แต่เมื่ออาณาจักรเสื่อมอำนาจลง ชาวเมืองจึงได้ลงรักและพอกปูนทับเนื้อทองคำขององค์พระพุทธรูปไว้ให้รอดพ้นจากข้าศึกศัตรู ทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีเนื้อแท้เป็นทองคำ

    เวลาผ่านมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระพุทธรูปจากหัวเมืองมาประดิษฐานยังกรุงเทพมหานคร หลวงพ่อทองคำที่ถูกปูนพอกไว้ทั้งองค์ก็ถูกอัญเชิญมาด้วยเช่นกัน โดยตอนแรกได้ไปประดิษฐานอยู่ที่วัดพระยาไกรอยู่นาน จนเมื่อปี พ.ศ.2478 จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดไตรมิตรวิทยารามซึ่งในขณะนั้นชื่อว่าวัดสามจีน​


    [​IMG]
    พระพุทธทศพลญาณ พระประธานในพระอุโบสถ ​


    กว่าที่คนทั่วไปจะได้รู้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นทองคำก็ต่อมาอีก 20 ปี เมื่อมีการประกอบพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานบนพระวิหาร ก็ได้เกิดอุบัติเหตุเชือกที่ยกองค์พระขาดลง ทำให้พระพุทธรูปตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรงจนปูนที่พอกไว้กะเทาะออกบางส่วน และเมื่อกะเทาะปูนและล้างรักออก ทุกคนจึงได้ทราบว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปทองคำสุกปลั่ง อีกทั้งที่ใต้ฐานพระยังพบกุญแจที่ใช้ไของค์พระแยกออกเป็นส่วนๆ รวม 9 ส่วน ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายองค์พระได้อย่างสะดวกราบรื่นขึ้น

    และจากเหตุการณ์นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ว่า "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" ตามลักษณะของพระพุทธรูป แต่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระองค์นี้ว่า "หลวงพ่อทองคำ" มาจนปัจจุบัน​


    [​IMG]
    พระมหามณฑปที่กำลังก่อสร้าง ​


    หากใครได้เคยมีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อทองคำในวิหารอาจจะมีคนรู้สึกเหมือนกับฉันว่า วิหารหลังนี้คับแคบเกินไปเสียแล้ว เพราะนอกจากพุทธศาสนิกชนไทยที่ศรัทธาจะมากราบไหว้หลวงพ่อทองแล้ว ก็ยังมีพุทธศาสนิกชนต่างชาติ และนักท่องเที่ยวอีกหลากหลายเชื้อชาติให้ความสนใจมากราบไหว้และเยี่ยมชมที่วัดไตรมิตรกันมากมาย เมื่อคนมากแต่พื้นที่แคบทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงพากันยืนออถ่ายภาพอยู่หน้าพระพุทธรูปกันเต็มไปหมด คนเข้ามาทีหลังแทบจะมองไม่เห็นอะไร เป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไรนัก ส่วนคนไทยอย่างฉันแทบจะหาที่กราบพระไม่ได้ ต้องรอจนคนซาเสียก่อนจึงจะมีพื้นที่

    แต่ในขณะนี้หลวงพ่อทองก็กำลังจะได้ประดิษฐานอยู่ในสถานที่ใหม่ที่สมเกียรติของท่าน เพราะประชาคมนักธุรกิจเขตสัมพันธวงศ์ ชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ร่วมกับวัดไตรมิตรฯ กำลังสร้างพระมหามณฑปองค์ใหม่เพื่อประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี พ.ศ.2549 และทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษาในปี พ.ศ.2550 และในขณะนี้การก่อสร้างก็กำลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม หรือปลายปีนี้นั่นเอง​


    [​IMG]
    บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ ​


    ฉันได้เห็นแบบจำลองพระมหามณฑปหลังใหม่นี้แล้ว ต้องบอกว่าดูงดงามเป็นอย่างมาก โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นก็เป็นแบบไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนยอดพระมณฑปเป็นรูปทรงจตุรมุข ประดับด้วยตราสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ตัวอาคารพระมหามณฑปเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนบุด้วยหินอ่อน มีขนาดความกว้าง 30 เมตร สูง 60 เมตร ภายในแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ชั้นด้วยกัน ชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ และเป็นลานประทักษิณไว้สำหรับประกอบศาสนกิจต่างๆ ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 จะใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน จัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ในย่านเยาวราช เช่นเรื่องของชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ แต่ภายหลังกลายเป็นเจ้าสัว ส่วนพื้นที่ชั้นล่างสุดก็จะใช้เป็นลานจอดรถ

    ตอนนี้หลายคนก็กำลังรอให้พระมหามณฑปองค์นี้สร้างเสร็จไวๆ เพื่อจะได้ชื่นชมความงามอันเหมาะเจาะกับหลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปสำคัญของไทย และมีความสำคัญระดับโลกองค์นี้ ซึ่งอีกไม่นานเกินรอพระมหามณฑปก็จะเสร็จสมบูรณ์ เป็นสง่าราศีบนถนนสายมังกรนี้ต่อไป​

    [​IMG]

    ภายในวัดมีร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย


    * * * * * * * * * * * * * * * * ​

    วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่ 661 ถนนตรีมิตร แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100 ใกล้กับวงเวียนโอเดียน การเดินทาง สามารถมาทางรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ไปยังสถานีหัวลำโพง แล้วเดินต่อมาทางถนนตรีมิตร หรือจะขึ้นรถประจำทางสาย 4, 53 มาลงที่วัดไตรมิตรวิทยารามก็ได้ หากนำรถยนต์ไปเอง สามารถจอดรถได้ที่บริเวณวัด สอบถามรายละเอียดได้ที่โทรศัพท์ 0-2222-7470​

    http://www.soonphra.com/board/index.php?showtopic=80346
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. AddWassana

    AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,186
    ขออนุโมทนากับงานบุญมหากุศลนี้ค่ะ ถ้ามีโอกาสคงได้ไปสักการะอีกครั้ง
     
  4. ริมน้ำไนล์

    ริมน้ำไนล์ ริมน้ำไนล์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +34
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
    มหามณฑปสร้างขึ้นเพื่อถวายในหลวง เกิดในสมัยรัชกาลที่ 9 ยุคสมัยที่พระมหากษัตริย์ครองราชย์นานที่สุดในโลก ไม่เฉพาะบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ไทย...คุณค่ามหามณฑปพระทองคำยังถือเป็นมรดกโลก
     
  5. vilawan

    vilawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,432
    อนุโมทนาคะ ชวนเชิญทุกท่านไปกราบและชมบารมีท่านคะ งดงามสุดบรรยาย
     
  6. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบุญสร้างวิหารทาน
    สาธุ
    สาธุ
    สาธุ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. พระจันทร์ยิ้ม

    พระจันทร์ยิ้ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    ขออนุโมทนากับบุญกุศลที่ครั้งนี้ ตลอดจนข้อมูลประวัติของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรหรือพระทองคำไตรมิตร เนื่องจากสนใจอยากทราบประวัติของท่านอยู่ เพราะได้รับวัตถุมงคลเนื้อผงเป็นรูปพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรลักษณะลอยองค์ (เพิ่งเคยรู้จัก เชย ๆ) จะเอาไปใส่กรอบบูชา เผื่อใครถามจะได้ตอบถูกถึงชื่อขององค์พระ เพราะมีหลายคนที่ได้รับแล้ว แต่ยังไม่รู้จัก.......ขออนุโมทนา สาธุกับท่านที่ได้ให้ความรู้ด้วยค่ะ เป็นบุญยิ่งแล้ว
     
  8. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
     
  9. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    ผมทำงานอยู่ที่สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์มาหลายปี โครงการนี้ตั้งเป็นโครงการมานานมากประมาณ 6 ปี กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ อุปสรรคมากมาย ทางสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ที่ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ก็ได้ปรับภูมิทัศน์แล้ว ภาพที่ได้จะสวยงามมาก เป็นภาพแห่งอนาคต จะปรากฎขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ครับ ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • spdo2.jpg
      spdo2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.5 KB
      เปิดดู:
      108
  10. GARU

    GARU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +1,283
    โมทนาในการสร้าง ป้องกัน และการเคลื่อนย้าย สาธุ
    แต่ขอชาตินี้โมทนาเป็นชาติสุดท้าย
    ถ้าเป็นไปได้อยากโมทนาที่นิพพาน
     
  11. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุบุญ


    ละความชั่วด้วยศีล ทำความดีด้วยทาน จิตเบิกบานด้วยภาวนา
     
  12. ณฐพัฒนศักดิ์

    ณฐพัฒนศักดิ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +60
    ขออนุโมทนาครับ
    เมื่อ กค.51 ได้ไปกราบท่านมาแล้ว อิ่มเอิบใจมากๆ
    ทำบุญและได้นำพระเครื่องของท่านลงบรรจุกรุด้วย
     
  13. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    ต้องหาเวลาไปกราบมนัสการท่านสักครั้ง
     
  14. อ่อนต่อโลก(ธรรม)

    อ่อนต่อโลก(ธรรม) สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +8
    อนุโมทนาครับ

    _________________________

    สุขอื่นยิ่งกว่า ความสงบไม่มี
     
  15. สรานุวัฒน์ นวลคำ

    สรานุวัฒน์ นวลคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +44
    ผมเคยมีประวัติของท่าน จากต้นฉบับเดิม แต่ตอนนี้ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน หาไม่พบ แต่ได้อ่านแล้ว ต้องคิดย้อนไปถึงบรรพบุรุษของเราที่ฉลาดมากครับ ใช้ปูนหุ้มทองคำไว้ มิเช่นนั้น อาจตกเป็นของพม่าไปแล้ว ของมีค่าคู่ควรประเทศไทยของเรา หาโอกาสไปนมัสการจะยิ่งดีครับ การเดินทางสะดวกทั้งบนบก และใต้ดิน (รถไฟใต้ดิน) มีโอกาสไปมาแล้วเกือบสิบครั้ง ทุกครั้งจะเห็นความงามและคุณค่าที่อยู่ในองค์พระ นึกขอบคุณบรรพบุรุษของไทยเราที่รักษาไว้ให้ลูกหลานไทยครับบบบ...
     
  16. tonpai

    tonpai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +41
    วันนี้วันพระ
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะครับ
    อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
    อยากจะไปร่วมทำบุญ
    และกราบท่านด้วย
    พอดีอยู่ต่างจังหวัด
    ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่อนุโมทนากับเขาด้วย
    แต่คิดว่าคงมีสักวันที่จะได้ไปกราบนมัสการ
     
  17. kamsajja

    kamsajja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +199
    ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
     
  18. Prathuang

    Prathuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +178
    อนุโมทนาสาธุครับ


    เพราะไม่รู้แจ้งทั่วในตัวตน
    จึงเวียนวนปรุงแต่งแหล่งสังขาร<O:p
    ก่อกำเนิดตันหาอุปทาน<O:p
    อังหังการมมังการเผาผาลใจ<O:p
    ต่อเมื่อรู้แจ้งทั่วในตัวตน<O:p
    ไม่มืดมนธรรมส่องใจผ่องใส<O:p
    อาสวักขยญาณเบิกบานใจ<O:p
    ตลอดไปแสนสุขเพราะทุกข์คลาย<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2008
  19. kiyomaro

    kiyomaro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +25
    สมควรเป็นอย่างยิ่ง สมเกียรติเป็นที่สุด
    -------------------------------------------------------------------
    ท่านไม่ใช่พระทั่วไปที่สร้างโดยศัทธาแต่ถ่ายเดียว แต่แผงด้วยหลักปรัชญาธรรมอันมีค่าบริสุทธิ มหาศาลด้วยมวลสาร มหาศาลด้วยศรัทธา มหาศาลด้วยพิธีกรรม มหาศาลด้วยสัญลักษณ์ มหาศาลด้วยลักษณะ สร้างโดยอัจฉริยะกษัตริย์ อันหาผู้เสมอได้ยากเป็นเส้นทางสุดสายของมรรคทางศาสนา เป็นสังฆราชที่ได้รับการกราบไหว้ จากพระร่วงเจ้า ตลอดจนไพร่ฟ้าหน้าใส ในอดีตที่ผ่านมา พระยาลิไท ก้อบวชต่อหน้าพระองค์นี้
    เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อขุนรามกล่าวในศิลาฯ ที่สำคัญท่านเคยปประดิษฐานเป็นพระประธานวัดมหาธาตุวิหารหลวงแห่งกรุงสุโขทัยในสำนักพระร่วงเจ้าเป็นพระคู่บารมีองค์ราม

    ผมมั่นใจเช่นเดียวกับตียัมปวายคับว่าพระองค์นี้ถูกสร้างโดยพ่อขุนรามคำแหง ไม่หน้าจะใช่พยาลิไท เพราะการสร้างมีศัทธาอย่างเดียวไม่พอต้องมีบารมีอำนาจอันถึงพร้อมด้วยถึงจะสามารถสร้างปฏิมากรรมค่าควรเมืองเป็นหนึ่งในโลกอันประมาณค่ามิได้เช่นนี้ได้

    ถ้าจะกล่าวถึงพระร่วงพระลือแล้วเราชาวสุโขทัย เปรียบพ่อขุนามคำแหง เช่นพระร่วง เปรียบพยาลิไทเช่นพระลือ
    ดังนั้นพระคู่บารมีก้อเช่นกันสำหรับผม นับถือมากคับพระทองคำเพราะเป็นพระคู่บารมีพระร่วงที่เราเรียกว่าพ่อ ผมรู้สึกว่าพระทองคำ(วิมุติ)ท่านเปรียบดังพ่อผู้เมตตารู้สึกถึงความเข้าถึงได้ยามอยู่หน้าพระพักตร์สงบนิ่งไม่สั่นไหว(อัจจนะ) มีใจที่จะยากทำความดี(อัฏฐารส) ดังเช่นคำพ่อขุนฯที่ ว่า "อย่าเข็ดทางบุญอย่าสูญทางทาน ทำบุญ บ่ รู้ร้าง สร้างกุศล บ่ รู้โรย
    สำหรับพระลือพระยาลิไท พระพุทธชินราชคู่บารมี
    สำหรับความรู้สึกต่อหน้าท่านรู้สึกถึงความสงบนิ่งเข็มขลังมีพลัง สมกับเป็น ชินะ = ชนะ ราช = ราชา (ราชาผู้มีชัยชนะ(กิเลศ)) งดงามอลังการหายากในโลก แต่ก้อรู้สึกว่าท่านสูงศักดิ์สมเป็นราชา
    จากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงได้กล่าวถึงพระที่ระบุตำแหน่งสามองค์อันมีชื่อที่รู้กันคือ
    พระทองคำ
    พระอัจนะ
    พระอัฏฐารส
    มูลเหตุในการสร้าง เพื่อธรรมรงค์พระศาสนา ให้คนอันมีในไทยของพระองค์เป็นผู้รู้บุญรู้ธรรม เข้าถึงธรรม ด้วยตัวของตนโดยมิต้องมีผู้สั่งสอนก้อได้ อุปมาดังหนามแหลมไม่ต้องมีใครเสี้ยม แหลมเองโดยธรรมชาติ
    ดังเช่นที่พ่อท่านได้กล่าวในจารึกว่า "พ่อขุนพระรามคำแหงหาเป็นท้าวเป็นพญาแก่ไท ทั้งหลาย หาคนครูบาอาจารย์สอนไท ให้รู้บุญรู้ธรรมแท้ แต่ คนอันมีในไท ด้วยรู้ ด้วยลวก ด้วยเคะด้วยแรง ด้วยกล้าด้วยหาญ หาคน เสมอมิได้ฯ"

    *** คำว่าหาไม่ใช่สอน เพราะมีคำว่าแต่ต่อท้ายประโยคแสดงอาการขัดแย้ง
    *** ซึ่งหนังสือหลาย เล่มเท่าที่ศึกษามาจะแปลคำว่า หา คือสั่งสอน หรืออบรม ซึ่งขัดจากหลักความเป็นจริงของโลกเกินไปในการแปลเช่นนั้น

    ถึงแม้พ่อท่านจะออกสอนคนอันมีในไทของท่านบ่อยครั้งก้อตาม
    แต่จากจาก คำกล่าวดังกล่าวของแสดงให้เห็นชัดว่า พ่อท่านเชื่อว่าคนอันมีในไทนั้นรู้บุญรู้บุญรู้ธรรมอยู่แล้ว
    โดยซึ่มทรัพย์จากสิ่งแวดล้อมอัน เป็นปรัชญาทางศาสนาให้เข้าใจมรรคในศาสนาอันเป็นหัวใจในการปฏิบัติ จึงเป็นมูลกาลในการสร้างปฏิมาอันเป็นหัวใจของพระนคร 3 องค์ ที่ได้กล่าว อุปมานได้ว่า


    [​IMG]

    พระอัจจนะ แปลว่าผู้ไม่หวั่นไหว กล่าวคือ เป็นสัญลักษณ์ ของความศัทธาต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อในธรรม ไม่หวันไหวต่อความ ชั่วกิเลศ นิวรณ์
    ต่างๆ เป็นผู้สงบ สมควรกราบไหว้ ตั้งมั่นแน่แท้ในมรรค

    [​IMG]


    พระอัฐฏารส แปลว่า 18 คือพระพุทธรูปที่สูง 18 ศอก อันหมายถึง อันหมายถึงอัฏฐารสธาตุ(ซึ่งรจนาโดยขุนศรีสัทธาธรรม สังฆราชแห่งกรุงสุโขทัย) อันรวมตัวเป็นพุทธอัฏฐารส คือ ความรู้แจ้งในกายขันธ์ธาตุอันเป็นทางสู่ความดับไม่มีเชื้อ ซึ่งใช้หลักการพิจารณาด้วยอริยสัจ สี่ อันนำพาให้ผู้ปฏิบัติเข้าสู่มรรคผล ถึงที่สุดแห่ง ทุกข์ อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนานั้นเอง เข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า วิมติ หลุดพ้นจากสมมุติทั้งหลายอยู่กับธรรม ธรรม
    ล้วน ๆ

    *** อัจจนะต้องคู่กับอัฏฐารสจะแยกไม่ได้ หลักธรรมต้องคู่กับความตั้งมั่นความเพียร จึงจะล่วงพ้นทุกข์ได้
    พระสุรรณปฏิมา(พระพทุธรูปทองคำ) อันหมายถึงพระอรหันต์ บัวที่พ้นจากกองตมขึ้นรับแสงแห่งอรุณ แสงทองแสงธรรมนำสุข พ้นน้ำแล้วไม่มีวันที่จะลงสู่โคนตมอีกตราบเท่าชีวิตของมัน

    พระสุวรรณปฏิมาคือพระอรหันต์ อันหลุดพ้นจากสมมุติ อันกอปด้วยอัจจนะแลอัฏฐารสเป็นปกติวิสัยธรรมชาติ แนบเนียน เมื่อถึงจุดนี้อาจจะไม่มีสิ่งสองนั้นก้อได้ เพราะเป็นธรรมแล้ว
    เพราะพระท่านคือสัญลักษณ์ที่สำคัญถึงเพียงนั้น เหตุการณ์อันเป็นมงคลวิจิตรที่เกิดขึ้นที่นำเสนอในกระทู้นี่จึง ประเสริฐแท้
    ยอดพระควรคู่ยอดวิหารอลังการสมบารมีท่าน สมกับเหตุปัจจัยแห่งการสร้างแลเกียรติยศของผู้ที่สร้างด้วย
    -----------------------------------------------------------------------
    คับแค้นใจกับที่อยู่ท่านมานาน
    เคยหวังว่าเกิดมาชาตินี้จะสร้างวิหารให้ท่าน แต่.....ไม่มีบารมีไม่มีทรัพย์ทำไรไม่ได้คับ...วันนี้เกิดขึ้นแล้วด้วยมือไทยทุกคนคับ
    -----------------------------------------------------------------------
    อนุโมทนา กับ สิ่งดีดีที่ เกิดขึ้น ในชาติของเราคับ
    สาธุ ! สาธุ ! สาธุ!
    -----------------------------------------------------------------------
    คน เมืองพระร่วง ขอบคุณคับ!
     
  20. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"



    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ




    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...