ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=tborder id=post1685751 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>thongdee1<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1685751", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2006
    ข้อความ: 259
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 184 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1685751 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    ก่อนที่จะจบเรื่องการตรวจพระในครั้งนี้จากน้องตาดีเท่าที่เดินดู จะเห็นได้ชัดว่าในกลุ่มพระพิมพ์สมเด็จนั้นพระพิมพ์สกุลวังหน้าที่เรียงตามลำดับกระแสพลังที่แรงและรัศมีเป็นสีทองที่เป็นรังสีแห่งบรมครูเทพโลกอุดรเช่นพระพิมพ์รูปเหมือนที่ทุนนิธิฯ แจกให้ฟรี พระพิมพ์สมเด็จปี 2408 พิมพ์ปัญจสิริ พระพิมพ์สมเด็จเนื้อผงยาวาสนา นั้นเป็นพระพิมพ์ที่มีกระแสพลังแรงที่สุด รองลงมาเป็นพระพิมพ์สกุลสมเด็จเจ้าฟ้า คือกลุ่มพระพิมพ์ปูนสอพิมพ์อัสนี อันมีพิมพ์อัสนีอะระหัง พิมพ์วัดกลางคลองข่อย พระพิมพ์อัสนีพิมพิมพ์สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พระพิมพ์หลวงพ่อโตวัดป่ามะม่วง มีกระแสพลังรองลงมา ส่วนที่รองลงมาอีกก็คือพระพิมพ์สกุลสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าบางพิมพ์ พระพิมพ์สมเด็จวัดระฆังพิมพ์กลักไม้บีด และตามมาด้วยพระพิมพ์สมเด็จปีระกา และสุดท้ายก็คือพระคณาจารย์ต่างๆในปัจจุบัน แต่ทั้งหมดก็มิได้ตายตัวเสมอไป เช่นพระพิมพ์ที่เสกโดยหลวงปู่ใหญ่บางพิมพ์แต่เช็คแล้วไม่มีพลังเช่นพิมพ์ซุ้มไทรย้อย หรือพิมพ์พรหมชินะปัญชระ โดยน้องสันนิษฐานว่าอาจจะเก็บไว้ในที่ไม่ดีมาก่อน จึงทำให้ตรวจพลังไม่ขึ้น แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ พระที่ตรวจทั้งหมดผ่านการอธิษฐานจิตเรียบร้อย ใครที่ปรมาสไว้ว่าพระกิ๊กกีอก พระเก๊ รับรองแย่แน่ เพราะใช้แว่นอย่างเดียวไม่มีความรู้ทางด้านนาม งานนี้ตัวใครตัวมันรอรับผลแห่งการปรมาสท่านก็แล้วกัน ขอจบเรื่องการตรวจพระเพียงแค่นี้ครับ เพราะเดี่ยวจะกลายเป็นกระทู้อภินิหารไป เอาแค่พอประมาณดีกว่าครับ และหวังว่าคงไม่มีใครถามมาอีก...




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระพิมพ์ที่เสกโดยหลวงปู่ใหญ่บางพิมพ์แต่เช็คแล้วไม่มีพลังเช่นพิมพ์ซุ้มไทรย้อย
    ให้น้องเค้าตรวจดูดีๆซิครับ มีญานของปู่ใหญ่อยู่ข้างในเป็นองค์เลย
    ถ้าญานในองค์พระไม่ปิดกระแสพลังเอาไว้ก็จะตรวจจับพลังได้ตามปกติ




    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอย้อนหลังเรื่องนี้ที่เคยนำเสนอมานานแล้ว ตามข้อมูลอ้างอิงข้างต้นก็คือตอนแรกที่ทราบเรื่องนี้ ก็ตกใจ เพราะกำลังจะแจกพระชุดนี้ในคราวถัดไปพอดี แต่พอตอนบ่าย งานกิจกรรมเลิก นำมาตรวจกันอีกที ปรากฏว่าทุกอย่างอยู่ครบสมบูรณ์อย่างที่คุณบอก จึงสันนิษฐานขั้นต้นว่าโดนปิดพลัง หลังจากที่วิเคราะห์ในระดับที่สูงขึ้นมาอีกนิดนึงผลที่ได้กลับเป็นคนละอย่างกัน คือไม่ใช่โดนปิดพลัง แต่เป็นเพราะผู้ตรวจ ตรวจพระมากเกินไป ใช้พลังเตโชธาติเพ่งจนจิตเกิดล้า เผอิญองค์ที่ตรวจแล้วไม่มีพลังนี้ เป็นองค์สุดท้าย ผลจึงโบ่เบ๋ พอพี่ใหญ่ตรวจซ้ำจึงรู้ว่าท่านไม่ได้ไปไหน มีกระแสพลังเจิดจ้าเหมือนเดิม คราวต่อไป จึงวางกติกาไว้ ห้ามน้องตาดีตรวจเกิน 10 องค์ ไม่งั้นเพี้ยนครับ

    สำหรับ thongdee1 ผมยังไม่คุ้นชื่อไม่ทราบว่าเคยเข้ากระทู้นี้มาก่อนหรือเปล่า ถ้าชอบทางนี้ เชิญเข้ามาร่วมกิจกรรมกับพวกเราได้ครับ ได้ทำบุญกับสงฆ์อาพาธด้วย ได้รับประสบการณ์ทางจิตด้วย ที่สำคัญก็คือได้แลกเปลี่ยนกัน เพราะบางคนมีท่าการตรวจพระที่ไม่เหมือนกัน อย่างผม แค่รู้ได้ว่าเป็นไงบ้าง ที่พลาดก็เยอะ หรืออย่างน้องตาดี ก็จะมีการตรวจอีกแบบหนึ่ง ของคุณโสระก็อีกแบบหนึ่ง ดีครับ มารวมพลกัน ช่วยสงฆ์อาพาธกัน อย่างน้อยก็เป็นวิธีสืบทอดพระศาสนากันในการช่วยเหลือพระสงฆ์ท่านให้กับไปประกาศพระพุทธศาสนาต่อครับ ในครั้งต่อไป จะจัดกิจกรรมทำบุญที่ รพ.สงฆ์ในวันอาทิตย์ที่ 21/12 หวังว่าคงจะได้เจอกันน๊ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2008
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ท่านพุทธทาสภิกขุ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=postdetails></TD><TD vAlign=top noWrap align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR><TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]


    ฉันอยากให้เพื่อนมนุษย์ของฉันทุกคน คิดปัญหาข้อที่ว่า
    ถ้าเราจะไม่เป็นคนชนิดที่เหมือนกับเขา แต่จะเป็นอย่างของเรา
    เราจะต้องเป็นอย่างไร จึงจะไม่ขาดทุน

    บางคนคงจะย้อนถามฉันว่า
    การเป็นคนอยู่ทุกวันๆ นี้ ต้องลงทุนด้วยหรือ ?
    เห็นมีแต่ลงทุนเรียน ลงทุนค้า หรืออะไรทำนองนี้ทั้งนั้น
    ไม่เห็นมีใครลงทุนในการเป็นคนเลย

    ฉันจะต้องขอโทษ ในการที่ฉันมีความเห็นว่า
    การเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง
    ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการทำ หรือเป็นการรับผลของการทำ
    ล้วนแต่เป็นการลงทุนในการเป็นคนไปหมด
    เราลงทุนลงแรงวิ่งแล่นไปในวัฏสงสาร
    ลงทุนมาเกิดเป็นคน ลงทุนในการดำรงชีพเป็นอยู่
    ต้องหัวเราะ ต้องร้องไห้ อิ่ม หิว รัก โศก เพลิน หงอย
    ไปห้องน้ำ ไปห้องส้วม ฯลฯ
    ป่วยไข้ หาย สบาย กระทั่งตาย เพื่อเกิดใหม่ในที่สุด
    ทั้งหมดนี้เป็นการลงทุน เรียนเพื่อรู้
    แล้วเข็ดหลาบในการที่จะไม่ต้องวิ่งมาวนเวียน
    เป็นเช่นเดียวกันต่อไปอีก
    ฉันเห็นว่า ทั้งการกระทำ และการรับผลของการกระทำ
    ทั้งดีและชั่วทั้งหมดนั้น
    ล้วนแต่เป็นการถูกธรรมชาติบังคับให้เราทำและเป็นไป
    เป็นการลงทุนเรียน
    เพื่อให้เรากลายเป็นผู้สามารถขึ้นอยู่เหนือกฏเหล่านั้น
    คือ นิพพาน !
    ถ้าเราไม่ลงทุนด้วยการลองมาเป็นคนดูเสียก่อน
    เราก็จะไม่มีความรู้อะไรเลย
    ในการที่จะถอนตัวขึ้นให้พ้นจากการที่จะต้องเป็นคน (หรือเป็นสัตว์) ไป
    อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    เราลงทุนด้วย การทนเป็นคน
    เพื่อเรียนรู้และ สอบไล่ ให้ได้ถึง ขั้นที่จะไม่ต้องเป็นคน อีกต่อไป
    การตายช่วยอะไรเราไม่ได้ในข้อนี้ เพราะมันกลับมาเกิดอีก
    เว้นไว้แต่เราจะเป็นคนให้ครบถ้วนตามหลักสูตรเสียก่อน
    คือ เป็นคนชนิดที่มีกำไร ไม่ขาดทุน
    หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ศึกษาให้รู้จักการเป็นคน
    ด้วยการเคยเป็นคนเสียอย่างเต็มที่
    จนตนสามารถเอาชนะอยู่เหนือการเป็นคนของตนเอง ได้นั่นเอง
    เราจะเป็นผู้มีกำไรประจำวัน ทุกๆ วันได้
    ด้วยการที่เรามีทุกข์กะใครไม่เป็น
    ไม่ว่าเหตุการณ์อย่างใดจะเกิดขึ้น
    และเราจะงบยอดมีกำไรเด็ดขาดในขั้นสุด
    ในการที่เราเข้าถึงขีดที่ความทุกข์ไม่อาจเกิดขึ้นอีกต่อไป

    บางคนคงจะถามว่า ถ้าเกิดมาทำงาน
    ได้รับผลสำเร็จร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุขด้วยเกียรติและทรัพย์แล้ว
    ยังจะว่าขาดทุน ในการเป็นคนอีกหรือ ?

    ฉันตอบว่า การสมบูรณ์พูนสุขนั้น ก็เป็นเพียงการลงทุนอย่างหนึ่ง
    หรือตอนหนึ่งของการลงทุนในการเป็นคนเท่านั้น
    คือ เป็นการลงทุนเพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่า มันก็เป็นของหลอกๆ
    เช่นเดียวกับการตกระกำลำบากเหมือนกัน
    ครั้นเรารู้จักมันอย่างถูกต้องแล้ว เราก็จะเป็นคนมากขึ้นอีก
    จนกระทั่งเป็นคนที่เต็ม (Perfected)
    โดยทุกๆ ทาง ในการที่จะบริสุทธิ์ สว่างไสว และสุขเย็น
    ความสมบูรณ์พูนสุข จึงเป็นเพียงการลงทุนเท่านั้น
    ยังหาใช่ผลกำไรแห่งการเป็นคนไม่
    ก็ถ้าใครหลงเอาต้นทุนมาใช้จ่ายเสีย
    อย่างกะว่ามันเป็นผลกำไรแล้ว
    คนนั้นก็จะหมดกระเป๋าเลย !
    แล้วเขาก็จะต้องฟุบหน้าร้องไห้กับพื้นดิน ตรงที่เขายืนนั่นเอง
    ไม่เชื่อใครลองใช้ความสมบูรณ์พูนสุข
    ในฐานเป็นผลกำไรของชีวิตดูเถิด !

    เชิญท่านลอง ค้าการเป็นคน ของท่านดูเรื่อยๆ ไปเถิด ท่านจะเห็นเอง


    พุทธทาส อินทปัญโญ
    หอสมุดธรรมทาน ไชยา
    ๑๙ มีนาคม ๒๔๘๖


    คัดลอกจาก...
    http://www.mindcyber.com/home/index.php?news=205
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13761

     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    <STYLE type=text/css><!--td.attachrow { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #; border-color : #; }td.attachheader { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #; border-color : #; background-color: #; }table.attachtable { font: normal 12px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #; border-color : #; border-collapse : collapse; }--></STYLE>

    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ชาวโคราชถามปัญหาหลวงปู่มั่น
    อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป



    ชาวโคราช
    เท่าที่ท่านอาจารย์มาโคราชคราวนี้ เป็นการมาเพื่ออนุเคราะห์ประชาชนตามคำนิมนต์เพียงอย่างเดียว หรือยังมีหวังเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ด้วยในการมารับนิมนต์คราวนี้

    หลวงปู่มั่น
    อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป อันเป็นการก่อทุกข์ใส่ตัว คนหิวอยู่เป็นปกติสุข ไม่ได้จึงวิ่งหาโน่นหานี่ เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูก ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผา ตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ อาตมาไม่หลงจึงไม่แสวงหาอะไร คนที่หลงจึงต้องแสวงหา ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะไปหาให้ลำบากทำไม อะไรๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้วจะตื่นเงาและตะครุบเงาไปทำไม

    เพราะรู้แล้วว่าเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือสัจจะทั้ง ๔ ก็มีอยู่ภายในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้อย่างหมดสิ้นแล้ว จะหาอะไรกันอีกถ้าไม่หลง ชีวิตลมหายใจยังมีและผู้มุ่งประโยชน์กับเรายังมี ก็สงเคราะห์กันไปอย่างนั้นเอง คนหาคนดีมีศีลธรรมในใจนั้นหายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดาเป็นไหนๆ ได้คนดีเพียงคนเดียวย่อมมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นล้านๆ เพราะเงินเป็นล้านๆ ไม่สามารถทำความร่มเย็นให้แก่โลกได้อย่างถึงใจ เหมือนได้ คนดีมาทำประโยชน์คนดีแม้เพียงคนเดียวยังสามารถทำความเย็นใจให้แก่โลกได้มากมายและยั่งยืน เช่น พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายเป็น ตัวอย่าง

    คนดีแต่ละคนมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นก่ายกองและเห็นคุณค่าแห่งความดีของตนที่จะทำต่อไปมากกว่าเงิน แม้จะจนก็ยอมจน ขอแต่ให้ตัวดีและโลกมีความสุข

    แต่คนโง่ชอบเงินมากกว่าคนดีและความดี ขอแต่ได้เงินแม้ตัวจะเป็นอย่างไรไม่สนใจคิดถึงจะชั่วช้าลามกหรือแสนโสมมเพียงไรก็ตาม ขนาดนายยมบาลเกลียดกลัวไม่อยากนับเข้าบัญชีผู้ต้องหา กลัวจะไปทำลายสัตว์นรกด้วยกันให้เดือดร้อนชิปหายก็ไม่ว่า ขอแต่ได้เงินก็เป็นที่พอใจ ส่วนจะผิดถูกประการใด ถ้าบาปมีค่อยคิดบัญชีกันเองโดยเขาไม่ยุ่งเกี่ยวคนดดีกับคนชั่วและสมบัติเงินทองกับธรรม คือคุณงามความดีผิดกันอย่างนี้แล ใครมีหูมีตาก็รีบคิดเสียแต่บัดนี้ อย่าทำให้สายเกินไป จะหมดทางเลือกเฟ้น การให้ผลก็ต่างกันสุดแต่กรรมของตนจะอำนวย จะทักท้วงหรือคัดค้านไม่ได้ กรรมอำนวยให้อย่างใดต้องยอมรับเอาอย่าง นั้น

    ฉะนั้นสัตว์โลกจึงต่างกัน ทั้งภพกำเนิด รูปร่าง ลักษณะ จริต นิสัย สุข ทุกข์ อันเป็นสมบัติประจำตัวของแต่ละราย แบ่งเบาแบ่งหนักกันไม่ได้ ใครมีอย่างไรก็หอบหิ้วไปเอง ดีชั่ว สุขทุกข์ก็ยอมรับ ไม่มีอำนาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ใช่แง่กฎหมาย แต่เป็นกฎของกรรม

    ชาวโคราช
    ขอประทานโทษพวกกระผมเคยได้ยินกิตติศัพท์กิติคุณท่านอาจารย์โด่งดังมานานแล้ว ไม่ว่าครูอาจารย์หรือพระเณรองค์ใดตลอด ฆราวาส ใครพูดถึงอาจารย์ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจารย์มิใช่พระธรรมดาดังนี้ จึงกระหายอยากฟังเมตตาธรรมท่าน แล้วจะได้เรียนถามไปตามความอยากความหิว แต่ไม่มีความฉลาดรอบคอบในการถามซึ่งอาจจะทำความกระเทือนแก่ท่านอยู่บ้าง กระผมก็สนใจปฏิบัติมานานพอควร จิตใจนับว่าได้รับความร่มเย็นประจักษ์เรื่อยมา ไม่เสียชาติที่เกิดมาพบพระศาสนาและยังได้ กราบไหว้ครูอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์วเศษด้วยการปฏิบัติธรรม แม้ปัญหาธรรมที่เรียนถามวันนี้ก็ได้รับความแจ้งชัดเกินคาดหมาย วันนี้เป็นหายสงสัยเด็ดขาดตามภูมิของคนมีกิเลสที่ยังอยู่ก็ตัวเองเท่านั้นจะสามารถปฏิบัติให้ได้มากน้อยเพียงใด

    หลวงปู่มั่น โยมมาถามอย่างนั้นอาตมาก็ต้องตอบไปอย่างนั้น เพราะอาตามาไม่หิวไม่หลงจะให้อาตมาไปหาอะไรอีก อาตมาเคย หิวเคยหลง มาพอแล้ว ครั้งปฏิบัติที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรโน้น อาตมาแทบตายอยู่ในป่าในเขาคนเดียวไม่มีใครไปเห็นจนพอลืมหูลืมตาได้บ้าง จึงมีคนนั้นไปหาคนนี้ไปหา แล้วร่ำลือกันว่าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะอาตมาสลบสามหนรอดตายครั้งนั้นไม่เห็นใครทราบและร่ำลือบ้าง จนเลยขั้นสลบและขั้นตายมาแล้ว จึงมาเล่าลือกันหาประโยชน์อะไร อยากได้ของดีที่มีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอาทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงพากันวุ่นวาย หานิมนต์พระมาให้บุญ กุสลามาติกา นั่นไม่ใช่เกาถูกที่คันนะจะว่าไม่บอก ต้องรีบเกาให้ถูกที่คันเสียบัดนี้ โรคคันจะได้หายคือเร่งทำความดีเสียแต่บัดนี้จะได้หายว่วงหายหวงกับอะไรอะไรที่เป็นสมบัติของโลกมิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา แต่พากันจับจองเอาแต่ชื่อของมันเปล่าๆ ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล

    สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้จริงๆข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละรายท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายสรณะของพวกเราจะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความืดมิดปิดตามทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้ อาตมาต้องขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนให้คนละชั่วทำดียิ่งจัดเป็นคำหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ่นศาสนาเพราะไม่มีผู้ ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคนทำให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันแต่กลับตำหนิคำสั่งสอนที่หยาบคายนับว่าเป็นโรคที่หมดหวัง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14588
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="70%"></TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เที่ยงวันนี้ผม และภรรยาได้โอนปัจจัยจำนวน ๑,๐๐๐ บาทเข้าบัญชีคุณพลภัทร ที่ KBANK แล้วครับ เพื่อสมทบทุนนิธิอาจารย์ประถม อาจสาครเพื่อสงฆ์อาพาธ ๕๐๐ บาท - ผ้าห่ม ๒๕๐ บาท - เครื่องดูดเสมหะ ๒๕๐บาท

    ขอโมทนา..
     
  6. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    โมทนากับพี่ปุ๊และทุกๆท่านด้วยนะครับ

    http://www.pratheplokudon.com/pralok...ralokudon.html
    โมทนากับงานเผยแพร่ธรรมและประวัติและ.........
    ของท่านด้วยนะครับ

    ผมชอบที่ตัดมาให้ดูมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • EXE.JPG
      EXE.JPG
      ขนาดไฟล์:
      35.9 KB
      เปิดดู:
      151
  7. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ต้องกราบขออภัยด้วยครับที่แจ้งยอดเงินที่มีผู้ร่วมสมทบทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมา ขอรายงานยอดเงินดังนี้ครับ

    1. อ.ประถม อาจสาคร 400 บาท
    2. คุณดิเรก ศรีเจริญและครอบครัว 1000 บาท
    3. รายได้จากหนังสือ ปู่เล่าให้ฟัง 11450 บาท

    ฉบับสมบูรณ์ ร่วมสมทบทุนนิธิฯ
    4. รายได้จากวัตถุมงคลร่วมสมทบทุนนิธิฯ 4600 บาท
    5. คุณธนภณ รัตนโชติบวร และครอบครัว 1000 บาท
    6. ค่าอาหารเหลือร่วมสมทบทุนนิธิฯ 1900 บาท
    7. คณะพระวังหน้าร่วมทำบุญในงานวันคล้าย 3600 บาท
    วันเกิดท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    รวมเงินทั้งสิ้น 23,950 บาท


    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ส่วนท่านที่สั่งซื้อหนังสือ ปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งรายได้นำจะไปช่วยสมทบซื้อ Server ใหม่ให้กับเว็บพลังจิตนั้น ผมได้รับเกือบครบตามจำนวนที่กำหนดไว้แล้ว และจะรีบดำเนินการโอนเงินให้กับเว็บพลังจิตต่อไปครับ ผมจะรีบดำเนินการจัดส่งหนังสือไปให้โดยเร็วที่สุดครับ

    ก็ต้องกราบขอบพระคุณทุกๆท่านด้วยครับที่ได้ร่วมกันสร้างบุญกุศลในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผ้าห่มถวายพระ ซื้อ Server หรือทำบุญกับทุนนิธิฯ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2008
  8. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    วันนี้ส่งเงินมาร่วมทำบุญ 269 บาท
    โมทนากับทุกท่านด้วยค่ะ
     
  9. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    Sawadee ka:)
    Yesterday 24-11-08 i and my family transfer money to tumbon 520 B, ka:)
    24/11/08, Ref 141501 3481232459 = 520 B:)
    Every body pls sa tue boon with us na ka,we also sa tue boon with every body ka.:)

    Tanya Klyne:)
     
  10. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ด้วยในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงกำหนดรักษาภิกษุป่วยไข้" ด้วยเหตุและปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญอันมีอานิสงส์ที่ประมาณมิได้นี้ ประกอบกับเป็นการเชิดชูครูอาจารย็ที่ได้อบรมความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาจิต และความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุล วัดพระแก้ววังหน้า พระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรของ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร กระผมและคณะจึงได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาในรูปแบบของทุนนิธิ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคที่จะได้มานำไปบริจาคให้หรือรักษาไข้แก่พระภิกษุสงฆ์อาพาธที่ยากไร้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบำรุงศาสนกิจที่จำเป็นตามที่คณะกรรมการของกองทุนจะได้พิจารณาขึ้น ดังนั้น กระผมและคณะจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพุทธศาสนา ด้านการรักษาสงฆ์ หรือศาสนกิจอื่นๆ โดยการบริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูป</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- edit note -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    โครงการบริจาคผ้าห่มให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนได้หยุดแล้ว ท่านใดต้องการบริจาคให้กับสงฆ์อาพาธกรุณาโอนเงินไปยังบัญชีของทุนนิธิฯ ที่แจ้งไว้ข้างบนนี้ครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ขอลงโพสท์เดียวยาวๆ เป็นธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์ธรรมยุติที่สำคัญรูปหนึ่งคือ ท่านอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระผู้ซึ่งอัฐิธาตุกลายเป็นพระธาตุแล้ว ลองอ่านกันดู ถึงแม้จะยาวไป แต่เป็นธรรมะที่กลั่นจากจิตที่ตัดจากกิเลสโดยสมบูรณ์แล้ว บางประโยคคำถามและคำตอบมีความสมบูรณ์ในตัวเองไม่ต้องแปลความหมายให้มากเรื่อง หากใช้สติพิจารณา ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดแล้ว หากอินทรีย์บารมีแก่กล้าพอ ย่อมนำพาเข้าสู่กระแสธรรมโดยไม่ยากเย็นนักลองอ่านดูครับ

    <TABLE width=350 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ในขณะที่พิจารณาลมอยู่นั้น เราก็เห็นว่าอันนี้มันเป็นลม เป็นธาตุขันธ์ ซึ่งมันก็ลงไตรลักษณ์ มันเทียบเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็พิจารณากายมันเป็นดิน ดินเป็นธาตุ มันไม่หนีธาตุ ๔ ไปได้ ค่อยๆพิจารณาไป แต่บางครั้งจิตก็อดแวะโน่นดูนี่นอกเรื่องไปได้ พิจารณาอย่างไรก็ไม่เข้าถึงฐีติจิตสักที จะทำอย่างไรคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เดี๋ยวก่อน รู้สึกจะสับสนกันแล้วเรื่อง ฐีติจิต ฟังก่อน จะอธิบายให้ฟัง... การปฏิบัติของแต่ละคนแต่ละท่านที่จะเข้าถึง ฐีติจิต คือจิตดั้งเดิม นั้นเหมือนกันก็มี ไม่เหมือนกันก็มี เพราะเหตุใด...เพราะเป็นไปตามบุพพวาสนาของใครของมัน มันเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านเป็นได้ แต่พระสาวกองค์อื่น บางองค์ก็ไม่ลงถึงฐีติจิต ฐีติจิตนี้คือเป็นแต่ว่าจิตเข้าไปพักอยู่ พ้นวิปัสสนาไปแล้ว รู้เหตุรู้ปัจจัยไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราต้องการค้นให้รู้ชัดเห็นจริงฝ่ายธาตุ ฝ่ายขันธ์ จะอยู่ขั้นฐีติจิตไม่ได้ ต้องอยู่แค่ระดับอุปจาระ... ฝ่ายเหตุ ฝ่ายปัจจัย ฝ่ายขันธ์ เห็นรูปธรรม นามธรรมเหมือนพระพุทธเจ้าที่อยู่ในขั้นอุปจาระ รู้ได้ก็เพราะอาศัยปัญญานี้ ให้บริสุทธิ์ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระสาวกบางองค์ท่านพิจารณาด้วยจิต ท่านลงถึงฐีติจิต ลงพักอยู่ แล้วถอนจากฐีติจิตขึ้นมา ท่านถึงมาพิจารณาที่ผ่านไป สงบไป ในชั้นในภูมิของอุปจารสมาธิ พิจารณาไปเองเลย การรู้วิชาการต่างๆ ความรู้จริงเห็นจริงอยู่ในขั้นอุปจาระ แต่เราจะรู้ว่าฐีติจิตได้ต้องรู้ถึงจิตดั้งเดิมในภูมิธรรมดา ทีนี้
    ยกตัวอย่าง อย่างพระอริยสาวกนั่งฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอยู่ สาวกเหล่านั้นตั้งจิตตั้งสติสงบพอดีๆ อยู่ในอุปจาระ ท่านเทศน์อย่างไรก็รู้เรื่อง จิตของสาวกเหมือนน้ำไหลไปได้ เพราะละเอียดแล้ว ฐีติจิตนั้นละเอียดอยู่แล้ว การพิจารณาต้องอยู่ในขั้นอุปจาระพอดีๆ ด้วยความมีสติปัญญา กำหนดฟังพระธรรมเทสนาจึงจะเข้าใจได้ อย่างเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ เทศน์พร้อมถามพร้อม พระปัญจวัคคีย์ก็ตอบเห็นพร้อม ถ้าจิตลงถึงฐีติจิตแล้วก็อย่าเลย ไม่มีทางพิจารณาหรอก
    เพราะฉะนั้นท่านพวกปฏิบัติทั้งหลาย เมื่อเราภาวนาไปปฏิบัติไป ถ้าจิตของเราไม่ลงถึงฐีติจิต อย่าเพิ่งลงความเห็นว่าเราภาวนาไม่เป็น อย่างเพิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าเป็นผู้น้อยเนื้อต่ำใจก็เป็นผู้หลง หลงแล้วน้อยเนื้อต่ำใจทำให้เกิดทุกข์
    พระพุทธเจ้าท่านขาดไปจากอาสวกิเลสได้ ถึงอาสวักขยญาณในภูมิอุปจาระนี้ ถอนจากฐีติจิต ทุกอย่างท่านได้จากฌานนี้ รู้อยู่ในภูมิอุปจาระนี้ รู้ตัวเหตุ ตัวปัจจัย ก็รู้อยู่นี่ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็รู้อยู่ในภูมินี้ นิมิตต่างๆ ก็รู้อยู่ในนี้ ทั้งความดี ความหลง ความรู้แจ้งอยู่ในขั้นนี้ ฉะนั้นท่านจึงให้ตั้งอิทธิบาท ๔ ไว้นี้มันสำคัญ ต้องเข้าใจระหว่างพิจารณา ไม่ได้อาศัยฐีติจิตเลย
    ถ้าจิตลงถึงฐีติจิตพิจารณาไม่ได้ เราจะพิจารณาได้แต่ตอนอยู่ในขั้นอุปจาระเท่านั้น ซึ่งก็เป็นได้ เมื่อถอนจากฐีติจิตมาอยู่อุปจาระ...

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>การพิจารณาจะรู้อะไรอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องรู้เฉพาะตอนถอนออกจากฐีติจิตก่อน แล้วขึ้นมาอยู่อุปจาระ ถึงแม้จะยังไม่ถึงฐีติจิต แต่สงบอยู่เพียงขั้นอุปจาระ ก็รู้ได้เหมือนกันใช่ไหมค่ะ </TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ได้ อุปจาระนี้มี ๒ ตอน ๒ ระยะ ระยะหนึ่งก่อนจิตรวมลงถึงฐีติจิต อีกระยะหนึ่งรวมถึงฐีติจิตแล้วถอนขึ้นมา... มันเป็นขั้นสำคัญออกรู้เรื่องราวต่างๆ มากเรื่อง ความรู้วิชาต่างๆ ก็ได้มาตอนนี้ แต่รู้แล้วหลงหรือไม่หลงนี่... มันสำคัญตรงนี้ ใครจะเข้ามาแบบไหน เราจับจุดอะไร อารมณ์ไหนก็ตาม โดยมากคนได้นิมิตก็มักเชื่อไปหมด วางใจ พิจารณาสวรรค์ เห็นนรกปรากฏ เห็นในนิมิตรนรกก็พิจารณานรก มันเป็นยังงั้น ฟังสัจจธรรม กำลังพิจารณาทุกข์ ใจสลดสังเวช
    พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาทุกข์ เรื่องทุกข์ในอดีต คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเป็นเหตุให้พระหฤทัยในใจสลดว่าเหมือนพระองค์เห็นนรกที่ลุยนรกมาแล้วน้ำพระเนตรของพระองค์ไหลลงเลย สลดสงสารชาติของตนที่ท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตายในอดีตไม่มีที่สิ้นสุด แม้พระองค์มีญาณถึงขนาดนี้แล้ว ชวนให้เพลิดเพลิน หลงอย่างไร แต่ก็ไม่มีติดในญาณนี้แล้ว พระองค์ย้อนไปหาอะไรคือตัวเหตุตัวปัจจัย ให้เกิด แก่ เจ็ ตายไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นอย่างคนที่มีสติปัญญาอ่อน ลองดูซิ ถ้าไปรู้ไปเห็นอย่างนั้น อาตมาว่าตั้งตัวเป็นหมอดูเลย แต่พวกเราสติปัญญามันพอไหว มันยังไม่ถึงฐานที่จะเห็น
    เพราะวาสนาใช่ไหมล่ะ พระองค์ท่านมีวาสนาครบหมด ส่วนสาวกนั้นไม่เหมือนพระองค์ท่าน บางองค์ระลึกชาติได้ก็มี บางองค์ระลึกชาติไม่ได้ก็มี แต่เรื่องการตัดำด้อาสวักขยญาณนั้นทุกองค์เหมือนกันหมด หายจากข้อสงสัยมีอันเดียวเท่านั้น ทุกองค์ได้เหมือนกัน แต่เรื่องระลึกชาติไม่ใช่เรื่องพ้นทุกข์ งานของธรรมคืองานถอนวัฏฏะทำจุดเดียว กำหนดลงที่เดียว ดังนั้นถ้าเรากำหนดตรงไหนถูกกับจริตนิสัยของเราก็รีบทำเสีย ให้เห็นชัดลงนี่แหละ ไม่เหมือนงานของโลก งานของโลก อย่างเช่นเราเขียนหนังสือ เราเขียนจดหมายมาหาคนนั้น แต่งอย่างนี้ เขียนถามไปตอบมามันยุ่งกันไปหมด งานของโลกเป็นงานติดต่อต่อเนื่องกันเหมือนสายโซ่ ส่วนงานของธรรมไม่ใช่เช่นนั้น จับที่เดียวเท่านั้น สังขาร วัญญาณ นามรูป ภพชาติ ตรงไหนก็ได้ จุดเดียว ที่เดียวเจาะลงไปเลย
    ภูมิอุปจารสมาธิ คือภูมิของสมถวิปัสนา สมถะ คือตัว สตวิปัสสนา คือตัว ปัญญา มันอันเดียวกันนี่แหละ เรียกชื่อต่างกัน สมมติ สติ เปรียบเหมือนไฟ แต่ปัญญาก็คือแสงสว่างของไฟต่างหาก ถ้าไฟมีกำลังมากแสงสว่างก็มาก ถ้าสติมันดีปัญญามันก็ดี เราจะเรียกว่าแสงสว่างเป็นไฟก็ไม่ได้ เรียกไฟเป็นแสงสว่างก็ไม่ได้ ไฟต่างหาก แสงสว่างต่างหาก แต่ก็อันเดียวกัน หยั่งลงทีเดียว รู้เรื่องกัน ไม่สงสัยเลย สมมติว่าเรากำลังพิจารณาหนัง หนังเป็นของสกปรกโสโครก เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันอื่นก็เหมือนกัน มันเป็นอย่างนี้เรื่องธรรมะ ข้อสำคัญพิจารณาให้แน่วแน่ก็แล้วกัน ให้เห็นชัด ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาเหตุ หาปัจจัยของมันเท่านั้น มันก็รู้เรื่องกันขึ้น

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ท่านอาจารย์ให้พิจารณากัมมัฏฐานอะไรที่ถูกกับจริตของเรา แต่พวกเราไม่รู้ว่าอะไรมันถูกกับจริตของเรา อย่างเราจะไปกราบเรียนครูบาอาิจารย์ ได้ไหมว่าอะไรถูกจริตกับเรา ควรพิจารณาผม หรือขน หรือเล็บ หรือฟัน หรือหนัง หรือมรณานุสติ... หรืออะไรต่ออะไร </TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ถ้ายังไม่รู้ก็หมายความว่ายังเป็นผู้หลงอยู่ ยังหนาอยู่ สิ่งใดอะไรอยู่ในตัวเราเราต้องรู้ ความโลภอยู่ในตัวเรา เราต้องรู้ ความโกรธอยู่ในตัวเรา เราต้องรู้ ความหลงอยู่ในตัวเรา เราต้องรู้ ในร่างกายของเรา เรามีโรคอะไรอยู่ เราต้องรู้ เราเจ็บตรงไหน เราก็ต้องรู้ ใจของเราไม่ดีตรงไหนเราต้องรู้ สนทิฏฐิโก ต้องรู้เอง

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ถ้าเราพิจารณาแล้วจิตเราสงบได้เร็ว แปลว่ากัมมัฏฐานบทนั้นถูกกับจริตของเราอย่างนี้ใช่ไหมคะ </TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>นั่นแหละ ให้มันสลดสังเวช ธรรมอันใดในกัมมัฏฐานอันใด เมื่อเราพิจารณาแล้วสติของเราไม่ฟั่นเฝือ ไม่ลุ่มหลง จิตของเราสงบ และการพิจารณาของเราก็แจ้งไปตามลำดับ ๆ นั่นเรียกว่าโรคถูกกับยา ให้เรากินยาขนานนั้นๆ อย่ายักย้ายเปลี่ยนใหม่ ถ้าเราพิจารณาอะไรด้วยกัมมัฏฐานส่วนไหนแล้วอารมณ์ของเราไม่สงบ จิตของเราฟั่นเผือ แปลว่าไม่ถูกกับยา รักษาโรคนั้นไม่ได้ผล

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ท่านอาจารย์ให้พิจารณากัมมัฏฐานอะไรที่ถูกกับจริตของเรา แต่พวกเราไม่รู้ว่ามันถูกกับจริตของเรา อย่างเราจะไปกราบเรียนถามท่านครูบาอาจารย์ได้ไหมว่าอะไรถูกจริตกับเรา ควรพิจารณาผม หรือขน หรือเล็บ หรือฟัน หรือหนัง หรือมรณานุสติ ... หรืออะไรต่ออะไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ถ้ายังไม่รู้ก็หมายความว่ายังเป็นผู้หลงอยู่ ยังหนาอยู่ สิ่งใด อะไรอยู่ในตัวเราเราต้องรู้ ความโลภอยู่ในตัวเรา เราต้องรู้ ความโกรธอยู่ในตัวเราเราต้องรู้ ความหลงอยู่ในตัวเราเราต้องรู้ ในร่างกายของเราเรามีโรคอะไรอย่เราก็ต้องรู้ เราเจ็บตรงไหนเราก็ต้องรู้ ใจของเราไม่ดีตรงไหนเราต้องรู้ สนทิฏฐิโก ต้องรู้เอง

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ถ้าเราพิจารณาแล้วจิตเราสงบได้เร็ว แปลว่ากัมมัฏฐานบทนั้นถูกกับจริตของเราอย่างนี้ใช่ไหมคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>นั่นแหละ ให้มันสลดสังเวช ธรรมอันใดในกัมมัฏฐานอันใด เมื่อเราพิจารณาแล้วสติของเราไม่ฟั่นเฝือ ไม่ลุ่มหลง จิตของเราสงบ และหารพิจารณาของเราก็แจ้งไปตามลำดับๆ นั่นเรียกว่าโรคถูกกับยา ให้เรากินยาขนานนั้นๆอย่ายักย้ายเปลี่ยนใหม่ ถ้าเราพิจารณาอะไรด้วยกัมมัฏฐานส่วนไหนแล้วอารมณ์ของเราไม่สงบ จิตของเราฟั่นเฝือ แปลว่าไม่ถูกกับยา รักษาโรคนั้นไม่ได้ผล

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ที่ท่านอาจารย์เคยสอนว่า ให้ศึกษาปฏิปทาพระพุทธเจา้ว่าท่านตรัสรู้อย่างไร แล้วให้ดำเนินตามปฏิปทาของท่านนั้น ใจเราก็รู้ว่าวิธีของท่านดีแน่ วิเศษแน่ แต่เรากลัวว่าบารมีเรายังไม่เทียบท่าน เพราะว่าท่านพิจารณาคืนนั้น คืนเดียวท่านก็ได้ตรัสรู้เลยในคืนวันนั้น ส่วนบารมีของเรานั้นพิจารณาคืนนี้รุ่งขึ้นก็คงไม่รู้แน่ ดังนั้นเราก็เลยวางไว้ก่อน แม้เราพิจารณาสงบลงแล้วก็คิดว่าตัวสงบของเรามันยังไม่ถึงฐีติจิตหรือจิตรวมใหญ่ เมื่อยังไม่ถึงอันนี้ถ้าเราไปพิจารณามันก็เหมือนกับธรรมะที่คาดคะเนเอา หรือความรู้ที่ยังไม่จริง เมื่อก่อนเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่วันนี้เข้าใจแล้ว อุปจารสมาธิที่ท่านอาจารย์อธิบายนั้นมีปัญญาอยู่ในนั้นด้วยในตัวคือ เดิมไปเข้าใจว่าอุปจารสมาธิคือการที่จิตรวมแล้วนิ่ง แต่ว่ายังไม่ถึงฐีติจิต เมื่อไรที่ถึงฐีติจิตแล้วพอยกธรรมะจะต้องเกิดปัจจัตตังเสียก่อน คือรู้เอง เห็นเอง ของใครของมัน แล้วแต่นิสัยของตน แต่ความจริงเราไม่ต้องรอจนจิตรวมจนถึงฐีติจิตก็พิจารณาได้</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ใช่...จะต้องพูดเรื่องปัจจัตตังและฐีติจิตอีกครั้งหนึ่ง ปัจจัตตัง เป็นอย่างไร ฐีติจิต เป็นอย่างไร ปัจจัตตัง คือรู้เอง เห็นเอง ส่วนฐีติจิตคือจิตดั้งเดิม ท่านเปรียบว่า อัปปนาสมาธิ อัปปนาจิต และฐีติจิต ต่างอยู่ในฐานเดียวกันแต่มีชื่อต่างกัน อัปปนาสมาธิ เป็นจิตที่แน่วแน่ ลงไปจนถึงจิตเดิม อัปปนาจิตก็เหมือนกัน ฐีติจิตก็เหมือนกัน ฐีติจิตเป็นจิตที่ว่าง ไม่มีอารมณ์ เป็นจิตเดิม เป็นจิตที่ท่านเรียกว่า "ประภัสสร" แจ้งสว่าง
    จะอธิบายให้ฟัง ถ้าผู้เข้าไม่ถึง "ไม่เห็น" ผู้เข้าถึง "เห็น" ใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง ไม่สนใจ เพราะรู้อยู่แล้วเป็นปัจจัตตังอัปปนาสมาธินี้ จิตนั้นไม่มีเศร้า ไม่มีหมอง ไม่มีมืด ไม่มีมัว เหมือนพระอาทิตย์ท่านส่องสว่างอยู่ แต่ที่พระอาทิตย์จะมืด จะมัวเศร้าหมองเพราะขี้เมฆเข้ามาบดบังพระอาทิตย์ ไม่ใช่พระอาทิตย์เลื่อนเข้าไหาขี้เมฆ นี่ท่านเปรียบไว้นัยหนึ่ง ธรรมชาติของจิตมันเป็นของใสบริสุทธิ์ หากแต่มีกิเลสเข้ามาหมักหมมบดบังจึงได้ฝ้าฟางไป ถ้าใช้สติปัญญาชำระให้ดีๆ แล้วมันก็จะลงสู่สภาพบริสุทธิ์ อีกนัยหนึ่งท่านเปรียบขี้เมฆนั่นแหละ เปรียบเหมือนอุปกิเลสคือความโลภ ึวามโกรธ ความหลง ได้แก่โลกธรรมที่ไหลเข้ามาทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เลยให้มัวเมา จิตก็เลยมืด แสงสว่างก็ถูกบดบัง อีกนัยหนึ่งท่านเปรียบเหมือนการเขียนเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0 ลบเลข 1 ถึง 9 ทิ้ง ยังเหลือแต่ 0 อยู่ 0 นี้ เลข 0 นี้เปรียบเหมือนตัวฐีติจิต คือจิตดั้งเดิมซึ่งก็ไม่มีราคาค่างวดอะไร จะบวกลบคูณหารกับเลขอะไร ก็ไม่ทำให้เลขจำนวนนั้นมีค่าได้ แต่ว่า 0 นี้ จะว่าไม่มีค่าก็ไม่ได้ แต่ถ้าเอาไปต่อเพิ่มกับเลขจำนวนใดก็จะทำให้เลขจำนวนนั้นวิจิตรพิสดารไป เช่นเลข 1 เอาเลข 00000 ต่อเข้าเป็น 10 เป็น 100 เป็น 1,000 เป็น 10,000 เป็น 100,000 เป็น 1,000,000 ไป แม้เรื่องของจิตก็เช่นกัน เรื่องฐีติจิตนี้ถ้าขาดสติปัญญาแล้วถอนขึ้นมาไม่มีสติปัญญานะ เมื่อขาดสติปัญญาพลั้งเผลอถอนขึ้นมาปล่อยถอนขึ้นมาเฉยๆ ประสบอารมณ์อะไรเป็นกิเลสไปเลย นี่มันจะหยุดไม่ได้ มันเผลอสติของเราไม่ดี ท่านว่าจิตเป็นของพิสดารมากมาย แต่ว่าถ้าฐีติจิตตัวนี้ได้รับการอบรมด้วยสติปัญญาดีแน่ชัดแล้ว ก็ลงสู่สภาพเดิมอันใสบริสุทธิ์

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ขอกราบเรียนถามเรื่องภวังคจิต ฌานจิต และสมาธิจิต</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ท่านเปรียบไว้ ภวังคจิต ฌานจิต สมาธิจิต
    ภวังคจิต ไม่ใช่จิตดั้งเดิมนะ ภวังค์คือภพ มันตกอยู่ในตัวกัมมวัฏฏะ กิเลสวัฏฏะ คือรัก โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ จิตตกภวังค์แล้วจะไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เราสังเกตได้ง่าย ภวังคจิตเข้าไปเฉยๆ ไม่มีสติปัญญาเลย มีแต่ภวังคจิต จะว่านอนหลับก็ไม่ใช่ เช่น คนนอนหลับจิตก็กองไว้ ไม่ใช่คนนอนหลับ ไม่ใช่จิตตกภวังค์ วางเหมือนกับนอนหลับ คนนอนหลับเป็นนิทราจิต นิทราจิต ธาตุก็นอน จิตก็นอน แต่ภวังคจิตธาตุไม่พักเข้าไปนอน แต่จิตที่เรียกว่าภวังคจิตมันเป็นอย่างนั้น
    ฌานจิต นี่อีกอย่างหนึ่ง ฌานจิตมีสติแต่ขาดตัวปัญญา วิปัสสนา นี่พูดให้เข้าใจง่ายๆ มันเป็นอย่างงั้น อย่างพวกที่เพ่งฌาน รูปฌาน ๔ สมัยก่อน พระพุทธเจ้าของเรายังมีรูปฌาน ๔ เพ่งดิน เพ่งน้ำ เพ่งลม เพ่งไฟ ด้วยความมีสติในจุดนั้น มุ่งหมายให้จิตสงบ ไม่มุ่งหมายให้ถอนกิเลส นี่เรื่องการเพ่งฌาน ๔ ไม่ว่าจะเพ่งดินก็ตาม เพ่งน้ำก็ตาม เพ่งไฟก็ตาม เพ่งด้วยความมีสติ ถ้าไม่มีสติจิตก็ไม่สงบ ไม่รู้ตัวเองเพ่ง แล้วจะไปสงบได้อย่างไร ต้องใช้สติ การเพ่งให้มีสติเป็นฌานนอกพระพุทธศาสนา พระองค์ไปเรียนมาแล้ว
    ในอรูปฌาน ๔ เพ่งอากาศ อากาสานัญจายตนะ มันออกไปแล้วไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความมีสติ ถ้ามีสติกำกับจิต จิตก็สงบเพ่งวิญญานความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด วิญญาณัญจายตนะเพ่งความรู้ให้น้อมเข้ามา อากิจจัญญาตนะเพ่งความรู้ให้น้อมเข้ามา เพ่งให้ละเอียดลงไปอีกความรู้น่ะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ รวมทั้ง ๒ อัน รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ เป็นโลกียฌานไม่มีการถอนกิเลส ไม่มีการถอนสังโยชน์ ไม่มีเรื่องวิปัสสนา เพียงแต่ทำใจให้สงบ ข่มกิเลสไว้ชั่วคราว เมื่อเสื่อมจากการข่มหรือเสื่อมจากสติ กิเลสก็เกิดขึ้น แต่ฌานนี้ก็เป็นบทพื้นฐานของวิปัสสนาได้เพราะตั้งอยู่ในความสงบ มีสติแล้วเป็นรากฐานไว้แล้ว ถ้าผู้สำนึกในอรูปฌาน ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน รู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ เป็นฌานที่ละเอียดค้นวิปัสสนาไม่ได้ แต่ไม่ใช่อัปปนาสมาธิ ไม่ใช่ฐีติจิต ต้องถอนมาในอากิจจัญญายตนฌาน มีความรู้อยู่ จึงจะค้นวิปัสสนาได้ รู้แจ้งเห็นจริงได้ นี่เรื่องของฌานมีเท่านี้
    สมาธิจิต ต้องอาศัยปัญญา เดินตามอริยมรรคปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ จิตถึงจะถอนกิเลสเป็นพักๆ ไปตามสติปัญญา มันเป็นยังงั้นเพราะฉะนั้นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบคืออะไร คือเห็นว่านี่ทุกข์ นี่เหตุให้เกิดทุกข์ นี่ธรรมอันเป็นข้อดับทุกข์ นี่คือข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ เห็นชัดลงไปนี้ นี่ทุกข์คืออะไร คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร คือตัวสมุทัยตัวตัณหา นี่ธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์คืออะไร คือการละตัณหา วางตัณหา ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์เป็นอย่างไร พากันเจริญให้มาก พิจารณาให้มาก บำรุงให้มาก คือตัวสติปัญญาเท่านั้นเอง ถ้าสนับสนุนตัวสติปัญญาให้มาก จิตก็พ้นไปนั่นเอง ปัญญาบริสุทธิ์ สติของตนจะบริสุทธิ์ ศีลของตนจะบริสุทธิ์ สติของตนจะบริสุทธิ์หลุดพ้นไปเพราะปัญญา มันเป็นอย่างงั้น เมื่อถอนออกจากรากนี้แล้ว ก็จะเป็น สัมมาสมาธิตามขั้น ถอนสังโยชน์ได้ เป็นอกาลิโก ไม่มีกาล เวลา ไม่มีการเข้าการออก ไม่มีเสื่อม ไม่เหมือนสมาธิกระรอกกระแต สมาธิในอริยมรรคไม่มีถอนกิเลสแล้ว ก็เป็นสมาธิตามขั้นของสติปัญญา ถ้าถอนหมดก็เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ไม่มีเสื่อมไม่มีคลาย มีแต่เจิรญ เราจะไปค้นดูข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันที่เป็นที่ดับทุกข์ ท่านก้บอกว่าให้มีศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น ศีลคือตัวสติ ปัญญาพิจารณารู้แจ้ง รู้รอบให้หมดเรื่องก็เท่านี้เอง

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ดูเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ก็ง่ายซิ เพราะพระองค์ท่านเทศน์เอาไว้แล้ว ปฏิปทาของพระองค์วันตรัสรู้อย่างไรล่ะ...ท่านตั้งปฏิปทาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ ท่านจะพูดกับใรก็วาจาชอบ สมบูรณ์ด้วยสติ ศีล สมาธิ ปัญญา สติปัญญาของท่านรอบรู้หมดแล้ว ส่วนธาตุขันธ์ท่านก็พิจารณามาตั้งแต่ยังไม่ได้บวช เห็นแล้วเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วปล่อยไปตามธรรมชาติ เมื่อมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย อย่างนี้ คงมีทางใดทางหนึ่งที่จะออกจากเกิดแก่เจ็บตายได้ แต่ท่านยังค้นไม่พบเท่านั้นเพราะว่าเป็นธรรมส่วนที่ลึกละเอียด ท่านจึงได้ออกบวช เมื่อออกบวชแล้ว 6 ปี ถึงได้ค้นพบตัวเหตุตัวปัจจัย ไม่ใช่เล่นๆนา พวกเรามาเห็นอย่างนี้คล้ายๆกับว่าพระองค์เตรียมทางให้เราแล้วราดยางให้เราแล้ว เรามีรถยนต์ก็ขี่ไปเท่านั้นเอง ขับดีก็ดี ขับไม่ดีก็ตกถนนเท่านั้น ตาเราดีหรือไม่..ขับไป สติเราดีหรือไม่..ขับไป สติเปรียบเหมือนตา ปัญญาเปรียบเหมือนแสงสว่าง ประสาทของตาดีหรือไม่ถ้าเราตาฝ้าตาฟางไม่ดี เคยเห็นที่อาตมาเขียนไว้เป็นคติ จำได้ไหม "สติเป็นตา ปัญญาเป็นแสงสว่าง สติจางแสงสว่างไม่พอ เหมือนตาลอฝ้าฟาง ย่อมเห็นวิปริตจิตพิการ" และ "สติกล้า ปัญญาสว่าง รู้จักทางถูกผิด จิตสงบพบสันติสุข รู้ทุกข์เพราะสติปัญญา"

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ที่ท่านอาจารย์บอกว่าพระพุทธเจ้าสร้างถนนราดยางไว้เสร็จนี่ คนที่ได้เห็นถนนแล้วทำไมยังไปไม่ได้หมด ยังหลงทางกันอีก</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ไปถามเขาซี่ มาถามอาตมาไม่ได้หรอก ถมไปที่คนเห็นถนนราดยางแล้วไม่เดิน ก็เดินเข้าป่าเข้ารกเข้าพงไป ไม่งั้นเขาจะว่าหลงเห็นกงจักรเป็นดอกบัวหรือ ท่านอาจารย์มั่นท่านก็บอกว่าท่านเองก็หลงมาพอแรงแล้ว เรื่องนี้น่ะเรามันเพียงแต่เป็นสติ เป็นปัญญา พระพุทธเจ้าท่านเป็นมหาสติมมหาปัญญา อาตมาไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ภาวนาแล้วจิตมันลงสู่ฐีติจิตตลอดคืนยันรุ่ง ถอนขึ้นมามีนิมิตขึ้นมา จากนิมิตก็ไปตามอารมณ์และก็เพลินอยู่ในฐีติจิตว่ามันสุข มันไปติดอยู่ในอดีต มันไม่ดูปัจจุบัน มันไม่วางไปเลย สบายไปเลย ไปกราบเรียนถามท่านว่า "บุคคลผู้พิจารณาควรต้องมีสติให้ได้ทุกลมหายใจไม่ใช่หรือครับ ถ้าไม่ได้ทุกลมหายใจ สติมันเผลออยู่อย่างนี้จะไม่เป็นไรหรือครับ" ท่านนั่งสงบจิตพิจารณาครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า "ไม่ได้หรอก ผมก็ไม่ได้ทุกลมหายใจ พวกสาวกไม่ได้ทุกลมหายใจดอก มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นแหละที่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นมหาสติ มหาปัญญา ส่วนพระสาวกนั้นเปนแต่เพียงสติ เป็นแต่เพียงปัญญา ไม่ได้ทุกขณะจิต ต้องมีการพลั้งเผลอเป็นธรรมดา แต่ถ้าการเผลอนี้ไม่เพลิดเพลินไม่จัดเป็นเสียหาย แต่การพลั้งเผลอด้วยความเพลิดเพลินลุ่มหลงยินดีนั้นเสียหาย ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ยินดีในสิ่งนั้น ต่อไปจะเกิดเป็นมานะขึ้นได้"

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ขอประทานโทษ ตอนท่านอาจารย์บวชตอนแรกๆท่านอาจารย์มีเผลอไปบ้างไหม</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>อาตมาบวชตอนแรกก็เผลอไปบ่อยๆเหมือนกัน แต่ถ้าเราจับจุดมันได้ถึงจะเผลอไปก็รีบเอาสติเข้าจับไว้ สำคัญที่เราต้องจับจุดให้ได้ และคอยระวังไว้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แต่ก่อนเวลาพิจารณาอะไร ประเดี๋ยวมันทิ้งสิ่งนี้ ไปติดที่การทำงานทางโลกของเรา แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าไปได้นาน อย่างเมื่อจับอะไรอยู่กจะนิ่งอยู่กับสิ่งนี้ อยู่ได้นานแปลว่าสติของเราก็ดีขึ้นหน่อย ต่อไปถ้าหัดไปก็จะอยู่กับสิ่งนั้นได้นานมากขึ้น มีบางท่านบางองค์ท่านเคยสอนว่า ให้ภาวนาให้มีสติปัญญาแก่กล้าก่อน มีรากฐานมั่นคงเสียก่อน อย่าเพิ่งไปทำวิปัสสนาเร็วนัก เดี๋ยวจะเฝือ เพราะว่าสติเรายังอ่อนอยู่ บางองค์ก็ว่าอย่าภาวนามาก สมาธิแก่กล้ามากไปไม่ดีเดี๋ยวเป็นบ้า ดูด้านกันอยู่ ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>วิปัสสนาความรู้แจ้ง ถ้ารู้แจ้งก็ไม่เป็น ถ้ายังไม่รู้แจ้งก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา สติเป็นตัวสมถะ วิปัสสนาเป็นตัวปัญญา ธรรมอันนี้อันเดียว เราไปเรียกเองต่างหาก พระท่านแต่ก่อนท่านอยู่ในป่าเห็นใบไม้ร่วงลงมา โอ้...อนิจจังวัตสังขารา สิ่งที่ไม่มีวิญญาณเป็นของไม่เที่ยง สิ่งที่มีวิญญาณก็เหมือนกัน

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>เราคิดอย่างท่านยังไม่ได้ มันยังไม่แจ้ง ยังไม่สินทิฏฐิโก เวลาท่านอาจารย์คิดแล้วมันกระจ่างจากใจ ไม่ได้รู้กระจ่างจากใจ ไม่ได้รู้เองเห็นเอง มันเป็นไปตามตำรา ของท่านอาจารย์เวลาได้ธรรมะชัดผุดขึ้นในใจมันสว่างโร่ไปหมดใช่ไหมคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>คราวแรกก็ต้องอาศัยตำรา อาศัยจากการได้ยินได้ฟังมาก่อนเหมือนกัน เหมือนการเดินทางที่จะให้ไปถึงจุดหมายได้ก็อาศัยแผนที่เดินทาง เดินไปตามทางที่ท่านผู้รู้บอกไว้แนะไว้ บากทางไว้ให้ ก็จะไปถึงที่หมายได้เร็วขึ้น พอถึงแล้วก็ร้อง...อ้อนี่เอง ที่ท่านว่า ฟังจากท่านเราก็วาดภาพไว้อย่างหนึ่ง ถึงที่แล้วเราก็เห็นเอง อาจจะเหมือนที่คาดไว้ก็ได้ เหมือนก็ได้ แต่มันก็ถึงบางอ้อทั้งนั้น
    คิดๆดูก็ไม่ใช่ของยากถ้าจับจุดถูก เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าเมื่อท่านได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านก็เยาะเย้ยตัณหา เยาะเย้ยเล่นอยู่ในใจ ตัณหาเมื่อเราไม่พบไม่เห็นจับตัวของท่านไม่ได้ ท่านก็พาเรากระเซอะกระเซิงเกิดในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้เราค้นพบตัวท่านแล้วจับตัวท่านได้แล้ว ปราสาทของท่านเราได้ทำลายแล้วด้วยดาบสติปัญญาที่มี ยอดปราสาทของท่านเราก็ทำลายแล้วมันเผาทิ้งแล้ว
    ปราสาทคืออะไร จักษุประสาทคือตา โสตประสาทคือหู ฆานประสาทคือจมูก ชิวหาประสาทคือลิ้น กายประสาทคือกาย มนะคือใจ ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ หมายความว่าทำลายแล้ว ยอดปราสาทคือตัวเหตุตัวปัจจัย อวิชชา โกรธ หลง ทำลายเราแล้วพ้นจากสังขารแล้ว จิตของเราพ้นจากสังขาร ไม่มีสังขารแล้ว นี่ท่านเยาะเย้ยภายในกายใจของท่าน ท่านเปล่งอุทานว่า "พราหมณ์คือนักบวช พราหมณ์ผู้เพียรเพ่งอยู่ด้วยความมีสติ พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ด้วยความมีปัญญา ย่อมรู้เหตุของปัจจัยของธรรมทั้งหลาย เมื่อพราหมณ์ผู้รู้เหตุรู้ปัจจัยของธรรมทั้งหลายแล้ว พราหมณ์ผู้นั้นย่อมทำเหตุทำปัจจัยธรรมทั้งหลายให้สิ้นไป เมื่อพราหมณ์ได้ทำเหตุทำปัจจัยของธรรมทั้งหลายให้สิ้นไปแล้ว พราหมณ์นั้นย่อมเป็นผู้ชนะมาร มารและเสนามารย่อมรังควาญพราหมณืผู้นั้นไม่ได้ เหมือนลมรังควาญภูเขาไม่ได้ พราหมณ์นั้นย่อมเป็นผู้ชนะมาร เหมือนพระอาทิตย์ที่ทำความมืดให้สว่างฉันนั้น" ไม่หลงอีกแล้ว ถ้าจิตเข้าไปพักอยู่มันจะเป็นอย่างไร ตัวเหตุตัวปัจจัย องค์ที่จะไปรู้ตัวเหตุตัวปัจจัยก็ดี ของธาตุขันธ์ก็ดี ต้องถอนขึ้นมาทุกขั้นเลย ที่ขาดจากอาสวะตัดไปจากอาสวะจากภพจากชาติรู้อยู่ในขั้นอุปจาระนี้ ขั้นอุปจาระคือขั้นตัวสติปัญญา ขั้นสมถะ นี่ถ้าเราขาดสติปัญญา ธรรมอันเป็นอนัตตาหาประมาณมิได้ ถ้าขาดสติปัญญาเพราะมันแทรกอยู่ ท่านว่าเปรียบเหมือนน้ำไหลในถาด มันก็มีอันหนึ่งแทรกอยู่ แล้วแต่ว่าภายในหรือภายนอกที่แทรกอยู่ บางทีเป็นอุบาย บางทีเป็นนิมิตเป็นภาพที่แทรกอยู่ เมื่อสติปัญญาเราไม่พอมันก็วางวิ่งไปตามนิมิตเหมือนฉายหนัง มีแต่อยากจะพูดอยากจะคุย ถ้าของจริงแล้วก็สงบ

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แต่ละองค์ท่านต้องหลงอย่างท่านอาจารย์ว่าไหมครับ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>มีเยอะเกือบจะทุกรายน่ะ เพียงแต่ว่าท่านรู้แล้วถอยกลับมาเร็วหรือไม่เท่านั้น บางองค์ก็แก้ไขได้ บางองค์ก็แก้ไขไม่ได้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>อย่างนี้เพื่อนฝูงช่วยกันได้ไหมครับ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ได้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ท่านอาจรย์เคยบอกว่า เมื่อจิตรวมถึงฐีติจิต เราจะเกิดรู้ตัวขึ้นมาเองใช่ไหมครับ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ใช่แล้ว...รู้เอง ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นท่านแนะนำไว้เสมอว่า ถ้าจิตมันรวมลงถึงขีดถึงขนาด ให้มีสติกำกับไว้ ปล่อยให้จิรวมอยู่ อย่าไปรบกวนจิต และจะบังคับให้จิตรวมหรือบังคับให้จิตถอน นี่บังคับไม่ได้ อย่าไปรบกวนจิต ถ้าจะถอนจิตมันถอนเอง แต่เราต้องมีสติรู้อยู่ นี่ประเภทจิตรวมนะ ถ้าจิตจะถอนขึ้นก็ให้มีสติ ถ้าจิตรวมแล้วเวลาถอนขึ้นเกิดมีนิมิตเรามักจะตามนิมิตมันเผลอไปเรื่อย เราต้องมรสติตามไปด้วย นิมิตไปไหนก็ตามไปด้วย นี่แหละมันมักจะเสียกันตอนนี้ อาตมาก็เสียตอนนี้เหมือนกัน

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ตอนนั้นท่านอาจารย์แก้ไขได้อย่างไร และเผลอไปนานไหมครับ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>มันมีวิธีแก้ในตัวของมันเอง ก็เผลอไปนานมั่ง ไม่นานมั่ง แล้วแต่จิตนิสัยของแต่ละบุคคล

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>บางครั้งภาวนา เมื่อจิตเริ่มรวม ได้เกิดนิมิตภาพ จิตก็ตามนิมิตนั้นไปเพราะอยากรู้ว่านิมิตภาพนั้นเป็นใคร เขามาปรากฏทำไม เขาต้องการจะให้เราช่วยอะไรบ้าง เกิดความสงสัยว่าเวลามีนิมิตควรทำอย่างไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>นิมิตจะเกิดขึ้นได้มีอยู่ 2 ระยะคือ ระยะแรก ก่อนที่จิตจะรวมแต่ยังรวมไม่ถึงขีด จะเกิดนิมิตขึ้น ระยะที่ 2 เมื่อจิตรวมถึงขีดแล้ว ตอนจิตกำลังจะถอนขึ้นก็จะเกิดนิมิตขึ้นได้
    นิมิตเกิดขึ้นได้ 2 ระยะ ต้องระวัง ระวังปากอ่าว ต้องคุมไว้ให้ดี ปากอ่าวอันตรายอย่าไปตัดนิมิต อย่าไปอยากรู้ มันเห็นมาแล้ว ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร เรากลับมาพิจารณากัมมัฏฐานของเราให้ดี ความอยากรู้ในนิมิตมันเป็นตัณหา เป็นตัวสมุทัย มันเป็นตัวสังขาร นั่นท่านเรียกว่า อาการของจิต บางทีอาการของจิตจะหลอก จิตเป็นของวิจิตรพิสดาร จะหลอกเรา กิเลสของเรามันหลอกตัวเราให้ไปหลงในภาพนิมิต
    พวกนักศีกษาหรือนักเรียนใหม่ก็อย่างนี้แหละ มักจะสนใจอยากรู้อยากเห็นจิตใจของเพื่อนต่างๆ อยากรู้อยากเห็นดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว อยากรู้อยากเห็นเทพบุตรเทวดาต่างๆ ภูตผีปีศาจอย่างนั้นอย่างนี้
    จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆเหมือนเรานอนหลับสนิทเราก็คงรู้ว่าเวลานอนเราหลับสนิทจะไม่รู้อะไรเลยเหมือนกับคนตาย พูดง่าย ทีนี้เวลาเราตื่นขึ้นใหม่ๆยังไม่มีสติ ถ้าอะไรมาประสบในเวลาตื่นขึ้นใหม่ๆ ก็ต้องตื่นเต้นใช่ไหม ก็ต้องตื่นเต้น พวกเราพอจิตรวมเวลาถอนขึ้นามีนิมิต จิตมาเจอะอะไรก็จับปุ๊บเลย จับเอาแบบไม่มีสติเพลินไปเลยนี่ มันไปไกลจนสุดกู่ กว่าจะรู้ตัว เอ๊ะ..เราผิด..มันเกินไปไกลแล้ว รู้เท่ากินครึ่งแล้ว รู้ไม่ถึงกินหมด จะทำอย่างไรหล่ะ คือว่าเรารู้แล้วอย่างนี้มันแก้มันเอง นิสัยของเราเคยเป็นอย่างนั้นก็แก้มันเองได้

    อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ปล่อยเหมือนกัน เมื่อพระองค์ท่านได้ฌานทีแรกระลึกชาติหนหลังได้ ท่านก็ตรวจชาติหนหลังจนไม่มีที่ตรวจ ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วก็กลับมาพิจารณาจิตก็รวมอีก จิตถอนขึ้นมาท่านก็ได้ฌานจนนิมิตสิ้นสุดอีก ท่านก็กลับมาพิจารณา แต่ว่านั่นเป็นธรรมดาของสัตว์ผู้มีกรรมกิเลสอยู่ เป็นกิเลสวัฏ กรรมวัฏ หมุนรอบ ท่านม้วนตรงนี้เลย ม้วนตรงกิเลสวัฏ กรรมวัฏ ดูไปก็เป็นกิเลสวัฏ กรรมวัฏ ดูแล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าเราไม่ตัดมันก็จะต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เราลูกศิษฐ์พระพุทธเจาก็ต้องตัดตามท่านซี่

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ปกติเป็นคนไม่ค่อยมีศรัทธาในเรื่องศาสนานัก โดยเฉพาะเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ ตามที่ได้เคยอ่านพบในพระไตรปิฎกหรือในชาดกยิ่งเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระเลย แต่ต่อมาได้เกิดพบเห็นสิ่งแปลกๆ ซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นบ่อยๆครั้ง ทำให้ต้องยอมเชื่อในสิ่งเหล่านี้และหันเข้ามาสนใจศึกษาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ทำให้มีศรัทธาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและมีครูบาอาจารย์หลายท่านได้บอกว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นเพื่อเป็นสิ่งจูงใจให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำไมเราไม่พบเห็นสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่อายุยังน้อย จะได้หันมาศึกษาและมีความศรัทธาเชื่อถือตั้งแต่ต้น

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>คนเราก็อย่างนี้แหละ เมื่อเป็นเด็กก็สนุกสนานเพลิดเพลินเป็นอยู่อย่างหนึ่ง พอเปนผู้ใหญ่นิสัยบารมีแก่กล้าได้ติดตัวขึ้นมาเอง
    จะเล่าให้ฟังมีนิทานอยู่เรื่องหนึ่งตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า มีอุบาสกคนหนึ่งเขาเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน มีเกวียนเป็นบริวาร 500 เล่ม อุบาสกคนนั้นเขามีนิสัยมีวาสนาบารมีจะได้บรรลุพระโสดาบัน แต่ยังไม่ได้สำเร็จ เมื่อขณะที่เขาไปค้าขายเอาสินค้าบรรทุกเกวียนไป 500 เล่ม พวกเทวดาก็ปรึกษากันว่าพวกเราต้องตามไปรักษาพ่อค้าคนนี้ เพราะว่าพ่อค้าคนนี้เขามีนิสัยที่จะได้บรรลุโสดา ต้องตามรักษาเพื่อไม่ให้พ่อค้านั้นเกิดอันตราย ถ้าเราไม่ตามไปรักษาแวมีอันตรายเกิดขึ้นศรีษะของเราจะแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง เทวดาจึงต้องตามไปรักษาให้ความปลอดภัยทุกสิ่งทุกอย่างจนตลอดทาง ครั้นเมื่ออุบาสกคนนั้นกลับมาบ้านได้มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า จึงได้สำเร็จโสดาบัน นี่..อย่างนี้แหละ พวกมีนิสัย เทวดาต้องตามรักษาเสมอ ไม่ถึงคราวถึงกาลไม่เป็นไร
    พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    บุคคลใดยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เปนที่พึ่ง บุคคลนั้นย่อมไปสู่สุคติตลอดแสนกัปป์ เมื่อละอัตภาพร่างกายของมนุษย์ไปแล้วจะได้เป็นผู้ถือว่ามีกายทิพย์ กายเทวดา กายเทพบุตร และบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความมั่นแม่นแล้ว สำหรับอันตรายต่างๆ เป็นต้นว่า ยาพิษ ศาสตราวุธ หรือไฟไหม้ บุคคลนั้นจะไม่ตายเพราะสัตว์กัดต่อยหรือสงคราม ไม่ตายด้วยยาพิษ ยาเบื่อ เว้นเสียแต่ผลกรรมของบุคคลผู้นั้นซึ่งทำไว้แต่สมัยก่อนจะตามมาทันเอง นั่นเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย ถ้าตายไปแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ดี มีตาดี มีหูดี ปากดี จมูกดี ลิ้นดี กายดี ใจดี และบำเพ็ญคุณงามความดีให้เกิดขึ้น บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาให้เกิดขึ้น มีนิสัยบารมีสร้างไว้ บำเพ็ญไปเรื่อยๆพอแก่กล้าก็สำเร็จพระนิพพาน
    ผู้มีศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใส บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ผู้นั้นจะได้บุญได้กุศล ถ้าตายไปแล้วบุญกุศลจะให้เกิดความสุขแก่ผู้นั้นให้ไปสู่สุคติ มนุษยสุข สวรรคสุข นิพพานสุข ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานบุญกุศลที่ตนเองได้ทำไว้ก็จะเป็นอุปนิสัยที่ตามรักษาคุ้มครองบุคคลนั้นให้ประสบแต่ความสุขความเจริญในสุคติ มีมนุษยสุข สวรรคสุข นิพพานสุข ถ้าบุคคลผู้นั้นหมั่นขยันเพียรบำเพ็ญไม่ยุดหย่อนอาจถึงนิพพานสมบัติในชาติปัจจุบันหรือในชาติต่อๆไป เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญบุญกุศลบำเพ็ญคุณงามความดีท่านจึงว่ามีเทวธรรมเทวดาคอยอภิบาลรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ปราศจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"ไม่ให้มอันตราย ไมให้ตกไปในที่ชั่ว ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไปอยู่ที่ไหนย่อมไม่มีอันตราย ปลอดภัย
    ดังนั้นเราจึงไม่ควรสงสัยเรื่องเทวดาตามมาอธิบาลรักษาหรือไม่ คุณงามความดีของเรานีแหละเป็นเทวดารักษาเรา เทวดาคุ้มครองเรา เทวดาก็คุ้มครอง เวธรรมคืออะไร "หิริ" คือความละอายสิ่งที่ชั่วสิ่งที่เป็นบาป "โอตตัปปะ" คือความสะดุ้งกลัว ความเกรงกลัวในสิ่งที่ชั่ว สิ่งที่เป็นบาป เมื่อเราไม่ทำความชั่ว คุณงามความดีของเรานั่นแหละรักษา ภายในเรามีคุณงามความดีรักษา ภายนอกเราก็มีเทวดารักษา เหมือนนานที่เล่ามานั่นเอง เราไม่ต้องสงสัย

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่าเวลาที่ยังลืมตาอยู่รู้สึกเหมือนมีภวังคสมาธิค้างอยู่ และขณะเดียวกันก็สามารถพูดคุยเรื่องหนึ่งได้ คือถ้าหลับตาก็เรียกว่าเข้าสมาธิ แต่นี่ลืมตาและรู้สึกเหมือนแบ่งเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งเหมือนเป็นสมาธิ อีกภาคหนึ่งพูดคุยกับคนอื่นได้ตามปกติ เช่นนี้เรียกว่าเรามีสมาธิจิตอยู่เหมือนกันใช่ไหมคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>สมาธิต้องมีสติรู้อยู่กับตัวตลอดเวลา บางครั้งก็เผลอๆไปบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้ามีความเพลิดเพลินก็เป็นอันตราย

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ทำไมบางคนภาวนาแล้วเขามีนิมิตเห็นโน่นเห็นนี่ แต่อย่างผม ภาวนาไปไม่เคยเหนอะไรเลย</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>นิสัยของคนไม่เหมือนกัน อย่างจิตของท่านอาจารย์ใหญ่มั่นท่านไปเรียนถามอาจารย์เสาร์ว่า "จิตของผมเดี๋ยวขึ้นพรหมโลก เดี๋ยวลงนรก เดี๋ยววิ่งไปโน่นมานี่ จิตของท่านเป็นอย่างไร" ท่านอาจารย์เสาร์ตอบว่า "จิตของผมเรียบๆไปเลย " มันไม่เหมือนกันหรอกเรื่องจริตนิสัย

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายถึงอารมณ์เวลาอยู่ในฌานมีลกัษณะอย่างไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ฌานคือการเพ่ง ฌานในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ท่านเจริญฌานสติปัฏฐาน พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าฌานนอกศาสนาคือ ฌานอยู่เฉยๆจิตมันลงไป วางอารมณ์หมด ฌานแบบนี้เปรียบเหมือนหญ้าที่มีหินทับอยู่ ถ้าเอาหินออกหญ้าก็งอกออกมา ฌานนอกสติปัฏฐาเป็นอย่างนั้น อย่างฤาษีจากกษัตริย์บวชเปนฤาษีอยู่ 20 พรรษา เจริญฌานได้สำเร็จ ฌาน 4 จิตอยู่เฉพาะจิต เฉยๆเข้าใจว่าถึงที่สุดแล้ว แต่ที่แท้ วันหนึ่งเหาะผ่านพระราชวังเห็นผู้หญิงสวยเข้า เกิดความรัก ฌานเสื่อมตกลงจากอากาศลงมาเลยก็มี วิธีให้จิตอยู่เฉยๆเราจะบริกรรมอันหนึ่งอันใดก็ได้ เพ่งกสิณก็ได้ เพ่งมีอารมณ์อันเดียว มีความหมายตั้งจิตข้างหน้าเป็นผู้บังคับจิตให้รวม เพ่งจิตนั้นให้รวมนี้เรียกว่าความสุข ทีนี้จิตถอนจากอันนั้นก็มาถึงความสุขอันนั้นรวมเป็นอารมณ์หล่อเลี้ยงจิตให้มีความสุข แต่ฌานในพระพุทธศาสนาน้นใช้วิธีบังคับสติให้พิจารณาอยู่ในไตรลักษณ์ในสัจธรรม

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>บางคนเจริญฌานอย่างนั้นจนชำนาญแล้วก็ไปติดเพลิดเพลินอยู่ในฌานนั้น อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าเหมือนถอนหญ้าที่มีหินทับไว้ แต่บางท่านก็บอกว่าก่อนจะไปพิจารณาต้องบำเพ็ญฌานให้ชำนาญเสียก่อน และท่นอาจารย์บางองค์เคยสอนว่าต้องภาวนาให้มีพลังสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยพิจารณา เหมือนจะปลูกบ้านต้องวางรากฐานใหแข็งแรงเสียก่อน</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ก็แล้วแต่จริตของบุคคล พระโยคาวจรเจ้าบางองค์จิตรวมก่อน เมื่อจิตถอนแล้วจึงพิจารณา บางองค์พิจารณาก่อนแล้วจิตจึงรวม บางองค์พิจารณาแล้วขาดไปเลย มันไม่เหมือนกันหรอก พระอรหันต์แต่ละองค์ยังมีวาสนาบารมีต่างกัน บางองค์นั่งฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ก็สำเร็จในที่นั้นเลย บางองค์บำเพ็ญภาวนาเสียก่อนเมื่อมาฟังเทศน์ ก็พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าจึงจะไปได้ จิตของท่านอาจรย์มั่นท่านว่าจิตรวมก่อน จิตของท่านอาจารย์อีกองค์หนึ่งว่าพิจารณาก่อนจึงรวม อีกองค์หนึ่งว่าพิจารณาลงขาดไปเลย กิเลสมันขาดเป็นระยะไปเลย เลยหมดไปเลย มันต่างกัน นิสัยวาสนาบารมีที่บำเพ็ญมานั้นต่างกัน เราพูดมันยาก บางท่านมีฐานมาดีแล้ว สมมติท่านฟังเทศน์ ท่านพิจารณาของท่านจิตของท่านก็ขาดไปเลย ฐานของท่านดีแล้ว
    จริตของเราเป็นอย่างนั้นแหละดี ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่ตั้งมั่นกไปไม่ได้ ถ้าไม่มีกำลังก็ไปไม่ได้ ตรัสรู้เร็ว ปฏิบัติง่าย ตรัสรู้เร็ว ปฏิบัติยาก ตรัสรู้ยาก ปฏิบัติง่าย ตรัสรู้ยาก ปฏิบัติยาก มีดังนี้
    ปฏิบัติง่ายรู้ได้ง่าย ไม่ลำบาก
    ปฏิบัติง่าย ตรัสรู้ยาก คือจิตมันสงบยาก มันรู้ยาก
    ปฏิบัติยาก รู้ได้เร็ว รู้ง่าย
    ปฏิบัติยาก ตรัสรู้ยาก ได้ตรัสรู้แต่มันก็ยาก

    มีแค่นี้นิสัยของสัตว์โลก จะใหเหมือนกันมันไม่เหมือนกันหรอก บางท่านเป็นผู้มีตาทิพย์ ดูพรหมโลกได้ ดูนรกได้ ดูเทวดาได้ อย่างพระโมคคัลลานะ หรือพระอนุรุทธะ ตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน องค์อื่นจำต้องคอยถามท่านพระอนุรุทธะ ท่านมีทิพยจักษุเป็นลิศที่สุดในบรรดาสาวก องค์อื่นไม่เทียบเท่ากับท่าน ดูแต่พระอรหันต์ยังไม่เหมือนกัน พวกเราก็ไม่ต่างกันกับท่าน บางคนจิตหยาบ บางคนละเอียด ที่เขาละเอียดเขามีพื้นฐานดีแล้ว พอเขาเจริญภาวนาเขาก็ได้เลย ตัดไปเลย
    พวกเราก็ต้องพยายามบำเพ็ญความเพียรกันไป อย่าทอดทิ้งความเพียร วันหนึ่งผลสำเร็จก็ต้องเป็นของเรา ถึงจะไม่ถึงที่สุดในชาตินี้ แต่ก็จะเป็นนิสัยปัจจัยติดตัวเราไปในชาติหน้าภพหน้า ขอให้บำเพ็ญต่อไปเถอะ

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ขอกราบเรียนถามในเรื่องระเวสสันดร มีตอนหนึ่งกัณหาชาลีถูกชูชกเฆี่ยนตีต่อหน้าพ่อ ก็ตัดพ้อพระเวสสันดรตอนหนึ่งว่า"กุมาร กุมารีใดไร้นิราศ ปราศจากพ่อ ยังแต่แม่ผู้เดียว ก็พอแลพอเหลียว ชื่อว่าผู้พร้อมทั้งบิดาและมารดา ทาริกา ทารกผู้ใดไร้นิราศ ปราศจากแม่ ยังแต่พ่อผู้เดียว ก็เปล่าเปลี่ยว ได้ชื่อว่าสูญสิ้นทั้งบิดาและมารดา" เฉพาะนางกัณหายังบอกขอลาว่า "พระบิดาอย่าได้น้อยพระทัยเลย พระคุณเอย..อน่าว่าลูกนี้ล่วงมาดูถูกที่จะได้กลับมาเป็นพ่อลูกกันสืบไปนั้น...คงไม่มีอีกกระมัง" เพราะอธิษฐานอย่างนั้นชาติหน้านางกัณหาจึงไม่ได้มาเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าอีก ใช่ไหมคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เขาไม่ได้อธิษฐานหรอก เขาร่ำไรรำพันให้พ่อฟัง คือว่าโบราณกุมารกุมารีใดปราศจากแม่ ยังแต่พ่อคนเดียวก็จะเปล่าเปลี่ยวเพราะปราศจากหมด ถ้ากุมารกุมารีใดปราศจากพ่อ ยังแต่แม่ผู้เดียวก็ถือว่ามีพร้อม มีพร้อมเพราะว่าบิดานี่ถึงอบรมลูกอย่างไรก็ไม่ถึงใจ แต่มารดานั้นอบรมลูกถึงใจ เลี้ยงลูกถึงใจคุณของมารดานั้นมีมากหาประมาณมิได้ เพื่อให้พ่อสลดใจกัณหาจึงแกล้งว่าอย่าว่าลูกประจานหน้าพ่อเลย อย่าว่าลูกดูถูกดูหมิ่นเลย

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>"ชาติหน้าก็คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว" มีประโยคนั้นต่อไหมเจ้าคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ไม่มี คงจะว่าจะได้กลับมาเป็นพ่อลูกกันอีกในชาตินี้คงจะไม่มีหวังแล้ว เพราะกลัวว่าพราหมณ์จะฉีกเนื้อฉีกเลือดกินเป็นอาหารในกลางทาง จะได้กลับมาเห็นหน้าพ่อลูกกันอีกนั้นเห็นจะไม่มีทางแล้ว ว่าอย่างนั้น

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แต่พอดีชาติหน้ากัณหาก็ไม่ได้เกิดจริงๆ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ได้เกิด แต่ชาลีนั้นเขาไม่ได้ปรารถนา เขาไม่ได้โกรธในพ่อ แต่ก็อาจจะเป็นกรรมเป็นเวรของพวกเขาที่นางกัณหาเกิดชาติไหนก็มีแต่อธิษฐานๆชาติหน้าไม่มาเกิดหรอก กัณหาไม่ปรารถนามาเกิด แต่กรรมยังไม่หมดจึงต้องมาเกิดอีก ได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐี ชาลีนี่ไม่ได้อธิษฐาน

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แต่กัณหาเป็นคนตัดพ้อว่าที่จะได้กลับมาเป็นพ่อเป็นลูกกันสืบไปอีกนั้นเห็นจะไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็เพราะคำตัดพ้ออันนั้นถึงไม่ได้มาเกิดเป็นพ่อลูกกันอีกกับพระเวสสันดรหรือพระพุทธเจ้า ใช่ไหมเจ้าคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>อาจจะเปนอย่างนั้นก็ได้ เด็กน้อยถูกตีหลาย เจ็บปวด ก็รำพันไป เหตุที่กัณหาชาลีถูกพราหมณ์ตีเพราะว่า สมัยก่อนกัณหาชาลีเป็นสามีภรรยากัน ไปฆ่าวัวแก่ตายเนื่องจากเอาของใส่หลังต่างไป ทีนี้กลัวจะไม่ทันเวลาไปจ่ายสินค้าหรือซื้อสินค้า วัวอยากกินหญ้ากินน้ำก็ไม่ให้กิน ตีไปเร่งไปเลยไปถึงจุดที่หมายถึงให้กิน เป็นอย่างนี้ เรื่องของกรรม จึงว่ากัณหาชาลีเป็นพ่อค้า พราหมณ์ชูชกเป็นวัวต่างในสมัยนั้น มีแต่ตีเคี่ยวเข็ญไปเรื่อยเพราะกลัวจะไม่ทันเวลา

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>กัณหาชาลีสองคนนี้ที่เป็นพี่น้องกันก็เคยเกิดเป้นสามีภรรยากันด้วยหรือ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เคยซิ ชาติในเวสสันดรชาดกนั้น ...ต่อไปก็เป็นสามีภรรยากัน แต่งงานกัน

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ที่ว่าชาติก่อนกัณหาชาลีเคยตีชูชก และชาติต่อมาชูชกตีกัณหาชาลี แล้วชาติต่อไปเป็นอย่างไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เขาพ้นไปแล้ว กรรมสนองกรรม คือจากชาตินั้นพวกกัณหาชาลีไปอยู่ในชั้นดุสิต สร้างบารมีเต็ม แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ด้พบพระพุทธเจ้าไม่นานก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ชาลีก็เป็นพระราหุล กัณหาเป็นนางอุบลวรรณาเถรี ชูชกน่ะมาเกิดเป็นพระเทวทัต

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ท่านอาจารย์เจ้าคะ ทำไมชูชกลงมาเกิดเป็นพระเทวทัตคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>แกก็สร้างกรรมไว้ทุกชาติ สร้างกรรมทำเช่นนี้มาทุกชาติ แต่ก็มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสแฝงอยู่ แต่ว่าเป็นความทุจริต

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>เอา! ทำไมต่อไปภายหน้าพระเทวทัตจึงได้เป็นพระปัจเจกได้คะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>คือว่าตอนนั้นแกเห็นโทษของตนเอง เกิดความสลดใจ แกมาเห็นโทษของตนเองจึงขอขมาโทษพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีศรัทธาออกบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ก็มาทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่ผลที่สุดไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยมาพิจารณาเห็นโทษของตนจึงให้ลูกศิษย์หามมา หามมาก็พอดีบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยอานิสงฆ์อันนี้ อานิสงฆ์ที่ขอขมาพระพุทธเจ้าแล้วก็เห็นโทษของตนแล้วก็ถวายชีวิต พระเทวทัตจึงจะได้มาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในภายหลัง

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>สงสัยนิดหนึ่งอย่างที่เคยได้ยินว่า ผู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิตนี่จะไม่มีทางได้เปนพระอรหันต์ไม่ใช่หรือคะ แต่ว่าพระเทวทัตนี่ก็ทำกรรมอันนี้แต่กลับจะได้เป็นพระปัจเจกต่อไปข้างหน้า ดีกว่าพระอรหันต์เสียอีกนี่ มันไม่ขัดกันหรือเจ้าคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ไม่ขัด มันไม่ขัด ท่านเสวยกรรมอันหนักนั่น ที่ว่าไม่มีทางได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ นั่นหมายถึงไม่มีทางเป็นในชาติปัจจุบันได้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>หมายความว่าไม่สำเร็จในชาตินี้ แต่ต่อไปถ้ารับกรรมตกนรกอเวจีและสร้างบารมีต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็อาจจะกลับสำเร็จไปได้ และอย่างองคุลิมาลที่ฆ่าคนเป็นร้อยๆคน ทำไมถึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ในชาติปัจจุบัน</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เพราะว่ากรรมอันนี้เป็นด้วยคนหลอกลวง บุคคลอื่นทำลายเกียรติศักดิ์หรือคุณงามความดีขององคุลิมาล องคุลิมาล หรือ อหิงสกะ นี่เรียนเก่งในจำนวนนักเรียน 500 คน อาจารย์ก็รักเพราะว่าองคุลิมาล เป็นผู้ปฏิบัติใกล้ชิดอาจารย์ เคารพอาจารย์มาก และก็วอบได้ที่ 1 ของนักเรียน พวกนักเรียนก็เลยอิจฉาพยาบาทซัดทอดบอกอาจารย์ว่า นักเรียนคนนี้ต่อไปจะแข่งดีอาจารย์ จะทำลายอาจารย์ ขอใหอาจารย์กำจัดเสียฆ่าเสีย อาจารย์ก็ว่าฆ่าอย่างไร ฆ่าลูกศิษฐ์ไม่ได้ เลยทำอุบายบอกว่า ยังมีอีกวิชาหนึ่งถ้าเรียนจบของอาจารย์ได้ก็จะเรียนเก่งมาก วิชานั้นเป็นของที่ทำยาก ถ้าเรียนได้แล้วจะต้องเป็นเจ้าโลก รู้ว่าเขามุ่งหวังจะเป็นเจ้าโลก อาจารย์ก็หาอุบายให้คนอื่นเขาฆ่า โดยหลอกองคุลิมาล ว่าก่อนจะเรียนวิชานี้ได้ต้องไปหานิ้วมือมนุษย์มา 1,000 นิ้ว ให้ได้ก่อน มีข้อแม้ว่านิ้วหนึ่งก็ให้เอามาจากคนหนึ่ง ได้ครบ 1,000 นิ้วแล้วให้กลับมา อาจารย์จะสอนวิชาให้ได้เป็นเจ้าโลก เอ!...องคุลิมาล คิด เอ! เราเกิดในตระกูลสูง อาจารย์ไม่ควรทำบาปอย่างนี้ ตระกูลเราไม่เคยทำ แต่ที่เรามุ่งหน้ามาเรียนวิชานี่เพราะบิดามารดาส่งมาเพื่อจะได้เรียนวิชาชั้นสูงพิเศษ ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่ได้วิชา ไม่ได้เป็นเจ้าโลก จำเป็นเราต้องเอา ไม่ฆ่าโดยเจตนา ทีแรกก็ขอเขาแต่ใครจะไปให้ เมื่อไม่ให้ก็ต้องฆ่าเอา ตัดเอาคนละนิ้ว คือไม่ฆ่าโดยเจตนา ฆ่าเพราะหลงก็เหมือนอย่างทหารนี่ ยกทัพจับศึกกันนี่ ทุกคนจะยิงกัน ตายกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น เพราะเขาไม่เจตนา ทำตามคำสั่งผู้อื่น แต่ผู้ออกคำสั่งไปตกนรกอย่างพระเตมีย์ ผู้สั่งก็เหมือนกัน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นข้าศึกมันก็เข้ามาเบียดเบียน ก็หมายความว่าถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ มันเดือดร้อนกันหมด

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>พระองคุลิมาลคงทำบารมีชาติก่อนๆไว้มากเหมือนกันใช่ไหม</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>มี พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาแล้ว องคุลามาลนี่เคยสร้างบารมี มีนิสัยเป็นอรหันต์อยู่ แต่ขณะนี้จิตหยาบกระด้างโหดเหี้ยมแล้ว เพราะฆ่าคนมามาก เก็บนิ้วไว้ ไม่รู้จะเก็บที่ไหนก็ร้อยไว้เป็นพวงมาลัย ขณะนั้นได้นิ้วมา 999 นิ้วแล้ว ขาดอีกนิ้วเดียวก็จะครบพัน ก็หมายความว่าฆ่ามาแล้ว 999 คน ขาดอีกคนหนึ่งจะครบพันคน พันชีวิต และวันนั้นมารดาขององคุลิมาลก็จะออกไปหาลูก ลูกพบก็จะฆ่ามารดา เพราะวันนั้นจะพลบแล้ว ถ้าใครมาก็จะฆ่าเอาแล้วไม่ว่าพ่อว่าแม่ ใครๆก็ตาม ยังอีกนิ้วเดียวเท่านั้นจะสำเร็จแล้วนี่ พรพุทธเจ้าพิจารณารู้ว่าวันนี้มารดาขององคุลิมาลจะไปส่งอาหาร ไม่ได้...องคุลิมาลนี่จะฆ่ามารดา จำเป็นเราตถาคตจะไปก่อนออกไปก่อนมารดา เพราะถ้าองคุลิมาลทำมาตุฆาตคือฆ่ามารดา นิสัยอรหันต์ก็จะสิ้นไปทันที ต้องตกนรกอเวจี และตอนนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจะยกกองทัพไปปราบโจรองคุลิมาล ไปตั้งทัพไว้นอกวัดเชตวัน พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปทรมานก่อน องคุลิมาลเห็นพระพุทธเจ้าคิดว่า โอ้...บุรุษคนนี้สวยงาม เราจะเอานิ้วมือให้ได้ ก็ถือดาบวิ่งตามไป พระองค์อธิษฐานให้องคุลิมาลเต้นขยอกๆอยู่ที่เก่า เขย่าอยู่นั่น ที่ว่าไล่ตามไปไม่ใช่ อธิษฐานให้องคุลิมาลเต้นยึกๆคล้ายๆว่าตัววิ่งอยู่เรื่อยๆ พระองค์ดำเนินไปช้าๆองคุลิมาลวิ่งตามเท่าใดก็ไม่ทัน จนเหนื่อยจึงโกรธร้องว่าพระพุทธเจ้าว่า "หยุด หยุด สมณะ สมณะ สมณะ หยุด" นานๆเข้าพระองค์ก็ว่า "เราหยุดแล้ว เธอซิไม่หยุด" "หยุดทำไมวิ่งไป สมณะพูดปด" เราไม่ใช่หยุดนิ่ง เราหยุดทำบาป เธอยังไม่หยุดทำบาป เธอไม่หยุดฆ่าคน องคุลิมาลฟังแล้วรู้สึกว่าตนผิด จึงวางอาวุธ

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แล้วอาจารย์ที่สั่งให้ไปฆ่า อันนี้อาจารย์ก็ผิดมากใช่ไหมเจ้าคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>คืออาจารย์ไม่ได้สั่งฆ่าคน แต่สั่งตัดเฉพาะนิ้วเฉยๆ ถ้าเอานิ้วมือเขาแล้ว เขาไม่ห้เขาก็คงฆ่าองคุลิมาล เจตนาให้คนฆ่าองคุลิมาล แต่ก็ไม่มีใครฆ่าองคุลิมาลได้ องคุลิมาลกลับสามารถฆ่าคนได้เกือบจะถึงพันหนึ่ง ขาดอยู่คนเดียว พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จไปทรมานสำเร็จ
    การที่องคุลิมาลไม่ได้มีจิตตั้งใจคิดฆ่าคนนี้เป็นสัจจะความจริง ฉะนั้นต่อมาภายหลังเมื่อองคุลิมาลพบหญิงมีครรภ์เจ็บท้อง อย่างน่าสงสารจึงอิษฐานน้ำล้างที่นั่งให้หญิงนั้นกิน โดยว่า "ตั้งแต่เราเกิดมา ไม่เคยแกล้งปลงสัตว์มีชีพจากชีวิต ด้วยอำนาจการกล่าวคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่าน โหตุ โสต.ถิ คพ.ภส.ส" ว่าแค่นั้นหญิงนั้นก็คลอดลูกออกมาโดยง่าย คาถาของพระองคุลิมาล โหตุ โสต.ถิ คพ.ภส.ส ให้ผู้หญิงคลอดลูกง่ายยังคงใช้แพร่หลายกันจนเดี๋ยวนี้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>องคุลิมาลท่านก็ต้องมีสัจจบารมีมากซีคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เรื่องเหล่านี้จึงได้เรียกว่า สังขารของเราไม่เที่ยง ราคะสังขาร โทสะสังขาร โมหะสังขาร กล้วนเป็นสังขารเป็นของไม่เที่ยงไม่แน่นอน มันวางกันได้ พอเราวางได้มันก็หมดเรื่อง ที่เราวางไม่ได้มันติดพันกันอยู่ ลำบาก แก้ไม่ตก
    องคุลิมาลนี่เมื่อเวลาบวชแล้วมานั่งภาวนา พวกนิมิตทั้งหลายผีปีศาจถือหอกถือดาปจะมาแทงจนกลัวแก้ไม่ตก จึงไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านให้ละ อย่าไปถือเป็นอารมณ์ ต่อมาจึงบำเพ็ญจนสำเร็จอรหันต์

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>เพราะฉะนั้นเวลาเรานั่งภาวนาถ้าเราเห็นภาพนิมิตน่ากลัว พวกนี้เราต้องละไม่รู้ไม่ชี้ใช่ไหมครับ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>คำว่า "ละ" หมายความว่าอย่าไปติดมันอย่าไปยึดมัน รู้ก็ไม่เป็นไร เหมือนอย่างเราเห็นคนสวยคนงาม เราก็รู้ว่าคนๆนั้นสวย คนนั้นงาม แต่อย่าไปติดความสวยความงามของเขา อย่าไปวิ่งตามคนสวยคนงาม อย่าไปรักคนสวยคนงาม วางตัวเฉยๆ ถ้าไปรักนั่นกำหนัดอยู่นั่นไม่สบายแล้ว หรืออย่างเห็นคนที่ไม่ดี คนกลั่นแกล้งเรา เราก็ชังคนนั้น แต่อย่าไปติดตามชังมัน ให้ละมัน รู้ว่ามันชังเราก็ละ อย่าให้เป็นโทษ ถ้ามันชัง แล้วเรามัวแต่เอาความชังมาปลุกปล้ำใจของเราก็เลยเกิดเป็นโทษ ก็เบียดเบียนกันใช่ไหม

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>เพียงแต่ "ชัง" ยัง "ชัง" ได้หรือเจ้าคะ นึกว่าเราควรเพียงรู้ว่าเขาไม่ดีเท่านั้น แต่เราไม่ควรต้องไปชังเชา</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ทำได้อย่างนี้ก็ดีซิ รู้ว่าไม่ดี ไม่ชังก็ดีแล้ว ปัญญาคนเรามันมีหลายขั้น ขั้นหนึ่งร่าไม่ดีก็ยังไปเกลียดไปชังไปเบียดเบียนเขา นี่ปัญญาขั้นหนึ่ง ส่วนอีกขั้นหนึ่งถ้าเห็นว่าเป็นคนไม่ดีก็เพียงแต่รู้ว่าไม่ดี ไม่ต้องชังเขา ละมันเสีย นี่คนละขั้น คนละระดับ ใจคนมันต่างกัน ใจดี ใจดำ ใจก่ำ ใจขาว ใจยาว ใจสั้น ใจแคบ ใจกว้าง ใจเพชร ใจพลอย ใจแก้ว เป็นอย่างนั้น

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ใจยาว ใจสั้น ใจขาว ใจดำ เป็นอย่างไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>คนใจยาว หมายถึงว่าใจมันก็ดี อย่างเขามาเป็นหนี้เป็นสินเรา มาขอผ่อนก่อนครับ ผมยังหาเงินไม่ทัน เออ...เอาไว้ต่อๆไปก็ได้ ยืดไปเรื่อยๆ ผ่อนผันเขา พูดง่ายๆนี่เป็นคนใจยาว ให้อโหสิกรรมไปเรื่อยๆไม่เอาโทษ เอากรรมเขา ไม่บีบบังคับเขา เข้าใจไหม นี่คนใจยาว ถ้าคนใจสั้นก็เอาเดี๋ยวนั้นแหละ เอามาซี ไม่เอื้อเฟื้อผ่อนสั้นผ่อนยาวให้ใคร ส่วนคนใจขาวก็ใจสะอาด ใจไม่มีมลทิน และคนใจดำก็ใจอำมหิต

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แล้วใจเพชร ใจพลอย ล่ะครับ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ใจเพชร นี่หมายถึงว่าใจดี ใจบรสุทธิ์ ไม่กลับกลอกหลอกหลอน เป็นเพชร ใจพลอย ก็คล้ายๆกันนั่นแหล่ะ ประเภทผู้ละ น้องๆใจเพชร ใจเพชรก็แค่โสดา สกิทา อนาคา ใจพลอย ก็คือจุลโสดา น้องชายโสดา

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ท่านอาจารย์บอกว่าจิตใจสะอาดบริสุทธิ์แล้วนี่ จิตเป็นแก้ว ยังไงๆก็เป็นโสดาเลย โสดาแล้วบางคนบอกว่าถ้าจิตใสเป็นดวงแก้วเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำไป</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>มันใสก็ใสต่างๆกัน ใสอย่างหมดมลทินหมดกิเลส ใสอีกอย่างหนึ่งมันไม่หมด มันมีเป็นอาสวะนอนอยู่ เวลาจิตลงไปมันก็ใสถอนมาก็เป็นจิตธรรมดา ใสเฉพาะตอนปรุงแต่ง ของพระโสดาสกิทาคา ปัญญาของท่านมันดี ไม่หลอก ของพระอรหันต์ท่านบริสุทธิ์เป็นแก้วแล้ว

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ส่วนมากคนสมัยใหม่จะนึกว่าเรื่องสมัยพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องแต่งเติมเสริมขึ้น เป็นเร่องนิทาน ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ก็ยังเขียนบ่อยๆ ว่าชาดกนั้นเป็นนิทาน เขานึกว่าเป็นเรื่องเขียนเล่นกันทั้งนั้น</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ธรรมดา ปุถุชนนี่เขาไม่เชื่อง่ายหรอก ใครๆก็เหมือนกันแหละ

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>แล้วทำไมท่านอาจารย์เชื่อล่ะเจ้าคะ เหตุใดท่านอาจารย์จึงเชื่อว่าคำสั่งสอนนั้นๆเป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ ที่จริงทุกคนเคารพพระพุทธเจ้า แต่ที่ไม่เชื่อเพราะไม่เชื่อว่าเรื่องอันนั้นเป็นคำของพระพุทธเจ้าจริง นึกว่าเป็นการเติมกันขึ้นมา อย่างนี้ท่านอาจารย์ก็ต้องรู้แจ้งมาก่อน เห็นจริงแล้วท่านอาจารย์จึงเชื่อ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>เชื่อก็เชื่อเหตุเชื่อผลนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านแสดงมีเหตุมีผล อย่างท่านว่าในร่างกายของเราเป็นของไม่สวยไม่งาม ถ้าดูเผินๆ มันก็งาม เห็นหน้าสวย ผิวสวย ปากสวย ตาสวย ถ้าเราดูละเอียดแล้วมันก็ไม่งามอย่างท่านว่า ใต้ผิวใต้หนังลงไปมันมีอะไรสวย ปากตานั่นอีกไม่นานก็เหี่ยวย่นเป็นกระดูกกลวงโบ๋ไปหมด เขาเชื่อกันอย่างนั้นจึงถึงสัจธรรมนี่แหละ เราจะเถียงท่านมันไปไม่ได้ จะว่างามหากดูละเอียดมันก็ไม่งาม แม่นของท่าน อย่างการทำบาปนี่เป็นบาป ทำไปแล้วมันก็ร้อนอย่างไปฆ่าเขาดูซิ ไปลักขโมยของเขาดูซิ ที่เห็นอยู่นี่เป็นอย่างไร ติดคุกติดตะราง เดือดเนื้อร้อนใจใช่ไหม แต่ถ้าเราทำดี เราก็อยู่เย็นเป็นสุข สบายใจ

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>หลวงปู่ขาวเคยบอกว่า มนุษย์เราเคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเป็นครูบาอาจารย์กันมาทุกคน ทุกคนเคยเป็นกันทั้งนั้น ไม่เคยที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะเราต่างเกิดกันมาเป็นอสงไขยชาติ นับชาติไม่ถ้วน ถ้าเป็นอย่างนั้นคนเราก็ไม่น่าจะเป็นศัตรูกัน ควรจะรักใคร่ปรองดองกัน แต่ทำไมคนถึงกลับไปเป็นศัตรูกัน</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>มันเป็นเรื่องของกิเลส กิเลสมันไม่แน่ อย่างภรรยาสามีทีแรกก็รักกัน ต่อมาก็ชังกัน เกลียดกันได้ ตีกัน ฆ่ากันได้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>พวกนี้พอเกิดใหม่ก็เป็นศัตรูกัน</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>พวกกิเลสนี้มันไม่แน่ มันเป็นของไม่แน่นอน ยืนยันไม่ได้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>เคยได้ยินประวัติว่า ท่านอาจารย์อยู่ที่ดงหม้อทองและถ้ำจันทน์แห่งละหลายๆปี เป็นสถานที่น่าภาวนา ดีมากต่างกันอย่างไรเจ้าคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>มันดีคนละอย่าง อยู่ดงหม้อทองภาวนาจิตรวมง่าย บางวันรวมตลอดวันตลอดคืน นั่งแล้วเอาปี๊บตั้งไว้ นั่งบนปี๊บตลอดคืนไม่ล้ม ไม่นอนตลอด 2 เดือน ทั้งกลางคืนกลางวัน เหตุที่ทำอย่างนั้นเพราะว่าจิตของเราลงไปแล้วมันนิ่ง ไม่รู้สึกตัว รู้ว่าจิตรวม ทีนี้พอออกพรรษาไปหาท่านอาจารย์ฟังเทศน์ ท่านให้พิจารณาบ้างเพราะจิตมันรวมพอแล้ว เราอย่าไปพัก ถ้ามีแต่พักมันเป็นโทษ ปัญญาไม่กล้า ปัญญาไม่มี เลยกลับมาถ้ำจันทน์ทีนี้ไม่ให้จิตมันลง มีแต่ค้นอย่างเดียว แต่มันดีคนละฐาน มีแต่ค้นกาย เล่นพิจารณากาย ไม่ให้จิตพัก แต่อย่างนั้นมันก็อยากลงอยู่ ความรู้สึกว่ามันจะพักอย่างเดียว เพราะมันเคยพักเคยสบายจนติดต้องแก้กันจนหาย

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ตอนนี้ท่านอาจารย์ยังค้นอีกไหม</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ก็ค้นซิ ทางปฏิปทาทางเดินก็ต้องเดินไป มันทิ้งไม่ได้ พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ทิ้ง ถ้าทิ้งอันนี้ก็เท่ากับทิ้งบาตร ก็เดินอยู่เรื่อยๆนั่นแหละ เหมือนเราได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เราก็ต้องดูหนังสืออยู่ตลอด อ่านหมดเล่มแล้วก็อดเอามาอ่านทบทวนไม่ได้

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>คนที่มีศีลไม่สมบูรณ์จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติภาวนาไหมคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ต้องเป็นอุปสรรคซี ศีลหมายถึงเจตนาวิรัติ วิรัติเฉพาะหน้า วิรัติปัจจุบัน เวลานี้เรมีศีลบริสุทธิ์แล้ว กายของเราก็บริสุทธิ์ วาจาของเราก็บริสุทธิ์ ใจของเราน่ะทำให้มันบริสุทธิ์ นี่มันสำคัญ แม้จะทำบาปทำกรรมมามาก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามาก แต่เราก็ยังไม่เกี่ยวข้องอยู่ นี่หมายความว่าเจตนาต้นมันยังอยู่ มันรับไม่ได้ ถ้าเห็นว่ามันเป็นบาปก็วิรัติงดเสีย ขาดไปแล้วก็แล้วไป

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ถ้าเรามีความจำเป็นต้องพูดปดเพราะต้องการให้เขาเป็นคนดี เช่น มีอาชีพเป็นครูก็ต้องสั่งเด็กนักเรียนให้ทำงาน ทำการบ้าน ขู่ว่าถ้าไม่ทำครูจะตี ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่ได้คิดจะตีนักเรียนเลย อย่างนี้จะถือว่าเราพูดปดไหมคะ</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>อ๋อ...อย่างนี้ไม่ถือเป็นพูดปด ธรรมดาบิดามารดาปกครองบุตร ครูปกครองนักเรียน กต้องตี ต้องขู่ เพราะปรารถนาจะให้เขาดี พระอริยเจ้าท่านก็ใช้เหมือนกัน มันเรื่องของโลก บางคนต้องการใช้การขู่คำรามจึงจะเกรงกลัว แต่ภายในใจของเรามีเมตตาเต็มเปี่ยมเลย เจตนาเราไม่มีเราอยากให้เขาดีต่างหาก ให้เขารู้สึกกลัว มันไม่จัดว่าเป็นบาป เหมือนกับว่าเราว่าเราจะฆ่าเขา แต่เราไม่ฆ่า ยิ่งเป็นบุญเสียอีก อย่างพระพุทธเจ้าทำพรหมทัณฑ์แกนายฉันนะ นายฉันนะเป็นคนหัวดื้อ ถือว่าตนเป็นผู้พาพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวช ถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า สงฆ์ทั้งหลายจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง สงฆ์ทั้งหลายจึงมากราบทูลพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ปล่อยไว้ จนกระทั่งเวลาจวนใกล้พระองค์จะปรินิพพานจึงได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ เราจะทำพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะภิกขุ ให้เธอประกาศแก่สงฆ์ อย่าให้สงฆ์ทั้งหลายสั่งสอนฉันนะภิกขุนี้ต่อไป อย่าว่ากล่าวตักเตือนเธอเลย ถ้าใครว่ากล่าวตักเตือนจะเป็นโทษ" ท่านพิพากษาไว้เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วสงฆ์ทั้งหลายก็ประชุมกันทำพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้ พระองค์นั้นก็ไม่พูดด้วย พระองค์นี้ก็ไม่พูดด้วย ผลที่สุดพระฉันนะก็เกิดทุกข์ใหญ่ เห็นโทษของตนเองถึงกกับร้องไห้เลย พระฉันนะละทิฏฐิมานะแล้วสงฆ์จึงสั่งสอนตักเตือนว่ากล่าว พระฉันนะท่านก็เลยบำเพ็ญไปถึงพระอรหันต์ พระพทธเจ้าท่านก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD> </TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=32>[​IMG]</TD><TD>ท่านอาจารย์เจ้าคะ เราอยากจะออกปฏิบัติธรรมเพื่อหวังถึงที่สุดของทุกข์ตามรอยเท้าครูบาอาจารย์ที่เราได้เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของท่านมา ศรัทธาของเราก็เต็มเปี่ยมแล้ว แต่ยังมีภาระอยู่มาก ดูเผินๆก็เหมือนครอบครัวสุขสบายแล้วไม่ต้องห่วงอีกแล้ว แต่เราก็ยังคิดอีกว่าถ้าเราเข้าวัดไปแล้วครอบครัวที่อยู่ข้างหลังจะเป็นอย่างไร ลูกจะเป็นอย่างไร เผื่อเขาจะมีปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราเคยจัดให้เขาแก้ให้เขาไปได้ ถ้าเราไม่อยู่แล้ว เขาจะทำอย่างไร เคยคิดว่าลูกโตแล้วก็จะปล่อยได้ เกิดมีหลานอีกห่วงหลานอีก ผู้หญิงน่ะมีหลายห่วงเจ้าค่ะ ห่วงสามี ห่วงลูก แล้วต่อไปก็ห่วงหลาน พยายามจะปลด..หลุดเปลาะนี่มาต่อเปลาะโน่น ห่วงไปกังวลไป จะทำอย่างไร</TD></TR><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>จะทำอย่างไร...เราก็ต้องคิดเอง ใช้ปัญญาคิดดูซี ถ้าคิดจะออกปฏิบัติธรรม ว่ามีศรัทธาเต็มเปี่ยมแล้ว เปี่ยมอย่างไร เปี่ยมจริงก็ต้องออกได้แล้ว นี่ห่วงอีนุงตุงนังอยู่นี่...สิ่งที่ล่วงแล้วไปแล้วก็ให้มันล่วงแล้วไปไม่ต้องมาคำนึงถงวุ่นวายอีก สิ่งที่ยังไม่มาถึงก็อย่าไปคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เอามาคิดเป็นอารมณ์ ปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ ให้คิดแต่ปัจจุบันแก้ปัจจุบันนี้
    ทุกข์ทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่าขังไว้ ให้ปล่อยไป ทุกข์มันจะเกิดเพราะอะไร..กเพราะความห่วง ความหวง ความหึง ปล่อยเสีย...เพราะความโศก ความเศร้า ความร้องไห้ร่ำไร รำพัน ปล่อยเสีย... เพราะการพลัดพรากจากคนที่รักคนที่ชอบใจ ปล่อยเสีย... เพราะความอยากเป็นโน่นเป็นนี่แล้วไม่สมหวัง เพราะไม่อยากเป็นไม่อยากมีในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ เข่น ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย แต่มันก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย... ก็เป็นทุกข์เป็นร้อนไป ปล่อยเสีย... ถ้าไม่ปล่อยทุกข์มันก็ไม่หมด
    ให้ดูปัจจุบันนี้ รักษาใจของเราให้มันดีในปัจจุบันนี้ ปล่อยทุกข์ให้หมด วางทุกข์ให้หมด อย่าไปพะวักพะวงข้างหน้าและข้างหลัง
    ข้างหน้าคือสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต กลัวโน่นจะเกิด กลัวนี่จะเป็น กลัวไปสารพัด
    ข้างหลังคืออดีตที่ผ่านมา หวนระลึก หวนคิดแค้น หวนคิดอาฆาต หวนห่วง หวนอาลัย ต้องแก้ให้ได้ เวลานี้มาผูกเอาไว้หมด แก้ไม่ได้...ไม่แก้กันเลย
    ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นท่านเคยเทศน์ไว้ว่า "แก้ให้ตกเดอ...ถ้าแก้ไม่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บาพ้น คากันย่างย้าน คาย่างย้ายเวียนตาย เวียนเกิด เอากำเนิดในภพทั้งหลาย ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่"
    พกไว้ที่ไหนล่ะ.. พกไว้ที่จิตที่ใจ อารมณ์ต่างๆถ้าพกไว้ที่นี่มันก็แขวนคอต่องแต่ง และ "คากันย่างย้าย" ไปมาก็ลำบาก ห่วงนั่นห่วงนี่ "ย่างย้าย" แปลว่าพะรุงพะรัง "เชือกผูกคอ ปอผูกศอก ปลอกผูกขา" เวียนตายเวียนเกิด เอากำเนิดทั้งสาม เกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ... ภพทั้งสามเลยเป็นเรือนให้อยู่ตลอดไป เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปไหนไม่ได้ เพราะความห่วงเป็นเชือกผูกคอ ความรักเป็นเชือกผูกคอ ความชังเป็นเชือกผูกคอ ความหลงเป็นเชือกผูกคอ เป็นปอผูกศอก... เป็นปลอกผกขา... ยุ่งอีนุงตุงนังไปหมด มันก็ไปไหนไม่ได้ เราลองแก้ดูซี.. ภาษิตมีว่าไว้

    "ผู้แบกโลก อยู่ต่ำ
    ผู้ค้ำโลก อยู่กลาง
    ผู้วางโลก อยู่สูง
    ผู้จูงโลก ยุ่งรุงรุง..."

    จะอยู่ต่ำ จะอยู่กลาง หรือจะอยู่สูง หรือจะยอมยุ่งรุงรัง ก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอขอบคุณ
    http://www.buddhismthailand.com/qa/juan.php
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระภิกษุใจสิงห์

    [​IMG]


    หากท่านมีความทุกข์ใจ หรือท้อแท้หมดกำลังใจ ลองอ่านเรื่องนี้ดู เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่เสมือนเป็นนิทานเรื่องแต่งขึ้นมา


    เรื่องเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 250 ปีที่แล้ว พระธุดงค์อายุ 40 กว่าๆกำลังเดินธุดงค์ในเขตภูเขา ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านเห็นท่านมาก็ดีใจ รีบนิมนต์ท่านสวดศพชาวบ้านที่ตกเหวตาย ท่านสวดเสร็จแล้วชาวบ้านพาท่านไปดูที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าทางจากหมู่บ้านที่คนตายไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเลาะภูเขาผ่านเหวลึก ถ้าฝนตกทางลื่นอันตราย มีคนตายบ่อย


    พระท่านสงสาร คิดอยากช่วยชาวบ้าน ท่านจึงตัดสินใจหยุดการธุดงค์อยู่ตรงนั้น และตั้งปณิธานว่าจะขุดอุโมงค์ให้ชาวบ้าน ให้เขาพ้นภัยธรรมชาติเสียที คาดว่าระยะทางที่ต้องขุดเพื่อทะลุภูเขาก็น่าจะประมาณ 400 เมตร ท่านบอกชาวบ้านว่าอาตมาจะอยู่ที่นี่และจะขุดอุโมงค์ให้ลูกหลานจะได้ปลอดภัยต่อไป ชาวบ้านสงสัยว่าท่านองค์นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ วิปลาสหรือเปล่า ภูเขาหินไม่ใช่ภูเขาดินนะท่าน พระองค์เดียวจะขุดภูเขาหินยาวตั้ง 400 เมตรได้อย่างไร นอกจากชาวบ้านไม่ขอบคุณ ไม่ให้กำลังใจเลย แล้วยังไม่สนับสนุน บางคนยังหัวเราะเยาะด้วยซ้ำไป


    พระท่านไม่หวั่นไหวเพราะท่านตั้งใจมั่นอยู่แล้ว เริ่มงานแรกๆ ชาวบ้านก็ไม่ค่อยจะสนใจ นึกกันว่าไม่นานท่านจะท้อใจแล้วแอบหนีไป แต่ท่านไม่ไปไหน เสียงค้อนตีเหล็กสะกัดของท่าน ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก... ออกจากปากอุโมงค์ทุกๆวัน ไม่มีเว้นแม้แต่วันเดียว หนึ่งปี สองปี สามปี ผ่านไป สามปีท่านได้แค่ 40 เมตร 45 เมตร แต่ท่านไม่ท้อถอย ได้ประมาณ 15 เมตร ต่อปี คิดเป็นวันประมาณ 4-5 เซ็นติเมตรต่อวัน ทำทุกวันๆอย่างสม่ำเสมอ เอาการขุดหินเป็นข้อวัตรปฏิบัติของท่าน อยู่ในถ้ำทำงานตั้งแต่เช้าจนมืดทุกวัน

    นานๆเข้าชาวบ้านบางคนเห็นพระเอาจริงเอาจังชักละอายท่าน ก็มาช่วยบ้าง ชุดแรกหลายคนหน่อย พอเห็นงานมันหนักขนาดไหนก็ทยอยกันกลับบ้าน ไม่ไหว ยังไม่มีศรัทธาพอ ไม่นานท่านก็อยู่องค์เดียวเหมือนเดิม ขุดอุดโมงค์ต่อไป 5 ปี 6 ปี 7 ปี 8 ปี 9 ปี 10 ปี 15 ปี 18ปี ขุดอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ตอนนี้เป็นหลวงพ่อเสียแล้ว ขาก็ไม่ค่อยดี ตาก็ไม่ค่อยดีแล้ว ทำงานรู้ตัวว่าเหนื่อยกว่าแต่ก่อน เหนื่อยก็เหนื่อยช่างมัน ดีไปอย่าง กิตติศัพท์ของหลวงพ่อดังไปถึงเมืองหลวง รัฐจึงส่งช่างมาช่วย ตอนนั้นการขุดอุโมงค์เสร็จแล้ว 80 กว่าเปอร์เซนต์


    ในช่วงที่มีหวังจะสำเร็จนั้น วันหนึ่ง ซามูไรหนุ่มคนหนึ่งเดินทางไปถึงอุโมงค์ เขากำลังตามหาพระองค์หนึ่ง ได้ข่าวว่ามีพระหลวงตาอยู่ที่นี่ ก็มาดูว่าใช่องค์ที่ต้องการพบหรือไม่ ถึงปากถ้ำซามูไรขอให้คนงานนิมนต์พระออกมารับแขกหน่อย หลวงพ่อเดินออกมา พอเห็นหน้าซามูไรก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร มาเพื่ออะไร


    คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก่อนที่ท่านจะบวชเป็นพระ หลวงพ่อองค์นี้เคยเป็นคนรับใช้ของแดมิโย ซึ่งเป็นตำแหน่งคล้ายกับขุนนางของไทย แล้วได้แอบเป็นชู้กับเมียน้อยของเจ้านาย เจ้านายจับได้จะฆ่าแต่ลูกน้องสู้ ก่อนที่เดมิโยจะชักดาบ เขาจับเชิงเทียนใหญ่ ตีหัวของเจ้านายตาย เห็นเดมิโยตายแล้วก็หนีไปกับผู้หญิง


    เมื่อหนีไปแล้วใจก็หวั่นไหว หวาดกลัวตลอด เดือดร้อน รู้สึกว่าตัวเองทำบาปหนักสาหัส ฆ่าผู้มีพระคุณเพียงเพราะกามฤทธิ์ของตัณหา ความสำนึกผิดค่อยๆบ่อนทำลายความรักผู้หญิง เริ่มทะเลาะกันบ่อยๆ ไม่มีความสุขอย่างที่เคยคาดหวัง พอเงินหมด เขาก็กลายเป็นอันธพาล เป็นนักจี้ปล้น ทำบาปกรรมเพิ่มขึ้นทับทวี


    สุดท้ายก็รู้สึกบาป ขอแยกทางกับผู้หญิง เข้าวัดเพื่อละลายบาปกรรม เกลือ(บาป)มันมากแล้ว ต้องพยายามละลายด้วยน้ำ(บุญ) ที่จริงตอนหลวงพ่อเข้าวัดยังไม่คิดจะบวช คิดเพียงแค่ว่าต้องสารภาพบาปกับพระ ทำบุญแล้วฆ่าตัวตาย แต่เจ้าอาวาสบอกไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ให้บวชดีกว่า ตายจากโลก และทำคุณงามความดีชำระของเก่า


    ท่านก็ยอม เมื่ออยู่กับครูบาอาจารย์ได้สักระยะหนึ่งก็ออกธุดงค์ สุดท้ายก็ถึงหมู่บ้านนี้แหละ เป็นสถานที่ที่พระตัดสินใจอุทิศตนเพื่อชำระบาปโดยการสร้างความดีให้กับชาวบ้าน ไม่หวังสิ่งตอบแทน กี่วันกี่ปีก็ไม่ว่า จะสู้อยู่จนกว่าประสบความสำเร็จหรือหมดลม หลวงพ่อเดินออกจากถ้ำเห็นซามูไร
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD background=images/fragmentHome_110.gif></TD><TD vAlign=top colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9900><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#ffcc66><TD colSpan=3>ตามรอยพระพุทธองค์ ชีวประวัติและธรรมเทศนา ของ หลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท
    วัดป่าดงหวาย บ้านจาร ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร
    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="35%">[​IMG]



    </TD><TD class=style22 vAlign=top width="65%" colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=style25 vAlign=top width="23%">จัดพิมพ์โดย:</TD><TD width="77%">คณะศิษย์วัดป่าดงหวาย</TD></TR><TR><TD class=style25 vAlign=top>พิมพ์ครั้งที่ ๕: </TD><TD>จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม </TD></TR><TR><TD class=style25 vAlign=top>พิมพ์ที่:</TD><TD>บริษัท เอส.พี.การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำกัด
    ๑๒๐/๖๒ ถนนชัยพฤกษ์ ซอยวัดน้อยใน
    แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
    โทร. ๐๒-๘๘๒๐๘๒๒, ๐๒-๔๓๓๓๗๐๒-๓
    ๐๙-๑๑๑๙๑๒๖, ๐๙-๑๓๑๑๖๗๙

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#ffccff><TD colSpan=3>
    สารบัญ​




    </TD></TR><TR><TD class=style22 width="47%" bgColor=#ffffff>ชีวประวัติโดยย่อ</TD><TD class=style22 width="2%" rowSpan=13></TD><TD class=style22 bgColor=#ffffff>ไปรษณีย์บุญ</TD></TR><TR><TD class=style22 bgColor=#ffffcc>ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์</TD><TD class=style22 bgColor=#ffffcc>เนื้อนาบุญของโลก</TD></TR><TR><TD class=style22 bgColor=#ffffff>เอาชีวิตเป็นเดิมพัน</TD><TD class=style22 bgColor=#ffffff>หลงภพ หลงชาติ </TD></TR><TR><TD class=style22 bgColor=#ffffcc>ดีชั่วอยู่ในตัวเรา</TD><TD class=style22 bgColor=#ffffcc>อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา</TD></TR><TR><TD class=style22 bgColor=#ffffff>ธรรมะไม่มีคำว่าล้าสมัย</TD><TD class=style22 bgColor=#ffffff>ความหลุดพ้นแห่งวัฏฏะ</TD></TR><TR><TD class=style22 bgColor=#ffffcc>ธนาคารภพธนาคาชาติ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    จากปฏิปาทาข้างต้นของพระญี่ปุ่นรูปนี้ นับว่ามีความเข้มแข็งถึงขั้นอุกฤษณ์

    แต่จากหนังสือเล่มนี้ของหลวงปู่แฟ้บ ปฏิปทาของท่านก็เข้าขั้นเช่นกัน คือในระหว่างปฏิบัติธรรรม ท่านอธิษฐานไม่ยอมหลับยอมนอนเลยพิจารณาหลักธรรมโดยการเดินจงกรม สลับกับนั่งสมาธิ เป็นเวลาสองเดือนกับหกวันเต็ม (จากหนังสือนี้ในหน้า 23) แม้ในวัยชราแล้ว เพื่อให้หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บและตาย จนในที่สุดท่านก็หลุดจากบ่วงทั้งปวง จนบัดนี้ธาตุขันธ์บางส่วนได้กลายเป็นพระธาตุแล้ว แต่ก่อนไม่เคยรู้จักท่านมาก่อนเลยในชีวิต ได้ยินชื่อครั้งแรกนึกว่าเป็นพระธรรมดา ที่แท้ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชอบ หลวงปู่เทสก์ ท่านอาจารย์ฝั้น และท่านหลวงตามมหาบัว ที่ทรงคุณวิเศษองค์หนึ่งทีเดียว มิเสียทีที่ทำทุนนิธิฯ ขึ้นมาแล้วได้มีโอกาสส่งปัจจัยที่พวกเราได้บริจาคมานำไปช่วยท่านนำไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่นเครื่องดูดเสมหะที่ทุนนิธิฯ นำเงินจากบัญชีซื้อไปถวายท่าน 2 เครื่อง ในเดือนนี้ และอีก 2 เครื่องสำหรับถวายให้ท่านนำไปใช้ที่ รพ.นาหว้าในเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงบริจาคผ้าห่มหนาวให้ท่านเพื่อใช้ในกิจการของสงฆ์ที่ รพ.ที่ท่านดำริขึ้น นับว่าเป็นกุศลผลบุญแท้ๆ ที่พวกเราได้มีโอกาสทำบุญกับท่าน และท่านก็เจาะจงบุญมาที่เราโดยผ่านลูกศิษย์ท่าน ที่เป็นบุรุษพยาบาลที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่นครับ

    พันวฤทธิ์
    26/11/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2008
  14. ไม่สำคัญ

    ไม่สำคัญ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอฝากตัวด้วยนะครับพอดีรู้จักกับคุณเทพารักษ์
    ผมสนใจเรื่องพระน่ะครับแต่ทำงานตลอดเลย
    ไม่มีเวลาต่อไปก็คงได้ลงเองบ้างหรืออาจจะรบกวน
    คุณเทพารักษ์(ซะส่วนมาก)55++ให้ทำบุญให้
    ขอโทษจริงๆนะครับไม่มีเวลาจริงๆ
    ทำคอมก็ไม่เป็นครับ
    ผมชื่อ เจ๊ค ครับ(ไม่ได้เป็นแฟนคุณเทพารักษ์นะครับ)
    เห็นคุณเทพารักษ์ไปทำบุญบ่อยผมเลยถามฝนน่ะครับ
    นี่ก็ให้เพื่อนลงให้ครับ

    แล้วผมจะฝากเงินร่วมบุญไปกับคุณเทพารักษ์ในการทำบุญเดือนหน้านะครับ

    <!-- / message -->
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ก็ต้องขอขอบคุณด้วยครับ เพราะไม่รู้จะโมทนาบุญยังไงดี ปุ่มอนุโมทนาเดี๋ยวนี้หายหมด เดี๋ยวมี เดี๋ยวหาย งงๆ เหมือนกันครับ ก็ว่ากันสดๆ เอาใจเป็นที่ตั้ง จะฝากมา จะชวนกันมา หรือจะรวมกันมาได้ทั้งนั้น ถ้าได้มากหน่อยก็ตรงเป็นผู้ที่ชักชวนคนอื่นให้ทำบุญด้วย ก็ไปดูอานิสงส์เอาเองครับ ทำเถอะครับ ทำไปเข้าไป ทำวันละเล็ก วันละน้อย หยอดกระปุกด้วยเศษเงินเศษสตางค์ที่เหลือจากที่ทำงานมา ก่อนหยอดก็กำหนดจิตตั้งใจมั่น นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คุณบิดา มารดา ผู้มีคุณต่างๆ ตั้งใจเอาบุญที่ได้ช่วยพระสงฆ์อาพาธเป็นที่ตั้ง ขอให้บุญนี้เกิดแก่ตัวเรา ครอบครัวเรา แล้วอะไรก็ว่าไป และขออัญเชิญพระสงฆ์องค์ใด หรือพระพุทธรูปองค์ใดที่เรานับถือที่สุด มาเป็นพยานบุญ และโมทนาบุญให้เราด้วย เสร็จแล้วก็ว่าคาถาพระปัจเจกโพธิ์ของหลวงพ่อปานกำกับ อีกครั้ง ค่อยๆ บรรจงหยอดกระปุกทีละเหรียญช้าๆ ตั้งใจฟังเสียง เสียงบุญถ้าเป็นเศษสตางค์จะดังเพราะมาก แป๊กๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ใจเราให้ดังถึงสวรรค์ชั้นฟ้าทุกชั้นก็ยังได้ เดี๋ยวเทวดาท่านก็มาร่วมโมทนาบุญให้เราเอง ท่านอยู่ไม่ได้หรอก ก็โถคนตั้งใจทำบุญ ด้วยจิตตั้งมั่นเต็มเปี่ยม หาไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับ ท่านก็อยากได้บุญพร้อมเราบ้าง ภพภูมิท่าน รัศมีท่านจะได้สว่างขึ้นไปอีก สิ้นเดือนก็แคะมาทำบุญทีก็ได้ ถึงตอนนั้นมาโมทนาใหญ่รวบยอดอีกที 30 วัน ก็ 30 ครั้ง นี่คือกุศโลบาย ทำบุญทุกวัน และได้บุญครบตามบุญกิริยาวัตถุ ครับ

    พันวฤทธิ์
    27/11/51
    [​IMG]
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตานี้ก็จะพูดถึงเรื่องการโอนเงินช่วยสะพานบุญของเราคือ ช่วยบริจาคซื้อ server อภิญญาใหญ่ให้กับเวบพลังจิต เมื่อวันก่อนได้รับแจ้งจากนายสติแล้ว ว่ายอดหนังสือเข้ามาครบแล้ว เพียงแต่บางท่านยังไม่ได้โอนเงินมาขาดเพียง คนหรือสองคนเท่านั้น นายสติจึงได้ทำการโอนเงินเข้าบัญชีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ตามที่ทางกระทู้ขอบริจาคซื้อ server ได้ลงไว้เรียบร้อยแล้วโดยควักกระเป๋าออกให้ก่อน โอนไปทั้งหมด 2,100.-บาท (7 เล่ม) ส่วนหลักฐานการโอน จะได้ส่ง pm มาให้ผม เพื่อที่ผมจะได้นำไปโพสท์ในกระทู้บริจาคของเวบมาสเตอร์ต่อไป ไม่งั้น ชื่อผมขึ้นลิสท์คงค้างเป็นลูกหนี้แดงโร่อยู่ตามหน้ากระทู้ข้างล่างนี้ครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=159295

    และ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=159295&page=2


    อย่างที่บอกอยู่กับเขา เกิดได้ก็เพราะเขา ยังไงก็ต้องช่วยครับ

    พันวฤทธิ์
    27/11/51
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    99 ปี หลวงปู่"พุทฺธาจาโร"

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    " ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล อายุจริงๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก อายุที่นับกันอยู่ คือ สิ่งที่ล่วงหายไป อายุที่แท้เหลืออยู่แค่ลมหายใจ เข้า-ออก ถ้าปล่อยออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ ก็ตาย สูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาไม่ได้ก็ตาย ความตายนั้น แก้ไม่ได้ ท่านจึงให้แก้ใจตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ภายใน หายใจเข้ามาชีวิตหมดไปหายใจออกมาชีวิตหมดไป เดือน-ปี ไม่ไปไหน วันนี้หมดไป วันใหม่ก็มาแต่ว่า ชีวิตของคนเรา หมดไป สิ้นไป จงทำความรู้สึกอยู่ ภายในใจว่า "เราต้องตาย" ทุกลมหายใจ"

    นามเดิม สิม วงเข็มมา กำเนิด 26 พ.ย. 2452 สถานที่เกิด ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนครอุปสมบทอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส อ.เมืองจ.ขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2472 โดยมีท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์(จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ 2502-พระครูสันติวรญาณ 2535-พระญาณสิทธาจารย์(ฝ่ายวิปัสนา) มรณภาพ 14 ส.ค. 2535 อายุ 83 ปี 63 พรรษา หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 17 ปี ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นไม่นาน จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติใหม่เป็นธรรมยุตินิกาย ได้รับฉายาว่า "พุทธาจาโร" จากนั้นได้ออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ หลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ หลายวัด จนกระทั่งปี 2510 หลวงปู่ได้ลาออก จากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด และได้เริ่มพัฒนาถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็นสำนักสงฆ์ จากนั้นได้จำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำผาปล่อง จนกระทั่งมรณภาพ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "พระสงฆ์องค์นี้ ท่านเป็นพระปฏิบัติ มีคุณธรรมสูงมาก เอาพระของท่านมาให้นี่เสก ให้กลับไปบอกกล่าวท่านเสียก่อนน๊ะ..!!!!"

    หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ระยอง กล่าวกับคุณชินพร สุขสถิตย์เมื่อครั้งนำเหรียญหลวงปู่สิมไปขอให้หลวงปู่ทิมปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "เหรียญกลมเล็ก" ที่เป็นต้นเหตุให้หลวงปู่ทิมกล่าวยกย่องคุณธรรมของหลวงปู่สิมให้คุณชินพร สุขสถิตย์ฟังกับปากของท่านเอง <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 นี้ หากหลวงปู่สิมยังทรงสังขารอยู่ ก็จะมีอายุได้ "99" ปีบริบูรณ์........

    [​IMG]

    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
    http://www.phuttawong.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2008
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284

    ภาพที่ประทับใจ

    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    โอวาทครั้งสุดท้ายของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


    ".....ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนา จะไม่วิเวกวังเวงศาสนาทางมิจฉาทิฐิ ก็นับวันจะแสดงปาฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
    ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่ธรรม ดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด
    ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคายด้วย จะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอกพระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่ หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ..."

    โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
    (บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
    จากหนังสือ
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ผมนำหลักฐานการโอนเงิน และใบตอบรับ โมทนาบัตรของโรงพยาบาลต่างที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ได้ส่งเงินไปช่วยก็ขอให้ทุกท่านได้ร่วมโมทนาในบุญที่พวกเราได้กระทำกันมาดีแล้วด้วยครับ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ส่วนท่านที่สั่งหนังสือปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์มาต้นเดือนธันวาคมผมจะรีบส่งให้โดยเร็วที่สุดนะครับ

    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...