"ดูจิต" อย่างมีสติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Dolya, 12 ธันวาคม 2008.

  1. Dolya

    Dolya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    การดูจิตคืออะไร ?

    พูดว่า
     
  2. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    ทำไมข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนไป

    ผมขอเริ่มเกริ่นแนะนำนะครับ

    ผมเคยถามตัวเองมาช้านานว่าการที่คนเราเกิดมา เดิบโต สืบพันธ์ แล้วตายมันเป็นการไม่ยุติธรรม ผมมีความรู้สึกเสมอว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น ใครๆ มักหาว่าผมเป็นคนเจ้าความคิด ไม่ค่อยเห็นอะไรอย่างคนอื่น ๆ เห็น ตั้งแต่เล็กจนโต เป็นคนเรียนเก่ง (เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก)แต่ไม่เคยพอใจในเนื้อหาวิชาใดๆ ที่ได้เรียนมา มีแต่คำถามในใจที่ไร้คำตอบ รวมทั้งความทุกข์ จากการอยากได้ อยากมี บ่อยครั้งขี้โมโหและเอาแต่ใจ ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อเสียตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบ แม่เสียตอนอายุ 12 ปี น้าเลี้ยงดูและหาเงินส่งตัวเองเรียน ปากกัดตีนถีบ ลำบากแต่ไม่เคยท้อ เฝ้าแต่โทษดวงชะตาฟ้าลิขิตเหมือนโดนกลั่นแกล้ง จวบจนเรียนจบ ทำงาน ครั้งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทรถยนต์ใหญ่แห่งหนึ่ง ได้พนักงานดีเด่น สองปีซ้อน เป็นที่รักของหัวหน้าและลูกน้อง สุดท้ายก็ลาออก ปัจจุบันประกอบอาชีพส่วนตัว..
    เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านนั่งดูทีวี ASTV ท่านจันทร์พูดถึงหนังสือ"คู่มือมนุษย์" ของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ จึงหามาอ่าน (ในอินเตอร์เน็ต) อ่านไปได้สักสิบกว่าหน้าก็เกิดอาการประหลาด ตัวสั่นเหมือนจะล้มฟาดโต๊ะ เหมือนใครมาผลักแรงๆ ขนลุกซู่ๆๆ ในใจเกิดคำตอบหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมา มีแต่คำว่า ใช่ ใช่ ใช่ กับคำถามที่ผมค้นหามาแสนนาน บางครั้งเกิดสังเวชใจจนต้องหลบไปร้องให้ กับความโง่เขลาที่เคยทำผ่านมา.. อนิจจาผมอยู่ใกล้ธรรมะแค่เอื้อมมือกลับไม่เคยสนใจ..

    ตั้งแต่วันนั้นผมเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ทั้งหมดของชีวิต ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มกาแฟ ไม่เที่ยวเตร่กลางคืน และศึกษาธรรมะด้วยความศรัทธาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..จนคนรอบข้างต่างแปลกใจในการเปลี่ยนไปของผม ปัจจุบันผมจะศึกษางานของท่านพระอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะ ท่านอาจารย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, อาจารย์พุทธทาสภิกขุ,ตลอดจนงานเขียนของผู้รู้ทั้งหลายโดยไม่เลือกว่าจะเป็นใคร ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานอน ก็จะภาวนา จนหลับ ,ตลอดจนภาวนาพุทธ โท ตลอดเวลาที่ว่างเว้น จากการงาน ไม่ทิ้งสติจากที่ตั้ง แม้เวลาทานอาหารก็จะนึกภาวนา เช่น อร่อยหนอ ๆ เวลาอาหารอร่อย ขับรถ หรือทำอะไรก็จะไม่ทิ้งสติ ทำให้ผมเป็นคนใจเย็นขึ้น มองเห็นโลกด้วยดวงตาที่ต่างไปจากเดิม ..
    จิตของผมละเอียดขึ้นเป็นลำดับ ตลอดจนทำการวิปัสนาจิตอยู่ตลอดเมื่อมีสิ่งใดมากระทบ เป็นคนมีเมตตามากขึ้น พยายามรักษาศีล และเจริญกรรมฐานทุกครั้งที่มีโอกาศ ..
    เมื่อแรกๆ จิตของผมจะรู้สึกไวต่ออารมณ์ไม่พอใจของคนรอบข้าง แต่เมื่อตามดูจิตไปสติก็มาทัน อาการไม่พอใจก็หายไปพร้อมกับจิตมีความละเอียดมากขึ้น จนคิดว่าสามารถควบคุมจิตได้ แต่เมื่อประมาณสามสี่วันที่ผ่านมา อาการณ์พลุ่งพล่านจู่ๆ ก็เกิดขึ้น จนบางครั้งตามจิตไม่ทัน ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไม อาการณ์นี้จึงไม่หายไป มันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญบ้างจึงอยากถามท่านผู้รู้ดังนี้

    1. อยากให้ช่วยวิจารณ์ผมหน่อย ปัจจุบันอายุ 34 ปี มีบุตรสาว 1 คนอายุ 1.5 ขวบแต่งงานและมีภรรยา ว่าอาการของผมนี้ภาษาธรรมเขาเรียกว่าอย่างไร และทำไมบางครั้งจึงมีอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ แต่ละช่วงเว้นกันตามอารมณ์จิตที่เปลี่ยนไปเช่นจิตละเอียดขึ้น

    2. อาการปีติ นี้เกิดขึ้นได้แม้มิได้นั่งกรรมฐานด้วยหรือ

    3. ทำไมผมจึงมีอาการเบื่อในสิ่งต่างๆ ทางโลก แม้แต่เรื่องของกามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกฟังเพลง เลิกมองผู้หญิงสวยแบบที่เคยมอง แม้กระทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไป

    4.ทำไมผมจึงรู้สึกผิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาก เช่น ตบยุงหรือเวลา มองคนอย่างติหนิทั้งที่สติตามทันแต่ก็ยังรู้สึกผิด (ไม่นานเมื่อปล่อยวางก็หาย )ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็น

    5.ผมศึกษาหลายเรื่องรวมทั้งอารมณ์ของพระโสดา,สกีทาคา,อนาคา,อรหันต์ จากท่านอาจารย์รวมทั้ง การเจริญกรรมฐาน (ปัจจุบันผมใช้อานาปานสติ)มีอยู่ครั้งหนึ่งเวลานั่งสมาธิจนจิตนิ่งลมหายใจแผ่วเบาเลยเปลี่ยนจากท่านั่งมาเป็นท่านอนกะว่าถ้าหลับก็หลับไปแต่จิตยังคงทรงอารมณ์อยู่ วันนั้นตั้งใจเป็นไงเป็นกันตายเป็นตาย เมื่อจิตเริ่มนิ่งมากๆ การภาวนาทรงอารมณ์ก็เริ่มเร็วขึ้นโดยไม่ทิ้งภาวนา พุทธ โท ๆๆ จู่รู้สึกเหมือนร่างกายเคลื่อนไปมาในแนวนอนบ้าง ในแนวตั้งบ้างแต่รุนแรงกว่าทุกครั้ง จู่ๆ จิตก็พุ่งปรี๊ด เร็วมากไปที่พระอุโบสถแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของผม ผมมักจะระลึกถึงพระประธานที่นั่นเสมอ.
    ผมไม่แน่ว่าฝันหรือว่าจิตออกจากร่างกันแน่ แต่แปลก มันไม่ยักกะตื่น เลยอยากลองไปดูนรกสักทีว่าเป็นอย่างไร พอนึกถึงนรกทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำมืดไปหมดเกิดความกลัวแต่ก็ไม่หวั่นไหวประคองสติตั้งมั่น จึงอยากจะตื่นเลยกำหนดจิตให้ลุกขึ้นจากที่นอนแต่ทำไม่ได้ สั่งมือยก ก็ทำไม่ได้ รู้สึกสับสนไปหมด จู่ๆ ก็กลัวตายขึ้นมา ต้องท่องพุทธ โท ๆๆ กำหนดลมหายเข้าออก ตั้งสติแล้วทำเหมือนเริ่มกรรมฐาน ไม่นานก็กลับเป็นปกติและรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ยังไม่ลืมตา ยังภาวนาพุทธ โท ๆ ต่อจนจิตเป็นปกติจึงลุกจากที่นอน หลังจากลุกจากที่นอนเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ว้าเหว่ เศร้าๆ เหมือนคนเพิ่งกลับมาจากความตาย อาการที่ผมเล่ามาในข้อนี้ท่านคิดอย่างไร ผมฝันไปหรือว่าอย่างไร

    6.ผมตั้งใจจะสร้างห้องพระ และติดรูปบูชาครูบาอาจารย์ เวลานั่งสมาธิจะได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวมากขึ้น ทำอย่างไรหากต้องรวมจิต(กายละเอียด)ให้เข้มแข็งและสามารถไปยัง
    ดินแดนพระจุฬามณี,บันฑุกำพลศิลาอาสน์,หรือแดนพระนิพพาน ต้องฝึกจิตให้จดจำสิ่งใด จึงจะสามารถนึกออกเห็นได้ในทันทีที่กายละเอียดออกจากร่าง (ผมฝึกเองที่บ้าน)

    7.หากจิตออกจากกายหยาบ จะมีเหตุอันใดที่ก่อให้เกิดอันตรายได้หรือไม่ ทั้งต่อกายหยาบและกายละเอียด

    8.เวลากลางวันกับเวลากลางคืนมีผลอย่างไรหากจิตท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เช่น นั่งสมาธิตอนกลางคืนแล้วจิตกลับร่างตอนสว่างแล้ว , ตอนกลางวันแล้ว,หรือตอนใกล้รุ่ง

    9.ผมควรศึกษาเรื่องใดเพิ่มเติมโปรดชี้แนะ ข้ออื่นๆ จักขอถามในโอกาศต่อไป

    ขอกราบรบกวนท่าน และกราบขอโทษหากสิ่งที่ผมได้เล่าและซักถามนั้นเกิดจากความโง่เขลาและขาดซึ่งความไม่เข้าใจในธรรม ผมเพิ่งศึกษาธรรมมะอย่างจริงจัง(ด้วยตัวเอง) ตามคำสอนของท่านผู้รู้ขาดคนชี้แนะ มีเพียงจิตและศรัทธาที่บริสุทธิ์ต่อองค์พระศาสดาและหลักคำสอน จึงขอกลาบอภัยท่านมา ณ ที่นี้ด้วย

    ขออนุโมทนาในความดีทั้งหลายและขอให้ธรรมจงคุ้มครองท่านทั้งหลาย

    เกียรติคุณ
     
  3. อรุณ แสนคำ

    อรุณ แสนคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +44
    อนุโมทนาด้วยครับ ..... บุญของท่าน... ฝึกปฏิบัติต่อไป... บุญคือแสวงสว่างนำทางของชีวิต... ทั้งภพนี้..และภพหน้า ..หรือภพ ต่อๆ ...ไป สาธุ
     
  4. SaveMax

    SaveMax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +578
    ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ เรียบเรียงและรวบรวมได้ดีเลยที่เดียว
     
  5. ธนนท์

    ธนนท์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนาครับ ผมอยากแนะนำคุณเกียรติคุณไปศึกษาเพิ่มเติมที่เวป http://www.wimutti.net/pramote ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช น่าจะตอบคำถามคุณได้มากทีเดียว หรือมีเวลาไปพบท่านก็น่าจะดีมากครับ
     
  6. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    ขอบคุณครับ ...ผมกำลังศึกษาอยู่ ขอขอบคุณที่แนะนำครับ

    ธรรมมะคุ้มครอง ครับ
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อนุโมธนาครับ เป็นสิ่งที่ดีมากครับ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    ก่อนอื่น ขออนุโมทนานะที่กลับมาเจอธรรมะที่ตนเองเคยปฏิบัติมาแต่ชาติก่อนๆ และ
    ปฏิบัติมามากแล้ว โดยใช้สาย อานาปานสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานกองเดียวที่เพียงพอต่อ
    การเห็นธรรมที่เลิศ ไม่จำเป็นต้องพึ่งอสุภะกรรมฐาน กายคตาชนิดอื่นโดยไม่จำเป็น

    เน้นอีกที โดยไม่จำเป็น

    1. อาการที่ระลึกดูจิตได้ คือสภาวะที่เรียกว่า เกิดเอโกทิภาวะ จิตใจตั้งมั่นดูกายดูใจ
    ตนเหมือนคนเฝ้าสังเกตการณ์ที่เกิดขึ้นมาเหมือนเป็นอีกคนหนึ่ง สายดูจิตตานุปสติปัฏฐาน
    หรือวิปัสสนาล้วนๆจะเรียกว่า สภาวะเกิดสติ สติเกิดเอง เราไม่ได้จงใจทำให้เกิด

    * แต่กรณีของคุณ เป็นพวกทำอานาปานสติมา หากทำมาหลายชาติแล้ว เพียงน้อม
    ระลึกดูลมหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการดูว่า ลมเข้าลมออก จิตมันจะรู้อัตโนมติ
    และอุเบกขาไปทันที ทำให้เกิดวิตกวิจารดับ เข้าสู่สภาวะธรรมที่คล้ายฌาณ2 อัตโนมัติ
    และทำให้เกิด เอโกธิภาวะได้ทันที จะเกิดผู้รู้(สายวัดป่าเรียก)ตั้งมั่นดูการปรุงของอารมณ์
    ได้ แต่ยังไม่มีปัญญาที่จะระงับการปรุง เพราะน้อมดูไตรลักษณ์ยังไม่ถูก

    และยังน้อมดูไตรลักษณ์ไม่ถูก ผมก็คาดว่าในชาติที่แล้วคุณเลยไปทำพวก อสุภกรรมฐาน
    หรือ กายคตาพิจารณาอาการ32 อาหารเรกูลฯ มาแล้ว ทำให้พอจิตน้อมเข้าสู่สภาวะมี
    ผู้รู้ผู้ดู แล้วเห็นการปรุงของอารมณ์ทำให้วิ่งเข้าไปสู่อารมณ์เบื่อแบบไม่อยากเป็น ไม่อยาก
    มี ไม่อยากเอา ทำให้เกิดตทังควิมุตชั่วคราวเป็นครั้งๆไป แต่มันน่าเบื่อ เพราะเดี๋ยวมัน
    หมดกำลังฌาณ อารมณ์ก็กลับไปฝุ้งซ่านอย่างเดิม ยิ่งกดข่มก็ยิ่งฝุ้งซ่าน ทั้งนี้ก็อย่างที่
    บอก เพราะยังสร้างวิปัสสนาปัญญาไม่ถูก น้อมดูไตรลักษณ์ยังไม่ตรงความเป็นจริง เลย
    ทำให้ เบื่อๆอยาก สงบสลับฝุ้ง อยู่อย่างนี้
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    2. อาการปิติเกิดขึ้นได้เสมอ สำหรับพวกทำ อานาปานสติ เพราะจิตมันจะวิ่งเกาะการ
    รู้ลมเองโดยเราอาจจะไม่ได้จงใจ(สมาธิอินทรีย์) และจิตก็ระลึกรู้ลมเข้าออกเอง(สติ
    อินทรีย์) ทำให้มีอาการปิติ ตัวเบา ตัวโคลง ปลอดโปร่ง โล่งเบา หายใจสบายได้ทันที
    เป็นความธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ และที่ติด เพราะเผลอไปพิจารณาอาการปิติ
    แล้วเกิดชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ไม่ผ่านสภาวะธรรมของปิติ

    ปิติ จึงไม่ดับ ไม่ก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของการมีองค์ฌาณที่สูงขึ้น
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    3. ได้อธิบายไปแล้ว เป็นเพราะจิตเคล้าเคลียกับกรรมฐานประเภทสมถะกรรมฐาน
    แล้วติดชอบใจที่จะมี หรือ ไม่มี เป็นภวตัณหา และวิภวตัณหา จึงไม่สามารถก้าว
    ไปสู่การเห็นสภาวะธรรมที่เป็นจริงยิ่งกว่าได้ ไม่ควรทำความพอใจแค่ผลการปฏิบัติ
    เพียงแค่นี้ว่าเลิศ ถึงจะสามารถมองเห็นว่า มีหนทางที่ยังต้องก้าวต่อ เรียกอีกอย่าง
    ว่า เกยตื้น เหมือนร่องเรือฝ่าลมพายุพอมาติดเกาะก็เห็นว่าคลื่นลมสงบดีจึงแวะพัก
    พระพุทธองค์เคยตรัสสอนเทวดาที่มาถามว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงมีพรหมจรรย์ที่บริสุทธิ
    ได้ พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า เพราะพระพุทธองค์ไม่แวะ(ติดกามคุณ) และไม่พัก(ติด
    ในสมถะ)
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    4. เพราะยังไม่ได้ก้าวไปสู่การเจริญปัญญาขั้นต่อไป ยินดีอยู่กับการมีกุศลจิตในแง่
    ของการมีบุญ แต่เกลียดทุกข์ หรือบาป จิตใจยังเลือกข้างรักสุขเกลียดทกุข์ ยัง
    ไม่ใช่การเป็นกลางด้วยปัญญา ความเป็นกลางด้วยปัญญาเห็นสุขและทุกข์คือสภาวะ
    ธรรมที่เสมอกัน เป็นสังขารธรรมที่เกิดขึ้นเพราะจิตมีอวิชชาเท่าเทียมกัน
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    5. การศึกษาอารมณ์พระ ไม่ใช่ฐานะที่เราจะไปทำอารมณ์เลียนแบบแล้วสำคัญตน
    ว่ามีสมบัติได้ดั่งอริยะเจ้า เป็นการหลอกตัวเอง หากศึกษาเพื่อให้เกิดสังฆานุสติ
    เกิดความศรัทธาในความบริสุทธิของศีล และความวิริยะของอริยเจ้าก็จะทำให้นมสิการ
    คุณของสังฆคุณเข้าสู่ตนเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าได้

    ขอให้ทบทวนเรื่องนี้ใหม่ ว่าเป็นเพียง สังฆานุสติกรรมฐานเท่านั้น อย่าได้สำคัญ
    ไปในทางว่า ได้มีอริยทรัพย์เฉกเช่นพระอริยะเพียงแค่วางมาดทางอารมณ์ด้วยการ
    กำหนดอัตตาเลียนแบบกริยาจิต
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    6. ขอละการตอบไว้
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    7. ไม่ต้องกลัวว่าจะไปไหน จิตจะหลุดออกไป อย่างไรเสียจิตก็ต้องกลับร่าง
    เพราะ มีจิตชนิดหนึ่งเรียกว่า มรณังจิต จะต้องทำหน้าที่ในการจุติ เรียกว่า
    อย่างไรก็ต้องกลับเข้าร่าง เพื่อดับ และไปปฏิสนธิใหม่ ตรงนี้นักถอดจิตมัก
    เห็นว่าเป็นยางเหนียว เป็นแสงเหนียวๆ ที่ดึงจิตกลับเข้าร่าง

    แต่ถ้าเป็นพวกอานาปานสติแท้ๆ จิตไม่ได้ออกไปไหน แต่เป็นการดูผ่าน
    นิมิตที่มักเห็นเป็นช่องแสงสว่าง เป็นเกลียวลำของอุโมงค์ หรืออาจจะโผล่
    พ้นจากการเห็นกรอบอุโมงค์ก็ได้ แต่เห็นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้
    ก่อปัญญา ไม่ได้ทำให้คุณก้าวไปอีกก้าว ที่รอให้ก้าวไปอยู่ หากยังเพลิน
    กับการดูตรงนี้ เห็นนรกสวรรค์อยู่แบบนี้ ก็จะเสียเวลาไปอีกหนึ่งชาติ โดย
    ชาตต่อไปก็จะวนดู ติดใจดูอย่างเดิม เห็นสวรรค์หรือสันติที่สมมติ(หลวงปู่
    มั่นชี้ไว้เสมอในเรื่องนี้)
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตอบคุณเกีรยติคุณ

    8. หากเพียงแต่คุณก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ไม่ติดอยู่แต่การทำสมถะกรรมฐานชนิดต่างๆ
    จะพบว่า เวลา เป็นเพียงเรื่องของขันธ์5 เป็นเพียงสังขารธรรม ไม่ได้มีประโยชน์อะไรที่
    จะยึดสังขารธรรม เพราะสังขารธรรมทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยทั้ง
    นั้น ลองทำทวนปฏิจสมุปบาทในหัวข้อ สังขารธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้นได้เพราะอะไร

    สำหรับข้อ 9 คงต้องพักการตอบไว้ก่อน เพราะเท่าที่กล่าวไปหลายข้อ คงทำให้รู้สึกขัดแย้งอยู่

    แต่จริงๆ หากดูชื่อกระทู้ ก็อาจจะพอคลำทางที่หายไปได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2008
  16. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    ตอบคุณนิวรณ์
    ก่อนอื่นต้องของกราบขอบพระคุณอย่างสูงในความเสียสละเวลาชี้แนะและให้สติ (สัมมาสติ)แก่ผม ผมอ่านคำตอบของคุณทุกข้ออย่างละเอียด วิเคราะห์อย่างละเอียดหลายรอบ แล้วใช้สติตรึกตรองก็เป็นจริงอย่างคุณว่า ผมเองเกือบจะเตลิดไปกับ "มิจฉาสมาธิ" หลงไป "ยินดีอยู่กับการมีกุศลจิตในแง่ของการมีบุญ แต่เกลียดทุกข์ หรือบาป จิตใจยังเลือกข้างรักสุขเกลียดทกุข์ ยังไม่ใช่การเป็นกลางด้วยปัญญา ความเป็นกลางด้วยปัญญาเห็นสุขและทุกข์คือสภาวะธรรมที่เสมอกัน เป็นสังขารธรรมที่เกิดขึ้นเพราะจิตมีอวิชชาเท่าเทียมกัน" ดังคำตอบของคุณในข้อ 4 ที่ให้สติผมเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งย้อนไปมองในกฏของไตรลักษณ์ ตามคำชี้แนะในข้อที่ 1 ก็ยิ่งเห็นแจ้ง ในการเปลี่ยนของอารมณ์ ชอบไม่ชอบ ดังคำท่านพุทธทาส ตอนหนึ่งในคู่มือมนุษย์ว่า
    "ความอยากมีอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกเรียกว่า กามตัณหา อยากในสิ่งน่ารักใคร่พอใจ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อะไรก็ได้ อย่างที่สองเรียกว่า ภวตัณหา คือความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่ตนอยากจะเป็น อย่างที่สามเรียกว่า วิภวตัณหา คือความอยากไม่ให้มีอย่างนั้น ไม่ให้เป็นอย่างนี้ หลักเกณฑ์ข้อนี้ กล้าท้าให้ใคร ๆ พิสูจน์ หรือแย้งอย่างไรก็ได้ว่า ยังมีความอยากอะไรอีกบ้าง นอกเหนือไปกว่า 3 อย่าง ที่กล่าวมานี้"
    ผมอธิบายไม่ได้ว่าทำไมผมเข้าใจสิ่งที่คุณพยายามจะบอก ถึงแม้จะไม่แจ่มชัดทั้งหมดก็พอมีแนวทางที่จะก้าวต่อไปขอบคุณสำหรับคำแนะนำ หากผมไมได้คำชี้แนะมัวแต่หลงในนิมิตและปิติก็อาจเสียเวลาไปอีกชาตินึงอย่างที่คุณกล่าว..

    ขอแสดงความนับถือและขออนุโมทนาในความดีงามของคุณ.
    คำตอบของคุณมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อผม
    ขอขอบคุณ

     
  17. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    ระยะทางแห่งการเวียนว่ายหาได้สิ้นสุดลง ณ จุดใดจุดหนึ่งก็หาไม่ ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดแต่เหตุหมดเหตุก็ดับลง ปุถุชนผู้ไม่เคยเฝ้ามองจิตตัวเอง จึงถามหาทางออกจากเส้นแห่งวงกลมอันทับซ้อน เมื่อไม่รู้ว่าจุดเริ่มอยู่ตรงไหน จึงไม่อาจหาทางออกจากมัน.. เมื่อวันหนึ่งสัญญาแห่งศรัทธาผุดขึ้นดั่งดอกบัวสีแดงบานออกจากโคลนตม หัวเรือก็หันไปถูกทิศทาง รู้ว่าทางอยู่ข้างหน้าแต่ไม่รู้ว่ามันยาวไกลสักเพียงไหน อาศัยเพียงแค่ความศรัทธาอันแรงกล้าแม้บุกผ่าทะเลเพลิงก็ไม่มีท้อถอย.. สติเป็นดังหอกหรือหัวเรือพุ่งตรงแหวกคลื่นถาโถม ฟันฝ่าพายุร้ายแทบจมลงแต่มือก็ยังกำหางเสือแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่ออินทรีย์บารมีพร้อมและหัดปล่อยวาง เขาก็รู้ว่าโลกนี้ช่างไร้เดียงสาและควรหนีจากไปให้โดยเร็ว เหมือนบุรุษผู้มีศรัทธาในทางที่ถูกรู้จักขึงใบเรือแทนการจ้ำพาย ระยะทางที่่ว่าไกลก็ใกล้เหมือนมองเห็น เส้นทางที่ถูกต้องย่อมร่นระยะทาง ไม่แวะ ไม่พักเลย คือเส้นทางอันควรเดิน.... ณ ดินแดนแสนไกลจากขอบโลกและจักรวาล เขาไม่ก้าวข้ามไปได้ ผู้พิทักษ์แต่ละดินแดนล้วนไม่ยอมให้ผ่านไปแต่โดยง่าย สวรรค์ก็แล้ว พรหมก็แล้ว ผู้วิเศษก็แล้วต่างไม่ยอมยินดีให้เขาจากไป....เมื่อเขายอมแพ้แต่โดยดีโดยไร้เงื่อนไข ยอมสละแม้อาวุธที่ควรจะได้ ยอมหลีกทางให้ผู้ยิ่งใหญ่และปราถนาเพียงแค่ความเป็นคนธรรมดาเดินเท้าเปล่าเคียงคู่ไปกับความตายโดยไม่สะทกสะท้าน เขตุแดนถูกจำกัดก็เปิดออกต่อหน้าต่อตาของเขาเอง ไม่มีมรรค ไม่ทางเดินแห่งมรรค ไม่มีอะไรให้ลุถึง ไม่มีสัญญาไม่มีเวทนา ไม่มีผัสสะหรืออวิชชา เมื่อไม่มีความเกิดขึ้นแล้วสิ่งใดเล่าจะต้องดับลง ฯ ผู้ทีถูกคุมขังเท่านั้นที่เรียกร้องหาโลกใบใหม่ ... พลันท้องฟ้าก็เปิดกว้างไร้ซึ่งขอบเขต แสงแดดส่องกระทบผืนน้ำเป็นสีทองผ่องอำไพ เมื่อเรือของเขาหยุดลง เขาก็มองเห็นมัน ต่อหน้าต่อตาของเขาอย่างที่มันเคยเป็น ไม่เปลี่ยนไปเป็นอื่น เป็นอย่างนั้นตลอดมา "ธรรมนั้นสว่างไสวอยู่ในตัวของมันเอง ใจเราต่างหากที่มืดมัว" ขอให้ทุกสรรพสิ่งจงจางคลายและหลุดพ้นด้วยเทอญ
     
  18. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    การที่ได้มาอ่าน กท.นี้ทำให้ผมประหลาดใจ ทำให้ผมหวนนึกถึงลิ้งๆหนึ่ง ที่เคยอ่าน และเปนประสบการณ์การฝึกจิตของท่านผู้หนึ่วซึ่งดูแปลกและน่าสนใจดี
    ขอยกตัวอย่างเลยละกันครับ

    แต่รายละเอียดจริงๆอยู่ตรงลิ้งนี้ ผมคิดว่าเราควรจะทบทวนสิ่งที่เป็นธรรมะจากหลวงพ่อต่างๆ ว่าสิ่งที่เราปฏิบัติมาถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ถูกทางหรือป่าว? เปนกระจกเงาสะท้อนการปฏิบัติของเราไปในตัวด้วย
    ***ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ***
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การดูจิตเป็นหลักการขัดเกลากิเลส
    ออกจากตน ไม่ต้องไปดูที่คนอื่น
    ดูที่ตัวเองแหละ เราเป็นคนเลวอยู่ไหม
    เรามีข้อเสียอะไรบ้าง แล้วรีบแก้ไขข้อ
    เสีย อุดรอยรั่วนั้นซะ
     
  20. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    มันจะเป็นอะไรเอาแค่รู้ รอเวลาที่รู้ว่ามันทำไมเป็นอย่างนั้น คือการดูจิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...