รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    <TABLE class=tborder id=post1727850 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_1727850 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">ทำไมข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนไป
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ผมขอเริ่มเกริ่นแนะนำนะครับ

    ผมเคยถามตัวเองมาช้านานว่าการที่คนเราเกิดมา เดิบโต สืบพันธ์ แล้วตายมันเป็นการไม่ยุติธรรม ผมมีความรู้สึกเสมอว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น ใครๆ มักหาว่าผมเป็นคนเจ้าความคิด ไม่ค่อยเห็นอะไรอย่างคนอื่น ๆ เห็น ตั้งแต่เล็กจนโต เป็นคนเรียนเก่ง (เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก)แต่ไม่เคยพอใจในเนื้อหาวิชาใดๆ ที่ได้เรียนมา มีแต่คำถามในใจที่ไร้คำตอบ รวมทั้งความทุกข์ จากการอยากได้ อยากมี บ่อยครั้งขี้โมโหและเอาแต่ใจ ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อเสียตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบ แม่เสียตอนอายุ 12 ปี น้าเลี้ยงดูและหาเงินส่งตัวเองเรียน ปากกัดตีนถีบ ลำบากแต่ไม่เคยท้อ เฝ้าแต่โทษดวงชะตาฟ้าลิขิตเหมือนโดนกลั่นแกล้ง จวบจนเรียนจบ ทำงาน ครั้งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทรถยนต์ใหญ่แห่งหนึ่ง ได้พนักงานดีเด่น สองปีซ้อน เป็นที่รักของหัวหน้าและลูกน้อง สุดท้ายก็ลาออก ปัจจุบันประกอบอาชีพส่วนตัว..
    เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านนั่งดูทีวี ASTV ท่านจันทร์พูดถึงหนังสือ"คู่มือมนุษย์" ของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ จึงหามาอ่าน (ในอินเตอร์เน็ต) อ่านไปได้สักสิบกว่าหน้าก็เกิดอาการประหลาด ตัวสั่นเหมือนจะล้มฟาดโต๊ะ เหมือนใครมาผลักแรงๆ ขนลุกซู่ๆๆ ในใจเกิดคำตอบหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมา มีแต่คำว่า ใช่ ใช่ ใช่ กับคำถามที่ผมค้นหามาแสนนาน บางครั้งเกิดสังเวชใจจนต้องหลบไปร้องให้ กับความโง่เขลาที่เคยทำผ่านมา.. อนิจจาผมอยู่ใกล้ธรรมะแค่เอื้อมมือกลับไม่เคยสนใจ..

    ตั้งแต่วันนั้นผมเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ทั้งหมดของชีวิต ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มกาแฟ ไม่เที่ยวเตร่กลางคืน และศึกษาธรรมะด้วยความศรัทธาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..จนคนรอบข้างต่างแปลกใจในการเปลี่ยนไปของผม ปัจจุบันผมจะศึกษางานของท่านพระอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะ ท่านอาจารย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, อาจารย์พุทธทาสภิกขุ,ตลอดจนงานเขียนของผู้รู้ทั้งหลายโดยไม่เลือกว่าจะเป็นใคร ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานอน ก็จะภาวนา จนหลับ ,ตลอดจนภาวนาพุทธ โท ตลอดเวลาที่ว่างเว้น จากการงาน ไม่ทิ้งสติจากที่ตั้ง แม้เวลาทานอาหารก็จะนึกภาวนา เช่น อร่อยหนอ ๆ เวลาอาหารอร่อย ขับรถ หรือทำอะไรก็จะไม่ทิ้งสติ ทำให้ผมเป็นคนใจเย็นขึ้น มองเห็นโลกด้วยดวงตาที่ต่างไปจากเดิม ..
    จิตของผมละเอียดขึ้นเป็นลำดับ ตลอดจนทำการวิปัสนาจิตอยู่ตลอดเมื่อมีสิ่งใดมากระทบ เป็นคนมีเมตตามากขึ้น พยายามรักษาศีล และเจริญกรรมฐานทุกครั้งที่มีโอกาศ ..
    เมื่อแรกๆ จิตของผมจะรู้สึกไวต่ออารมณ์ไม่พอใจของคนรอบข้าง แต่เมื่อตามดูจิตไปสติก็มาทัน อาการไม่พอใจก็หายไปพร้อมกับจิตมีความละเอียดมากขึ้น จนคิดว่าสามารถควบคุมจิตได้ แต่เมื่อประมาณสามสี่วันที่ผ่านมา อาการณ์พลุ่งพล่านจู่ๆ ก็เกิดขึ้น จนบางครั้งตามจิตไม่ทัน ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไม อาการณ์นี้จึงไม่หายไป มันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญบ้างจึงอยากถามท่านผู้รู้ดังนี้

    1. อยากให้ช่วยวิจารณ์ผมหน่อย ปัจจุบันอายุ 34 ปี มีบุตรสาว 1 คนอายุ 1.5 ขวบแต่งงานและมีภรรยา ว่าอาการของผมนี้ภาษาธรรมเขาเรียกว่าอย่างไร และทำไมบางครั้งจึงมีอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ แต่ละช่วงเว้นกันตามอารมณ์จิตที่เปลี่ยนไปเช่นจิตละเอียดขึ้น

    2. อาการปีติ นี้เกิดขึ้นได้แม้มิได้นั่งกรรมฐานด้วยหรือ

    3. ทำไมผมจึงมีอาการเบื่อในสิ่งต่างๆ ทางโลก แม้แต่เรื่องของกามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกฟังเพลง เลิกมองผู้หญิงสวยแบบที่เคยมอง แม้กระทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไป

    4.ทำไมผมจึงรู้สึกผิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาก เช่น ตบยุงหรือเวลา มองคนอย่างติหนิทั้งที่สติตามทันแต่ก็ยังรู้สึกผิด (ไม่นานเมื่อปล่อยวางก็หาย )ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็น

    5.ผมศึกษาหลายเรื่องรวมทั้งอารมณ์ของพระโสดา,สกีทาคา,อนาคา,อรหันต์ จากท่านอาจารย์รวมทั้ง การเจริญกรรมฐาน (ปัจจุบันผมใช้อานาปานสติ)มีอยู่ครั้งหนึ่งเวลานั่งสมาธิจนจิตนิ่งลมหายใจแผ่วเบาเลยเปลี่ยนจากท่านั่งมาเป็นท่านอนกะว่าถ้าหลับก็หลับไปแต่จิตยังคงทรงอารมณ์อยู่ วันนั้นตั้งใจเป็นไงเป็นกันตายเป็นตาย เมื่อจิตเริ่มนิ่งมากๆ การภาวนาทรงอารมณ์ก็เริ่มเร็วขึ้นโดยไม่ทิ้งภาวนา พุทธ โท ๆๆ จู่รู้สึกเหมือนร่างกายเคลื่อนไปมาในแนวนอนบ้าง ในแนวตั้งบ้างแต่รุนแรงกว่าทุกครั้ง จู่ๆ จิตก็พุ่งปรี๊ด เร็วมากไปที่พระอุโบสถแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของผม ผมมักจะระลึกถึงพระประธานที่นั่นเสมอ.
    ผมไม่แน่ว่าฝันหรือว่าจิตออกจากร่างกันแน่ แต่แปลก มันไม่ยักกะตื่น เลยอยากลองไปดูนรกสักทีว่าเป็นอย่างไร พอนึกถึงนรกทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำมืดไปหมดเกิดความกลัวแต่ก็ไม่หวั่นไหวประคองสติตั้งมั่น จึงอยากจะตื่นเลยกำหนดจิตให้ลุกขึ้นจากที่นอนแต่ทำไม่ได้ สั่งมือยก ก็ทำไม่ได้ รู้สึกสับสนไปหมด จู่ๆ ก็กลัวตายขึ้นมา ต้องท่องพุทธ โท ๆๆ กำหนดลมหายเข้าออก ตั้งสติแล้วทำเหมือนเริ่มกรรมฐาน ไม่นานก็กลับเป็นปกติและรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ยังไม่ลืมตา ยังภาวนาพุทธ โท ๆ ต่อจนจิตเป็นปกติจึงลุกจากที่นอน หลังจากลุกจากที่นอนเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ว้าเหว่ เศร้าๆ เหมือนคนเพิ่งกลับมาจากความตาย อาการที่ผมเล่ามาในข้อนี้ท่านคิดอย่างไร ผมฝันไปหรือว่าอย่างไร

    6.ผมตั้งใจจะสร้างห้องพระ และติดรูปบูชาครูบาอาจารย์ เวลานั่งสมาธิจะได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวมากขึ้น ทำอย่างไรหากต้องรวมจิต(กายละเอียด)ให้เข้มแข็งและสามารถไปยัง
    ดินแดนพระจุฬามณี,บันฑุกำพลศิลาอาสน์,หรือแดนพระนิพพาน ต้องฝึกจิตให้จดจำสิ่งใด จึงจะสามารถนึกออกเห็นได้ในทันทีที่กายละเอียดออกจากร่าง (ผมฝึกเองที่บ้าน)

    7.หากจิตออกจากกายหยาบ จะมีเหตุอันใดที่ก่อให้เกิดอันตรายได้หรือไม่ ทั้งต่อกายหยาบและกายละเอียด

    8.เวลากลางวันกับเวลากลางคืนมีผลอย่างไรหากจิตท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เช่น นั่งสมาธิตอนกลางคืนแล้วจิตกลับร่างตอนสว่างแล้ว , ตอนกลางวันแล้ว,หรือตอนใกล้รุ่ง

    9.ผมควรศึกษาเรื่องใดเพิ่มเติมโปรดชี้แนะ ข้ออื่นๆ จักขอถามในโอกาศต่อไป

    ขอกราบรบกวนท่าน และกราบขอโทษหากสิ่งที่ผมได้เล่าและซักถามนั้นเกิดจากความโง่เขลาและขาดซึ่งความไม่เข้าใจในธรรม ผมเพิ่งศึกษาธรรมมะอย่างจริงจัง(ด้วยตัวเอง) ตามคำสอนของท่านผู้รู้ขาดคนชี้แนะ มีเพียงจิตและศรัทธาที่บริสุทธิ์ต่อองค์พระศาสดาและหลักคำสอน จึงขอกลาบอภัยท่านมา ณ ที่นี้ด้วย

    ขออนุโมทนาในความดีทั้งหลายและขอให้ธรรมจงคุ้มครองท่านทั้งหลาย

    เกียรติคุณ
    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1727850")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. Fascinate

    Fascinate Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +71
    พี่คับ เวลาผมนั่งสมาธิ พอเริ่มรู้สึกว่าจิตนิ่ง แต่พอได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ที่ว่าเสียงแปลกๆไม่ใช่เสียงที่น่ากลัวแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงเวลาที่ลมพัดไปโดนผ้าม่านแล้วเกิดเสียงขึ้น หรือเสียงอื่นๆ ที่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เสียงที่น่ากลัว คืออธิบายไงดีอะ เอาเป็นว่าเป็นเสียงที่ผมรู้ว่าต้นตอมันมาจากไหน ซึ่งมันไม่น่ากลัว
    ***แต่พอผมได้ยินเจ้าเสียงนี้ขึ้นมา ทำให้ผมรู้สึกกลัว ขนลุก ซู่ ทั้งตัว นานมาก พอเกิดอาการอย่างนี้ผมต้องตั้งสติ นึกถึงสิ่งศักดิ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยว จนอาการนั้นค่อยๆหายไป หลังจากนั้นก็นั่งต่อได้อีกแป๊ปเดียว ก็เลยออกจากสมาธิดีกว่า
    พี่Xorce แนะนำผมหน่่อยนะคับ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณเรืองรักข์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1727966", true); </SCRIPT> ครับ

    1. อาการที่เกิดนี้เพราะอะไรค่ะ
    ถ้าเกิดว่าตอนนั้นจิตนิ่งสงบดีแล้ว และไม่รู้สึก หรือไม่ได้สนใจถึงลมหายใจด้วย
    ตอนนั้นคิดว่าจิตเป็นฌาณค่อนข้างละเอียดครับ
    และจิตกำลังจะดีดตัวออกเต็มกำลัง เพื่อเป็นการถอดจิตหรือมโนมยิทธิเต็มกำลัง
    ผมขอเดาว่ามันจะหวิวๆ คล้ายๆกับจะขาดใจด้วย
    แล้วใจเรามันจะเกิดอาการกลัวตาย หรือกลัวจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

    ซึ่งถ้าเกิดแบบนี้อย่ากลัวครับ ถ้าอยากจะให้จิตมันออกจากกายได้นี่ ต้องอย่ากลัวครับ
    ให้เราขอบารมีพระพุทธเจ้าให้พระองค์คุ้มครองแล้ว ต้องตัดอารมณ์ใจตายเป็นตายครับ
    ใจมันอาจจะหวิวๆจนคล้ายจะขาด ถ้ามันขาดจริงน่ะมันไม่ตายครับ
    แต่จิตเราจะแยกออกจากกาย ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้ครับ
    มีอีกหลายคนที่เขาอยากจะมาถึงจุดนี้ได้แต่ว่ามาไม่ถึงครับ
    ดังนั้นถ้าเรามาถึงจุดนี้ได้แล้ว อย่ากลัวตายครับ ให้เราขอบารมีพระแล้วลุยไปเลยครับ

    2. การพิจารณาลม หายใจ แล้วภาวนา พุท โธ โดยจับลมหายใจ เข้า- ออก แต่ปัญหาคือ ลม หายใจ เข้าออกมันไม่เป็นจังหวะ สั้น ยาวไม่เท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะใช้หลักการพุท โธ เรื่อยๆ จะได้อยู่ไหมค่ะ
    ฌาณนี่เราสามารถจะเข้าได้หลายวิธีครับ
    1.พุทโธแบบไม่ใส่ใจลมหายใจเลย แบบนี้ก็ได้ อาการก็จะออกมาแบบที่ว่าจิตนิ่งสงบเกิดปีติ เป็นฌาณ4ละเอียด แล้วจิตเริ่มแยกจากกาย
    2.จับลมหายใจพร้อมพุทโธด้วยเนี่ย พอไปซักพักนึงแล้วจิตจะทิ้งพุทโธ
    จะจับแค่ลมหายใจอย่างเดียว จนลมหายใจหยุดนิ่งเป็นฌาณ4
    ถ้าเราจับพุทโธไปด้วยเนี่ยจิตอาจจะกระสับกระส่ายเพราะภาวนาไม่ตรงกับลมหายใจบ้าง หรือเหนื่อยที่จะพิจารณาบ้างเพราะจิตเลื่อนสู่ฌาณขั้นสูงขึ้น

    ถ้าเกิดอาการแบบนี้เลิกพุทโธเลยก็ได้ครับ จับแค่ลมหายใจก็พอ ดีกว่าที่จับทั้งคู่แล้วทำให้ใจกระสับกระส่าย เพราะยังไงถึงจุดหนึ่งก็ต้องทิ้งพุทโธอยู่ดี

    สรุปว่าถ้าจับลมหายใจก็เอาแค่ลมหายใจก็ได้ครับ หรือถ้าจับพุทโธก็เอาแค่พุทโธเลยก็ได้

    3. การฝึกเองที่บ้าน โดยไม่มีครูอาจารย์กำกับดูแล นี้ เคยอ่านเจอ เค้าว่ากันว่า จะทำให้เป็นบ้าได้ นี้จะต้องทำไงค่ะ ถึงจะพิจารณา รู้เท่าทัน คุมสติไว้อยู่
    การที่บ้านี่ เกิดจากการที่เราเห็นภาพต่างๆในจิต แล้วเอาจิตเข้าไปยึดเกาะ
    เช่น เราเห็นภาพกษัตริย์ เราก็ไปคิดว่าเราเคยเกิดเป็นกษัตริย์บ้าง เราเคยยิ่งใหญ่ต่างๆนานาบ้าง เป็นการเพิ่มกิเลสให้กับตัวเอง
    แล้วพอเราเกิดหลงว่าเราเป็นแบบนู้น แบบนี้แล้ว เราก็จะเที่ยวไปบอกชาวบ้าน ว่าเฮ้ยเราเคยเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นการโอ้อวดตัวเอง
    จนเราหลงมากขึ้นๆ จนกลายเป็นบ้า
    สรุปก็คือถ้าเราเชื่อทุกๆอย่างที่เราเห็นด้วยความเป็นทิพย์
    โดยไม่รู้จักพิจารณาให้เป็นวิปัสสนาญาณว่า เอ เราเคยเป็นแบบนี้ๆมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้เราก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เคยเป็นของเราตอนนี้มันก็ไม่ได้เป็นของเราอีกแล้ว
    แล้วเราจะไปยึดมันทำไม ถ้าเรารู้จักพิจารณาแบบนี้
    คำว่าบ้าจะไม่มีแก่เราครับ ที่เราบ้าก็เพราะยิ่งฝึกสมาธิยิ่งเพิ่มกิเลสให้ตัวเอง
    ถ้าเรายิ่งฝึก ยิ่งละ ยิ่งปล่อยวาง ทำใจให้ไม่ยึดติดในการเกิด แบบนี้ไม่มีทางบ้าครับ
    บ้าก็เพราะคิดว่าเราดีแล้ว เราประเสริฐแล้วครับ
    ถ้าเราคิดว่าเรายังดีไม่พอจะต้องดีกว่านี้ แบบนี้ไม่บ้าครับ
    4.เมื่อจะออกจากสมาธิ ก็มักจะทำกระทันหันเลยค่ะ (ลืมตา) แต่อยากจะทราบว่า ค่อย ๆ ออกจากสมาธินี้คือทำยังไงค่ะ
    จะต้องหายใจเข้าลึกๆช้าๆ อย่างน้อย3ครั้งก่อน แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ
    ที่ถอนออกมาเร็วอาจจะเพราะว่าคุณกลัวด้วย เลยรีบถอน
    ขอแนะนำนะครับว่า จะต้องออกจากสมาธิช้าๆทุกๆครั้งครับ
    ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอาการใจสั่น กายสั่น หรือเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากร่างกาย และทำให้กลับเข้าสมาธิได้ยากกว่าเดิม
    หายใจเข้าช้าๆ ออกช้าๆ ทุกครั้งครับ

    สุดท้ายขอแนะนำว่าให้ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกครั้ง และอย่ากลัวครับ คิดว่าถ้าตายในสมาธิ ก็ดีกว่าตายอย่างคนทั่วไป แต่ว่ามันไม่ตายหรอกครับ
    ถ้าเราทะลุจากจุดที่หวิวๆ ชาๆได้ จิตก็จะออกมาท่องเที่ยวยังที่ต่างได้ แบบเต็มกำลังครับหรือที่เรียกว่าถอดจิตนี่เอง

    ขอให้ทำใจสบายๆ และไม่ต้องกลัวครับ พระพุทธเจ้าทรงคุ้มครองเราเสมอ ถ้าเราไม่ทิ้งท่านครับ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ เกียรติคุณ ครับ
    1. อยากให้ช่วยวิจารณ์ผมหน่อย ปัจจุบันอายุ 34 ปี มีบุตรสาว 1 คนอายุ 1.5 ขวบแต่งงานและมีภรรยา ว่าอาการของผมนี้ภาษาธรรมเขาเรียกว่าอย่างไร และทำไมบางครั้งจึงมีอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ แต่ละช่วงเว้นกันตามอารมณ์จิตที่เปลี่ยนไปเช่นจิตละเอียดขึ้น

    นั่นยังไม่ใช่อาการที่จิตละเอียดขึ้นซะทีเดียวนะครับ
    อันนั้นเป็นอาการที่จิตมีความเบื่อหน่ายในโลกมากขึ้น
    แต่ยังไม่ใช่การเบื่อแบบที่เป็นวิปัสสนาญาณ แต่ยังเป็นเบื่อแบบเซ็งๆ
    เช่นโอยทำไมเกิดมามันทุกข์แบบนี้ ทำไมร่างกายเรามันเน่าแบบนี้ ทำไมสิ่งต่างๆมันช่างน่าเบื่อน่ารังเกียจแบบนี้
    ซึ่งเบื่อแบบนี้ยังไม่ถูก จะทำให้จิตหดหู่ เป็นผลลบ

    ถ้าจะเบื่อให้ถูก ต้องเบื่อแบบเป็นวิปัสสนาญาณ จะต้องเบื่อแบบปล่อยวาง
    เช่น ร่างกายของเรานั้นมีความไม่สะอาด สกปรกอยู่เป็นปกติ เราไม่มีความปรารถนาในร่างกายนี้อีก เราจะไม่เกิดมามีร่างกายแบบนี้อีก
    แต่ถ้าเรายังมีร่างกายอยู่ เราก็จะต้องคอยดูแล คอยประคับประคองร่างกายเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเราและผู้อื่น
    เบื่อแบบนี้จะเบื่อแบบปล่อยวาง วางเฉยในร่างกาย วางเฉยว่ามันมีความไม่ดีอยู่เป็นปรกติ แต่ไม่หดหู่ ไม่โกรธ ไม่เกลียดชังร่างกาย
    อารมณ์2อย่างนี้จะค่อนข้างละเอียดครับ แต่เราจะต้องแยกให้ออก
    เพราะถ้าเบื่อแบบผิดๆ จะทำให้จิตเศร้าหมอง ถ้าตายแล้วจะที่ๆไม่ดีครับ
    2. อาการปีติ นี้เกิดขึ้นได้แม้มิได้นั่งกรรมฐานด้วยหรือ
    ได้ครับ เช่นเวลาทำบุญ เราก็ขนลุกบ้าง หรือเกิดความปลื้มใจจนน้ำตาไหลบ้างก็มี
    3. ทำไมผมจึงมีอาการเบื่อในสิ่งต่างๆ ทางโลก แม้แต่เรื่องของกามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกฟังเพลง เลิกมองผู้หญิงสวยแบบที่เคยมอง แม้กระทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไป
    จิตมีความเบื่อจริง แต่ยังเบื่อแบบรังเกียจ หรือเบื่อแบบเซ็งๆอยู่
    ไม่ได้เบื่อแบบปล่อยวางครับ เราจะต้องวางอารมณ์ใจให้ไม่หดหู่แต่วางเฉยในร่างกายให้ได้ครับ เบื่อแบบนี้จะทำให้หงุดหงิดง่าย
    รู้สึกไหมว่าเรายังหงุดหงิดอยู่ ถ้าเบื่อแบบปล่อยวางมันจะไม่หงุดหงิดครับ

    4.ทำไมผมจึงรู้สึกผิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาก เช่น ตบยุงหรือเวลา มองคนอย่างติหนิทั้งที่สติตามทันแต่ก็ยังรู้สึกผิด (ไม่นานเมื่อปล่อยวางก็หาย )ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็น
    จิตเริ่มเห็นมากขึ้นว่า อารมณ์ใจที่ไม่ดีนั้น เป็นโทษ
    การดูจิตเพียงอย่างเดียวยังล้างอารมณ์ที่ไม่ดีออกไปไม่ได้ครับ
    เพียงได้แค่เห็น และระงับได้ แต่ห้ามไม่ให้กำเริบไม่ได้
    จำเป็นที่จะต้องเจริญเมตตาหรือฝึกประคองสมาธิให้ได้ตลอดด้วย
    ถึงจะทำให้ล้างอารมณ์นี้ได้หมด และไม่ให้กำเริบได้อีก

    5.ผมศึกษาหลายเรื่องรวมทั้งอารมณ์ของพระโสดา,สกีทาคา,อนาคา,อรหันต์ จากท่านอาจารย์รวมทั้ง การเจริญกรรมฐาน (ปัจจุบันผมใช้อานาปานสติ)มีอยู่ครั้งหนึ่งเวลานั่งสมาธิจนจิตนิ่งลมหายใจแผ่วเบาเลยเปลี่ยนจากท่านั่งมาเป็นท่านอนกะว่าถ้าหลับก็หลับไปแต่จิตยังคงทรงอารมณ์อยู่ วันนั้นตั้งใจเป็นไงเป็นกันตายเป็นตาย เมื่อจิตเริ่มนิ่งมากๆ การภาวนาทรงอารมณ์ก็เริ่มเร็วขึ้นโดยไม่ทิ้งภาวนา พุทธ โท ๆๆ จู่รู้สึกเหมือนร่างกายเคลื่อนไปมาในแนวนอนบ้าง ในแนวตั้งบ้างแต่รุนแรงกว่าทุกครั้ง จู่ๆ จิตก็พุ่งปรี๊ด เร็วมากไปที่พระอุโบสถแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของผม ผมมักจะระลึกถึงพระประธานที่นั่นเสมอ.
    ผมไม่แน่ว่าฝันหรือว่าจิตออกจากร่างกันแน่ แต่แปลก มันไม่ยักกะตื่น เลยอยากลองไปดูนรกสักทีว่าเป็นอย่างไร พอนึกถึงนรกทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำมืดไปหมดเกิดความกลัวแต่ก็ไม่หวั่นไหวประคองสติตั้งมั่น จึงอยากจะตื่นเลยกำหนดจิตให้ลุกขึ้นจากที่นอนแต่ทำไม่ได้ สั่งมือยก ก็ทำไม่ได้ รู้สึกสับสนไปหมด จู่ๆ ก็กลัวตายขึ้นมา ต้องท่องพุทธ โท ๆๆ กำหนดลมหายเข้าออก ตั้งสติแล้วทำเหมือนเริ่มกรรมฐาน ไม่นานก็กลับเป็นปกติและรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ยังไม่ลืมตา ยังภาวนาพุทธ โท ๆ ต่อจนจิตเป็นปกติจึงลุกจากที่นอน หลังจากลุกจากที่นอนเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ว้าเหว่ เศร้าๆ เหมือนคนเพิ่งกลับมาจากความตาย อาการที่ผมเล่ามาในข้อนี้ท่านคิดอย่างไร ผมฝันไปหรือว่าอย่างไร
    จิตออกจากร่างครับ ที่พุทโธๆไปเรื่อยๆก่อน แล้วค่อยลุกนั่น ถือว่าถูกต้องแล้วครับ
    ถ้าออกได้ครั้งแรกๆไม่ควรไปนรกครับ ต้องไปพบพระพุทธเจ้าให้ได้ก่อน
    และไปที่ๆสว่างๆ สวยงามเช่นสวรรค์ก่อน
    ถ้าไปนรกเลยจิตมันจะรับไม่ได้ และอาจจะหดหู่ หรือกลัว
    ซึ่งที่ว้าเหว่ เศร้าๆ เป็นอารมณ์ที่หดหู่ค้างครับ
    อารมณ์ที่ค้างเป็นอีกสิ่งที่ยืนยันว่า จิตออกมาจริง
    6.ผมตั้งใจจะสร้างห้องพระ และติดรูปบูชาครูบาอาจารย์ เวลานั่งสมาธิจะได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวมากขึ้น ทำอย่างไรหากต้องรวมจิต(กายละเอียด)ให้เข้มแข็งและสามารถไปยัง
    ดินแดนพระจุฬามณี,บันฑุกำพลศิลาอาสน์,หรือแดนพระนิพพาน ต้องฝึกจิตให้จดจำสิ่งใด จึงจะสามารถนึกออกเห็นได้ในทันทีที่กายละเอียดออกจากร่าง (ผมฝึกเองที่บ้าน)
    ภาพพระพุทธรูปครับ ยิ่งเป็นภาพพระวิสุทธิเทพ หรือภาพพระพุทธรูปเป็นเนื้อเพชรยิ่งดีครับ
    7.หากจิตออกจากกายหยาบ จะมีเหตุอันใดที่ก่อให้เกิดอันตรายได้หรือไม่ ทั้งต่อกายหยาบและกายละเอียด
    มีครับ มีได้หลายอย่างเลยครับ
    ดังนั้นก่อนจะทำสมาธิทุกครั้ง หรือแม้แต่การนอนหลับ ที่เราคิดว่ามีสิทธิที่จะหลุดออจากกาย
    จำเป็นที่จะต้องขอบารมีพระพุทธเจ้าให้พระองค์คุ้มครองทุกๆครั้ง
    8.เวลากลางวันกับเวลากลางคืนมีผลอย่างไรหากจิตท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เช่น นั่งสมาธิตอนกลางคืนแล้วจิตกลับร่างตอนสว่างแล้ว , ตอนกลางวันแล้ว,หรือตอนใกล้รุ่ง
    การถอดจิตนั้นแล้วแต่คนถนัดครับ ส่วนมากจะเที่ยวตอนกลางคืนง่ายกว่า เพราะหลับได้นานมากกว่าตอนกลางวัน และเราถนัดมากกว่าตามนิสัยของคนทั่วไป
    แต่ผ้ที่ช่ำชองแล้วสามารถทำได้ตลอดเวลาครับ
    ส่วนสมาธินั้นจะต้องให้ได้ตลอดเวลาเสมอครับ


    9.ผมควรศึกษาเรื่องใดเพิ่มเติมโปรดชี้แนะ ข้ออื่นๆ จักขอถามในโอกาศต่อไป
    ต้องลองหาเวลาไปฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังที่ซอยสายลม เพราะถ้าได้ครึ่งกำลังแล้ว จะออกเต็มกำลังได้ง่ายกว่า
    จำเป็นที่จพต้องเจริญเมตตาให้มากๆครับ
    ให้เราลองใช้จิตนาการนึกถึงความสุข ความรักความเมตตาต่อผู้อื่น ความอิ่บเอบใจในบุญกุศล จนจิตใจของเราชุ่มเย็น
    เสร็จแล้วให้แผ่หรืออุทิศไปยังทุกๆทิศทาง ให้ทำอยู่สม่ำเสมอครับ
    แล้วใจของเราจะชุ่มเย็นขึ้น หงุดหงิดยากขึ้น
    แล้วก็ให้ลองฟังการทำวิปัสสนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำดูครับ แล้วให้เราคิดตาม น้อมจิตตามที่ท่านเทศ ทั้งการถอดจิต และสมาธิจะดีขึ้นอีกเยอะครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
    ให้เราคิดว่าคนในครอบครัวของเรานั้นก็เป็นเพื่อนของเรา
    ต้องอย่าทำอะไรให้เขาเกิดความไม่สบายใจครับ
    คนที่มีธรรมะคือคนที่อยู่กับคนอื่นได้โดยจิตใจไม่หวั่นไหวในอกุศลครับ
    อย่าหลีกหนีจากคน โดยที่จิตใจเรายังหวั่นไหวอยู่ครับ
    เพราะแปลว่าเรายังไม่เข้าถึงซึ่งธรรมะอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  5. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ไหนๆท่านศิษย์พี่ก็ดูอยู่แล้วขออนุญาติถามหน่อยนะครับ ไม่ได้เจตนาล่วงเกินนะครับ ในทางจริตนิสัย การที่บุคคลธรรมดาที่นิมิตรเห็นพระอรหันต์ที่ล่วงลับไปแล้ว มาช่วยอบลมสั่งสอนบ่อยๆ จากประสบการณ์ของผมเองครับ คือบางครั้งท่านสอนเป็นลักษณะก้ำกลึงทั้งลวงและหลอกหลายครั้ง เพื่อทดสอบวิปัสสนานะครับ ขอท่านพี่ชี้แนะด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Fascinate ครับ
    พี่คับ เวลาผมนั่งสมาธิ พอเริ่มรู้สึกว่าจิตนิ่ง แต่พอได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ที่ว่าเสียงแปลกๆไม่ใช่เสียงที่น่ากลัวแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงเวลาที่ลมพัดไปโดนผ้าม่านแล้วเกิดเสียงขึ้น หรือเสียงอื่นๆ ที่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เสียงที่น่ากลัว คืออธิบายไงดีอะ เอาเป็นว่าเป็นเสียงที่ผมรู้ว่าต้นตอมันมาจากไหน ซึ่งมันไม่น่ากลัว
    ***แต่พอผมได้ยินเจ้าเสียงนี้ขึ้นมา ทำให้ผมรู้สึกกลัว ขนลุก ซู่ ทั้งตัว นานมาก พอเกิดอาการอย่างนี้ผมต้องตั้งสติ นึกถึงสิ่งศักดิ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยว จนอาการนั้นค่อยๆหายไป หลังจากนั้นก็นั่งต่อได้อีกแป๊ปเดียว ก็เลยออกจากสมาธิดีกว่า
    พี่Xorce แนะนำผมหน่่อยนะคับ

    เสียงไม่น่ากลัวครับ แต่ว่าเราไปกลัวเสียง
    เราก็ต้องมาหาว่าเพราะอะไรล่ะครับ
    ก็เกิดจากการที่จิตของเรามันปรุงแต่ง ปรุงแต่งว่าเสียงนี่นะ มันเกิดจากนี่ๆนะ
    แล้วถ้าเกิดว่าต้นกำเนิดของเสียงเนี่ย ดันปรากฏกายให้เราเห็นขึ้นมาล่ะ
    ถ้าเจ้าของเสียงเขามาทำอะไรเราล่ะ
    เราเองนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง จนอาการนี่มันบรรเทาจริง
    แต่ในใจลึกๆของเรามันยังกลัวอยู่ครับ

    สรุปก็คือมีรากฐานมาจากความกลัวตาย แล้วก็มีอารมณ์ที่ลึกกว่าคือความไม่รู้
    ไม่รู้ว่าถ้าเราตายแล้วจะไปไหน อะไรจะเกิดกับเรา
    เมื่อไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน จะดีหรือไม่ดี
    เราจึงกลัวความตาย พอกลัวความตาย เราจึงกลัวสิ่งที่อาจจะทำให้เราต้องตาย
    เมื่อได้ยินเสียงจึงคิดว่าเจ้าของเสียงนั้นอาจจะทำให้เราตายได้
    สรุปว่าต้องตัดกันที่ต้นเหตุคือการกลัวตาย และการไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหนครับ

    ผมก็จะแนะนำวิธีเอาไว้หลายๆวิธีก็แล้วกันครับ
    1.จัดห้องของเราให้มีภาพพระเยอะๆ
    2.ปิดกระจกหน้าต่าง เพื่อลดเสียงที่เกิดขึ้น
    3.ก่อนนั่งสมาธิให้เราขอบารมีจากพระพุทธ พระธรม พระสงฆ์ ให้คุ้มครองเรา
    4.ให้เราฝึกสมาธิโดย เปลี่ยนวิธีการ เช่นเปลี่ยนมานึกถึง หรือจินตนาการถึงภาพพระพุทธรูปแทน คือให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา แบบนี้ก็จะบรรเทาความกลัวได้
    <!-- / message -->5.ให้เราพิจารณาว่า ตอนนี้เรากำลังฝึกสมาธิอยู่ เรามีศีล5ครบ เรามีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างถึงที่สุด ถ้าเราตายตอนนี้เนี่ย เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน
    แล้วถ้าเราคิดได้ครบแบบนี้ ถ้าเราตายจริงๆเนี่ย อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา
    พอเรารู้แล้วว่าถ้าเราตายตอนนี้เราก็จะได้เป็นเทวดาซึ่งดีกว่ามนุษย์แน่นอน
    เมื่อเรามีที่อันเป็นสุขคติให้เราไป เมื่อเราตาย
    เราก็จะไม่เกรงกลัวต่อความตาย และไม่เกรงกลัวแต่เสียงในที่สุด

    สรุปวิธีการหลักๆก็คือ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนขอให้พระองค์คุ้มครองเรา
    แล้วเชื่อว่าพระองค์คุ้มครองเราได้จริง แล้วเราก็จะไม่กลัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  7. gosilwer

    gosilwer สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมฝึกอานาปานสติอยู่ครับ แต่พอกำหนดจิตที่ลมหายใจทีไร สักพักจิตก็วกไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อยเลยไม่สงบเลยครับ บางครั้ง พอนั่งหลับตากำหนดจิตสักพักก็เผลอหลับไปเฉยเลย ผมควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ผมเป็นคนสมาธิสั้น
     
  8. Pink_Angel

    Pink_Angel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +69
    ได้รับประโยชน์จากกระทู้นี้เป็นอย่างมากค่ะ เพราะเพิ่งเริ่มนั่งสมาธิ และนั่งแบบฝึกเองไม่ได้มีครูอาจารย์ มีอาการคล้ายๆที่หลายท่านเล่ามา ตอนนี้สบายใจแล้วได้รับคำชี้แนะจากเจ้าของกระทู้ที่ตอบคำถาม หลายๆท่าน ขอบพระคุณมากค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  9. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    สอบถาม มโนมยิทธิ เต็มกำลัง ครับ
    เมื่อล่าสุด ได้ไปฝึกที่วัดท่าซุงมาครับ
    แต่มีข้อ สงสัยเล็กน้อย ผมเคยชิน กับการ ภาวนา นะมะ (หายใจเข้า) พะทะ(หายใจออก)
    แต่ ไปอ่านศึกษา มา ไปเจอว่า อย่าไปยึดติดกับลมหายใจ ให้ภาวนา ไปเรื่อย ๆ ไม่งั่น จะไม่ออก เพราะติดลมหายใจ ครับ
    ก็ ลองทำดู แต่ มัน ขัด ๆ กับความคุ้นเคยครับ

    รบกวน ชี้แนะด้วยครับ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณgosilwer
    ผมฝึกอานาปานสติอยู่ครับ แต่พอกำหนดจิตที่ลมหายใจทีไร สักพักจิตก็วกไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อยเลยไม่สงบเลยครับ บางครั้ง พอนั่งหลับตากำหนดจิตสักพักก็เผลอหลับไปเฉยเลย ผมควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ผมเป็นคนสมาธิสั้น

    คิดว่าเกิดจากการที่วางอารมณ์หนักไปครับ คือเครียดไป อยากสงบมากไป หรือคาดคั้นมากเกินไปครับ
    จะมีผลทำให้จับลมหายใจได้ไม่นาน และทำให้ตกภวังง่าย

    วิธีแก้ก็คือ ก่อนจะเริ่มจับลมหายใจ ให้เราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆสบายๆ
    ให้เรารู้สึกถึงความเย็นของลมหายใจ แล้วทำใจให้สบายๆก่อน
    พอลมหายใจเต็มปอดแล้ว ให้เรากลั้นลมหายใจเอาไว้สบายๆ ซัก10วินาที
    ระหว่างที่กลั้นลมหายใจ ให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาด้วยยิ่งดี
    พอครบ10วินาที ค่อยหายใจออกครับ
    ทำซ้ำซัก10รอบ
    คราวนี้ใจของเราจะสบายขึ้น จะตื่นตัวมากขึ้น จะง่วงน้อยลง
    แล้วเราก็ดูลมหายใจสบายๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าเรารู้สึกว่าลมหายใจค่อยๆช้าลงๆ จนหายไป
    หรือลมหายใจหยุดนิ่งไป ก็ให้เราประคองความนิ่งเอาไว้ให้ได้ซักระยะหนึ่งครับ
    แล้วก่อนออกจากสมาธิทุกครั้งก็หายใจเข้ลึกๆออกช้าๆ3 ครั้ง ค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ
    สมาธิสั้นเกิดจากเป็นคนที่หายใจไม่ทั่วท้อง หายใจสั้น หายใจเร็ว หรือเครียดไปขณะทำสมาธิ
    หลังจากทำตามด้านบนแล้ว เราจะหายใจยาวขึ้น ช้าลงและลื่นไหล โปร่งโล่งขึ้นครับ
    ขอให้ทำใจสบายไปเรื่อยๆนะครับ รับรองว่าจะต้องเข้าถึงตามจุดที่ปรารถนาแน่ๆครับ
     
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    สอบถาม มโนมยิทธิ เต็มกำลัง ครับ
    เมื่อล่าสุด ได้ไปฝึกที่วัดท่าซุงมาครับ
    แต่มีข้อ สงสัยเล็กน้อย ผมเคยชิน กับการ ภาวนา นะมะ (หายใจเข้า) พะทะ(หายใจออก)
    แต่ ไปอ่านศึกษา มา ไปเจอว่า อย่าไปยึดติดกับลมหายใจ ให้ภาวนา ไปเรื่อย ๆ ไม่งั่น จะไม่ออก เพราะติดลมหายใจ ครับ
    ก็ ลองทำดู แต่ มัน ขัด ๆ กับความคุ้นเคยครับ
    รบกวน ชี้แนะด้วยครับ

    มโนมยิทธิเต็มกำลัง เป็นอะไรที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่า มโนมยิทธิครึ่งกำลังเยอะครับ
    ดังนั้นแนะนำว่าถ้าได้ครึ่งกำลังแล้วจะง่ายกว่าเยอะเลยครับ
    ดังนั้นกว่าจะจัดอีกรอบก็ขอให้ลองไปฝึกครึ่งกำลังดูนะครับ

    ส่วนถ้าไม่มีครึ่งกำลังมาก่อนนั้น ก็จำเป็นจะต้องได้อย่างน้อยฌาณ4
    ถ้าจิตไม่ถึงฌาณ4แล้วไม่มีสิทธิ์ออกเลยครับ
    แต่เนื่องจากที่วัดท่าซุงจะมีกำลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงมากๆ ทำให้สมาธิของเราจะสูงกว่าปกติ
    ส่วนวิธีการออกนั้นทำได้หลายวิธีครับ
    ขอแค่จิตเป็นฌาณ4ก็พอ
    จะภาวนาแต่นะมะ พะธะ จนจิตเป็นฌาณ4ก็ได้
    หรือจะจับลมหายใจจนลมหายใจหายไป หยุดนิ่ง เป็นฌาณ4ก็ได้
    แต่ถ้าจับทั้งลมหายใจทั้งนะมะ พะธะ นี่ เหมาะกับครึ่งกำลังครับ จิตจะได้ที่พอดี
    แต่ถ้าเอามาใช้กับเต็มกำลังนี่ไม่เหมาะครับ เพราะจิตจะภะวักภะวงกับทั้งลมหายใจและคำภาวนา หรือถ้าจะให้จิตเลื่อนสู่อารมณ์สูงขึ้น มันก็จะเลือกจับแค่ลมหายใจครับ
    มโนมยิทธิเต็มกำลังถ้าจะให้ง่ายขึ้น ก็คือใช้ครึ่งกำลังขึ้นไปบนพระนิพพานก่อน
    หลังจากนั้นให้เราขอบารมีพระพุทธเจ้าให้เมตตาดึงจิตของเราออกจากกาย
    และพิจารณาวิปัสสนาญาณตัดร่างกายต่อ จนจิตหลุดออกมา
    อารมณ์ที่ใช้คือ
    1.สบายใจ ยิ่งใจสบายยิ่งดีครับ
    2.ตัดร่างกาย ตัดสังโยชน์ ทิ้งร่างกาย ทำใจให้ไม่เกาะในร่างกาย

    เพราะฉะนั้นผมจะขออธิบายหลักการของมโนมยิทธิเต็มกำลังเลยก็แล้วกันครับ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจไปด้วย
    ถ้าหลักการถอดจิตปกติเนี่ย คือให้จิตเป็นฌาณ4 ก็พอ
    แต่ว่ามโนมยิทธิเนี่ย มีอารมณ์ที่สูงกว่าการถอดจิตธรรมดา เพราะว่าจะต้องนำจิตขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน
    ดังนั้นควรที่จะต้องมีวิปัสสนาญาณควบด้วย คือมโนมยิทธิเต็มกำลังนั้น ช่วงที่จิตออกไปได้ จิตจะต้องมีอารมณ์คล้ายพระอรหันต์ชั่วขณะ
    คือจะต้องตัดร่างกาย ตัดสังโยชน์10 ขาดชั่วขณะ ถึงจะหลุดขึ้นไปได้
    ทำให้มโนมยิทธิเต็มกำลังนั้น ไปฝึกกันปีละเกือบหมื่นก็จริง แต่คนที่ไปได้จริงๆ มีแค่ประมาณหลักร้อยหรือไม่ถึงร้อยเท่านั้น
    เพราะอารมณ์ใจจะต้องคล้ายพระอรหันต์จริงๆ
    นี่จึงเป็นเหตุผลอย่างนึงว่าทำไมมโนมยิทธิถึงทำให้คนเป็นพระอริยเจ้าได้
    เพราะผู้ที่สามารถรักษามโนมยิทธิเต็มกำลังหรือครึ่งกำลังได้ตลอดเท่ากับว่าเป็นผู้ที่มีอารมณ์ใจคล้ายพระอริยเจ้าอยู่ตลอดนั่นเอง

    ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาจะฝึกมโนยิทธิให้ได้ดี ทั้งครึ่งกำลังและเต็มกำลัง
    จะต้องหมั่นเจริญวิปัสสนาญาณ ทำอารมณ์ใจให้คล้ายพระอริยเจ้า และเกาะพระนิพพานอยู่เสมอๆ
    ถ้ายังทำได้ไม่ดี ก็ไม่ต้องเสียกำลังใจ หรือท้อถอยครับ
    ให้เราหมั่นทำใจให้ใสสะอาดต่อไป ซักวันจะต้องได้แน่นอนครับ



    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2008
  12. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ
    รบกวนอีก นิดครับ
    ครึ่งกำลัง ผมทำได้แล้วครับ (ลืมบอก) เลยไปฝึกเต็มกำลัง เหมือนจะได้ แต่ไม่หมั่นใจ
    จึง ขอเล่ารายละเอียด ระหว่างการฝึกให้ฟังนะครับ โปรดอย่าใช้เป็น แบบอย่างเนื่องจากตัวผม จะมีอาการ ของณาณ ไม่เหมือนและไม่ปกติกับชาวบ้านเท่าไหร่หนักเพราะบุญเก่าน้อยเลยต้องนับ 1 (กสิณ น้ำ เป็นตัวเริ่มของผมครับ) ซึ่งเคยได้พี่ ๆ ในเวปพลังจิตหลายท่านชี้แนะครับต้องขอบคุณด้วย เอาละเขาเรื่องดีกว่า

    วันเสาร์ ที่ผ่านมา ไม่นาน ก็เข้าฝึกตามกระบวนการปกติ ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่าง ๆ ไม่ขอกล่าวถึงนะครับ ภาวนา นะมะพะธะ ตามจังหวะลมหายใจเข้าออก เป็นปกติ ไปเรื่อย ๆ (เหมือนครึ่งกำลัง) ออตอนต้นฟังหลวงพ่อธิบายเรื่องโทษของการเกิด(วิปัสสนา) ก่อนครับ ก็มีอาการหัวหมุน ๆ ติ้ว ๆ ๆ ๆ ก็ไม่สน แล้วก็ก้ม ลงไปข้างหน้า อันนี้ไม่สนไม่ได้ เลยตั้งหลังขึ้นมาใหม่ มีอาการเหมือนจะขาดใจตายก็ไม่สน จะตายก็ดี มันทุกข์ ตายตอนนี้อย่างเลว ก็ เทวดาวะ อย่างดีหน่อย ก็ พรหม ทางบ้านไม่ต้องห่วง เดียวจะให้ 3 ตัว ตรง ๆ ทุกงวด(ว่าไปนั้น) อึดอัดมาก ๆ แต่ไม่หลุดจน เกิดปัญญาเล็กน้อยว่า "มันแปลก ๆ เราเข้าใจว่าการฝึกเต็มกำลัง คือการ ถอดจิต ทิ้งกายไปเลย(ทิ้งแบบหลุดไปเลยเป็นอีกร่างประมาณนั้น) ถ้าจะไม่ใช้ มันคืออะไร นึกไปถึงคำสอนหลวงพ่อที่เคย อ่าน ๆ มา เอ้ จำได้ว่า มันสามารถโต้ตอบได้ทันที่ทันใด แสดงว่า จิต ไม่ได้ทิ้ง กาย 100% เอาใหม่" ตั้ง อารมณ์ จน ความรู้สึกทางกายเหลือน้อยที่สุดและสว่างจนแสบตา (เป็นอาการที่เคย โพสถามไป ในหน้าที่ 1 อาการเดี่ยวกัน แต่แปลก เล็กน้อยตรงที่ ตัวจะเอียง ไปข้างหลัง ช้า ๆ ๆ ๆ แล้วก็เหมือน มันมีอะไรพิงคือมันค้างอยู่แบบนั้น) ก็มาใช้ตาใจ(ไม่รู้คำศัพท์ครับ รู้แต่รู้สึกเหมือนครึ่งกำลัง) ที่นี้เห็นภาพชัด มากกว่า ครึ่งกำลังมาก ๆ ก็ไปพระจุฬามณี วิมานพระพุทธเจ้า ทุกอย่างชัดกว่าเก่า เห็น แบบรายละเอียด ๆ ๆ เลยครับ
    พอเสร็จ(เสียงสัญญาหมดเวลา) ก็ดีใจ แต่ไม่แน่ใจว่า เราได้แล้วหรือ หรือว่าเราใช้ครึ่งกำลังแต่ สมาธิเราสูงกว่าปกติเลย ชัดหว่า

    รบกวนด้วยครับ ชี้แนะด้วยครับ

    ออ กลับมาบ้าน ยังไม่ได้ อารมณ์นั้นอีกเลย T_T (เต็มกำลังนะครับ)
    ส่วน ครึ่งกำลัง ยังไม่เสื่อมฝึกทุกเช้า และเย็น(ตอนเย็นนี้บางที่ก็วุ่นจนไม่ว่าง ก็อาศัยตอนนอนเล็กน้อยครับ)
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เป็นอาการของครึ่งกำลังที่มีความละเอียดสูงขึ้นเนื่องจากจิตเราทิ้งกายได้มากขึ้นครับ
    จะมีหลายๆคนที่คิดว่าได้เต็มกำลังแล้ว รวมถึงเพื่อนผมด้วย แต่จริงๆยังไม่ใช่ครับ
    ถ้าเต็มกำลังมันจะยิ่งละเอียด ชัดบาดตายิ่งกว่านี้อีกครับ มันจะทิ้งกายไปเลย
    แบบเหมือนว่าร่างกายเป็นแค่หุ่นยนต์ที่เราไปขับ แล้วเราก็เดินลงมาจากหุ่นยนต์แบบนั้นเลย
    เต็มกำลังนี่คือ เราจะต้องสามารถเอามือของเราเนี่ยลูบ สภาพความเป็นทิพย์ได้เลย
    แบบว่าเรากำลังเดินไปเดินมา อยู่บนสวรรค์ หรือพระนิพพานจริงๆเลย
    เท้าของเราจะรู้สึกถึงพื้นผิวของความเป็นทิพย์ ร่างของเราจะรู้สึกถึงความเย็น ของความเป็นทิพย์
    มันจะรู้สึกครบเลยครับ จะมีมากกว่าภาพครับ
    แต่ว่าที่ทำก็ถือว่าก้าวหน้าดีแล้วครับ
    ถ้าจะให้ดีนะครับจะต้องเจริญวิปัสสนาญาณเพิ่ม และยกจิตของเราขึ้นไปบนพระนิพพานทุกๆวันเพื่อให้เกิดความชินครับ

    ขอให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปนะครับ ขอให้ทุกๆดวงจิตสามารถเข้าถึงซึ่งมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ตามความปรารถนาในธรรมด้วยเทอญ
     
  14. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647

    เหมือนกับเรา ถอดจิต จริง ๆ มาอยู่ ดูกาย เหมือนอีกคน แบบนี้เลยหรือเปล่า ครับ
     
  15. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    แล้วอย่างฝันล่ะค่ะ ที่เคยเล่าไปว่าฝันถึงหลวงพ่อฤาษีฯ

    ได้รับน้ำมนต์ และรู้สึกได้ถึงน้ำมนต์ที่ได้รับ สัมผัสได้น่ะค่ะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เหมือนกับเรา ถอดจิต จริง ๆ มาอยู่ ดูกาย เหมือนอีกคน แบบนี้เลยหรือเปล่า ครับ
    ใช่เลยครับ แบบนั้นแหละครับ แบบที่หลวงพ่อเล่าน่ะครับ

    เดี้ยวขอแก้ไขใหม่ครับ
    ของคุณ choosake<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1734249", true); </SCRIPT> ก็เข้าข่ายเต็มกำลังแล้วครับ
    คือจะเห็นชัดกว่าครึ่งกำลังตอนปกติ แล้วจะมีความละเอียดสว่างมาก
    แต่มันจะมีอีกระดับหนึ่งของเต็มกำลังครับ คือแบบที่หลุดไปเลย
    แบบที่หลุดไปเลยนี่ก็จะยิ่งมีความละเอียดกว่าครับ
    แต่ว่าจะไม่คล่องเท่าแบบเต็มกำลังที่ยังไม่หลุด มันจะหนืดๆกว่า
    แต่ว่าหลวงพ่อฤาษี ท่านคล่องทั้งสองแบบครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->

    แล้วอย่างฝันล่ะค่ะ ที่เคยเล่าไปว่าฝันถึงหลวงพ่อฤาษีฯ
    ได้รับน้ำมนต์ และรู้สึกได้ถึงน้ำมนต์ที่ได้รับ สัมผัสได้น่ะค่ะ

    อันนั้นก็เข้าข่ายเต็มกำลังครับ
    แต่สติมันจะไม่สมบูรณ์เท่า ตอนที่เราออกโดยตัดสังโยชน์ หรือตัดร่างกายครับ
    บางครั้งหลวงพ่อท่านก็จะมาโปรดลูกๆหลานๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  17. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    มารบกวนอีกแล้ว
    เมื่อคำภาวนา เร็วขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ จนเหมือนจะขาดใจ
    นี้เป็นอารมณ์ ของ ณาณ 3 หรือเปล่าครับ
    และควรจะแก้ไขยังไง ให้ทะลุ ไป ถึง 4 ครับ
    เพราะมัน อึดอัดมาก ๆ ในบางครั้ง
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ลักษณะนี้ไม่ใช่ครับ
    แบบนี้เกิดจากวางอารมณ์หนักไปครับ
    ฌาณ4 ถ้าเอาแค่ฌาณ4หยาบล่ะก็
    แค่จับภาพพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน หรือจับภาพพระพุทธรูปเป็นเพชร ก็เป็นฌาณ4หยาบแล้วครับ
    อย่างที่เคยมีคนโพสต์ว่า ใจมันหวิวๆเหมือนจะขาดนั้น แล้วกายทิพย์จะดีดออกนั้น
    จะเป็นหวิวๆ ใจจะขาด แบบเบาๆ เหมือนมันจะขาดเอง เหมือนเส้นด้ายจะขาด
    ไม่ใช่ลักษณะที่เราไปบีบ ไปเร่ง ไปเค้นให้มันขาดครับ แบบนี้จะเหมือนเรากระชากให้ขาด
    มันจะคนละอารมณ์กัน
    ถ้ามันอึดอัด ถ้ามันแน่น ถ้ามันเค้น แบบนี้ไม่ถูกครับ อันนี้เกิดจากการที่เราอยากมากไป
    ถ้าจะให้ถูกมันจะต้องเบา สบาย เย็น เบา สบาย เย็น ไปเรื่อยๆ จนจิตยกลอย แล้วตัวเรารู้สึกเหมือนกลายเป็นดวงๆ ลอยอยู่นิ่งๆ แบบนี้ถึงจะเป็นฌาณละเอียดครับ

    วิธีสังเกตุดูง่ายๆ ว่าเราฝึกสมาธิมาถูกไหม
    ถ้าเราฝึกถูกใจจะสบาย อารมณ์จะนิ่ง เบา เย็น อิ่มเอิบ
    ถ้าเราวางอารมณ์ผิด อยากได้ อยากสงบเกินไป อารมณ์จะหนักๆ อึดอัด ปวดหัว แน่นหน้าอก

    ฌาณ3นั้น ถ้าวัดจากภาพพระ ก็จะเห็นภาพพระเป็นแก้วแต่ยังไม่ใส ไม่สว่าง ไม่เป็นเพชร
    ถ้าวัดจากลมหายใจก็จะหายใจเหลือแค่นิดเดียว
    พอเป็นฌาณ4 ภาพพระจะเปล่งประกายระยิบระยับ เป็นเพชร
    ลมหายใจก็จะหยุดนิ่ง เหมือนไม่มีลมหายใจ

    สมาธิที่ถูกจะต้องมีอารมณ์เบา ถ้าหนักไปต้องคลาย ผ่อนอารมณ์ให้เบาครับ
    หลวงพ่อท่านจะสอนเสมอๆให้ทำแบบสบายๆครับ

    ให้เราทำใจสบายๆไปเรื่อยๆครับ แล้วทุกๆอย่างจะดีเองครับ
    ถ้าเครียดเมื่อไหร่ ให้เลิกเลยครับ ไปทำใจให้สบายก่อน แล้วค่อยฝึกต่อ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เนื่องจากเริ่มมีคน เข้ามาอ่านในกระทู้นี้มากขึ้น
    ผมจึงจะขออธิบายลำดับขั้นตอนในการฝึก จากที่ผมได้เคยฝึกมานะครับ
    ถ้าเราไล่ไปตามลำดับความง่ายจะมากขึ้นครับ
    1.เริ่มจากอานาปานสติเสียก่อน
    -จับลม1ฐานที่ปลายจมูก 10ครั้ง ทำใจสบายๆ
    -จับลมสามฐาน ที่จมูก อก ท้อง 10ครั้ง ทำใจสบายๆ เบาๆ
    -จับลมหายใจตลอดสาย จินตนาการว่าลมหายใจเป็นเส้นเชือกไหลตั้งแต่จมูกลงมาจนถึงท้อง แล้วก็ไหลย้อนกลับขึ้นไป 10ครั้ง ใจจะสบายกว่า ลมจะลื่นไหลเนียนนุ่มกว่า
    -กักลมและล้างลมหายใจหยาบ เพื่อทำให้ลมหายใจละเอียดขึ้นทำให้จิตเป็นฌาณสูงขึ้น
    หายใจเข้าลึกๆ ให้ใจสบายๆ รู้สึกผ่อนคลาย พอลมเต็มปอดแล้ว ให้กลั้นลมหายใจหรือกักลมหายใจเอาไว้เบาๆ
    แล้วภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆไปที่ท้อง ประมาณ10วินาที
    จึงค่อยหายใจออก ทำซ้ำ10ครั้ง
    -ให้จับลมหายใจตลอดสาย ตามเดิม คราวนี้จะรู้สึกว่าลมหายใจ ค่อยๆช้าลงๆ ค่อยช้าลงเรื่อยๆ จนลมหายใจเริ่มหายไป เริ่มหยุดไป จนลมหายใจหยุดไป หายไป
    แล้วให้ประคองความนิ่งเอาไว้ซักระยะหนึ่ง ถ้าลมหายใจกลับมาก็ให้จับลมหายใจอีกครั้งหนึ่งสบายๆ ไปเรื่อยๆ
    -ก่อนออกจากสมาธิอธิษฐานปักหมุดว่า ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมหายใจสบาย จนลมหายใจหยุดไปได้นี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    -หายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ 3ครั้ง แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ
    -พอจับลมหายใจสบายๆเป็นแล้ว ให้หมั่นจับลมหายใจสบายๆ เอาไว้ทั้งวัน หรือจับลมหายใจแบบที่นิ่งเอาไว้ทั้งวันก็ยิ่งดี

    2.แผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ คือเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ไปยังทุกๆทิศทาง
    -ให้เรากลับเข้าสภาวะที่ลมหายใจสบายๆจนลมหายใจหยุดนิ่งอีกครั้ง
    -แล้วให้เราระลึกถึงบุญ ถึงกุศล ถึงความชุ่มเย็น ถึงความรักความเมตตา ความอิ่มเอิบใจ ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ให้ค่อยๆหลั่งไหลเข้ามารวมกันที่ดวงจิตของเราที่กลางอก จินตนาการว่ามีแสงขาวๆอันเป็นบุญกุศลไหลเข้ามารวมกันที่อกของเรา
    -จนกระทั่งเราเริ่มรู้สึกชุ่มเย็น เบาสบายนิดๆ ที่กลางอก
    -ให้เราจินตนาการว่ามีคลื่นแห่งความชุ่มเย็น สีทอง แผ่ออกมาจากกวงจิตของเราที่กลางอก แผ่ออกมายังบริเวณห้องที่เราอยู่ แล้วให้เราคิดว่าขอให้ทุกๆคนที่อยู่ในห้องนี้มีแต่ความสุขความชุ่มเย็น ความอิ่มเอิบกายอิ่มเอิบใจ แบบที่เรากำลังรู้สึกอยู่
    -จินตนาการว่าคลื่นสีทองแผ่ออกมาปกคลุมยังทั้งบริเวณบ้านที่เราอาศัยอยู่ แล้วให้เราคิดว่าขอให้ทุกๆคนที่อยู่ในห้องนี้มีแต่ความสุขความชุ่มเย็น ความอิ่มเอิบกายอิ่มเอิบใจ แบบที่เรากำลังรู้สึกอยู่
    แล้วแผ่ออกมาเรื่อยๆ ยังทั้งตำบล ทั้งเขต ทั้งจังหวัด ให้ผู้ใดก็ตามที่ได้สัมผัสกับคลื่นสีทองนี้ มีแต่ความสุขกายสุขใจ แบบที่เรากำลังรู้สึกอยู่ณขณะนี้ ยิ่งเราแผ่ความรักความเมตตาของเราออกไปเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีความสุข ความชุ่มเย็น ความอิ่มเอิบใจมากขึ้นเท่านั้น
    -ให้เราแผ่คลื่นสีทองออกไปปกคลุมยังทั้งประเทศไทย ขอให้ประเทศไทยมีแต่สันติสุข ทุกๆคนมีความรักความเมตตาต่อกัน
    แผ่ออกไปยังทั้งโลกใบนี้ เห็นว่าโลกใบนี้เป็นสีทอง ขอให้ทุกๆคนในโลกใบนี้มีแต่ความสุข
    แผ่ออกไปยังทั่วทั้งจักรวาล แผ่ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ แผ่ออกไปยังทุกๆทิศทาง ความรักความเมตตา ความปรารถนาดีของเรามีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    -แผ่ลงไปยังทิศเบื้องล่าง ยังภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ขอให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์โดยเร็ว มีแต่ความอิ่มใจแบบที่เรากำลังรู้สึกอยู่ ณ ขณะนี้
    -แผ่ขึ้นไปยังทิศเบื้องบน ยังภพภูมิของเทวดา พรหม ตลอดจนถึงพระนิพพาน ขอให้ทุกๆท่านทุกๆพระองค์มีแต่ความสุข ความเบากายสบายใจ ยิ่งๆขึ้นไป
    -แผ่ไปยังเจ้ากรรมนายเวร ญาติๆของเรา เพื่อนๆ ครก็ตามที่เราปรรถนาให้มีความสุข
    แผ่ออกไปเรื่อยๆ ยังทุกๆทิศทาง จนเราชุ่มเย็นสบายใจ
    -อธิษฐานปักหมุดว่า ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งเมตตาอัปปมาณฌาณ คือความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณนี้
    ได้ทุกๆครั้ง ทุกๆเวลา ทุกๆสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    เป็นอันจบสมาธิเบื้องต้น ใช้เวลาประมาณ30-40 นาที ในการไล่ทำตั้งแต่ตอนต้น
    พอได้แล้วครั้งนึง เราก็แค่หมั่นจับลมหายใจสบาย หรือแผ่เมตตาเป็นประจำ ไม่จำเป็นจะต้องไล่ใหม่หมดตั้งแต่ต้น
    เบื้องต้นนี้เป็นการเตรียมจิตให้มีสมาธิ และพรหมวิหาร4 บริบูรณ์
    เป็นพื้นจิตที่เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนาญาณ ฝึกวิชชา3 มโนมยิทธิ กสิณ10 สมาบัติ8 กรรมฐาน40 ต่อไป
    ขอให้ลองทำและเจริญก้าวหน้ากันทุกๆคนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  20. ผลิตจากนมโคสดแท้

    ผลิตจากนมโคสดแท้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอถามหน่อยครับ
    - คือวันนี้ช่วงเที่ยงๆบ่ายๆ ผมได้นอนทำสมาธิ จนรู้สึกเหมือนว่าหลับไป
    มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เหมือนว่าจิตจะออกจากร่าง คือ เหมือนมีเสียง ตื้อๆ ตึงๆ อยู่ในหัว บอกไม่ค่อยถูก ผมก็ไปจับตรงความรู้สึกนั้น แล้วก็นึกถึงดวงแก้วอยู่ในหัว พอนึกปุ๊บจิตก็มายืนอยู่ตรงข้างๆเตียง หันมามองดูร่างตัวเอง กับแม่ที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วก็เดินไปส่องกระจก เห็นเราใส่ชุดอยู่บ้านปกติ แล้วก็เดินออกไปหน้าบ้าน แล้วก็ภาวนากลับเข้าร่างตัวเอง พอตื่นขึ้นมาก็สำรวจรอบๆ
    ....แต่ บางอย่างที่ผมเห็นตอนถอดจิต มันไม่ตรงกับความจริง อย่าง ท่าที่เรานอน ท่าที่แม่นอน กับ ออกไปหน้าบ้านไม่เห็นรถที่จอดอยู่

    ผมสงสัยว่าเป็น ความฝัน หรือว่าถอดจิตจริงๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...